เรือนไทย

.

               สายลมพัด แสงเทียนกระพริบ วิบวิบดับ               อาทิตย์อับ แสงสว่าง กลางเวหา                            
                                                                                                                                                      
     ลมหนาววูบ เหน็บทรวง หน่วงอุรา                               สายฝนพรำ น้ำตา ฟ้าร้าวราน                            
                                                                                                                                                    
               แว่วยินข่าว ที่ไม่ อยากได้ยิน                           ในแผ่นดิน ของเรา เขากล่าวขาน

      ยามเย็นย่ำ วิปโยค โศกเหลือประมาณ                          ปริเทวนาการ ถึงยามค่ำ กำเริบทรุด      

                ถวายดวงใจ กับความรัก ภักดิ์ตลอดกาล              สืบปณิธาน สานความฝัน อันสูงสุด

      เฝ้าเสด็จ สู่เมืองแมน แดนวิมุต                                  ข้าวรพุทธ เจ้านบน้อม ธ สถิตใน ดวงใจนิรันดร์          

 บทเพลงพระราชนิพนธ์        

                สายลม แสงเทียน อาทิตย์อับแสง ลมหนาว สายฝน แว่ว แผ่นดินของเรา
                ยามเย็น ยามค่ำ ดวงใจกับความรัก ความฝันอันสูงสุด ในดวงใจนิรันดร์

 :'(

ราชบัณฑิตยสภา ชี้แจง การใช้วลี "เสด็จสู่สวรรคาลัย"

               วลี "สู่สวรรคาลัย” จึงหมายถึง สู่ที่อยู่ในสวรรค์ สู่ที่พักในสวรรค์ ความหมายรวมๆ ก็คือ สู่สวรรค์
วลี "เสด็จไปสู่สวรรคาลัย" จึงสื่อความหมายได้ว่า (พระองค์) เสด็จสู่สวรรค์ หรือ (พระองค์) เสด็จสู่สรวงสวรรค์
         อย่างไรก็ตาม ในความเข้าใจของประชาชนทั่วไปนั้นเข้าใจว่า "ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย" หมายถึงส่งเสด็จ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไปสู่สรวงสวรรค์
 
         แต่คำถามมีอยู่ว่า ใช้ได้หรือไม่ ในเรื่องนี้ได้มีการสอบถามความคิดเห็นของ พลตรี หม่อมราชวงศ์ ศุภวัฒย์ เกษมศรี
ประธานคณะกรรมการจัดทำหลักเกณฑ์การใช้ราชาศัพท์แห่งราชบัณฑิตยสถาน ศาสตราจารย์พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ
ราชบัณฑิต และที่ปรึกษาคณะกรรมการ และ อาจารย์จุลทัศน์ พยาฆรานนท์ รองประธานคณะกรรมการ มีความเห็นพ้องกันว่า

                 พระองค์ทรงมีบุญญาบารมีที่จะเสด็จไปสู่สรวงสวรรค์ด้วยพระองค์เอง
ทั้งนี้ หากใช้คำว่า "ส่งเสด็จ" นำหน้าวลี "สู่สวรรคาลัย" อาจทำให้สื่อความหมายได้ว่าประชาชนเป็นผู้ส่งเสด็จพระองค์
ไปสู่สรวงสวรรค์

            ดังนั้น หากลดหรือละการใช้คำว่า "ส่ง" ออกไปเหลือ "เสด็จสู่สวรรคาลัย" หรือใช้คำว่า "พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย"
ก็จะทำให้ถ้อยคำดูสวยงามและสื่อความหมายได้ชัดเจนกว่าคำว่า "ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย"

            ตัวอย่าง การใช้ถ้อยคำเพื่อแสดงความอาลัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้า ........
เสด็จสู่สวรรคาลัย ผองผสกนิกรชาวไทยน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิจนิรันดร์ ข้าพระพุทธเจ้า .....
ปวงพสกนิกรชาวไทยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิจนิรันดร์ ข้าพระพุทธเจ้า ......
ปวงประชาสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้า ........
เสด็จสู่ฟากฟ้าสุราลัย พระมหากรุณาธิคุณจารึกในใจไทยชั่วกาล ข้าพระพุทธเจ้า ......
สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์ น้อมศิระกราน กราบแทบพระยุคลบาท ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
อันหาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้า ............
พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้า .....
หลังคำว่า ข้าพระพุทธเจ้า ให้ระบุชื่อบุคคล คณะบุคคล และหน่วยงาน

             ร้อยกรองจาก อ. นภาลัย สุวรรณธาดา วันที่ ๑๓ ตุลา ๕๙ ที่ตรงความรู้สึกและ
ตรงใจใครต่อใครในวันนั้น

                ร้อยกรอง 'ยามเย็น' วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ จากคุณ จิระนันท์ พิตรปรีชา

            แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล เพลงยามเย็นมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า
Love at Sundown แต่เย็นวันนั้นคือ Loss at Sundown

        คุณจิระนันท์ ชี้แจงเรื่อง "ส่งเสด็จ" - คำนี้มีที่มา ในเฟซบุคว่า

(ต่อ)

ขอมารวมในกระทู้นี้ค่ะ

และอีกบทหนึ่ง

 :'(     
            คนไทยสมัยนี้                มีพระองค์ตั้งแต่เกิด

พ่อหลวงผู้ประเสริฐ                     บริบาลลูกหลานไทย

            ถึงวันที่พ่อจาก              จึงแสนยากจะทำใจ

กำพร้าโดยทันใด                        โดยพร้อมกันทั้งแผ่นดิน

https://www.facebook.com/visalo.org/?pnref=story

           บทถวายอาลัย(Elegy) โดยอ.ระพี สาคริก จากนสพ. THE NATION                 

        คำประพันธ์ลายมือของอ.ระพี เผยแพร่ในเวลาต่อมา

           ต่อเติมจาก กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร

       พระเสด็จโดยแดนชล      ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย
กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย            พายอ่อนหยับจับงามงอน ...   

       สุวรรณหงส์ทรงพู่ห้อย     งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์
เพียงหงส์ทรงพรหมมินทร์        ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม
....................

       เลื่อนลอยสายธารา         ล่องนาวาสู่เวหน
องค์พระภูมิพล                     เสด็จคืนสวรรคาลัย   

ภาพจากนสพ.THE NATION

ภาพเดียวกันเวอร์ชันหลากสี

        ราชบัณฑิตยสภาชี้แจงการใช้คำเพิ่มเติม

           หนึ่งในภาพพระบรมฉายาลักษณ์ที่งดงาม,เล่าเรื่องราวประทับใจพสกนิกรถ้วนทั่ว
จนถูกแชร์กันมากมายในเน็ทช่วงนี้

           คุณ "นภันต์ เสวิกุล ผู้บันทึกย่างพระบาทที่ยาตรา" เล่าเบื้องหลังภาพนี้ในนสพ.กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันนี้ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ ว่า

http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/723878

        จากเฟซบุ๊ค Napan Sevikul

           แสนเสียงผสานกึกก้อง                  ราษฎร์ร่วมร้องเพลงสรรเสริญ

ทวยเทพร่วมอัญเชิญ                               ธ เสด็จสู่แดนดาว

(instagram.com/khaosod)

        แสงเทียนที่สาดส่อง                             กระทบต้องน้ำตาพราว

วิบวับสว่างแวววาว                                       ธ สถิตในใจชั่วกาล

(instagram.com/khaosod)

           CU Band จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประพันธ์เพลง “รักในดวงใจนิรันดร์”
โดยอัญเชิญ ชื่อเพลงพระราชนิพนธ์ มาร้อยเรียงกัน

            http://www.youtube.com/watch?v=dddeNXLoz2M
       

            แว่ว เสียงราษฎร์ร่ำไห้ใน ยามค่ำ

       สายฝน พรำ แผ่นดินของเรา ผอง

       เมื่อ อาทิตย์อับแสง ลาน้ำตานอง

       สายลม ต้อง แสงเทียน ดับลับชั่วกาล

       ศุกร์สัญลักษณ์ บังคมลา พระมหามงคล

       โอ้ ค่ำแล้ว ในกมลสิ้น คำหวาน

       คืน ไร้เดือน ลมหนาว นั้นยาวนาน

       กว่าจะผ่านห้วงเวลา ชะตาชีวิต

       เมื่อโสมส่อง เตือนใจ ให้ยั้งอยู่

       หักอาลัย ยิ้มสู้ ประกอบกิจ

       เพื่อ ความฝันอันสูงสุด จักอุทิศ

       หวังตามรอยบาทบพิตรด้วยใจภักดิ์

       ผ่าน ยามเย็น เห็น แสงเดือน ที่เคลื่อนคล้อย

       เราสู้ คอยอดทนให้ชนประจักษ์

       ทำความดีด้วย ดวงใจกับความรัก

       เพื่อทรงพัก ไกลกังวล ที่บนฟ้า

       เจ้า แก้วตาขวัญใจ อย่าไห้หวน

       จงช่วยชวนกัน ฝัน ถึงวันหน้า

       ใกล้รุ่ง แล้วประเทศไทยในน้ำตา

       พระราชาสถิต ในดวงใจนิรันดร์

       ... รัก นี้จะอยู่ ในดวงใจนิรันดร์ ...

ตามอ่านบทกวี เก็บความงาม ของตัวอักษร ย้อน รำลึกถึงพระองค์ท่าน

           โคลงจากลิลิตพระลอ หมายเลข ๖๒๕ ช่วงท้ายเรื่องตอน สองพระมารดรพิลาป
(ภาพจากปกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม)

               ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป  จาก นิราศภูเขาทอง  ของสุนทรภู่

(ไม่ทราบว่ายังอยู่ในแบบเรียนวรรณคดีไทยสมัยนี้หรือไม่)

ซาบซึ้งกินใจสะเทือนอารมณ์กับ

                    ลำล่องแสดงความอาลัยพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย

           โดยหมอลำ ฉวีวรรณ ดำเนิน ศิลปินแห่งชาติ ปี ๒๕๓๖ และศิลปินพื้นบ้านอีสาน
คุณพงศพร อุปนิ(อ้น แคนเขียว)
            บทกลอนลำล่อง ประพันธ์กลอนลำโดย อ.จักรินทร์ สร้อยสูงเนิน

ลำล่อง,ลำทางยาวหรือลำอ่านหนังสือ คือ ลำ(โดยใช้)กลอนทำนองลำทางยาว เป็นทำนองลำ
แบบเอื้อนเสียงยาวสะอึกสะอื้นแสดงอารมณ์โศก

เวอร์ชั่นแรก

             โอย..เสียงเอยเสียงระงมดังไปถึงเมืองฟ้า            เหล่าทวยเทพเทวาก็เห็นฟ้าสะเทือนลั่น

เสียงระงมดังไปถึงเมืองบาดาล                                     มวลหมู่นาคราชเจ้าต่างรู้ข่าว...


     http://www.youtube.com/watch?v=b0i0PUgHtn0

เวอร์ชั่นเมื่อร้องออกอากาศทางช่อง ๓ พร้อมคำบรรยายเนื้อลำกลอน

     http://www.youtube.com/watch?v=89wnICaW7Es

             ๑๓ ตุลา ผ่านมา กว่าหนึ่งปักษ์          ดวงใจภักดิ์ รักอาลัย ยังไห้หวน

ทุกสื่อสาร พันภาพเสียง สำเนียงล้วน                ชวนให้คะนึง คิดถึงพ่อ คลอน้ำตา

             ๑๓ ตุลา หนึ่งทุ่มตรง  

     http://www.youtube.com/watch?v=Sfo3T3ndAok

หนึ่งทุ่มตรง นั่งลงหน้าทีวี                          หนึ่งทุ่มตรง รอดูข่าวในวันนี้
วันที่ ๑๓ ตุลา วันที่ฟ้าหม่นมืดพอดี               ค่ำคืนนี้รู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ

ได้ยินได้ฟัง ฟังมาเนิ่นนาน                         ได้ยินได้ฟัง อีกครั้งในวันนี้
ตั้งแต่ตอนเช้าเป็นต้นมา และยิ่งหนาหูขึ้นทุกที   ค่ำคืนนี้รู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ

แม้จะเตรียมตัวมาตั้งนาน ฉันก็ยังหวั่นไหว
แม้จะเตรียมใจมาตั้งนาน ฉันยังแทบขาดใจ

หนึ่งทุ่มตรง นั่งลงหน้าทีวี                          ข่าวที่ได้ยิน คือสิ้นแล้วในวันนี้
วันที่ ๑๓ ตุลา ร.ศ.๒๓๕ พอดี                     ไม่มีอีกแล้ว ในวันนี้ … แทบสิ้นใจ

ไม่มีอีกแล้ว ในวันนี้ … “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”

เนื้อร้อง-ทำนอง
ธเนศ วรากุลนุเคราะห์

          ๑๓ ตุลา...หน้าศิริราช

คิดถึงพระองค์ คิดถึงเพลง

http://www.youtube.com/watch?v=UMDxbFdfK-s      

       ราชา เป็นสง่า แห่งแคว้น                     อยู่เป็นขวัญแดน โพธิ์ทอง ของปวงประชา
       มิ่งขวัญ โพธิ์ทอง ของชนทั่วหล้า               ราษฎร์สุขา ก็เพราะ พระบารมี
      
       ราชา เป็นทั้งมิ่ง และขวัญ                       ข้าอภิวันท์ บังคม หวังชมศักดิ์ศรี
       พระคืนมา เหล่าปวงประชา ภักดี                พระปิ่นโมฬี อยู่เป็นศรี ไผท
      
       โอ้ลมฝน บนฟ้า มาแล้ว                          
       ร่มโพธิ์แก้ว จะพาพฤกษา สดใส
       ข้า วรพุทธเจ้า ชาวไทย
       ยกกรไหว้ เทพไท ราชัน
      
       เราน้อมเกล้า เกศี ถวายภูมี นบศิระกราน
       เทิดบังคม ภูบาลเอาไว้ เหนือฟ้า
       โพธิ์ทอง ของชาวไทย อวยพรชัย ให้มหาราชา   
       ช่วยกันเปล่งวาจา ขอทรงพระเจริญ ไชโย ไชโย ไชโย

           เพลง "ราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น" ทำนองโดยครูเอื้อ สุนทรสนาน และคำร้องโดยครูแก้ว อัจฉริยะกุล
ร้องนำหมู่โดย เพ็ญศรี พุ่มชูศรี

จากหนังสือ ๑๐๐ เพลงดี ๑๐๐ ปี เอื้อ สุนทรสนาน, ศรี อยุธยา เขียนถึง เพลงนี้ว่า
      
         ...ครูเอื้อ สุนทรสนาน และ ครูแก้ว อัจฉริยะกุล ร่วมกันประพันธ์ถวายการต้อนรับใน
วโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เสด็จนิวัตประเทศไทยอย่างเป็น
การถาวร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ โดยยกวงดนตรีสุนทราภรณ์ไปบรรเลงถวายที่สนามบินดอนเมือง

ภาพสนามบินดอนเมืองพ.ศ. ๒๔๙๓ จาก pantip.com/topic/31944679

แต่ จากพระราชประวัติปรากฏความว่า

           สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตพระนครพร้อมพระอนุชา เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๘

           หลังจากสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นสืบราชสันตติวงศ์ต่อ
จากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลแล้ว เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ยังทรง
มีพระราชภารกิจด้านการศึกษา จึงต้องทรงอำลาประชาชนชาวไทยเสด็จกลับไปสวิตเซอร์แลนด์
อีกครั้ง ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ โดยเครื่องบินราชพาหนะ

            วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๓ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระเชษฐภคินี
และม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เสด็จนิวัตประเทศไทยทางชลมารคโดยเรือเดินสมุทรซีแลนเดีย จาก
ฝรั่งเศส ผ่านคลองสุเอซเข้าสู่มหาสมุทรอินเดียแล้วผ่านลังกาและสิงคโปร์สู่อ่าวไทย เรือจอดเทียบ
ท่าเกาะสีชัง เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ทรงเปลี่ยนมาประทับบนเรือรบหลวงรัตนโกสินทร์
มุ่งสู่ป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ แล้วเสด็จเพื่อขึ้นประทับบนเรือรบหลวงศรีอยุธยา จากนั้นเสด็จไปประทับ
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

(หลังจากพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบรมเชษฐาธิราช พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส
และพระราชพิธีบรมราชาภิเษก)

             พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งเพื่อติดตามการ
รักษาพระวรกายอันเนื่องจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เสด็จจากประเทศไทยด้วยเครื่องบินราชพาหนะ
เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๓
             ระหว่างประทับรักษาพระวรกาย,สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ทรงมีพระสูติกาล
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ ที่โรงพยาบาลมองซัวซีส์ เมืองโลซานน์ เมื่อ
วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๔
             พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีและสมเด็จพระเจ้า
ลูกเธอได้เสด็จนิวัตพระนครโดยทางชลมารค ด้วยเรือพระที่นั่งซีแลนเดียถึงไทยในเดือนธันวาคม
พ.ศ. ๒๔๙๔

             กล่าวคือ เสด็จนิวัตพระนครในปีพ.ศ. ๒๔๙๓ และพ.ศ. ๒๔๙๔ โดยทางชลมารค
ทั้งสองครั้ง

           บางส่วนมีความเข้าใจว่าเพลงนี้แต่งขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อานันทมหิดล เสด็จนิวัตพระนคร ในวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ นั้น เมื่อดูเนื้อร้องในท่อน
หลังจะพบว่าครูแก้วได้นำท่อนแรกของเพลงพระราชนิพนธ์ "สายฝน" มาแปลงใส่ไว้ว่า
"โอ้ลมฝนบนฟ้ามาแล้ว"
           แต่เพลงพระราชนิพนธ์สายฝนนี้ทรงพระราชนิพนธ์ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙
           จึงคงเหลือสองปีที่เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นนั่นคือ พ.ศ. ๒๔๙๓ หรือ พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งต้องดูจาก
หลักฐานอื่นเพื่อมาสนับสนุนว่าจะเป็นปีใด เช่น ปีพ.ศ.ที่แผ่นเสียงเพลงนี้ถูกผลิตขึ้นเป็นครั้งแรก

          ราชา เป็นสง่า แห่งแคว้น                             มิ่งขวัญแดน โพธิ์ทอง ของปวงข้า

ปกเกศ ร่มเกล้า เหล่าประชา                                    เย็นศิระ ถ้วนหน้า ด้วยพระบารมี

          ราชา เป็นทั้งมิ่ง และขวัญ                             ข้าอภิวันท์ บังคม หวังชมศักดิ์ศรี
  
ธ คืนมา มวลราษฎร์รัก พร้อมภักดี                              ต่างเปรมปรีดิ์ มีสุข ทุกเขตคาม                      
                                                              
          ทรงครองแผ่น ดินโดยธรรม แห่งราชา                เพื่อประโยชน์สุข แห่งมหา ชนชาวสยาม

ทุกแหล่งหล้า ต่างเลื่องลือ ระบือพระนาม                      ธ สถิตท่าม กลางดวงใจ ไทยนิรันดร์

          ราชา นิราศจาก แว่นแคว้น                             ธ คืนแดน แมนเมือง เบื้องสวรรค์

ราษฎร์อาดูร อาลัยล้น พ้นรำพัน                                 สิ้นหวังวัน นิวัตใหม่ ไม่มีแล้ว

      ดิฉันสอบถามคุณอติพร (สุนทรสนาน)เสนะวงศ์  ธิดาของครูเอื้อ    เธอก็ยืนยันว่าเพลง ราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น  ใช้บรรเลงครั้งแรกรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพ.ศ. 2494   ยกวงสุนทราภรณ์ไปบรรเลงกันที่สนามบิน    เมื่อเสด็จลงจากเครื่องบินพระที่นั่ง เพลงนี้ก็บรรเลงขึ้น
      ในการเสด็จนิวัตพระนครครั้งนั้น   สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ  และทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ เสด็จกลับมาด้วยค่ะ
     
      ถ้าข้อมูลนี้ถูกต้อง(เป็นข้อมูลที่สุนทราภรณ์จดจำกันตลอดมา)   ก็อาจเป็นได้ว่าเรือพระที่นั่งนั้นหยุดส่งเสด็จอยู่ ณ ประเทศใกล้ๆนี้    จากนั้นรัฐบาลไทยส่งเครื่องบินไปรับเสด็จนิวัตเข้าสู่พระนคร

ข้อมูลนี้ดูจะน่าเชื่อถือได้ หากคิดว่าตรงท่อน "โอ้ลมฝนบนฟ้ามาแล้ว" ไม่ได้แปลงมาจากเพลงพระราชนิพนธ์ แต่หมายถึงการเสด็จกลับมาประดุจฝนตกลงมา ประโลมผืนดินอันแห้งผากให้ชุ่มฉ่ำใจ   ;D

เพลงนี้ ลูกสาวครูเอื้อยืนยันว่าแต่งปี 2494   ผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ท่านหนึ่งคือท่านแก้วขวัญ วัชโรทัย อดีตเลขาธิการพระราชวังผู่ล่วงลับไปในปีนี้เอง  ยังเคยพยายามจะหาภาพยนตร์บันทึกเหตุการณ์ที่สนามบินมาให้  แต่ว่าหาไม่พบ
ท่อนเนื้อร้องที่ครูแก้วแต่ง "โอ้ลมฝนบนฟ้ามาแล้ว" ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงพระราชนิพนธ์ "สายฝน" ค่ะ  ไม่ใช่เหตุบังเอิญ
จะสังเกตได้ว่ามีการล้อคำ "โอ้ลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว" ในพระราชนิพนธ์   เหมือนเกือบทุกคำยกเว้นคำท้ายสุด

ข้อมูลเพิ่มเติม ครับ

จากวิกกี้ เรื่อง รัฐประหาร ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๔ มีข้อความกล่าวว่า

           อนึ่ง การรัฐประหารครั้งนี้ได้เกิดขึ้นก่อนที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดชซึ่งขณะนั้นได้เสด็จกลับจากสวิตเซอร์แลนด์และเรือพระที่นั่งจะเข้าอ่าวไทยเสด็จ
นิวัตพระนครเพียง ๑๖ ชั่วโมง เท่านั้น

และ        เว็บพระราชประวัติตอนเสด็จนิวัตพระนครพ.ศ. ๒๔๙๔ ระบุเดือนต่างกัน บ้างเป็น
             พ.ย., บ้าง ธ.ค. และ บางเว็บระบุวันเป็นที่ ๒ ธ.ค. พ.ศ. ๒๔๙๙  

             หากเป็นวันที่ ๒ ธ.ค.แล้ว ยังไม่พบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ช่วงเวลา ๓๐ พ.ย. - ๒ ธ.ค. นั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับที่ใด

           ๑๓  พฤศจิกา              ล่วงเวลามาหนึ่งเดือน                                 

แต่ใจยังไม่เลือน                      ยังคงเหมือนเมื่อวันวาน

            ๑๔ คืนเดือนเพ็ญ               สวยเย็นแลเห็นตระหง่าน                                           

วิบวับรายสายธาร                           ตระการประทีปล่องลอยไป

           จันทร์เอ๋ยช่วยเฉลยว่า                  สวรรคาลัยอยู่ตรงไหน                                   

พ่ออยู่แดนดาวไกล                                ทางทิศใดบนนภา

              ตั้งจิตอธิษฐาน                ศิระกรานตรงทิศา

ได้เกิดใหม่ใต้ฟ้า                            พระบารมีทุกชาติภพ

เตรียมเรื่องราวไว้แล้ว, วันนี้ได้อ่านบทความนี้ในนสพ.เดลินิวส์ จึงได้โอกาสนำมาเรียบเรียงเสนอ

              รำลึกพระเมตตา "คีตราชัน" ผ่านความทรงจำ "สุนทราภรณ์"

จากเดลินิวส์ วันนี้ ๑๖ พ.ย. ๒๕๕๙     http://www.dailynews.co.th/article/536635

          ครูเอื้อและวงสุนทราภรณ์ได้ถวายงานในหลวงรัชกาลที่เก้านับแต่ปี ๒๔๘๙ จากการแนะนำ
ของพระเจ้าวรวงค์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ได้พระราชทานเพลง "ยามเย็น" ให้วงสุนทราภรณ์
นำออกบรรเลงเป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกที่เผยแพร่สู่สาธารณชนในปี ๒๔๘๙ ตามด้วยเพลง
พระราชนิพนธ์เพลงอื่นๆ ในช่วงแรก

            นอกจากเพลง "แสงเทียน" ที่ครูเอื้อร้องบันทึกเสียง ยังมีเพลง "ความฝันอันสูงสุด"
พระราชทานในตอนเย็นวันงานพระราชทานแผ่นเสียงทองคำเพื่อนำออกบรรเลงในคืนนั้น(พ.ศ. ๒๕๑๔)
            ในยูทูบจะเห็นครูเอื้อยืนร้องโดยถือโน้ตลายพระหัตถ์

     http://www.youtube.com/watch?v=fvRXM9dABQY

          พระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ในวันที่ ๒๐ พ.ย. ๒๕๐๒ ให้เป็นเพลงประจำวงในโอกาส
ครบรอบ ๒๐ ปีสุนทราภรณ์ ครูเอื้อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตตั้งชื่อเพลง "พระมหามงคล"
เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๓๕  และได้อัญเชิญมาบรรเลงนำประจำวงสุนทราภรณ์

     https://www.youtube.com/watch?v=KjueLTP93wk

           พระราชทาน "ธง ภปร" ในฐานะที่ถวายงานตลอดช่วงเวลา ๒๐ ปีนับแต่บทเพลงพระราชนิพนธ์
เผยแพร่สู่ประชาชน

             พระราชทาน เสมาทองคำ แก่ครูเอื้อและเสมาเงินแก่นักดนตรี ครั้งเมื่อเข้าเฝ้าในวาระ
ครบรอบก่อตั้งวงครบ ๓๐ ปี
             เมื่อเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป และอเมริกา ก็ได้พระราชทานกระเป๋าเอกสารซึ่ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า ให้เอื้อไปใส่โน้ต เป็นกระเป๋ามีตรา ภ.ป.ร.

           ปลายปี ๒๕๒๓ ครูเอื้อซึ่งป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดได้เข้าเฝ้าร้องเพลงถวายที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์
ด้วยบทเพลง พรานทะเล จากนั้นโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าและพระราชทานสร้อยพระ โดยรับสั่งให้ยึดมั่นในพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ให้ปฏิบัติธรรม สวดมนต์ และขอให้คุณพระคุ้มครอง
           และ ยังได้เสด็จพระราชดำเนินมาในวันงานพระราชทานเพลิงศพครูเอื้อ.

           ได้ร้องเพลง พรานทะเล ถวายเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งครูเอื้อได้กราบบังคมทูลนำก่อนจะร้องถวายครั้งนั้นว่า
ไม่อาจจะสัญญาได้ว่าการร้องเพลงถวายเป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิตนี้จะจบลงตลอดเพลงได้หรือไม่ ด้วยความอ่อน
เพลียเข้าครอบงำจนเกือบจะถึงที่สุดแล้ว แต่ด้วยพลังจิตนักดนตรีและนักร้องผู้แข็งแกร่งต่องานตลอดชีวิตมา และ
ประกอบด้วยพลังจิตแห่งความจงรักภักดี ครูเอื้อก็สามารถร้องเพลงดังกล่าวถวายจนจบตลอดเพลงด้วยดี

บางส่วนจากบทประทานสัมภาษณ์  พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ (คัดจากหนังสืออนุสรณ์
งานพระราชทานเพลิงศพ เอื้อ สุนทรสนาน ๒๒ มี.ค. ๒๕๒๕)

และ
               เพลงพระราชนิพนธ์ แสงเทียน 

ทำนอง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
คำร้อง : พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ
เสียงร้อง : เอื้อ สุนทรสนาน ร้องนำหมู่

http://www.youtube.com/watch?v=Nq43sTPZtWE

         แสงเทียน เป็นผลงานเพลงพระราชนิพนธ์อันดับแรก(เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙) แต่ทรงดำริว่ายัง
ต้องขัดเกลา(ทำนอง และคอร์ดบางตอน) ก่อนที่จะนำเผยแพร่(ในปีต่อมา) ระหว่างนั้นจึงได้พระราชทาน
เพลง  ยามเย็น และ สายฝน ให้เผยแพร่สู่สาธารณชนก่อน
  
         จากคำให้สัมภาษณ์ดร.ภาธร ศรีกรานนท์ สมาชิกคนสุดท้ายของวงอ.ส. วันศุกร์ เพลงนี้ยังเป็น
เพลงสุดท้ายของเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งหมดที่มีรับสั่งให้สังคายนาใหม่แล้วถวายให้มีพระราชวินิจฉัยแต่
ยังไม่ทันแล้วเสร็จ...

จากหน้า กวีกระวาด  โดย  ดำรงศักดิ์ บุญสู่   
มติชนรายสัปดาห์ฉบับวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีวอก พุทธศักราช ๒๕๕๙

                        สิ้นสูรย์  เดือนโศก  โลกเศร้า


        พฤหัสบดีขึ้่นค่ำ               สิบสอง

เดือนสิบเอ็ดอาบนอง                 เนตรน้ำ

สิบสามตุลาหมอง                     ขวัญมิ่ง   มลายแฮ

แดดดับเดือนดับช้ำ                    โลกเศร้าดาวสูญ

         อาดูรดาลเดือดดิ้น             แดอก

ปีวอกห้าเก้าสะทก                      เทวษถ้วน

ฝนตกมิใช่ตก                           จากฟาก    ฟ้าแฮ

ตกจากอกพสกล้วน                     ท่วมล้นใจสลาย


voathai.com

           คล้ายคล้ายธุมเกตุกลุ้ม           กลางหาว

เทพหลั่งน้ำตาราว                            หล่นหล้า

เดือนโศกโลกเศร้าดาว                       สูรย์ดับ

พระเสด็จสู่ฟากฟ้า                            ฝั่งแผ้วนิพพานสมัย

           ทวยไทยน้ำเนตรท้น             ดั่งอุทก

น้อมสักการะอก                             ร่ำไห้

รำลึกพระคุณปก                             เกล้าเกศ   มาแฮ

พระเสด็จสู่สวรรค์ไท้                        โลกถ้วนถวิลถึง

matichononline

(ยืนร้องไห้ในโรงหนัง)

          เพลงสรรเสริญพระบารมี                      ในวันที่พ่อจากไป     
         
สะทกสะเทือนใจ                                        จนร้องไห้เมื่อได้ฟัง

          ภาพราษฎร์ร่วมใจร้อง                         เสียงกึกก้องกระหึ่มดัง                             
 
ทำนบน้ำตาพัง                                           ตกภวังค์ห้วงอาลัย

              จบเพลงภาพมืดลง               ยังยืนคงไม่ขยับไหว

อยากหยุดทุกภาพไว้                           ยืดกาลสมัยให้ยาวนาน

ภาพ,เสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ชุดสุดท้ายในรัชกาลที่ ๙

http://www.youtube.com/watch?v=vaMwMtCI14E

อ่านเรื่องราวของเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ที่

http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2007/12/A6086241/A6086241.html
และ
http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2009/04/A7749229/A7749229.html

รวมภาพยนตร์เพลงสรรเสริญพระบารมีเวอร์ชั่นต่างๆ ในอดีต

ชุด เก่าก่อน

https://www.youtube.com/watch?v=OOY3LImDwbs

https://www.youtube.com/watch?v=Haj79mp43sw#t=51

https://www.youtube.com/watch?v=j16Ea6iusj4#t=51

ชุด ภาพต่อ

https://www.youtube.com/watch?v=kpJzrxKL4yE

ชุด ภาพสีซีเปีย

https://www.youtube.com/watch?v=GF74V0w-u20

ชุด ภาพถ่ายลายเส้น เย็นศิระเพราะพระบริบาล

https://www.youtube.com/watch?v=Mo017h3_HZY

ชุด พระมหากษัตริย์แห่งการออม

https://www.youtube.com/watch?v=7zh8QkHgf80

ชุด สายฝน

https://www.youtube.com/watch?v=oWjuIKUbqD8

ชุด สมุดภาพสรรเสริญพระบารมีสีทอง

https://www.youtube.com/watch?v=cVYE5je1QQ4

ชุด รวมพระบรมฉายาลักษณ์, พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์

https://www.youtube.com/watch?v=6bnu6YUIXzk

ชุด รวมนักแสดงจากหนังไทยเรื่องเด่นในอดีต

https://www.youtube.com/watch?v=RAyc3KjZJo8

ชุด รวมภาพยนตร์พระราชกรณียกิจ

https://www.youtube.com/watch?v=RcRxaVHUnaQ

https://www.youtube.com/watch?v=TMDJLv8wPIY

และ ชุด รวมงานศิลปกรรม(จิตรกรรม,ประติมากรรม)

https://www.youtube.com/watch?v=Nj09BLSDKoo

๑ ธันวาคม ๒๕๕๙

             รู้ว่าจะมีวันนี้                    วันที่เสด็จสวรรคาลัย

         รถพระที่นั่งที่ใช้ในการเคลื่อนพระบรมศพ เป็นรถแวนหมายเลขทะเบียน ๑ ด ๐๙๒๙
มีชื่อเรียกว่า เจมส์ บอนด์ คือรถพระที่นั่งที่ในหลวงทรงโปรดใช้ทรงงาน

ธ ไม่เคยทิ้งคนไทย                      ต้องจากไปตามสัจธรรม

           เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินช่วงหน้าฝนไปยัง ต.ภูเขาทอง อ.สุคีริน จ.นราธิวาส 
ในวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๑๙ เส้นทางสะพานเชื่อมหมู่บ้านถูกน้ำป่าซัดจากเหตุฝนตกหนัก
คืนก่อน เจ้าหน้าที่พร้อมคณะได้กราบทูลฯ ให้เสด็จกลับเพราะไร้หนทาง แต่
            พระองค์ทรงปฎิเสธและให้ว.(วิทยุ) ถามผู้ปกครองหมู่บ้านในพื้นที่เพื่อสอบถามว่า
มีชาวบ้านมารอรับเสด็จหรือไม่ คำตอบที่ได้คือ มีชาวบ้านมานั่งรอตั้งแต่ ๖ -๗ โมงเช้านับพันคน
            พระองค์ท่านทรงคิดหนัก จากนั้นได้เสด็จกลับเข้าไปนั่งในรถยนต์พระที่นั่งในฝั่งคนขับ
ไม่นานมีเสียงวิทยุแจ้งให้รถทุกคันลุยฝ่าสายน้ำของแม่น้ำสายบุรีที่ไหลเชี่ยวด้วยความระมัดระวัง
พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงยืนยันจะเสด็จ คณะเจ้าหน้าที่จึงต้องปฎิบัติแม้จะกลัวจนตัวสั่นก็ตาม
            ดั่งปรากฎเป็นภาพที่พสกนิกรทั่วหล้าได้เห็นรถพระที่นั่งขับฝ่าสายน้ำเชี่ยว

(ครูดิลก ศิริวัลลภ เล่าถึงความมุ่งมั่นและการไม่ทอดทิ้งประชาชนตลอดระยะเวลากว่า ๓๐ ปี
ของการทำหน้าที่ล่ามภาษายาวี)

              แต่ยากจะหักใจ               ในเมื่อใจยังจดจำ

หลากภาพหลายถ้อยคำ                    สิ่งพ่อทำคำพ่อสอน

kingsiam.com

           ทว่านึกตรึกตรองใหม่        พ่อสมควรได้พักผ่อน

พวกเราจะไม่นิ่งนอน                    สืบสานต่อพระปณิธาน


       พระราชดำรัสแก่ปวงชนชาวไทยในการเสด็จออกมหาสมาคมครั้งสุดท้ายในพระชนม์ชีพ
เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ ท้องพระโรง ศาลาราชประชาสมาคม
วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

             น้ำตาจะเป็นน้ำใจ              รินรดให้ร่วมเจือจาน

เสียงไห้เป็นเสียงขาน                      ร่วมกันทำเพื่อมวลประชา

             ความเศร้าเป็นพลัง             มุ่งมั่นหวังพัฒนา

ความรักเป็นความสา                        มัคคีพร้อมทำหน้าที่

            สมกับเป็นคนไทย              หัวใจรักแผ่นดินนี้

แทนคุณพระภูมี                            จึงจะเรียกตนว่า 'คนไทย'

ร้อยกรอง จากร้อยแก้ว

๑ ธันวาคม ๒๕๕๙  เวลา ๑๙.๑๖ นาฬิกา

           สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
พระราชวังดุสิต พระราชทานวโรกาสให้ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ผู้สำเร็จราชการแทน
พระองค์ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา
เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท

           สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงตอบรับคำกราบบังคมทูลของ
ประธานรัฐสภาเสด็จขึ้นทรงราชย์ เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ เพื่อสนองพระราช
ปณิธาน และเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทั้งปวง

โรงงานสั่งผลิตเพิ่ม พระบรมฉายาลักษณ์หลังประชาชนสั่งจองบูชา, ภาพจากบีบีซีไทย

๕ ธันวาคม ๒๕๕๙  วันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ทั่วไทยร่วมจัดงานน้อมรำลึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความอาลัย  

          คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกๆ ปี ยังคงเป็นวันหยุดราชการ
ต่อไป โดยจะเรียกว่า วันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

งาน 5 ธันวามหาราช จะอยู่ในดวงใจตลอดไป โดย ซูม

       http://www.thairath.co.th/content/794361

            ๕ ธันวา มหาราช                      วันชาติวันเฉลิมพระชนม์

วันพ่อของปวงชน                                  องค์ภูมิพลบรมจักรี

            ทวยราษฏร์จุดเทียนชัย                รวมใจร้องเพลงสดุดี

ถวายพระพรพระภูมี                                ทรงพระเจริญ ไชโย
              
สดุดีมหาราชา ต้นฉบับ
naanza

       https://www.youtube.com/watch?v=RqIydLximjc

          เพลงสดุดีมหาราชา เป็นผลงานการประพันธ์ร่วมกันโดยครูเพลง ชาลี อินทรวิจิตร,
สมาน กาญจนะผลิน และ สุรัฐ พุกกะเวส เพื่อใช้ในภาพยนตร์เรื่อง ลมหนาว ของ ชรินทร์
นันทนาครเมื่อปี ๒๕๐๙
          คุณชรินทร์ นันทนาคร(นามสกุลพระราชทานจากในหลวงรัชกาลที่ ๙) ผู้ริเริ่มต้น
ความคิดแต่งเพลงนี้เขียนเล่าที่มาสามารถอ่านได้ที่

http://www.komchadluek.net/news/ent/246444

หมายเหตุ   คำสัมผัสท้ายวรรคสองและสามในบทแรกที่แม้จะเป็นคนละคำกันแต่ก็พ้องเสียง
              "ชน" กันนั้น คิดว่าจะเลี่ยงเป็น (วันพ่อ)ของทุกคน แต่ด้วยรู้สึกชอบ ของปวงชน
               รู้สึกว่าฟังไพเราะกว่า ของทุกคน จึงได้ตัดสินใจให้ "ชน" กัน  :)

              คิดถึง(หนึ่งใน) พระปรีชาสามารถอัจฉริยภาพของพระองค์ ทรงเป็นเอกอัครคีตราชา
นักดนตรีแจ๊ซชื่อดังอย่าง เลส บราวน์ (Les Brown) ได้กล่าวถึงพระองค์ว่า

           The late Mr Brown described King Bhumibol as “a superior musician”.
           “I’m sure if he didn’t have the job he has now,  he’d be successful as
a bandleader.”          

            เกิดไม่ทันได้มีโอกาสเข้าเฝ้าวันทรงดนตรี จึงต้องอาศัยคำบอกเล่าจากผู้ที่เกิดทัน

วันทรงดนตรีที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

http://oknation.nationtv.tv/blog/supawan/2016/10/21/entry-1

และ จาก คอลัมน์ มองไทยใหม่ หัวข้อเรื่อง "ปรารภเพลง" ใน นิตยสาร มติชนสุดสัปดาห์
๒ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดย อ.นิตยา กาญจนะวรรณ เล่าประสบการณ์ครั้งเป็นนิสิตจุฬาฯ ว่า

             เสด็จฯ ทรงดนตรีตอนบ่าย แต่นิสิตไปจองที่นั่ง(พื้นห้องประชุมระหว่างเก้าอี้) ตั้งแต่เช้า
             พระองค์ท่านทรงแสดงความ "เป็นกันเอง" ด้วยการแสดงความเป็น "เจ้าของเวที"
             ทรงเป็นทั้ง "โฆษก' และ "นักดนตรี" และทรงไม่เคยยอมปล่อยให้เสียงเงียบ จะทรงคว้า
ไมโครโฟนแล้ว "หยอกล้อ" หรือ "แซว" คนโน้นคนนี้ตลอดเวลา
             เพลงยอดนิยมในช่วงนั้นที่เรียกว่า Golden Oldies ของยุค 'โก๋หล้งวัง' และ 'กี๋บางลำพู'
             มีการขอเพลงทางวิทยุจนผู้ใหญ่สมัยนั้น หมั่นไส้ สั่งห้ามขอเพลงเอาดื้อๆ
             เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปิดโอกาสให้ขอเพลงก็ทรงออกตัวในทำนองว่า
             เขาห้ามขอเพลง เรามา ปรารภเพลง กันเถอะ

           ถามเพื่อนร่วมงานอาวุโสถึงเพลงที่จำได้ในวันเวลานั้น ได้ความว่ามีเพลงนี้ 

คลิป ในหลวงทรงดนตรี  เพลง Les Feuilles Mortes ร่วมกับวง อ.ส. เมื่อพ.ศ. ๒๕๐๗

https://www.youtube.com/watch?v=GOzm6GughkY
We Love The King

                Les Feuilles Mortes (literally "The Dead Leaves")
ผลงานเพลงปี 1945 ของ Hungarian-French composer Joseph Kosma ให้ทำนอง,
คำร้องโดยกวีนาม Jacques Prévert
          American songwriter ชื่อดัง Johnny Mercer แปล(ง)เพลงเป็นภาษาอังกฤษ
ให้ชื่อว่า Autumn Leaves ในปี 1947  
          บทเพลงนี้ทั้งในแนว pop standard และ jazz standard ทั้งเวอร์ชั่นร้องและ
บรรเลงได้รับความนิยมเป็นอย่างดี มีศิลปินชื่อดังมากมายนำไปถ่ายทอดต่อๆ กันมา

Autumn Leaves Nat King Cole
       http://www.youtube.com/watch?v=MueIzCR7tTg
Alice Poon

              The falling leaves drift by the window
The autumn leaves of red and gold

            ทิ้งขั้วร่วงหล่นปลิว                    ลอยลิ่วผ่านหน้าต่างไป

เคว้งคว้างมวลหมู่ใบ                             ไม้สารทสีชาดสุวรรณ        (สารท ชื่อฤดูในระหว่างฤดูฝนกับฤดูหนาว
                                                                                                     คือ ฤดูใบไม้ร่วง)

               I see your lips, the summer kisses
The sun-burned hands I used to hold

            คิดถึงริมฝีปาก                        ฝากจุมพิตคราวคิมหันต์                         

กรกรุ่นแสงตะวัน                                  ฉันเคยกุมอบอุ่นใจ

               Since you went away the days grow long
And soon I'll hear old winter's song

            วันมืดยืดยาวนาน                     ตั้งแต่วารเธอจากไป 
                                   
แว่วเสียงกระชั้นใกล้                              เพลงเก่าสมัยเหมันต์มาส

                But I miss you most of all my darling
When autumn leaves start to fall
                     
             แสนรักสุดอาลัย                      เหนืออื่นใดใจเจียนขาด

ยามเมื่อใบไม้สารท                               เริ่มลินลาศร่วงหล่นลง

          ทรงดนตรี วันที่รอคอย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
http://thaipublica.org/2016/10/anik-5/ และ     
          วันปีติของชาวโดม   
http://www.zoomzogzag.com/2004/01/king-of-music/

           มีผู้กราบบังคมทูลขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงซอโร่(น่าจะหมายถึง โซโล) 
เพลง โอมายปาปา ด้วยพระองค์เอง เมื่อจบเพลงนักศึกษาต่างปรบมือกึกก้องยาวนานเช่นเดียวกัน

https://www.youtube.com/watch?v=rnnjBFLRK1Q     
OldiesAl
             จากเพลงภาษาเยอรมัน O mein Papa สำหรับละครเพลงปี 1939 เล่าเรื่องราว
สาวน้อยรำลึกถึงพ่อผู้เป็นที่รักซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นนักแสดง(ตัวตลก) ชื่อดัง   
             เพลงนี้ในเวอร์ชั่นบรรเลงโดยนักทรัมเป็ต  Eddie Calvert สามารถขึ้นอันดับหนึ่ง
UK Singles Chart แล้วอยู่นานถึง 9 สัปดาห์ในปี 1954 ทั้งยังข้ามไปติดท็อปเท็นฮิทที่
อเมริกาด้วย
     
             เมื่อเนื้อร้องถูกนำมาถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษ  Oh! My Pa-Pa เวอร์ชั่นบันทึก
เสียงร้องโดย Eddie Fisher เมื่อปลายปี 1953 ก็ขึ้นสู่อันดับหนึ่ง U.S. Billboard ในปี
1954 และข้ามไปติดท็อปเท็นในอังกฤษด้วย
https://www.youtube.com/watch?v=6dWOsP_wly0
ScrambledEggs1969

          วันนั้นที่หอประชุมธรรมศาสตร์นักศึกษาคงฟังเพลง(เศร้าเพลง)นี้ด้วยความอิ่มใจ,ปลื้มใจ
แต่ในวันนี้ เพลงนี้ฟังเศร้ายิ่งกว่าครั้งไหนๆ           

             วันทรงดนตรีที่มหิดล

๒๔ ธันวาคม นึกถึงพระบรมฉายาลักษณ์นี้ ที่ส่งต่อกันไปในอินทรเนตรเมื่อหลายปีก่อน

             ทรงงานหนักตรากตรำพระวรกาย                  พระเสโทหยาดเป็นสายรายนาสา

ป่าลึกเขาสูงชันราชมรรคา                                     เสด็จโปรดปวงประชาทั่วเขตคาม

ราวปีพุทธศักราช 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้เวลาในช่วงฤดูหนาวเสด็จแปร
พระราชฐานไปจังหวัดเชียงใหม่ ทอดพระเนตรชีวิตของชาวบ้านบนดอย ชาวไทยภูเขาในภาคเหนือประกอบ
อาชีพปลูกข้าวเพื่อบริโภคควบคู่กับการปลูกฝิ่น ซึ่งสร้างปัญหาการทำลายป่าไม้จากการทำไร่เลื่อนลอย และ
ที่สำคัญคือปัญหายาเสพติดที่แพร่หลายจากชุมชนชนบทไปสู่เมือง และกลายเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศ
ในยุคนั้น จึงเป็นที่มาในการริเริ่ม ‘โครงการหลวงพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา’ ในปี พ.ศ. 2512 โดยทรง
มอบหมายให้ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นประธานอำนวยการโครงการหลวงฯ

www.isamare.net

            ทรงเหนื่อยยากลำบากองค์ประสงค์ผล              เพื่อประโยชน์สุขมหาชนชาวสยาม

แดนกันดารภยันตรายใดไม่เคยคร้าม                     แม้ยามประชวรก็ยังคงการทรงงาน

เสด็จจังหวัดน่าน ที่ฐานบ้านแพะ อ.แม่จริม จ.น่าน หลังเหตุการณ์ปะทะกับผกค. ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๐
oknation.net

(thairath) จากหนังสือ รอยพระยุคลบาท บันทึกความทรงจำของ พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร

          ๗๐ ปีที่ครองไทยครองใจประชา                   พระกรุณามากล้นพ้นไพศาล                                          

ถึงเวลาคราพักผ่อนเกษมสำราญ                             เสด็จคืนวิมานสวรรคาลัย ไกลกังวล 

ภาพเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๖ จากเฟซบุคสยามสามัคคี

& เฟซบุค พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ เครดิต นิลยา มาลากุล ณ อยุธยา เล่าปรากฏการณ์วันนั้นว่า

            เมื่อวานนี้(2ตุลา56) ในหลวง เสด็จประทับชมเรือรบที่จอดถวายการอารักขาอยู่ที่บริเวณ
หน้าพระราชวังไกลกังวล เรือรบจัดขบวน 5 ลำวิ่งไปทางชะอำแล้ววนกลับ เมื่อใกล้พระราชวัง,เรือธง
ได้ยิงสลุตถวาย เมื่อยิงสลุตนัดที่ 3 สิ้นสุดลง ได้ปรากฏรุ้งเป็นรูปครึ่งวงกลมงดงามมาก(ตามภาพ)
ขึ้นที่บริเวณเรือ มหัศจรรย์เกินกว่าที่จะบรรยายได้ หรือจะเป็นการสดุดีจากเทพเทวาแด่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินไทย

           ไกลกังลวล เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๒๖ ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองขณะประทับอยู่ที่
วังไกลกังวลเมื่อพ.ศ.๒๕๐๐ คำร้องภาษาไทยโดย นายวิชัย โกกิลกนิษฐ(ครู "ธาตรี" นักประพันธ์
คำร้องผู้มีผลงานเพลงดังร่วมกับวงสุนทราภรณ์มากมาย) ภาษาอังกฤษโดย ท่านผู้หญิงนพคุณ
ทองใหญ่ ณ อยุธยา ต่อมาในพ.ศ. ๒๕๐๖ นาย Rual Maglapus(อดีตสมาชิกวุฒิสภาของ
ประเทศฟิลิปปินส์) ประพันธ์คำร้องภาษาอังกฤษทูลเกล้าถวายอีกสำนวนหนึ่ง เมื่อครั้งเสด็จเยือน
ฟิลิปปินส์ 
         ครั้นถึงปีพ.ศ. ๒๕๑๔ เกิดเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงในประเทศเพื่อนบ้าน สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค แต่งคำร้องภาษาไทย
ใหม่ได้เป็นเพลงปลุกใจชื่อว่า  "เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย"

      https://www.youtube.com/watch?v=Dz4NM3_MhjQ

ไกลกังวลจากเสียงที่เคยคุ้น คุณเลิศ ประสมทรัพย์

        อยู่ไกลกังวลชนม์ชื่นฉ่ำ
หาดทรายแลน้ำนำไกลเศร้า
ไม่มีหาดไหนงามเทียมเท่า
คลื่นครวญคลอเคล้าวอนรักฝั่ง
ค่ำคืนไม่เหงาเราเริงสุข
ไม่มีความทุกข์ใดมาบัง
ได้ยินแต่เสียงดนตรียัง
สนุกกันทั้งยามค่ำคืน

         รุ่งอรุณแล้วฟ้าเรืองเรื่อ
แต่ใจยังเหลือความเริงรื่น
สนุกจริงหนอคลอเสียงคลื่น
โต้ลมฉ่ำชื้นยามพลิ้วผ่าน
โน่นเดือนยังค้างฟ้าลอยเด่น
แต่เราไม่เว้นความสำราญ
แข่งกันคอยรับทิวาวาร
สนุกสนานกันเถิดเอย

             ในขณะที่เวอร์ชั่นไทยเป็นแนวสุขสนุกสนาน เวอร์ชั่นอังกฤษโดย Mr. Raul Manglapus
กลับกลายเศร้า
 
               When

 When twilight falls, stars appear;
 When winter ends, spring is here;
 When storm clouds pass, skies are clear,
 When I’m alone you are near.

 When breezes blow, birds fly high;
 Where flowers bloom, bees are nigh;*
 Whenever rainbows fill the sky.
 In my lone heart you pass by.

 Oh won’t you please tell me when,
 We two would meet once again.
 I miss your sweet lovely face,
 The thrill of your warm embrace.

 You left me feeling so blue,
 Now that I’ve cried over you.
 I’ve got the blues now and then,
 So won’t you please tell me when.

* คำนี้ที่บางเว็บกลายเป็น night

จากเฟซบุค คุณ Nitis Sthapanonda โพสต์ในกลุ่มชมรมคนรักมวลเมฆเป็นภาพรุ้งกินน้ำ
ที่เกิดขึ้นกลางทะเลหัวหิน ตรงหน้าวังไกลกังวล เมื่อราว ๒๓ ต.ค. ปีนี้

                พรปีใหม่   เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๑๓

         จากหนังสือ "ดนตรีจากพระราชหฤทัย ศูนย์รวมใจแห่งปวงชน" โดยคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ
จัดทำหนังสือรวมเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในคณะกรรมการเอกลักษณ์
ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปี ๒๕๓๙ บันทึกไว้ว่า

          ในวันที่ ๓๑ ธ.ค. ๒๔๙๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชวินิจฉัยว่าอยากจะแต่งเพลง
อวยพรให้แก่พสกนิกรของพระองค์ เป็นเพลงพระราชทานพรปีใหม่ พระองค์จึงทรงหารือกับหม่อมเจ้า
จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ (ภายหลังสถาปนาขึ้นเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ)
           หลังจากเสวยพระกระยาหารค่ำ ทั้งสองพระองค์ทรงดนตรีร่วมกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงทำนองเพลงด้วยแซ็กโซโฟน ให้หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ใส่คำร้องทีละประโยคประมาณ
ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จสมบูรณ์
           จากนั้นจึงทรงให้นำไปมอบกับวงสุนทราภรณ์ที่เล่นดนตรีสลับหนังอยู่ ณ ศาลาเฉลิมไทย ครูใหญ่
นภายน ข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งทำงานร่วมกับวงดนตรีสุนทราภรณ์ผู้อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นเล่าว่า

           ไม่มีใครทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานบทเพลง พรปีใหม่ มาในวันนั้น
ทุกคนจึงตื่นเต้นดีใจ ด้วยคาดไม่ถึง วงสุนทราภรณ์ใช้เวลาไม่นานในการเรียบเรียงบทเพลงพระราชทาน
สำหรับวงบิ๊กแบนด์ และ ครูเอื้อ สุนทรสนาน หัวหน้าวงเป็นต้นเสียงนำร้อง เมื่อถึงเที่ยงคืนก็พร้อมบรรเลง
โดย ครูแก้วฟ้า อัจฉริยกุล โฆษกของวงขึ้นประกาศบนเวทีว่า มีข่าวดีสำหรับชาวไทย เนื่องจากพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พรปีใหม่ ให้ทุกคน
           จากนั้นเพลง พรปีใหม่ ก็เริ่มบรรเลงสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก ในค่ำคืนเดียวกันก็ได้พระราชทาน
บทเพลง พรปีใหม่ ไปให้กับวงซียูแบนด์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งกำลังแสดงอยู่ที่งานปีใหม่ริมสระน้ำ
หน้ามหาวิทยาลัยด้วย
            วันรุ่งขึ้นทางกรมโฆษณาการจึงบันทึกเสียงเพลงพระราชนิพนธ์พรปีใหม่ เพื่อนำไปกระจายเสียงให้
ชาวไทยทั่วประเทศได้รับฟัง

ต้นฉบับขับร้องหมู่สุนทราภรณ์

       https://www.youtube.com/watch?v=yHjVD9ipMfc

           ดังที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เนื้อร้องที่ใช้คำว่า "ข้า"(วิงวอนขอพรจากฟ้า) นั้น คือ "ข้าพเจ้า"
ที่เป็นสรรพนามซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้แทนพระองค์ในทุกคราวที่ทรงมีพระราชดำรัส
หรือพระบรมราโชวาทต่อปวงชนชาวไทย ในบทเพลงนี้จึงมีความหมายว่าพระองค์ได้ทรงวิงวอนขอพร
จากฟ้าให้แก่ "ปวงท่าน", "ผองชาวไทย" 
           นั่นคือ บทเพลงพระราชนิพนธ์ที่สื่อถึงน้ำพระราชหฤทัยเปี่ยมด้วยความรัก,ความเมตตาและ
ความปรารถนาดีที่พระองค์ทรงมีต่อมวลพสกนิกรของพระองค์, เป็นมงคลสำหรับชีวิตในช่วงเวลาแห่ง
การเปลี่ยนผ่านเริ่มต้นปีใหม่ของผองชาวไทย     

เวอร์ชั่นบันทึกเสียงใหม่จากเสียงร้องของ สุพรรณิกา ฉายาพรรณ นำหมู่สุนทราภรณ์ เป็นเสียงที่มักได้ยิน
ในสื่อต่างๆและตามห้างร้านทั่วไปอยู่หลายปี จนระยะหลังมานี้จึงเริ่มมีเวอร์ชั่นอื่นๆ จากนักร้องรุ่นหลังๆ ตามมา

https://www.youtube.com/watch?v=qUk3YB9APWk

            พรปีใหม่ ของพระองค์              จะดำรงดังก้องไทย

เป็นขวัญกำลังใจ                                 รับปีใหม่ทุกๆ ปี

          นอกจากพระราชทานเพลง พรปีใหม่แล้ว ยังทรงพระราชทาน ส.ค.ส. แก่เจ้าหน้าที่ผู้ถวายงาน
จากนั้นจึงเริ่มเผยแพร่สู่สาธารณชน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ต่อเนื่องทุกปี(ยกเว้นปี พ.ศ. ๒๕๔๘ เนื่องด้วย
เหตุธรณีพิบัตภัยคลื่นสึนามิชายฝั่งทะเลอันดามัน) จนถึง...ปีพ.ศ. ๒๕๕๙

และ
          คลิป ในหลวงพระราชทานพรปีใหม่ ๓ ครั้งสุดท้าย พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๒๙ แก่พสกนิกร

https://www.youtube.com/watch?v=IY0KN3GKDVw

เกิดในรัชกาลที่ ๙  

จากนสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันนี้ที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๐

          ดร.ปราโมทย์ ประสาทกุล นักวิจัยรุ่นเดอะของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
อดีตผู้อำนวยการสถาบันฯ บอกว่า

          ประชากรที่เกิดในสมัยรัชกาลที่ 9 คือ คนไทยที่เกิดตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2489 ซึ่งเป็นวันที่
รัชกาลที่ 9 เสด็จขึ้นครองราชย์ จนถึงเกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ช่วงเวลาก่อนที่พระองค์จะเสด็จ
สวรรคต
          ดังนั้นจึงมีตั้งแต่เด็กอายุแรกเกิดในวันและเวลาก่อนที่พระองค์จะสวรรคต ไปจนถึงผู้ที่มีอายุ
ครบ 70 ปี 4 เดือน 4 วัน (เท่ากับระยะเวลาที่ ร.9 ทรงครองราชย์)

          ประมาณว่า จำนวนผู้ที่เกิดในแผ่นดินรัชกาลที่ 9 มีจำนวนไม่น้อยกว่า 70 ล้านคน แต่ถ้านับ
เฉพาะผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน มีอยู่แค่ราวๆ 60 ล้าน 7 แสนคน

           ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2559 ประเทศไทยมีประชากรอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 65.4 ล้านคน เป็นผู้ที่เกิด
ในสมัยรัชกาลที่ 9 จำนวน 60.7 ล้านคน หรือพูดได้ว่าราว 93% ของประชากรไทย ณ วันที่ 13 ตุลาคม
2559 คือผู้ที่เกิดในแผ่นดินรัชกาลที่ 9
           อีกแค่ 7% หรือคิดเป็นจำนวนราวๆ 4 ล้าน 6 แสนคนเท่านั้น (ที่มีอายุเกิน 70 ปีเศษขึ้นไป) เป็น
ผู้ที่เกิดในรัชกาลก่อน ร.9

http://www.thairath.co.th/content/826966

1000tipsit.com

              ชิ้นต่อชิ้นจับวางชิดติดเรียงราย                   มากมายหลายหมื่นหลากสีสรรพ์

(seankenny.com)

พินิจพิศเห็นเป็นอัศจรรย์                             รวมกันเป็นพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์

In remembrance of the late monarch, the Lego portrait is now on display
at Siam Paragon as part of World Playground 2017: Play It Forward.

http://www.bangkokpost.com/lifestyle/art/1178689/reconstructing-a-legacy-brick-by-brick.

        คณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย ของราชบัณฑิตยสถาน
ได้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การใช้ราชาศัพท์ของคำว่า
        รูปเขียนเหมือนบุคคลจริง ของพระมหากษัตริย์ว่า พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์
พระบรมสาทิสลักษณ์ พระบรมรูปเขียน
        รูปถ่ายของพระมหากษัตริย์ใช้ว่า พระบรมฉายาลักษณ์ พระบรมรูปถ่าย พระบรมรูป

ข้อมูลจาก: จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๑๔๐ มกราคม ๒๕๔๖

(youtube)

(nationtv,msn)

          บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ร่วมกับ จิตต์สิงห์ สมบุญ ศิลปิน สร้างสรรค์อินสตอลเลชั่น อาร์ต
สุดล้ำ ภายใต้ชื่อ The Light Life Universe "พลังของแผ่นดิน" สร้างขึ้นจากหลอดไฟนีออน
ประกอบกันเป็น พระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวง รัชกาลที่ 9      

            .... โดยศิลปินคุณจิตต์สิงห์บอกว่า เขาสร้างสรรค์งานนี้ขึ้นภายใต้แนวความคิดว่า

            พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เปรียบเสมือนพลังของแผ่นดิน

ผู้ทรงเป็น
                   แสงในการสร้างชีวิต แสงที่รวมจิตวิญญาณ
                   แสงแห่งจินตนาการ แสงก่อสุข แสงขจัดทุกข์
                   แสงจุดพลังงาน แสงนำทาง และ
                   แสงสว่างแห่งจักรวาลของปวงประชาชาวไทย

๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๙  พิธีปักหมุดการก่อสร้างพระเมรุมาศ                                                                                                                   
 
             ตอกหมุดตรึงจุดหมาย            ขีดเส้นสายเขตบริเวณ

เริ่มก่อสร้างพระเมรุ                             เห็นแล้วพาให้ใจหาย     

(zocialx.com)

              การก่อสร้างพระเมรุมาศครั้งนี้จะใหญ่กว่าพระเมรุมาศของพระองค์อื่นๆ ที่เคยทำมา
ประมาณ ๓ - ๔ เท่า โดยที่การก่อสร้างทั้งหมดจะต้องทำให้แล้วเสร็จในวันที่ ๓๐ ก.ย. ๒๕๖๐
             
พระเมรุมาศ สุดยอดแห่งสถาปัตยกรรมไทย | 05-01-60 | ไทยรัฐนิวส์โชว์

https://www.youtube.com/watch?v=wjvkY89ODBs

        ๒๐ - ๒๑ มกราคม ๒๕๖๐ พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ถวายพระบรมศพ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

          สตมวารบรรจบ                         ครบร้อยวันพ่อจากไป

ความรักความอาลัย                              ไม่ผ่านไปตามเวลา

          คลื่นมหาชนหลั่งไหล                  ล้านดวงใจนองน้ำตา

กราบพระโกศเบื้องหน้า                          สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์

                                    กราบถวาย อาลัย องค์พ่อหลวง
                                    ไทยทั้งปวง รำลึกรัก เป็นหนักหนา
                                    ชั่วชีวิต ขอเทิดไว้ ดุจบิดา
                                    บุญล้นฟ้า ได้เกิดมา ใต้ฟ้าไทย
                                    กราบถวาย อาลัย จากใจลูก
                                    ความพันผูก ลูกกับพ่อ ไม่ไปไหน
                                    แม้เวลา ล่วงร้อยวัน จะผ่านไป
                                    แต่ ธ จะ สถิตใจ ไทยนิรันดร์


ครูลิลลี่ thairath.co.th

         งาน “จากคงคาสู่มหานที ราชนาวีผองประชาร่วมอาลัย”  โดยกองทัพเรือ เปิดให้ประชาชนเข้าชม
การเห่เรือแสดงความอาลัย บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๐
         ชมนิทรรศการ รวมถึงการสาธิตการเห่เรือสุพรรณหงส์จำลอง โดยใช้บทเห่ที่เคยได้ถวายการรับใช้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ และการเห่เรือทางน้ำในช่วงค่ำ ที่เปรียบเสมือนขบวนพยุหยาตรา
ทางชลมารคของจริง และใช้บทเห่ที่ได้ประพันธ์ขึ้นมาในโอกาสวันสตมวารโดยเฉพาะ

             ส่วนในวันเสาร์ที่ ๒๑ มกราคม กองทัพเรือจะจัดงานต่อเนื่องในพื้นที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
จะเป็นการจัดนิทรรศการบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร หรือการสวนสนามทางเรือบริเวณอ่าวนาวิกโยธิน เพื่อน้อม
รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อราชนาวีและพสกนิกรชาวไทย

https://www.youtube.com/watch?v=p0lymHdZvtI

             นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย ประพันธ์กาพย์เห่เรือเพื่อแสดงความอาลัยถวายแด่
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ใช้ในการแสดงกระบวนเรือเพื่อน้อมรำลึกใน
พระมหากรุณาธิคุณ ภายใต้กิจกรรม “จากคงคาสู่มหานที ราชนาวี ผองประชาร่วมอาลัย”

กาพย์เห่เรือ

      บังคมบรมบาทไท้         ภูมิพล
พระเสด็จสู่เมืองบน              ลับแล้ว
ทวยไทยทุกมณฑล             ทวีเทวษ
อกราชนาวีแป้ว                  เปลี่ยวเศร้าทรวงสลาย

     พระเอยพระผ่านฟ้า         พระราชาแห่งราชัน
คือแก้วจักรีสวรรค์                ส่งจากฟ้ามาสว่างดิน

     ครองไทยให้สุขล้ำ          ด้วยครองธรรมนำธรณิน
ที่แล้งก็ทรงริน                    เมตตาธรรมฉ่ำชื่นไทย

      ที่ร้อนก็ร่มเย็น               ที่ยากเข็ญขับเข็ญขษัย
ที่ทุกข์ก็สุขใจ                     เพราะทรงชัยชุบชีพชน

      เหน็ดเหนื่อยนั้นหนักนัก    ทรงงานหนักอเนกอนนต์
เจ็ดสิบวัสสาดล                   ครองแผ่นดินปิ่นไผท

       เลี้ยงโลกให้รมย์รื่น         แล้วเสด็จคืนสวรรคาลัย
ทิ้งโลกให้โศกใจ                  อกฟ้าใหม่ใจเป็นจุณ

        ข้าเจ้าเหล่านาวิน          ข้าแผ่นดินสำนึกคุณ
ร้อยรักภักดีอดุล                    ร้อยบัวบุญบูชาไท

         เกิดใหม่อีกกี่ชาติ         ขอรองบาททุกชาติไป
บุญสร้างแต่ปางใด                 ถวายไท้ทุกปวงบุญ

         เสวยสวรรค์ชั้นดุสิต       ไพโรจน์ฤทธิ์ไพสิฐคุณ
ขอฟ้าหลั่งการุณย์                  รักษาไทยให้ร่มเย็น

           ไปรษณีย์ไทยได้จัดทำ บัตรภาพที่ระลึกผนึกตราไปรษณียากรพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์
ในหลวง รัชกาลที่ ๙ จำนวน ๙,๙๙๙,๙๙๙ ดวง แล้วเปิดให้ลงทะเบียนรับฟรีเมื่อเดือนพ.ย. ๒๕๕๙
และ ได้เริ่มทำการจัดส่งบัตรภาพนี้ให้แก่ผู้ลงทะเบียนถึงบ้านเมื่อกลางเดือนม.ค. ๒๕๖๐ นี้

           ตราไปรษณียากรที่เลือกมาประกอบ เป็นตราไปรษณียากรพระบรมฉายาลักษณ์ที่ใช้ในกิจการ
ไปรษณีย์(Definitive Stamp) ชุดสุดท้ายจาก ๑๐ ชุดตลอดรัชสมัย โดยทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบ
ทหารอากาศจัดพิมพ์จากประเทศฝรั่งเศส ด้วยระบบลิโทกราฟี่
           โดยเลือกดวงราคา ๑  บาทที่เป็นสีน้ำเงินมาใช้ เพราะคือสี Royal Blue สื่อถึงพระมหากษัตริย์
ตามสีของธงชาติ

           บัตรภาพมีขนาด A5 ซึ่งเป็นมาตรฐานของกรอบรูปทั่วไป เพื่อให้ทุกคนเก็บรักษาได้ง่าย
สามารถนำไปใส่กรอบติดไว้ที่บ้านได้ ใช้กระดาษอาร์ตการ์ด ๑๙๐ แกรมที่มีความคงทน คุมโทนสี
ให้อยู่ในโทนซีเปีย (น้ำตาล-ดำ) ที่ทำให้รู้สึกหวนถึงอดีตว่า พระองค์ทรงงานหนักให้ประชาชนมา
นานแค่ไหน และ
           ได้ขยายภาพของแสตมป์ให้ใหญ่ขึ้นมาประกอบไว้ด้านหนึ่ง เพื่อให้เห็นลวดลายที่อยู่ภายใน
ดวงตราไปรษณียากรได้ชัดเจนขึ้น ส่วนตัวแสตมป์จริงจะประทับตราวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙

          ประกอบร้อยกรองบทกลอนไว้อาลัย โดย "สุนันท์ โชคดารา" อดีตรองกรรมการผู้จัดการใหญ่
ไปรษณีย์ไทย ประพันธ์ขึ้นหลังจากได้ทราบประกาศสำนักพระราชวัง

จำชื่อ สุนันท์ โชคดารา ได้คลับคล้ายคลับคลา  น่าจะเป็นนักกลอนมาก่อนนะคะ

        ถามกูเกิ้ลพบว่าเป็น ศิษย์อักษรศาสตร์ จุฬาฯ อบ. 32 เอก ฝรั่งเศส โท อังกฤษ ครับ

           ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ นายกรัฐมนตรีได้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ในประกาศ
สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดวันสำคัญของชาติไทย โดยกำหนดให้วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปี
เป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถ
บพิตร, วันชาติ และ วันพ่อแห่งชาติ

(khaosod.co.th)

          ศิลปะแสงเงาติดตั้ง                บนผนังอาคารนั่น

น้อมระลึกถึงราชัน                            เวลาวันสวรรคต

           ๑๕.๕๒                            เมื่อแสงต้องเงาปรากฏ

พระสาทิสลักษณ์งามงด                     จดจำได้ไม่มีเลือน

        Shadow art ประติมากรรมแสงเงา ผลงานของอาจารย์ประจำของคณะสถาปัตย์ มช. ที่นำโดย
ดร.บุรินทร์ ธราวิจิตรกุล, อาจารย์กานต์ คำแก้ว และ อาจารย์วรงค์ วงศ์ลังกา

เฟซบุค Burin Tharavichitkun อาจารย์คณะสถาปัตย์ มช. บันทึกว่า....

ตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. เรายังไม่เคยหยุดจ้อง...
.
15.52 น. ของวันที่ 13 ต.ค. เป็นช่วงเวลาแห่งความจริงที่ทำให้เราแทบสิ้นใจ
ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา ยังไม่มีซักวันที่เราจะหยุดคิดถึงช่วงบ่ายของวันนั้น
.
ขณะเดียวกัน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา...
ก็ยังไม่มีซักวันเดียวที่เราจะหยุดจ้องมองผนังผืนนั้นของตึกสถาปัตย์ ม.ช.
ผนังก่ออิฐโชว์แนวที่ถูกแสงสีทองทอดตัวอย่างเงียบสงบในช่วงบ่ายของทุกวัน
เรานั่งจ้องมองผนังผืนนี้ด้วยกันทุกวัน ด้วยหัวใจเดียวกัน

หัวใจที่บอกเราว่าเวลา 15.52 ของวันที่ 13 ต.ค. ท่านไม่ได้จากเราไปไหน
เทวดาเพียงแค่กลับสวรรค์ กลับไปอยู่บ้านจริงๆ ของท่าน
ท่านอยู่เปื้อนดินเพื่อเรานานไป นานจนเราเผลอคิดไปว่าพื้นดินคือบ้านของท่าน
ท่านแค่ทิ้งกายที่เปราะบาง กลับไปเป็นแสงนำทางชีวิตให้เราจากผืนฟ้า
.
เรายังไม่หยุด
ที่จะทำให้ช่วงบ่าย 3-4 โมงของทุกวัน เกิดเป็นความหมายใหม่
เราจะทำให้ชั่วขณะที่เราจะเสียขวัญ เสียกำลังใจที่สุดในชีวิต ให้กลายเป็นช่วงเวลาสำคัญของเรา
.
เป็นชั่วขณะที่ท่านจะกลับมาใกล้เรา
มาปรากฎตัวอย่างช้าๆ ณ ผนังผืนนั้นของเรา
มาปลอบประโลมและเรียกขวัญให้กลับมาสู่เรา
มาบอกให้เราลุกขึ้น และก้าวไปข้างหน้า
ก้าวไป อย่างที่ท่านเคยทำให้ดู ยามที่ท่านต้องอยู่กลางแดดและยิ้มสู้เพื่อพวกเรา
.
เราจะไม่หยุดจ้องที่ผนังผืนนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เราจะจ้องมองด้วยสายตาของนักสร้างสรรค์
เราจะจ้องจนกว่าภาพนั้นจะปรากฎตัว
เราจะทำให้ได้ ให้สมกับที่เป็นเรา
ขอพลังจงอยู่กับทุกคนครับ

และ Shadow Art ประติมากรรมแสงเงา อีกหนึ่งชิ้นจากเฟซ ชมเฌย

         แสงเงาจากหมายเลขเก้า

.

           เมื่อวันที่ ๕ มี.ค. ๒๕๖๐ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ แห่งญี่ปุ่น
ได้เสด็จฯ ถึงประเทศไทย และเสด็จฯ ไปยังพระที่ดุสิตมหาปราสาท ทรงสดับพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และ
ทรงวางพวงมาลาถวายราชสักการะ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
           จากนั้น เสด็จฯ ออกไปยังอาคารสำนักราชเลขาธิการ ทรงลงพระปรมาภิไธยและพระนามาภิไธยในสมุด
แสดงความเสียพระราชหฤทัย

      การเสด็จพระราชดำเนินประเทศไทยเป็นการส่วนพระองค์ ของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินี
มิชิโกะแห่งญี่ปุ่นครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่าง ๒ พระราชวงศ์ที่มีความผูกพันกันมาอย่างยาวนาน
โดยเฉพาะคำลงนามแสดงความอาลัยของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ซึ่งถูกเปิดเผยโดย วสันต์ วณิชชากร ช่างภาพสำนัก
ข่าวเอพี  ว่า
      
          ....The time has come for us to say “sayonara”
          サヨナラ

            ข้อความนี้พ้องกับเนื้อร้องเพลง The Japanese Farewell Song เพลงเก่าปี 1955 ผลงาน
การประพันธ์คำร้องอังกฤษโดย Freddie Morgan ทำนองโดย Hasegawa Yoshida
(คนละเพลงกับ Sayonara จากหนังฮอลลีวู้ดชื่อ Sayonara เช่นกัน)

เพลงนี้จากเสียงนักร้องในตำนาน Sam Cooke

https://www.youtube.com/watch?v=m8fkpZon4zc

ถ้าจะให้อ่านได้ง่ายขึ้น ต้องกลับบนลงล่าง เป็นลายเซ็นพระนาม ทางซ้ายคือ  美智子 - มิชิโกะ   ทางขวาคือ 明仁 - อะกิฮิโตะ

         The Illumination ความสว่างที่ส่องแสงนำทาง

อีกหนึ่งนิทรรศการศิลปะที่จัดขึ้นเพื่อน้อมแสดงความอาลัย และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่แตกต่างด้วยวิธีรังสรรค์สร้างอย่างน่าสนใจ

         ผลงานภาพโดยแรงบันดาลใจจากพระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตร ของพระบาทสมเด็จพระเจ้า
อยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในแง่มุมต่างๆ ที่ยิ่งเห็น ยิ่งศึกษา
         ยิ่งเกิดปัญญา เสมือนได้เข้าไปค้นพบความสว่าง และแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต โดยภาพพระบรม
สาทิสลักษณ์ทุกภาพใช้วัสดุธรรมชาติที่เกี่ยวเนื่องตามแนวพระราชดำริ

http://www.matichon.co.th/news/506315

         จากพระราชจริยวัตรพระราชกรณียกิจ  สู่พระบรมสาทิสลักษณ์สร้างสรรค์
ศึกษาแนวพระราชดำริ,งานที่ทรงนับร้อยพัน   เกิดเป็นปัญญาสว่างแสงแรงดลใจ

บางภาพที่จัดแสดง

ร่มเงาแห่งความเพียร


       ผลงานที่ทำมาจากการทับสีของพันธุ์ไม้ที่ทรงปลูกในสถานที่ต่างๆ โดย เธียรจุฑาณ์ รุกขวิบูลย์, กนกพร ศิริเสรี,
ศิริวรรณ อนันต์ณัฐศิริ, ธนพงษ์ องอาจโยธิน, ปรีดี อัศวพานิชพันธ์ , เอกวิทย์ เชพานุเคราะห์, เมศิกานต์ ศรศรีวิวัฒน์,
นิธิธัช หิรัณยปรีชากุล, วิลาวัณย์ สงวนวงษ์, ประธาน อุดมทรัพย์วงศ์

           แนวคิดของภาพ จากต้นไม้ของ“พ่อ” มีอยู่ที่ไหนบ้าง? ตอนเริ่มทำงานชิ้นนี้ นี่คือคำถามแรกที่เรา
อยากรู้คำตอบ แค่เปิดมือถือเข้ากูเกิ้ล ก็รู้คำตอบในเสี้ยววินาที เร็วจนไม่ทันรู้สึกว่าต้องรออะไร แต่ในคำถาม
เดียวกันมันบอกอะไรบางอย่างที่ทำให้เราฉุกคิดมากกว่า
           ต้นไม้ใหญ่ของ “พ่อ” ที่ผ่านเวลาจนแตกกิ่งก้าน ให้ร่มเงากับทุกสิ่ง ตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
ในร่มเงานั้น เราเห็นความเพียรของพระองค์ที่ทรงใช้เวลาหลายสิบปีกับการปลูกต้นไม้ ไม่ว่าจะเสด็จไปที่ใด
ร่มเงาที่ถึงจะใช้เวลา แต่มันก็เห็นผล ย้อนกลับมาดูตัวเอง หลายสิ่งง่ายและเร็วจนน่ากลัว เร็วจนบางครั้งก็รอ
ไม่เป็น เร่งรีบจนลืมไปว่า ทุกสิ่งล้วนมีเวลาของตัวเองสำหรับความสำเร็จ
           ไม่ใช่เพียงต้นไม้ แต่ยังหมายถึงชีวิต อย่าได้กลัวล้มเหลว ถ้ามีความเพียรพยายาม อย่าได้กลัวว่าจะช้า
กว่าใคร ถ้าอดทนรออย่างแน่วแน่ในจุดหมาย ผลสำเร็จย่อมเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง
           งานภาพ “ร่มเงาแห่งความเพียร” ชิ้นนี้ จึงอยากสะท้อนแนวคิดของสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ด้วยการบรรจง
วางชิ้นส่วนเล็กๆ จากดอกไม้ ใบไม้ ผลงานที่ทำมาจากต้นไม้พันธุ์เดียวกับที่พระองค์ทรงปลูก ร้อยเรียงทีละชิ้นๆ
ใช้เวลาในการทับให้สีจากธรรมชาติเกิดเป็นภาพของพระองค์ ผู้ทรงมีความเพียรจนถึงความสำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าไว้

สัมผัส

ภาพวาดจากสีของผลส้ม ทำขึ้นโดย สิริน วรรณวลี, ณธีพัฒน์ จาตุรนต์รัศมี, ปิติ พงศ์เรขนานนท์, สกลวัฒน์ ภู่ประเสริฐ

          แนวคิดของภาพ เกิดจากในค่ำคืนหนึ่ง หลังความโศกเศร้าอย่างที่สุด ผมเปิดทีวีทิ้งไว้อย่างว่างเปล่า
เพียงเพื่อให้เวลาผ่านไป ในทีวีฉายเรื่องพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระองค์ท่าน แต่เรื่องที่ทำให้ผมสะดุด
และต้องหันมาครุ่นคิด คือ
          พระเมตตาของพระองค์ท่านที่มีต่อผู้ป่วยโรคเรื้อน ในวันที่ผู้ป่วยโรคเรื้อนอยู่ในหลืบที่ต่ำสุดของสังคม
ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกและเป็นที่รังเกียจจากคนอื่น แม้แต่ถูกขับไล่…ถูกส่งไปอยู่ในนิคมโรคเรื้อน สถาน
ที่แม้แต่ชาวบ้านที่มีพื้นที่ติดกัน ยังไม่ยอมให้ถนนตัดผ่านด้วยความรังเกียจ

           พระองค์เสด็จไปยังนิคมโรคเรื้อน ท่ามกลางคำทัดทานของข้าราชบริพาร ส้มจากนิคมโรคเรื้อนแพร่ง
ขาหยั่ง ส้มที่ไม่เคยมีใครกล้ากิน ส้มที่ทุกคนเคยรังเกียจ เมื่อรู้ที่มา ถูกคั้นและระบายออกมา จำลองเหตุการณ์ที่
แสงสว่างสาดส่องลงมายังจุดที่ต่ำสุดในวันนั้นอย่างเท่าเทียม
           สิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำ เปลี่ยนมุมมองในการมองผู้คนของผม เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง พนักงานในห้าง
แม่ค้าในตลาด แม่ค้าข้าวแกง เด็กเสิร์ฟ แท็กซี่ คนขับมอเตอร์ไซค์ คนขายพวงมาลัย ทุกคนล้วนเท่ากัน เราไม่ได้
ดีกว่า หรือเหนือกว่าใครเลย พระองค์ท่านทรงแสดงออกให้เราเห็นถึงความเกื้อกูลกัน ความเมตตาต่อทุกคนอย่าง
เท่าเทียมโดยแท้จริง

เส้นทางเกลือ

ภาพวาดจากเกลือ โดย ภารุจ ดาวราย, นุวดี เกตุเรืองโรจน์, นเรศ ลิมาภรณ์วณิชย์, ศรายุทธ ตั้งพงศ์ศิรประภา

          แนวคิดของภาพ เริ่มจากความไม่เข้าใจเรื่องเส้นทางเกลือ ยังคิดว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินไป
ยังแถบอีสาน เพื่อเอาไอโอดีนไปพระราชทานแก่คนที่นั่น แต่พอได้ศึกษาทำความเข้าใจจึงรู้ว่าเป็นการพลิก
วิธีคิดผสมไอโอดีนลงในแหล่งผลิตเกลือ แล้วให้เกลือเหล่านั้น เดินทางไปสู่คนทั่วพื้นที่อีสานด้วยตัวเกลือเอง
อะไรทำให้พระองค์ท่านทรงคิดได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ อะไรทำให้คนอย่างพวกเรา คิดไม่ได้ บางทีเราคง
ต้องขยันคิดให้มากกว่านี้
           ภาพเขียน “เส้นทางเกลือ” นี้ เป็นการนำเม็ดเกลือจากจังหวัดสมุทรสาคร แหล่งผลิตเกลือต้นทาง
ของประเทศ มาใช้เทคนิคการเกลี่ยบนกระดาษสีน้ำทะเล ให้ภาพฟองคลื่นที่ยิ่งใหญ่ อันหมายถึงพลังความคิด
ที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์

                                ขวัญ


           ขวัญมีในทุกคน               คนไร้ขวัญหามีไม่

ขวัญหลงทางกลางไพร                 ประโคมใจเรียกขวัญคืนทาง

           ขวัญเอยขวัญหาย            หนใดไม่อยู่กับร่าง

ระหกระเหินเดินทาง                     กลางดินกลางน้ำกลางฟ้า

           ขวัญเอ๋ยขวัญเมือง           เรืองรองรุ่งหล้า

ขวัญมิ่งขวัญมา                          สู่ฟ้าบรรพชน

           ขวัญเอ๋ยขวัญฟ้า              เจ้าแห่งฟ้าหาวหน

รวมเป็นขวัญบรรพชน                   คุ้มครองคนขวัญนิรันดร


      เนื้อจากเร็ควีเอ็มไทย ขวัญ ประพันธ์ดนตรีโดย ณรงค์ ปรางค์เจริญ  บทกวีโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ
ตามความเชื่อของอุษาคเนย์เรื่องความตาย ว่าเป็นภาวะขวัญหาย จึงมีการเล่นดนตรีประโคมขับกล่อม
เรียกขวัญกลับคืนมา

            เป็นหนึ่งในบทเพลงเร็ควีเอ็มที่จะแสดงในงาน Requiem for King Rama IX
30 ก.ย. - 1 ต.ค. 2560         

จากนสพ.มติชน ๔ มิ.ย. ๖๐   อาศรม มิวสิก แร็กเควียม บทเพลงแห่งความตาย โดย:สุกรี เจริญสุข

         https://www.matichon.co.th/news/572835

อ.สุกรีอธิบายความ บทเพลงสวดเร็ควีเอ็มว่า

       ชอบแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า                คิดถึงว่าพ่ออยู่เบื้องบนนั่น

 หลายครั้งทั้งกลางคืนและกลางวัน                  ธรรมชาติสรรค์สร้างปรากฏการณ์งดงาม

thairath.co.th  ๑ พ.ย. ๒๕๕๙

tvpoolonline ๒๔ ต.ค. ๒๕๕๙

ig parkgooong

Pongpipat Sriwaralak พระอาทิตย์ทรงกลดเหนือพระเมรุมาศ มิ.ย. ๒๕๖๐

matichon.co.th ๑๔ พ.ย. ๒๕๕๙

twitter aorummrumm ๑๕ ต.ค. ๒๕๕๙

คืนวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๐

จากฟบ. อ.นภาลัย สุวรรณธาดา

            ๑ นาฬิกา ๒๖ นาที ของวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๐  เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังปิดทางเข้าประตูวิเศษไชยศรี
พระบรมมหาราชวัง หลังประชาชนกลุ่มสุดท้าย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่และจิตอาสาที่มาทำหน้าที่อำนวยความสะดวก
ประชาชนตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย เดินลับเข้าสู่ประตูวัง

thestandard.co

หน้าปกฉบับวันนี้

หนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน มรดกภาพยนตร์ของชาติ ปี ๒๕๖๐ โดยหอภาพยนตร์

      พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๖๙

๓๕ มม./ขาว-ดำ/เงียบ/ความยาว ๑๐.๒๙ นาที
ผู้บริจาค การรถไฟแห่งประเทศไทย

https://www.youtube.com/watch?v=ccwuphWlor8

ขอบคุณคุณ SILA ครับ คลิปล้ำค่าจริงๆหาดูได้ยากมากครับ

เพลง "Echo" หรือ "แว่ว" เป็นหนึ่งในไม่กี่เพลงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระนิพนธ์ทั้งเนื้อร้อง ทำนอง และเสียงประสาน

สำหรับผมพบว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดในการบรรยายความรู้สึกที่รำลึกถึงพระองค์ท่าน

โดยเฉพาะท่อนสุดท้าย

    Though time is unforgiving
    I know
    Our love will
    Linger on
    For eternity.

ซึ่งศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร ได้แต่งเนื้อร้องภาษาไทยไว้อย่างสละสลวย

    โลกเรานี้ ที่แท้ไม่มี ยืนยง
    แต่ความรัก เราจีรัง
    คงคุ่ฟ้า ยั่งยืน

ภาพ - ลายพระหัตถ์ภาษาอังกฤษของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
(จาก https://pantip.com/topic/36053033)

ครบรอบหนึ่งปีจากวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถึงวันนี้ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐
จากฟบ. อ.นภาลัย สุวรรณธาดา

๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐

กราบแทบพระยุคลบาทด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า  เทาชมพู ณ เรือนไทย

  ครบหนึ่งปีผ่านแล้ว        ใจสลาย      
ล้านหยดน้ำตาราย          ท่วมท้น
จงรักภักดีถวาย            จอมราชย์
พระกรุณามากล้น          ราษฎร์ซ้องสรรเสริญ

     สามร้อยหกสิบห้า              วันวาร

สิ้นสุดรัชกาล                        ที่เก้า

ราษฎร์สำนึกจดจาร                  จารึก                 

กลางกมลก่นเศร้า                    มิรู้ลืมเลือน

(นสพ.ประชาชาติธุรกิจ,ข่าวสด,กรุงเทพธุรกิจ)
   
      เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ คาถาถวายพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร แต่งและแปล แล้วใช้สวดในพระราชพิธี
ทรงบําเพ็ญพระราชกุศลครบรอบ ๑ ปี วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
      พสกนิกรทุกหมู่เหล่าสามารถนำไปสวดถวายพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดช บรมนาถบพิตร

คาถาถวายพระราชกุศล

คำแปล

ไทยรัฐวันนี้รวมร้อยกรอง       สะพรั่งพราว ๙ กวี      อัญชุลีมหาราชัน

https://www.thairath.co.th/content/1102662


                                   หนาวน้ำตา                 

          โอ้ว่า พระทูนกระหม่อมแก้ว              นิราศแล้วจากแท่นบรรจถรณ์

ร่มฟ้าประชาชาติราษฎร                             มหิธรธำรงพระทศธรรม

         พลังแห่งแผ่นดินเสด็จแล้ว                 พญาโศกโศกแว่ววิเวกย่ำ       

ฟ้าจะมืดดินจะหม่นก่นระกำ                         ยะเยียบย้ำร่ำร้าว...หนาวน้ำตา


เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. ๒๕๓๖

                          ปานโลกมลาย        

           เพียงเห็นภาพพระเมรุ              น้ำตาท้นทะลักทลาย

หัวใจเจียนสลาย                               รำลึกรักและภักดี      

           คลื่นคนจะเคลื่อนเข้า               และคลื่นเศร้าจะโถมทวี        

ใจล้านล้าน ณ วันนี้                           จะล่มลาญปานโลกมลาย


ชมัยภร แสงกระจ่าง (บางคมบาง)
ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. ๒๕๕๗

(ภาพจากนสพ.เดลินิวส์ฉบับวันนี้)

                               เจ็ดสิบปีศรีมังคลาศิรวาท
                                     ตุลาคม ๒๕๖๐             


           เจ็ดสิบปีที่เถลิงราชสมบัติ                  เนิ่นนานกว่าปิ่นกษัตริย์ชนชาติไหน         

กว่าสี่พันโครงการหลวงเพื่อปวงไทย                โลกถวาย เหรียญชัย ยอดนักพัฒนา       

           ทรงเป็นหนึ่งศูนย์รวมใจไทยจงรัก         เฉลิมศักดิ์เฉลิมฉัตรเนิ่นวัสสา

ขอพรพระรัตนตรัยไทยเทวา                          เชิญปิ่นฟ้าสถิตสวรรค์นิรันดร


ประยอม ซองทอง
ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. ๒๕๔๘

                                  ด้วยทรงสถิตในหัวใจจำ

    
            หนึ่งร้อยวันตะวันสายยังฉายส่อง             แต่เศร้าหมองเหมือนสิ้นสุริย์ศรี

ผู้คนรอบกำแพงวังเทวษทวี                               พระธรณียังร่ำรอยอาลัย

            ถึงวันนี้ ตะวันฉาย ยังเฉิดจ้า                   แสงหยาดต้องนคราซึ่งร่ำไห้

จะกี่ร้อยเดือนปีเคลื่อนผ่านไป                             ไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงพระองค์


อดุล จันทรศักดิ์
ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. ๒๕๕๑

(ไทยรัฐ)

                                             หยาดใสปลายนาสา

          
           ถามแม่เหมือนหรือยังแม่แล้ววาดต่อ               ถามพ่อเหมือนไหมพ่อแล้วก้มหน้า

ก้มวาดแล้วเงยจ้องพิจารณา                                   ปฏิทินข้างฝานั้นรูปใคร

           เพราะนี่คือในหลวงของปวงราษฎร์                 เด็กน้อยตั้งใจวาดวาดเหมือนไหม

ก็เมื่อวาดพระองค์แล้วจะเหมือนใคร                           ย่อมเป็นไปไม่ได้หัวใจรู้

           พระองค์พิศแผนที่ในมือนั้น                         ด้วยแววตามุ่งมั่นเฝ้ามองอยู่

อีกทั้งกล้องที่คล้องคอก็ชวนดู                                 สะพายคู่พระวรกายดั่งสายตา

(สนุก.คอม)น้องไอซ์จิตรกรน้อย ๖ ขวบ วาดภาพ "ในหลวง"

             ดูมือขวาที่ยกขึ้นท่าครุ่นคิด                        นิ้วชี้ที่ชี้ทิศดั่งคิดว่า

ทำอย่างนี้ทำอย่างนั้นด้วยปัญญา                              มองผ่านกรอบแว่นตาหน้าก้มเอียง

             เด็กชายวาดฝีปากท่านเผยอนิด                   ปิดปากหากใจคิดเป็นศัพท์เสียง

ปรัชญาฝากรากฐานการพอเพียง                               ภาพหน้าเฉียงเด็กน้อยวาดไม่พลาดมอง

             จุดสำคัญมั่นหมายที่ปลายจมูก                    เห็นไหมลูกหยาดน้ำใสประกายส่อง

ลูกบรรจงลงเงาแสงแต่งประคอง                               เรืองรองแล้วหยาดน้อยมณีงาม

(ข่าวสด)ภาพจากการประกวดวาดภาพเยาวชน “ฮอร์ส อะวอร์ด ครั้งที่ ๑๑” พฤศจิกายน ๒๕๕๙

            ผุดผาดนักหยาดใสปลายนาสา                วาดพลางลูกเงยหน้ามาร้องถาม

เหมือนไหมแม่สวยไหมพ่อเจ้าต่อความ                   ไร้เดียงสาเจ้าตางามแม่หวามใจ

            พระองค์ท่านสู่สวรรคาลัยแล้ว                  เจ้าดวงแก้วคนถามตาวามใส              

ถือดินสออยู่ค้างคามิว่าไร                                   หนูวาดเหมือน เหมือนใช่ไหม ใช่เหมือนนัก


ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ
ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. ๒๕๕๙

"น้องอามานี่" วัย ๑๑ ขวบ วาดภาพในหลวง ร.๙ วิจิตรงดงาม

                                    โอ้ว่า พระทูลกระหม่อมแก้ว
                                   น้ำตาท่วมไทยแล้วพระเจ้าข้า!       


          โอ้ว่า พระทูลกระหม่อมแก้ว                   น้ำตาท่วมไทยแล้วพระเจ้าข้า

แผ่นดินดังร้าวปริ-ปริเทวนา                              เคยบูชาหลัดหลัดพลันพลัดพราย

          พระเสื้อเมืองเรืองฤทธิ์ดังหนีเร้น               หย่อมพายุเคยเย็นดังเยือกหาย

ทุพภิกภาพสารพันภยันตราย                             ดังจะเคลื่อนใกล้กรายขึ้นฉายเงา

          ภาพเสโทท่วมพระพักตร์ทะลักหลั่ง            แต่หนหลังดังจะเหลือเพียงเรื่องเล่า

เกินร้าวรวดปวดร้าวชาวไทยเรา                           เพียงเทิดเอาคำพ่อสอนแต่ก่อนมา

          โอ้ว่า พระทูลกระหม่อมแก้ว               ถ้วนลูกไทยชัดแล้วพระเจ้าข้า

เจ็ดสิบปีทางธรรมพระนำพา                         จักบูชาเทิดสร้างเป็นทางไทย

          "รู้พอเพียง-รู้รักสามัคคี                     รู้เลือกชูคนดีให้เป็นใหญ่"

คือครรลองสนองพระภูวไนย                         แต่บัดนี้ตลอดไป-ตราบนิรันดร์ฯ

สถาพร ศรีสัจจัง
ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. ๒๕๔๘

                                  สถิตถิ่นธรณีที่ชื่อไทย


        แม้เข้าใจในกฎบทไตรลักษณ์              แม้เข้าใจตามหลักโลกเปลี่ยนผัน

ยามพลัดพรากจากรักจากผูกพัน                   ยังมิอาจจักกลั้นหยาดน้ำตา

        ยิ่งเมื่อรู้  'ในหลวงฯ สวรรคต'              หยาดอาลัยยิ่งหยดรดหย่อมหญ้า

หยดหยาดนั้นย่อมมีซึ่งที่มา                        จากความรักศรัทธาต่อฟ้าดิน

         มหาราชหนึ่งในดวงใจราษฎร์             กราบพระบาทสุดท้ายไม่สุดสิ้น

ความทรงจำย้ำกมลอยู่ยลยิน                      สถิตถิ่นธรณีที่ชื่อไทย

          กราบพระองค์จงรักภักดีแล้ว             สำนึกแน่วที่สุดหยุดร้องไห้

สืบคุณงามความดีที่ดวงใจ                         ภาคภูมิในพระองค์ผู้ ‘ภูมิพล’


ไพวรินทร์ ขาวงาม
ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. ๒๕๕๘

(news.cn)

                                          นครโศกาลัย

          เคยแอบคิดว่าพระองค์ยังคงอยู่              รู้ทั้งรู้ในความจริงทุกสิ่งสิ้น

เหมือนหลับฝันตื่นมาน้ำตาริน                          ใจเอ๋ยใจแผ่นดินแทบขาดรอน

          ส่งเสด็จสู่สวรรค์ประหวั่นหวาด               ดั่งตะวันพินาศทำลายถอน

สิ้นแสงสูรย์ส่องฝันนิรันดร                              มืดจึงมิดพระนครโศกาลัยฯ


ไพฑูรย์ ธัญญา
ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. ๒๕๕๙

(thestandard.co)

                                    "ยี่สิบหกตุลา" หล้าอาลัย


          พระเมรุมาศหยัดยอดอ้อมกอดหาว              แนวรอบราวพนาเวศเขตสวรรค์

เทพถ้วนทิศเรืองอร่ามวามสุวรรณ                         โอ้จาบัลย์เต็มอกพสกไทย

          ริ้วกระบวนล้วนทแกล้วแนวระเบียบ              ยลยะเยียบวิญญาณ์วันฟ้าไข้

"ยี่สิบหกตุลา" หล้าอาลัย                                  พสกไท้ทั่วแผ่นดินรินน้ำตา


สัจภูมิ ละออ
นักกลอนดีเด่น พ.ศ. ๒๕๕๖

(sakka assadodorn)

(ฟบ. อ.นภาลัย)

(มติชนสุดสัปดาห์ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐)

พระเมรุมาศ

       
           เรืองรองรุ้งเหลื่อมหล้านภากาศ

           เมรุมาศรุจิเรขเสกสร้างสรรค์

           สู่เมืองแมนแดนสรวงปวงเทวัญ

           สัตตภัณฑ์ ครุฑ นาคา มหานที

(nakares teerakhamsri)

           หมู่ทวยเทพท่องฟ้าอ่าอำไพ

           ส่ำสัตว์ในหิมพานต์ตระการสีห์

           น้อมถวายเบื้องบรรพ์อัญชุลี

           ส่งเสด็จ ภูมี เสวยสวรรค์


กรินทร์ จิรัจฉริยากูล

(nakares teerakhamsri)

หมายกำหนดการ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

(thestandard.co)

 :'(

 :'(

 :'(

 :'(

ร้อยกรอง อ.นภาลัย สุวรรณธาดา
รูปภาพ thestandard.co

จากเฟสบุ๊ค อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

โคลงดั้น บาทกุญชร


                           พระเมรุมาศ

   
      มโหรทึกสะทึกก้อง              ไกวัล

มหาเศวตฉัตรกระหวัดไหว            กระหวัดฟ้า

พระบรมโกศเคลื่อนครร-              ไลพิลาศ

ยานมาศคลาดคล้อยหล้า              อร่ามเรือง

           บันไดนาคบาทท้าว             เทียบเกริน

เบื้องบุษบกบรรเทือง                      เทิดไท้

พระมหาพิชัยเชิญ                         ราชรถ

ลดหลั่นห้าชั้นได้                          ประดิษฐาน

        พญาโศกกำสรดน้ำ                ตาสรวง

เพียบพระราชบริพาร                      ภาคพื้น

ตะวันดับดั่งดับดวง                        หทัยราษฎร์

โศกระส่ำสะอื้นอื้น                         สะอึกเสียง

          เวียนรอบพระเมรุมาศน้อม          สักการ

โดยอุตราวัฏเฉวียง                            ภิวาทแล้ว

สถิต ณ จิตกาธาน                            ทิพโกศ

พระโกศจันทน์กั้นแก้ว                        มกุฎทรง

          ประชันช่อประโชติช้อย            ชะลอโพยม

หยาดระยับประดับละองค์                   อร่ามร้อย

สังคีตประณีตประโคม                       ดุริยโศก

ส่งพระเสด็จแคล้วคล้อย                    สู่สวรรค์ฯ.

ยี่สิบสองนาฬิกา

ร้อยกรอง อ.นภาลัย สุวรรณธาดา
รูปภาพ บีบีซี ไทย

เชิญรับชมภาพและรับฟังเสียงศิลปินพื้นบ้านถ่ายทอดพรรณนาภาพเหตุการณ์และความรู้สึกในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐
อย่างได้อารมณ์ซาบซึ้ง,กินใจ

(รายการ ด้วยพระบารมีปกเกล้า ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ | Ch3Thailand)

https://www.youtube.com/watch?v=gttVQKa9ZC8

รายการ ด้วยพระบารมีปกเกล้า ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ | Ch3Thailand

(facebook.com/Krobkruakao3/videos/1472667332769102/)

https://www.facebook.com/Krobkruakao3/videos/1472667332769102/

(youtube.com/watch?v=jZU2NDqcMy4)

https://www.youtube.com/watch?v=jZU2NDqcMy4

ภาพจากกูเกิ้ลและบางกอกโพสท์

(ภาพ ไทยโพสท์)

(เพลงพื้นบ้านจากรายการ ด้วยพระบารมีปกเกล้า ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ ในคลิป) ภูมิพลมหาราชานุสรณ์ | Ch3Thailand
https://www.youtube.com/watch?v=p1vHChZuumU

                              นิรันดร์สมัย


      ประมาณมวลมหรรณพห้วง              สี่มหา    สมุทรเอย
ห้วงแห่งน้ำโทมนัสคณา                       นับนั้น
ตาน้ำแห่งน้ำตา                                 รินตลอด
ชั่วกัปกัลปาวสานใช่สั้น                        สุดสิ้นสังสาร

       หนึ่งวารไหวหวั่นทั้ง                      ธรณี
สะท้านสะเทือนถึงตรี                           โลกถ้วน
กันแสงส่งอาลัยวลี                              กำสรวลสลด
ฟ้าจรดหล้า อกล้วน                             ลึกร้าวรานระทม

          ห่มไห้ไปทุกห้วง             ขวัญหาย
จำหลักรอย ไม่สลาย                  ล่วงพร้อม
อยู่คง อยู่ไม่คลาย                     ขวัญประเทศ
ไสวสว่างกลางอ้อม                    อกหล้านิรันดร์สมัยฯ


อังคาร จันทาทิพย์  กวีซีไรต์ ปีพ.ศ. ๒๕๕๖ 

(ภาพ supermop ณ pantip)

(จาก บทเพลงบรรเลงในงานพระบรมศพรัชกาลที่ 9 โดย : สุกรี เจริญสุข,นสพ.มติชน 12 พ.ย. 2560
+ เนชั่นทีวี + kingrama9.net)


               วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ วันพระราชพิธีพระบรมศพรัชกาลที่ ๙ มีริ้วขบวน ๓ ขบวนนำโดย
กองดุริยางค์ทหารบก เป็นกองเกียรติยศ
               ริ้วขบวนที่ ๑ พระยานมาศสามลำคาน นำบรรเลงโดยบทเพลงพระราชนิพนธ์  มาร์ชราชวัลลภ
มาร์ชธงชัยเฉลิมพล ยามเย็น และ ใกล้รุ่ง

           ริ้วขบวนที่ ๒ พระมหาพิชัยราชรถ บรรเลงเพลงพญาโศก สรรเสริญเสือป่า และ สรรเสริญ
พระนารายณ์ เป็นบทเพลงที่มีมาแต่โบราณ
 
          เพลงพญาโศกเป็นบทเพลงโศกประจำชาติ เดิมเป็นเพลงสำหรับวงปี่พาทย์ พญาโศกสองชั้น
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงนำมาเรียบเรียง
เป็นเพลงแห่แบบสากล ให้ทหารแตรบรรเลงแทนเพลงสโลว์มาร์ชของชาติตะวันตก
          พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้บรรเลงครั้งแรกในพระราชพิธี
พระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินี พระพันปีหลวง ทรงมีพระราชดำรัสว่า
          เพลงนี้ได้ทำขึ้นเหมาะแก่การใช้นำศพอย่างยิ่ง เพราะดี สมควรเป็นเพลงโศกจริง ๆ ต่อไปขอให้
ใช้เพลงนี้เป็นเพลงโศกประจำชาติ และใช้นำตั้งแต่พระบรมศพ ตลอดจนศพสามัญได้

            เพลงสรรเสริญเสือป่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนากองลูกเสือในปี
พ.ศ. ๒๔๕๔ มีพระราชประสงค์ให้มีเพลงคำนับประจำกองเสือป่า กรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงเรียบ
เรียงถวาย
            โดยนำบทเพลงนบุหลันลอยเลื่อน ๒ ชั้น พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัย เรียบเรียงให้เป็นทางสากล สำหรับบรรเลงแตรวง

           เพลงสรรเสริญพระนารายณ์ เป็นเพลงที่มีหลักฐานเป็นเพลงแรก ทำนองเดิมบันทึกในจดหมายเหตุ
ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubere) พ.ศ. ๒๒๓๐
           หลักฐานจากสาส์นสมเด็จ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีพระวินิจฉัยตอบว่า

ทูล สมเด็จกรมพระนริศฯ
           เพลงที่เรียกว่าสรรเสริญพระนารายณ์นั้น เดิมมีแต่โน้ตอยู่ในหนังสือมองสิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ เรียกแต่
ว่า Siamese Music และเขียนคำขับภาษาไทยไว้ด้วย พยายามอ่านกันมาแต่ก่อน อ่านได้แต่ว่า “สายสมรเอย”
ต่อไปดูเป็นว่า “ลูกประคำสามใบ” ก็ติดกันอยู่เพียงนั้น ที่ท่านทรงอ่านประทานมานั้น(“สายสมรเอย ลูกประคำ
ซ้อนเสื้อ ขอแนบเนื้อเจ้าคืนเดียว หน่อยเอย”) ได้ความดีเป็นสิ้นสงสัย
            ครูฟุสโก เป็นผู้เอาเพลงนั้นออกแต่งเป็นเพลงแตรให้ทหารเรือเป่า จะต้องเรียกชื่อเพลง จึงมีใครให้ชื่อ
ว่าสรรเสริญพระนารายณ์เมื่อเป็นเพลงแตรแล้ว…

             ระหว่างการเดินในพระราชพิธี ได้ถ่ายทอดโทรทัศน์โดยที่เสียงดนตรีบรรเลงต่อเนื่องเป็นเพลง
เดียวกัน  ทั้งๆ ที่วงดนตรีอยู่ห่างกัน ๔๐๐ - ๕๐๐ เมตร ใช้ระบบเสียงผ่านวิทยุเพื่อไม่ให้เสียงล่าช้า และมี
กลองใหญ่เดินทำนองสม่ำเสมอ พนักงานแตรก็เป่าให้ลงจังหวะพร้อมกัน     

เพลงพญาโศก | สรรเสริญเสือป่า | สรรเสริญพระนารายณ์

https://www.youtube.com/watch?v=earFpD_e-BI

               ริ้วขบวนที่ ๓ ราชรถปืนใหญ่ บรรเลงเพลง มาร์ชราชวัลลภ

และมีวงประโคมร่วมบรรเลงในขบวน ประกอบด้วย แตรวิลันดา แตรงอน และ สังข์  ส่วนในวงเครื่องสูง
มีปี่ไฉน กลองชนะ และ กลองมโหระทึก

ส่วนวงปี่พาทย์นั้นประโคมอยู่ที่ศาลา ไม่ได้ร่วมขบวน

              ยังมีวงประโคมอีกวงหนึ่ง เรียกว่า วงบัวลอย เป็นวงปี่กลองประโคมตอนวางดอกไม้จันทน์และ
ประชุมเพลิง วงบัวลอยก็จะมีชุดเพลงประชุมเพลิง
             วงบัวลอย วงบรรเลงดนตรีลักษณะหนึ่งในวงประโคม เป็นการประโคมดนตรีแบบโบราณ
บรรเลงเฉพาะในงานอวมงคลเท่านั้น โดยจะมีจังหวะช้าเร็วตามกระบวนเพลงที่ถูกกำหนดและเรียบ
เรียงมาแต่โบราณซึ่งสะท้อนกริยาในขณะเริ่มพระราชพิธีถวายพระเพลิง อาทิ
             กระบวนเพลงรัวสามลา เป็นการคารวะรำลึกถึงครูอาจารย์ กระบวนไฟชุม จะให้จังหวะเร็วรัว
เหมือนไฟกำลังโหม และนางหงส์ทางหลวง จะให้ความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจ เป็นต้น
             สำหรับเครื่องดนตรีในวงบัวลอยมีทั้งหมด ๔ ชิ้น ประกอบด้วยปี่ชวา ๑ เลา กลองมลายู ๑ คู่ และ
ฆ้องเหม่ง ๑ ลูก ครูผู้สืบทอดการบรรเลงวงประโคมวงบัวลอยกล่าวว่า การบรรเลงกระบวนเพลงในวง
บัวลอยถือว่ามีความยาก เพราะผู้บรรเลงต้องใช้ความรู้สึกและถ่ายทอดออกมาให้ตรงตามเนื้อหาที่เล่าใน
ทั้งหมด ๘ กระบวนเพลง

            ดนตรีเป็นสาระสำคัญ ของการประโคมประกอบพิธีกรรม   ดนตรีเป็นเสียงศักดิ์สิทธิ์
ทำให้พิธีกรรมมีความขลัง  
            ดนตรีหลอมรวมจิตใจคนให้เป็นหนึ่ง มอบถวายสรวงสวรรค์
            ดนตรีประโคมงานพระบรมศพ เป็นดนตรีพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่คนไทยจะทำได้
            นักดนตรีตั้งใจทำงานแสดงถึงความอาลัยถวายเป็นครั้งสุดท้าย ต่างปลาบปลื้มใจได้รับใช้
ส่งเสด็จสู่สรวงสวรรค์ผ่านเสียงดนตรี บรรเลงโดยไม่ขาดระยะ
            เสียงดนตรีเป็นเครื่องหมายแห่งพระราชอำนาจ เสียงดนตรีอยู่กับพระองค์ผู้ทรงพระบารมี

เป็นการสรรเสริญพระบารมีของพระองค์ด้วยเสียงดนตรีประโคม

https://youtu.be/DKBXRwCgHyI

           ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบการลงนามรับสนองพระราชโองการในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
เรื่อง การกำหนดวันสำคัญของชาติไทย ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กำหนดว่า
           วันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันสำคัญของชาติ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ ดังนี้

           ๑.เป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

๒. เป็นวันชาติ และ ๓. เป็นวันพ่อแห่งชาติ        

รวมทั้งยังเป็น วันดินโลก และ วันภูมิพล

https://www.facebook.com/ChulaEvent/videos/1239208099501481/

จากฟบ. อ.นภาลัย สุวรรณธาดา

                  "วันภูมิพล"

         เมื่อ ๕๑ ปีมาแล้ว คือวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ สโมสรนิสิตจุฬาฯ ซึ่งมีนายสงคราม สมบูรณ์ เป็นนายกสโมสร
ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตให้วันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปี เป็น "วันภูมิพล" เพื่อจะได้บำเพ็ญประโยชน์
ถวายเป็นพระราชกุศล เพียง ๓ วันต่อมาก็ได้รับหนังสือตอบ ลงวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๐๙ พระราชทานพระบรมราชานุญาต
หลักฐานนี้มีอยู่ครบถ้วนที่จุฬา ฯ
         โอกาสนี้จึงเขียนกลอนบันทึกไว้ให้ผู้อ่านได้ทราบที่มา ซึ่งแม้ชาวจุฬา ฯ เองก็ยังไม่ค่อยทราบค่ะ

                   "วันภูมิพล"

วันที่สองธันวาสองห้าศูนย์เก้า
ทรงโปรดเกล้าเรื่องสำคัญอันทรงค่า
พระบรมราชานุญาตประกาศมา
วันที่ห้าธันวา "วันภูมิพล"

ตามที่สโมสรนิสิตจุฬา
ทูลขอมา ด้วยแรงแห่งกุศล
จึงได้รับพระราชทานวันมงคล
จุดเริ่มต้นกิจกรรมที่สำคัญ

ห้าสิบปีต่อมา ปีห้าเก้า
พระผ่านเผ้าเสด็จกลับประทับสวรรค์
ครบร้อยปีจุฬามาพ้องกัน
อัศจรรย์หนักหนาพระบารมี

ยี่สิบเก้าพฤศจิกาสองห้าศูนย์เก้า
วันก้มเกล้ากราบขอต่อทรงศรี
ล้วนเลขเก้าจำเพาะเหมาะพอดี
ร่วมดิถีนวรัชกาลไท้

ชาวจุฬารำลึกคุณอดุลยเดช
ทรงปกเกศประชาสุขทุกสมัย
หยาดเสโทท่วมพระพักตร์เพราะรักไทย
เสด็จไกลทั่วแดนแสนกันดาร

เจ็ดสิบปีที่พระองค์ทรงงานหนัก
สร้างความรักความศรัทธามหาศาล
คราเสด็จเสวยสวรรค์อนันตกาล
ทุกหย่อมย่านจึงฉ่ำด้วยน้ำตา

ปาดน้ำตามาแปลงเป็นแรงรัก
เดินตามหลักทรงสอนบวรค่า
ทุ่มแรงกายแรงใจให้ประชา
ชาวจุฬาทุกสถานประสานใจ

วันที่ห้าธันวาคมจะคงอยู่
ให้โลกรู้ว่าเป็นวันอันยิ่งใหญ่
นามพระองค์จะคงอยู่คู่ฟ้าไกล
จำหลักไว้ชั่วนิรันดร์ "วันภูมิพล"

นภาลัย (ฤกษ์ชนะ) สุวรรณธาดา
ครุจุฬาฯ ๒๕๐๔

 :D

วันที่ 5 ธันวาทุก พ.ศ.  ระลึกถึงพ่อตราบนิรันดร์
ซูม 5 ธ.ค. 2560

https://www.thairath.co.th/content/1143418

             ๕ ธันวาทุกพ.ศ.              ระลึกถึงพ่อตราบนิรันดร์

พระกรุณาอเนกอนันต์                     พระราโชวาทอันล้ำค่า

             ปวงชนประชาไทย           จะไม่ลืมคำสัญญา

เราจะรู้รักสา-                              มัคคีพร้อมเป็นคนดี

จารึกรอย ราชมรรคา สู่ฟ้าสรวง
จารึกห้วง เวลา ฟ้าเปลี่ยนสี
จารึกร้อย ราชธรรม นำชีวี
จารึกราช สดุดี ตราบนิรันดร์

โอ้ทินกร รอนแสง ลับแหล่งหล้า
ดำมืดมา ทั้งแผ่นดิน สิ้นสีสัน
ทุ่งพระเมรุ ระเนนไหว ดอกไม้จันทน์
ยามสายัณห์ พลันพราก จากดวงใจ

---- (เพลงพระราชนิพนธ์ "ยามเย็น/ Sundown")

จะอดทน พากเพียร เรียนรู้คิด
เพื่อลิขิต วันใหม่ ให้สุขศรี
เทิดราชะ ปณิธาน มุ่งการดี
ดุจทินกร ส่องชีวี จวบ..ยามเย็น

----

ในดวงใจ นิรันดร์ มั่นสถิต
รอยลิขิต รักแท้ ไม่แปรผัน
สุดแผ่นดิน น้อมส่ง องค์ราชัน
ดอกไม้จันทน์ วันทา ตุลาลัย

บุษบก เมรุมาศ ราชรถ
ริ้วขบวน ปรากฏ ความเคลื่อนไหว
แดดรอนรอน ทินกร จรจากไกล
ห้วงดวงใจ สถิตมั่น นิรันดร

---- (เพลงพระราชนิพนธ์ Still on My Mind)

-บทเสภา: จิระนันท์ พิตรปรีชา
-ขับเสภา: กัน นภัทร
-กรับ: สวรรยา ทับแสง
-ขับร้อง/ดนตรี: วงจีบ และ วีทริโอ
-----------------------------------
(MCOT รายการพิเศษ "ใต้แสงแห่งพระบารมี" ช่วง "เสภาคลาสสิก" ระหว่างการถ่ายทอดสดพิธีน้อมรำลึกถวายความอาลัย
ณ ทุ่งพระเมรุ ในวาระครบหนึ่งปี ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐)

https://www.youtube.com/watch?v=6D8vbv5RNV4

จากฟบ. อ.นภาลัย สุวรรณธาดา
คืนวันที่ ๑๓ ตุลา ๒๕๖๑

จากฟบ. ยุทธนา มุกดาสนิท
ผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์

.

สถิต ในดวงใจนิรันดร์

ภาพวาดจากฟบ.คุณ วินทร์ เลียววาริณ

ขอนำภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มาลงในกระทู้นี้
จากฟบ. กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิณ จากฟบ.

         ชมรมอนุรักษ์ฟิล์มเก่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบฟิล์มต้นฉบับเก่า เป็นฟิล์ม Kodak Safety Film-120
ซึ่งเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่พบเห็นได้ยาก ถ่ายโดยช่างภาพที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2502
         พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ และ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จประพาส ริมแม่น้ำเพชรบุรี ณ หมู่บ้าน
กะเหรี่ยง บ้านสองพี่น้อง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี (ปัจจุบันขึ้นกับ อ.แก่งกระจาน)โดยมีพระประสงค์เพื่อช่วยเหลือชาวไทย
เชื้อสายกะเหรี่ยงในพื้นที่ห่างไกล

          ย้อนไปเวลาดังกล่าวในจุดนั้นยังถูกจัดให้เป็นพื้นที่สีแดง แต่ทั้งสองพระองค์ก็ไม่ได้ครั่นคร้าม โดยเสด็จฯ ไปด้วย
รถยนต์ในเส้นทางที่ยากลำบาก เมื่อไปถึง นอกจากจะสำรวจความเป็นอยู่ของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ยังได้สำรวจแม่น้ำ
เพชรบุรีด้วยเรือขุดที่ทำด้วยไม้ตะเคียน พร้อมผ่อนคลายอิริยาบถที่ริมแม่น้ำ และทรงดนตรี ขณะล่องเรือไปตามแม่น้ำเพชรบุรี
โดยที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงชุดกะเหรี่ยง จนสร้างความปลาบปลื้มให้
กับผู้ที่เข้าเฝ้าฯ รับเสด็จฯ

            นอกจากนี้สองปีต่อมา ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯ ไปอีกครั้ง เพื่อไปสำรวจป่าไม้ ที่ป่าสงวนเขาล้างดาบ
โดยประทับบนเรือขุด และทักทายประชาชนอย่างเป็นกันเอง ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้สรงน้ำที่ลำน้ำเพชร โดยหลังจากนั้น
พระองค์ได้มาเยี่ยมชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงที่นี่อีกสองครั้งในปี 2511 และ 2514 พระราชทานยา และความรู้ด้าน
สุขอนามัยให้กับประชาชนในละแวกนั้น

            ทั้งนี้ ในปี 2514 พระองค์ได้เสด็จฯ ไปบริเวณดังกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย โดยพระราชทานวิทยุทรานซิสเตอร์ให้กำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อใช้ติดตามข่าวสารจากทางการ สร้างความปลื้มปีติแก่พสกนิกรที่ได้เห็นพระราชจริยวัตรที่งดงามไม่ถือพระองค์เป็นอย่างยิ่ง

ขอบคุณเรื่องราวจาก Kapook.com และรายการเรื่องเล่าเช้านี้
ดูคลิปภาพเคลื่อนไหวจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
https://youtu.be/WYyB0nX_Imo

ขอดึงกระทู้นี้ขึ้นมาอีกครั้ง   หลังจากเวลาผ่านไป ๕ ปี

          นานนับหกสิบเดือน       ยังไม่เลือนความทรงจำ

ยังระลึกนบน้อมนำ                 สำนึกพระมหากรุณาธิคุณ