ข้อสอบท่องจำแบบนี้ดิฉันเคยเรียนมาสมัยอยู่ประถมและมัธยม จำได้ว่าท่องขึ้นใจเรื่ององค์การสันนิบาตชาติที่ล้มไปแล้วก่อนจะตั้งองค์การสหประชาชาติ หลังจากนั้นหลายสิบปี สงสัยว่าเรารู้เรื่ององค์การสันนิบาตชาติไปทำไม ในเมื่อมันก็ม้วนเสื่อจบบทบาทไปนานแล้ว
แต่จะโทษโรงเรียนไม่ได้ เพราะเป็นหลักสูตรกระทรวง พบว่า ผ่านมาจนบัดนี้ ก็ยังให้เด็กท่องจำเหมือนเดิมค่ะ
มีข่าวมาให้คุณประกอบเสียขวัญหนักขึ้นไปอีก
http://www.naewna.com/scoop/219982ในตอนที่แล้ว เรานำพาทุกท่านไปดูชีวิตเด็ก ม.ปลาย จะ “เด็กเมือง-เด็กบ้าน” จะยากดีมีจน สิ่งที่เหมือนกันคือต้อง “กวดวิชา” เพื่อหวังจะได้ “ไปต่อ”ในระดับอุดมศึกษา แต่ทว่ายังไม่จบเท่านั้น เพราะเด็ก ม.ปลาย ยุคนี้ กว่าจะไปถึงมหาวิทยาลัย ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยสารพัดการสอบ และเกือบทุกๆการสอบ...
นิยาม คือ “โหด-ยาก-รากเลือด” ไม่ต่างกัน!!!
“เราติวเด็กมากเลย นี่คือการเรียนรู้จริงหรือเปล่า?แล้วเด็กต้องวิเคราะห์ตามข้อสอบโอเน็ตใช่ไหม? อุตสาหกรรมต่อไปที่จะเกิดขึ้น แผ่ขยายไปทั่วเลย คือ การติวแล้วมันไม่ใช่แค่ติวเข้ามหาวิทยาลัย จะกลายเป็นติวโอเน็ต ติว GAT/PAT ติวโน่นติวนี่ติวนั่น บริษัทพวกนี้มันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่แก้ระบบ ไม่แก้กฎหมาย วัฒนธรรมการติว วัฒนธรรมลูบหน้าปะจมูก มันก็ยังจะเกิดขึ้น”
นี่คือสิ่งที่ “ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ” อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยกล่าวไว้เมื่อปี 2557 ในงานแถลงข่าว “คลี่ตารางชีวิตครูไทยใน 1 ปีเสียงสะท้อนจากครูที่นักปฏิรูปต้องฟัง” ซึ่งถือเป็น“คำทำนาย” ว่าในอนาคตธุรกิจกวดวิชาจะ “เฟื่องฟู” จากสารพัดการสอบ
ผ่านไปปีเศษ...ปลายเดือนเมษายน 2559 “อาจารย์สมพงษ์” พูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง พร้อมเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของนักเรียน ม.ปลาย และผู้ปกครอง ต่อการเตรียมความพร้อมเพื่อศึกษาต่ออุดมศึกษา ว่า ทุกวันนี้เด็ก ม.ปลาย ประเทศไทย ต้องผ่านสนามสอบต่างๆเฉลี่ย 6-7 สนามต่อคน ร้อยละ 71 ระบายความในใจผ่านการสำรวจครั้งนี้ว่า...
“สอบมากเกินไปจนไม่มีเวลา”!!!
“ความคิดเห็นต่อระบบแอดมิชชั่นของนักเรียน ม.ปลาย ที่น่าสนใจ คือ เด็ก 1 คน สอบ 6-7 สนาม คิดดู 1 สนามใช้เงินเท่าไร แล้ว 1 สนามมีกี่วิชา จะสอบมากไปไหนกัน เด็กก็ถามว่าสอบมากๆแบบนี้ ช่วยพัฒนาเด็กได้จริงหรือ เราจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาหรือเพื่อทำร้ายเด็กกันแน่ การสอบและวัดผลแบบนี้เป็นการรังแกเด็กทางอ้อม เด็ก ม.6 คนหนึ่งสอบ 6-7 สนาม ทั้งวัดผลของโรงเรียน สอบโอเน็ต สอบ GAT/PAT สอบสามัญ 9 วิชา สอบโควตามหาวิทยาลัย สอบตรง สอบ สอบ แล้วก็สอบ” อาจารย์สมพงษ์ กล่าว
เมื่อมี “การสอบ” ย่อมต้องมีการ “ติว” และเมื่อมีการติว ย่อมต้องมี “ค่าใช้จ่าย” ดังคำบอกเล่าของ “อิทธิพร ฉิมงาม” นักเรียนโรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ที่ระบุว่า ใน 1 วิชา อาจต้องใช้สอบในหลายรายการ เช่น GAT/PAT 9 วิชาสามัญ ฯลฯ ซึ่งแต่ละสนามสอบ เนื้อหาที่เลือกมาใช้สอบจะแตกต่างกัน จึงเกิดสารพัด “คอร์สติว” ขึ้นมาโดยเฉพาะ
“สอบ GAT/PAT ออกเจาะลึกเป็นบางบท สอบ 9 วิชาสามัญออกทั่วไปทั้งหมด จะเห็นว่าต้องอ่านหนังสือคนละแบบกัน อย่างชีวะ ไม่ใช่ว่าเรียนเล่มเดียวจบ แต่ต้องเรียนชีวะของ PAT ชีวะของ 9 วิชา ชีวะของโอเน็ต คือ ต้องเรียนชีวะ 3 รอบ เพราะข้อสอบคนละแนวกัน ฟิสิกส์ก็ 3 รอบเหมือนกัน” อิทธิพร ระบุ
ลำพังแค่การกวดวิชาเพื่อสารพัดการสอบ ก็ถือว่าสร้าง “ช่องว่างความเหลื่อมล้ำ” อยู่มากแล้ว จากการสำรวจพบว่า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการตระเวนไปสอบสนามต่างๆ เฉลี่ยอยู่ที่ 20,040 บาทต่อคน เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการกวดวิชา เฉลี่ยอยู่ที่ 22,592 บาทต่อคน สำหรับครอบครัวฐานะร่ำรวยอาจไม่เดือดร้อน แต่สำหรับชาวรากหญ้าและชนชั้นกลาง เงินจำนวนนี้ถือว่ามากพอสมควร
แต่สิ่งที่เรียกว่า “สอบรับตรง” ยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำ “รุนแรงทวีคูณ” ขึ้นไปอีก!!!
“พชรพรรษ์ ประจวบลาภ” ประธานเครือข่ายยุวทัศน์ กทม. กล่าวว่า แม้การสอบตรงจะทำให้เด็กมีโอกาสได้ที่เรียนในมหาวิทยาลัยมากขึ้น เพราะเลือกสอบได้ในหลายสถาบัน แต่อีกมุมหนึ่ง “ของฟรี...ไม่มีในโลก” ยิ่งอยากสอบหลายที่ ยิ่งต้องจ่ายมาก การสอบตรงจึงไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า “ความได้เปรียบของเด็กบ้านรวย” ขณะที่เด็กที่ครอบครัวมีฐานะรองๆ ลงมาแทบไม่ได้ประโยชน์อะไรกับการสอบลักษณะนี้
“จะสอบตรงหลายๆ ที่มันก็ต้องใช้เงิน พวกเด็กที่มีสตางค์ไม่ต้องไปคิด พันรอบฉันก็สอบได้ แต่คนไม่มีเงินนี่ต้องคิดแล้วคิดอีก ต้องเลือกที่ที่มั่นใจว่าสอบแล้วต้องติดแน่นอน นี่คือการสร้างความเหลื่อมล้ำ” ประธานเครือข่ายยุวทัศน์ กทม. กล่าว
ทางออกของปัญหา...“พงศธร นามพิลา” นักเรียนโรงเรียนโซ่พิสัยพิทยาคม อ.โซพิสัย จ.บึงกาฬ มองไปถึง “ระบบแนะแนว” เพราะหากระบบนี้เข้มแข็ง เด็กแต่ละคนจะ “รู้จักตนเอง” ว่าชอบอะไร-ถนัดสิ่งใดได้ก่อนถึงช่วงเวลาแห่งการสอบ ย่อมสามารถวางแผนและเตรียมตัวได้ว่าจะเลือกเรียนต่อคณะใดและสถาบันใดจะได้ไม่ต้อง “วิ่งรอกสอบทุกที่” รวมถึง“กวดวิชาแบบเหวี่ยงแห” ให้เสียทั้งเงินทอง เวลา ตลอดจนสุขภาพทั้งกายและจิต
“อยากให้มีหลักสูตรแนะแนวที่ชัดเจนและจริงจัง เด็กจะได้รู้ตัวเอง เขาจะได้พุ่งไปทางเดียว ไม่ต้องเหวี่ยงแหแบบอันนี้สอบไม่ติดไปสอบอันนั้นต่อ” พงศธร ให้ความเห็น
เช่นเดียวกับ “พชรพรรษ์” ที่กล่าวว่า “ครูแนะแนว” ไม่ใช่ใครก็ได้ แต่ต้องจบด้านแนะแนวมาโดยตรง มีความรู้ความเข้าใจด้านนี้จริงๆ
ขณะที่เรื่องการสอบ “บทสรุป” ของการสำรวจครั้งนี้ ทั้งเด็ก ม.ปลาย และผู้ปกครอง เห็นตรงกันหลักๆ คือ 1.“เนื้อหา” ที่ใช้ในการสอบต้องออกให้ตรงกับหลักสูตรที่เรียนในโรงเรียน เพราะการออกข้อสอบยากเกินหลักสูตรปกติเป็น “ต้นตอ” ของการต้องไปกวดวิชาเพื่อให้ทำข้อสอบได้ และ 2.“ลดรายการสอบ” ให้น้อยลง เพื่อลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง และลดความเหนื่อยล้าของนักเรียน
สอดคล้องกับความเห็นของ “อาจารย์สมพงษ์” ที่ตั้งข้อสังเกตว่า “ไทยเป็นประเทศที่เด็กสอบมากน่าจะที่สุดในโลก” เพราะเมื่อไปดูอีกหลายประเทศ มหาวิทยาลัยใช้การสอบเข้าเป็นแค่เกณฑ์หนึ่งเท่านั้นในการรับคนเข้าเรียน ยังมีเกณฑ์พิจารณาอีกหลายอย่างใช้ประกอบกัน
“อาจารย์สมพงษ์” กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนไปดูงานมาเยอะไม่เห็นมีประเทศใดเขา “บ้าสอบ” กัน 6-7 สนาม เหมือนประเทศไทย ส่วนมากเขาดูผลการเรียน การเขียนแนะนำตัว แล้วก็กิจกรรม ในอดีตมีงานวิจัยที่ยืนยันว่าระบบสอบ “เอนทรานซ์”2 ครั้ง ดีที่สุด แต่เวลาเราเสนอไปในที่ประชุม “ผู้ยิ่งใหญ่” เขาบอกว่า เราไม่มีทางที่จะย้อนกลับไปสู่อดีตได้อีกแล้ว
เห็นไหม??? ยิ่งแก้ไขระบบการศึกษามากขึ้น ยิ่งมีการสอบมากขึ้น