ตามข้อมูลบ้านพระยาสรรพการหิรัญกิจ จึงได้อ่านเรื่องที่
คุณหมอสม อิศรภักดี เขียนวิจารณ์เกี่ยวกับระบบการศึกษาของเราเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน และข้อเสนอแนะที่น่าสนใจ จงขออนุญาตมานำเสนอ ณ ที่นี้
ผมสังเกตเห็นอะไรบ้างอย่างในเรื่องการศึกษา ตอนผมเข้าเรียนชั้นประถม-มัธยมรวมทั้งชั้นเตรียม ห้องหนึ่งจะมีนักเรียนไม่เกิน ๒๐ คน ต่อมาลูกของผมเข้าโรงเรียน รู้มาว่าห้องหนึ่งมี ๔๐ คน และในชั้นหนึ่งมีหลายห้อง พอถึงตอนหลานผมเข้าโรงเรียน ห้องหนึ่งมี ๖๐ คน ปัญหาที่เด็กเรียน ๔๐ กับ ๖๐ คน ต่อห้องมันเกี่ยวข้องอะไรกับการศึกษา เราจะเห็นว่าการศึกษาของเราตกต่ำมาก แต่ก่อนนี้รุ่นลูกผม เด็กที่เรียนมาถึง ม.๓ ยังอ่านเขียนไม่ค่อยได้ สะกดภาษาไทยไม่ค่อยได้ มาตอนนี้ยิ่งแย่ใหญ่
ข้อสังเกตประการหนึ่งก็คือ หลักสูตรสมัยผมมีไม่มาก ทำให้เด็กมีเวลาไปวิ่งเล่น หลักสูตรปัจจุบันยากอย่างไม่นาเชื่อ ผมเคยช่วยทั้งลูกและหลานทำการบ้าน ผมยังแปลกใจว่าจะเรียนอะไรกันหนักหนา ผมเองยังทำการบ้านนั่นไม่ได้เลย ผลของมันก็คือเด็กเรียนไม่ไหว แถมยังมีการบ้านมากอีก จึงต้องมีการเรียนพิเศษ ทำให้เด็กไม่มีโอกาสพักผ่อนเหมือนสมัยผม เด็กจึงเครียด นอกจากนี้พ่อแม่ยังส่งลูกไปเรียนว่ายน้ำ บัลเลต์ ดนตรีและอื่น ๆ
เมื่อเด็กไม่ได้พักผ่อน ครั้นโตขึ้นจะมีสุภาพจิตแย่กว่าสมัยผม ข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง เขาให้นักเรียนสอบได้ทุกปี เด็กเรียนไม่ทันก็สามารถขึ้นชั้นต่อไปได้ เมื่อไปเรียนชั้นสูงขึ้นก็ยิ่งไม่ทันหนักมากขึ้น เดี่ยวนี้เรียนถึง ม.๖ ก็ให้จบโดยที่นักเรียนไม่มีความรู้ตามเกณฑ์มาตรฐาน
ครั้งหนึ่งผมเห็นหลานเรียนอ่อนมากจึงไปหาครูประจำชั้น ผมขอให้หลานเรียนซ้ำชั้นเพราะเป็นวิธีเดียวที่จะเรียนตามทัน แต่ครูประจำชั้นบอกว่าให้ตกไม่ได้ แล้วส่งผมไปคุยกับอาจารย์ผู้ปกครอง ท่านบอกว่าการให้นักเรียนตกสามารถทำได้แต่เกิดความยุ่งยากจนไม่มีใครเขาทำกัน
เด็กนักเรียนซึ่งเรียนยากกว่าสมัยผม แล้วยังไม่ให้ตกหรือเลื่อนชั้นทั้งที่ความรู้ในชั้นเดิมยังอ่อนอยู่มาก ชั้นต่อไปยิ่งไม่รู้เรื่องและยิ่งหนักขึ้นไปอีก นักเรียนจะต้องทนเรียนโดยที่ไม่รู้ว่าเขาสอนอะไร สุดท้ายนักเรียนเพียงแต่จะได้ยินแต่ไม่ได้ฟังเพราะสร้างโลกขึ้นมาอีกโลกหนึ่งแล้วเอาตัวเข้าไปอยู่ในโลกนั้น เมื่อเด็กอายุ ๑๓-๑๔ ปีขึ้นไป เขาจะมีปมด้อยและนึกว่าทำไมตัวเองถึงไม่รู้เรื่อง อันนี้เป็นผลเสียอย่างยิ่ง นักเรียนจะมีอาการออกไปทางเกเรหรือเสพยาเสพติด บางรายก็ลักขโมยเพื่อแสดงตัวว่าฉันทำได้ อันเป็นการลบปมด้อยในใจของตัวเอง
เมื่อจบ ม.๓ หรือ ม.๖ โดยไม่มีความรู้แต่ก็มารถเข้าเรียนโรงเรียนอาชีวะได้ โรงเรียนอาชีวะส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนเอกชน ดังนั้นถ้าใครมีใบรับรองว่าสอบผ่านหรือจบ ม.๖ แล้ว เขาก็รับโดยไม่ได้ตรวจดูว่ามีความรู้หรือไม่ แต่เด็กมีความรู้ต่ำและต้องการแสดงตัวว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น
จึงมีการชกตีกันของนักเรียนอาชีวะให้รู้เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ผมอยากจะนำเสนออะไรบางอย่างแต่ไม่รู้จะไปนำเสนอกับใคร ข้อแรก ให้ลดหลักสูตรลงและง่ายขึ้น เด็กจะได้เรียนทัน ความจริงข้อนี้ทำได้ไม่ยาก เพียงแต่มาประชุมกันแล้วเลือกว่าจะสอนแค่ไหน ข้อสอง ต้องมีการสอบตก ไม่ปล่อยให้เด็กที่เรียนไม่ทันต้องขึ้นชั้นไป ข้อสุดท้ายยากกว่าสองข้อแรก คือต้องเพิ่มจำนวนโรงเรียนหรือเพิ่มที่เรียนของแต่ละโรงเรียนให้จำนวนของเด็กต่อห้องลดลงจาก ๖๐ คน ถ้าได้ ๓๐ คนต่อห้องก็ถือว่าพอรับได้
อีกอย่างหนึ่ง โรงเรียนเอกชนจะเก็บค่าเล่าเรียนเท่าไรก็ปล่อยให้เขาเก็บไป ถ้าเราไปกำหนดค่าเล่าเรียนของเขา เขาจะไม่สามารถขยายโรงเรียนและพัฒนาการเรียนการสอนได้ ทำให้มีการเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะ เพราะความต้องการของเด็กที่จะเข้าเรียนมากกว่าจำนวนโต๊ะเรียนที่สามารถจะรับได้
อันที่จริง ถ้าโรงเรียนใดเก็บค่าเล่าเรียนแพงเกินไป คนก็จะมาเรียนกันน้อย เขาก็จะลดราคาไปเอง ถ้าใครเก็บถูกเกินไป เมื่อมีเด็กมาเรียนมากก็จำเป็นต้องขึ้นค่าเล่าเรียน เพื่อจะได้มีเงินไปพัฒนาการเรียนการสอนและเพิ่มสถานที่เรียนให้เพียงพอ รัฐบาลเองก็ได้อาศัยการขยายตัวของโรงเรียนเอกชนเป็นตัวช่วยด้วย เพราะเอกชนสามารถเพิ่มห้องเรียนได้ง่ายกว่ารัฐบาลทำเอง
บางคนอาจมองว่าเอกชนขูดรีดผู้ปกครอง แต่คนจำนวนมากมีฐานะดีพอที่จะจ่ายเงินเพื่อการเรียนของลูกในราคาแพง ๆ ทำให้ที่เรียนของโรงเรียนรัฐบาลว่างมากขึ้น คนที่จนกว่าจะได้มีที่เรียนมากขึ้นไปด้วย