Anna
|
ความคิดเห็นที่ 105 เมื่อ 07 ก.ย. 15, 20:09
|
|
กลับลงมาที่พื้นที่ตั้งแคมป์ ต่างคนก็ไปสาละวนอยู่กับการกางเต็นท์ของตนเอง จัดถุงนอน ผ้าห่ม ฯลฯ จัดให้พอนอนข้ามคืนแรกไปได้ สำหรับพื้นที่ส่วนกลางก็ใช้วิธีเอาผ้าใบปูเพื่อใช้วางสิ่งของ นั่งล้อมวงกินข้าว และนั่งพูดคุยหารือกัน หาขอนไม้แห้งแล้วจุดให้เป็นกองไฟสำหรับความอบอุ่นในยามค่ำคืนและหุงหาอาหาร จุดตะเกียงเจ้าพายุ จุดตะเกียงรั้ว (เอาไปแขวนที่ชายเขตบริเวณที่ตั้งแคมป์)
ดูวุ่นวายดีนะครับ สาละวนช่วยกันในเรื่องส่วนรวม เจียดเวลาเท่าที่จะพอมีไปจัดการเรื่องส่วนตน
ติดตามมาตั้งแต่ต้น ขอสารภาพว่าอ่านข้ามๆในช่วงที่อาจารย์เอ่ยถึงเรื่องพิกัด แผนที่ มาตราส่วนอะไรพวกนี้ เพราะไม่เข้าใจค่ะ แต่ชอบฟังอาจารย์เล่าเรื่องการดำเนินชีวิตในป่า เหมือนกำลังฟังนิทานผจญภัยเลยค่ะ แล้วเรื่องน้ำดื่มล่ะคะ ที่ถามเพราะไม่เชื่อว่าน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติจะสะอาดพอที่จะดื่มได้ เหมือนอย่างในหนัง ตัวละครที่เป็นชาวกรุงไปเดินป่า แล้ววักน้ำจากลำธารขึ้นมาดื่ม คนไม่เคยดื่มน้ำแบบนั้น มิท้องเสียหรือคะ ถ้าเป็นชาวป่าก็แล้วไป เพราะเข้าใจว่าเคยชินมาตั้งแต่เกิด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 106 เมื่อ 07 ก.ย. 15, 20:30
|
|
เช้าวันรุ่งขึ้น หัวหน้าใหญ่เห็นว่า นำคณะผมมาส่งถึงที่แล้ว ทุกอย่างน่าจะ OK ผมน่าจะลุยต่อไปได้ ก็เลยเอาเรือกลับไปเมืองกาญจน์เพื่อไปนำอีกหน่วยหนึ่งเข้าไปสู่พื้นที่ น่าจะเป็นแถบพื้นที่รอยต่อ จ.นครสวรรค์ พิจิตร เพชรบูรณ์ บอกว่าอีกประมาณ 15 วันจะมารับ
สนุกละครับ รู้อยู่แต่ต้นแล้วว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ผมและคณะก็มิได้คิดว่าจะเกิดได้เร็วปานนี้ หนักไปกว่านั้นครับ เมื่อกลับมาอีกรอบหนึ่ง คณะของผมเหลือคนที่มาจากกรมฯรวม 3 คนเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 107 เมื่อ 08 ก.ย. 15, 18:58
|
|
เรื่องน้ำดื่มนี้ ที่จริงได้เขียนลงไปแล้วว่า หลังจากก่อกองไฟได้ สิ่งแรกที่ทำก็คือต้มน้ำครับ แต่ก็ลบข้อความนี้ออก เพราะคิดว่าเรื่องน้ำกินน้ำใช้นั้นคงจะเล่าแทรกไป แต่ก็ดีครับ แล้วก็ดีใจอีกด้วยที่ให้ความสนใจกับเรื่องในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
เดิมนั้นก็คิดว่าจะกล่าวถึงแต่เพียงความมีชีวิตชีวาของพื้นที่เท่านั้น คุณ Anna ได้กระตุกให้ผมคิดได้ว่า คงจะต้องเล่าถึงลึกลงไปถึงรายละเอียดในบางเรื่องว่า จะทำอย่างไรและควรทำอย่างไร
ครับผม ผมก็คงจะต้องขออนุญาตขยายขอบเขตของเรื่องราว โดยจะเล่าครอบคลุมไปถึงเรื่องของ survival ในบางเรื่องด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 108 เมื่อ 09 ก.ย. 15, 19:23
|
|
ท่านที่เรียนจบมาในสาขาเคมีจะทราบดีว่า ด้วยลักษณะการจับตัวกันของไฮโดรเจนกับอ็อกซิเจนที่มีลักษณะจำเพาะ ได้ทำให้น้ำมีคุณสมบัติเป็นตัวทำละลาย (solvent) ของธรรมชาติที่ดีที่สุด โดยเฉพาะปฏิกริยากับสารประกอบทางอินทรีย์เคมี ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกจึงต้องการน้ำในการดำรงชีวิต และน้ำก็เป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตอีกหลากหลาย นอกจากนั้น น้ำยังมีความสามารถในการอุ้มพาพลังรูปต่างๆของธรรมชาติ นำไปทำให้เกิดการทำลายหรือเกิดการสร้างสรรใดๆก็ได้
น้ำที่เราพบในธรรมชาติทั้งหลายที่ไหลซึมออกมาจากพื้นที่ป่าดงจนรวมตัวกันกลายเป็นห้วยและแม่น้ำลำคลองทั้งหลายนั้น จึงมิใช่น้ำบริสุทธิ์ มีทั้งสารเคมีที่ละลายอยู่ในน้ำ ทั้งตะกอนแขวนลอย ตะกอนดินทราย และสิ่งมีชีวิตขนาดจุลชีพ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 109 เมื่อ 09 ก.ย. 15, 19:43
|
|
จะทำอย่างไรดีครับ
เอาเรื่องง่ายก่อนนะครับ (แต่ดำเนินการทีหลัง) หลักสำคัญก็คือ น้ำทั้งหลายที่จะผ่านคอลงไปยังกระเพาะของเรา จะต้องเป็นน้ำต้มสุกเท่านั้น และต้องเป็นแบบสุกๆด้วย (คือเดือดพล่านอย่างน้อยสองสามนาที) การต้มน้ำจะช่วยฆ่าหรือจำกัดการเจริญเติบโตของหลากหลายสิ่งมีชีวิตที่จะทำให้เราเจ็บป่วย
ในสมัยนั้น ได้มีอุปกรณ์ทำน้ำสอาดแบบพกพาแล้วนะครับ เป็นของทำจากเยอรมัน ลักษณะคร่าวๆก็คล้ายกับสูบจักรยานที่ใช้สูบน้ำแล้วอัดดันไปผ่านใส้กรองเซอรามิกส์ (ขนาดรูพรุนก็น่าจะอยู่แถวๆ 5-10 ไมครอน) เมื่อได้น้ำที่กรองได้มาแล้ว ก็เอาคลอรีนเม็ดใส่ลงไป
คิดว่าพอจะไว้ใจในความสอาดและบริสุทธิ์ได้ใหมครับ?? ดื่มกินได้สนิทใจใหมครับ??
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 110 เมื่อ 09 ก.ย. 15, 20:23
|
|
สภาพจริงก็คือ กว่าจะกรองน้ำออกมาได้ 1 ลิตร ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน น้ำที่กรองออกมานั้นยังคงมีกลิ่นเหมือนเดิม แม้จะเบาบางกว่ามากก็ตาม และที่อาจจะแย่ลงไปอีกก็คือ เมื่อกลิ่นนั้นได้ผสมกับกลิ่นของคลอรีนเม็ดที่ใส่ลงไป
อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ เรื่องของใส้กรองตันบ่อยมากๆ
ผมเลิกเบิกมาใช้หลังจากที่ได้ลองเมื่อครั้งสำรวจอยู่แถว บ.ผาจุก บ.ผาเลือด จ.อุตรดิตถ์ แล้วหันกลับมาใช้ความรู้จากวิชา Sedimentation ที่เรียนมาทั้งเทอม ผนวกกับภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 111 เมื่อ 09 ก.ย. 15, 20:54
|
|
ดังนี้ครับ
แต่ดั้งเดิมนั้น เราจะใช้วิธีตักน้ำใส่ตุ่ม ทิ้งไว้ให้ตกตะกอนจนใสแล้วจึงค่อยตักออกมาใช้ แต่หากต้องการใช้ค่อนข้างด่วน ก็จะใช้สารส้มกวนน้ำในตุ่ม น้ำก็จะใสเร็วขึ้น คงเคยสังเกตนะครับว่า บรรดาบ้านเรือนคนไทยที่เป็นเรือนแพหรือตั้งอยู่บนตลิ่งริมน้ำจะมีตุ่มน้ำเสมอ ทั้งๆที่มีน้ำอยู่ใกล้ชิดติดตัว
ผมแบกตุ่มเข้าป่าไม่ได้ มีก้อนสารส้มก็ไม่มีตุ่มให้แกว่ง จึงใช้ถังพลาสติกขนาด 20 ลิตร ตักน้ำเทใส่ลงไป ตั้งทิ้งไว้นิ่งๆประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วจึงค่อยๆเทน้ำออกมาใสกาน้ำเอามาต้มเพื่อใช้ดื่ม หรือเอาไปใช้ในการหุงข้าวและทำอาหาร
น้ำในภาชนะที่ตั้งอยู่นิ่งๆประมาณ 20 นาที จะทำให้ตะกอนดินทรายขนาดประมาณ 5-10 ไมครอน (fine silt sized particle) ตกตะกอนลงไปจนเกือบหมด มีความใสจนเห็นได้ชัด แต่ทั้งนี้ก็จะต้องเลือกตักน้ำจากจุดที่เหมาะสมด้วย เพราะว่าหากน้ำนั้นอุดมไปด้วยเศษพืช ความขุ่นก็จะยังคงอยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 112 เมื่อ 10 ก.ย. 15, 17:50
|
|
ต้องขอแก้ตัวเลขนิดหน่อยนะครับ มัวแต่ปรับแต่งประโยคและทำให้พลาด แก้เป็นดังนี้ครับ
น้ำในภาชนะที่ตั้งอยู่นิ่งๆประมาณ 20 นาทีนั้น จะทำให้ตะกอนขนาดประมาณ 20-30 ตกตะกอนไปจนเกือบจะหมด มีความใสจนเห็นได้ชัด เหลือเป็นตะกอนขนาดประมาณ 5-10 ไมครอนลอยอยู่
ก็ถือว่าเป็นน้ำที่พอนำมาใช้ได้ดื่มและทำอาหารได้อย่างดีแล้วครับ ทั้งนี้ก็ต้องอย่าลืมว่า ต้องต้มให้เดือดสุดๆเสียก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 113 เมื่อ 10 ก.ย. 15, 18:27
|
|
สำหรับจุดที่เลือกตักน้ำมาใช้นั้น พิจารณาดังนี้ครับ
ควรตักจากบริเวณทึ่น้ำที่ไหลริน มิใช่ไหลกราก น้ำไหลกรากมีพลังสูงจึงอุ้มตะกอนอยู่ในตัวไว้มากกว่าน้ำไหลรินที่มีพลังต่ำกว่า
หากเป็นแอ่งน้ำนิ่งหรือไหลซึม ก็ควรขุดบ่อทรายและใช้น้ำในบ่อทราย
หากน้ำหมดขณะเดินหรือหลงป่า กรณีเป็นป่าใหญ่ที่มีไม้ยาง ไม้มะค่า ต้นไทร เหล่านี้ ก็พอจะหาน้ำกินได้จากเถาวัลย์น้ำ ซึ่งจะดื่มคาต้นก็ได้ หรือจะตัดให้ขาดเป็นท่อน (ขนากยาวประมาณ 1 ม.) ก็ได้ ทั้งนี้จะต้องตัดส่วนล่างก่อนจะตัดส่วนบน ได้น้ำไหลโจ๊กเลยครับ
แต่หากเป็นป่าโปร่ง ก็จะต้องใช้วิธีขุดบ่อในท้องห้วย เลือกขุดด้านที่มีตลิ่งสูง และเลือกบริเวณเช่นที่มีต้นไผ่ขนาดใหญ่สมบูรณ์ หรือบริเวณที่เห็นต้นไม้บางชนิด เช่น ค้างคาวดำ ขนุนดิน เป็นต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 114 เมื่อ 10 ก.ย. 15, 19:01
|
|
กลับมาต่อเรื่องที่ปากลำขาแข้ง
คืนแรกก็อีหลุกขลุกขลักไปตามเรื่อง กางเต็นท์นอนได้สำเร็จเพียงสองเต็นท์ ที่เหลือก็นอนรวมกันบนผืนผ้าใบโล่งโจ้ง รวมทั้งผมด้วย เมื่อไฟขอนไม้มอดเมื่อประมาณตีสาม (เพราะน้ำค้างแรง) ทุกคนก็เริ่มกระดุกกระดิกตัวเพราะความหนาวเย็น ไม่นานนักประมาณตีสี่กว่าๆ ก็มีคนเริ่มลุกนั่ง เริ่มลุกเดินไปติดไฟใหม่ เอากาน้ำตั้งเพื่อต้มน้ำ แล้วทุกคนก็ตื่นมา ไม่มีกาแฟ มีแต่ใบชาใส่ลงไปในกาน้ำต้มมันเลย กลบกลิ่นน้ำดีครับ หุงข้าวด้วยหม้อหูใช้วิธีแบบขัดแตะเช็ดน้ำ ทำให้ได้น้ำข้าวมาดื่มแทนกาแฟได้คนละแก้วครึ่งแก้ว ใส่เกลือทะเลเม็ดลงไปเล็กน้อยก็จะได้รสเค็มปะแล่มๆ อร่อยดีแถมมีวิตามินและเกลือแร่อีกด้วย
พอเริ่มสว่างก็ได้มีโอกาสสัมผัสและสดชื่นกับอากาศเย็นๆ รู้สึกได้ถึงความสอาดแบบ non pollute จริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 115 เมื่อ 10 ก.ย. 15, 19:24
|
|
ด้วยว่าปากลำห้วยขาแข้งล้อมรอบไปด้วยทิวขุนเขาสูงตระหง่าน พอแสงแดดเริ่มฉายแสงรำไร ก็เริ่มได้ยินเสียงชะนีส่งเสียงคุยกันดังก้องไปทั่ว ประมาณ 30 นาทีหรือน้อยกว่าก็เงียบสงบลง พอแสงแดดเริ่มสว่างสดใส ก็เห็นนกแก้วบินเกาะกลุ่มกันเป็นฝูงจากป่าเขาฝั่งตรงกันข้าม พร้อมเสียงร้องคุยกันจ้อกแจ้กจอแจ ก็เห็นอยู่สองสามฝูงๆละประมาณ 10-20 ตัวครับ บินไปในทิศทางเดียวกัน คือเข้าสู่พื้นที่ห้วยขาแข้ง ภาพนี้คงมิได้บอกอะไรมากไปกว่าการมีแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ในป่าห้วยขาแข้ง แล้วก็ยังมีเสียงที่สอดแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ ก็คือเสียงของไก่ป่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 116 เมื่อ 11 ก.ย. 15, 19:22
|
|
เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆที่จะเล่าต่อจากนี้ไป เป็นเรื่องผมที่ได้ประสบพบจริงในช่วงการทำงาน และเป็นความรอบรู้พื้นบ้านของชาวบ้าน ชาวป่าชาวดงและพรานไพร ที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ป่าดงพงไพร ซึ่งคงจะมีความแตกต่างไปจากที่มีอยู่ในตำราต่างๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 117 เมื่อ 11 ก.ย. 15, 19:49
|
|
ชะนี เป็นสัตว์ที่ส่งเสียงร้องโหยหวนในเวลาเช้า โดยเฉพาะในช่วงประมาณเวลาเริ่มแดดรำไร เสียงของมันดังมาก ได้ยินเป็นระยะทางไกลมาก จากอีกฝั่งหุบเขาเลยทีเดียว เสียงชะนีร้องในตอนเช้าเป็นเรื่องปรกติ แต่หากเป็นการร้องในช่วงเวลาอื่น โดยเฉพาะในช่วงสายแก่ๆหรือช่วงบ่ายอ่อนๆ จะเป็นการบ่งบอกว่ากำลังพบกับเรื่องผิดปรกติ หากเป็นเสียงร้องของชะนีเพียงตัวสองตัว ก็จะบ่งบอกว่าได้พบสัตว์อื่นเข้ามาในพื้นที่หากิน แต่หากเป็นเสียงร้องของชะนีหลายๆตัว จะบ่งบอกถึงการถูกบุกรุก โดยเฉพาะจากฝูงค่างที่เข้ามาหากินในพื้นที่ ในพื้นที่ของห้วยขาแข้งตอนล่างไม่พบว่ามีชะนีมากนัก แต่จะมีมากในหุบเขาของแม่น้ำแควใหญ่ อีกพื้นที่หนึ่งที่พบชะนีมากได้แก่ในพื้นที่ของห้วยขาแข้งตอนเหนือและในป่าแม่วงก์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 118 เมื่อ 11 ก.ย. 15, 20:32
|
|
ฝูงค่างที่หดหายไปครั้งละหลายตัว ก็มาจากเสียงของชะนีร้องผิดเวลานี้แหละครับ คงจะขยายความในภายหลังนะครับ
ฝูงลิงก็ทำให้ชะนีร้องเหมือนกันครับ แต่ดูเหมือนว่าชะนีจะรีบหนีไปให้ไกลเสียโดยเร็ว ก็คงจะเพาะฝูงลิงมากันครั้งละเป็นสิบๆ จึงมีความอันตรายที่จะอยู่ใกล้ๆ (ชะนีนั้น นิยมอยู่เดี่ยวๆ แต่ในก็มีความเป็นกลุ่มในพื้นที่เดียวกัน)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 119 เมื่อ 12 ก.ย. 15, 19:07
|
|
พอเรือที่เช่าเหมามาของหัวหน้าใหญ่ หันหัวออกจากที่พักมุ่งกลับเมืองกาญจน์ ผมและพรรพวกอีกสองสามคนก็ขึ้นบ้านชาวบ้านหลังเดี่ยวที่ตั้งอยู่ที่ปากลำขาแข้งหลังนั้น ก็เพื่อทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ประกอบกับที่เป็นครั้งแรกในการเข้าพื้นที่ จึงต้องหาข้อมูลและเตรียมการในบางเรื่องสำหรับการเดินสำรวจในครั้งต่อๆไป ตลอดทั้งปีสำรวจ ในพื้นที่ตลอดลำห้วย เรื่องของข้อมูลก็มีอาทิ สภาพของห้วยและน้ำห้วย สภาพป่าและความทุรกันดารของมัน ผู้คนและหมู่บ้าน เส้นทางการติดต่อกับโลกภายนอก (เมือง) และอันตรายมีเรื่องใดบ้าง เรื่องของการเตรียมการก็ตั้งอยู่บนข้อมูลที่ได้รับรู้ หลักๆก็คือ เรื่องของคนนำทางและคนงานรายวัน สัตว์ต่าง (ไว้ขนสัมภาระ) ที่จะต้องใช้ในช่วงการเดินสำรวจ และการแก้ปัญหาข้อจำกัดต่างๆที่มี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|