เรียนท่านอาจารย์เทาชมพู และท่านสมาชิกเรือนไทยผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านครับ
อ่านเพียงหัวข้อกระทู้ บางท่านอาจจะคิด ไม่เห็นต้องถามเลย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ก็บอกอยู่ชัดๆว่า งาย เป็นคำนาม หมายถึง เวลาเช้า วงเล็บไว้ด้วยว่า เป็นคำยืมจากภาษาเขมร
ครับ ข้อนี้ผมทราบอยู่แต่เดิมแล้ว ทว่าที่พบใหม่นี่สิ ทำให้สงสัยครับ ผมเจอคำ “งาย” ปรากฏในบริบทซึ่งมิน่าจะแปลว่า “เวลาเช้า” อย่างน้อยๆก็สองแห่ง หนึ่งคือ สรรพสิทธิ์คำฉันท์
พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ข้อความปรากฏดังนี้ครับ
“เสือเหลืองเยื้องย่องมองทราย
ครุบคร่าเอางาย
ตระบัดบทันทฤษฎี”
จากกาพย์บทดังกล่าว แปลความได้ว่า เสือเหลืองเดินเยื้องย่องมองเนื้อทราย พอสบจังหวะเหมาะก็ตะครุบ (ครุบ) ฉุดกระชากลากตัว (คร่า) เอาไปอย่าง..... จนดูไม่ทัน
ครับ วิสัยเสือ จัดอยู่ในจำพวก พาฬมฤค คือสัตว์กินเนื้อ แต่มันจะออกล่าเหยื่อเฉพาะเวลาเช้าเท่านั้นหรือ? จากประสบการณ์การอ่านนวนิยายผจญภัยในป่าของผมช่วงระยะหนึ่ง ได้ความว่า เสือย่อมออกล่าเหยื่อทุกเวลา ถ้ามันหิว ก็แล้วเช่นนั้น งาย ควรแปลว่าอะไร?
อีกตัวอย่างหนึ่ง จากสมุทรโฆษคำฉันท์ตอนปลาย พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณะเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เช่นกันครับ ทรงกล่าวถึงกิริยาของช้างว่า
“พลางเมิลมาตงคคณา
แลหลามเหลือตรา
สระพรั่งทั้งพังพลายหลาย
ลงสู่สระสินธุ์สนานกาย
งวงสูบชลงาย
แลเสียงซะแซ่แปร๋แปร๋น”
นี่ก็อีกครับ ช้างลงอาบน้ำในสระ (ฉัททันต์) ใช้งวงสูบน้ำ ซึ่งอากัปเช่นนี้ย่อมไม่เลือกเวลา สุดแต่ความพอใจของมัน อนึ่ง คำว่า “งาย” ก็มาอยู่ใกล้กับ “ชล” ถ้าจะแปล “ชลงาย” ว่า “น้ำเช้า” ก็ฟังพิลึกๆ แล้ว “งาย” แปลว่าอะไรเล่า
ต่อไปนี้ คือข้อสันนิษฐานของคนปัญญาเขลาอย่างผมครับ
ว่าด้วยหลัก “กวียานุโลม” ผู้นิพนธ์กาพย์กลอน สามารถแปลงคำได้ตามปรารถนา มีบางกรณี เติมวรรณยุกต์ให้คำที่แต่เดิมไม่มีรูปวรรณยุกต์ แหละก็บางหน ตัดวรรณยุกต์ออกเสียจากคำเดิม ขอยกลิลิตตะเลงพ่าย พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส มาแสดง ดังนี้ครับ
“เบื้องนฤบาลบดินทร์ นรินทร์นเรศวรราช ปางเถลิงอาสน์เกยชัย ในฉายาไม้ประดู่ เร่งพยู่ห์ตั้งค่าย ฝ่ายหน้าหลังซ้ายขวา ดากันดูดาษเดียร พลางธระเมียรหมู่ม้า ฝ่ายข้าศึกรามัญ ผันผายชายท่งทิว ลิวแล่นกลับฉับเฉียว เหลียวลับเนตรตระบัด”
ร่ายบทนี้ กล่าวว่า เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จประทับอยู่ณ เกยชัยภายใต้เงาไม้ประดู่ ทรงเร่งประดาทวยทแกล้วทหารให้ตั้งค่าย ขณะนั้น ทอดพระเนตรเห็นกองม้าฝ่ายข้าศึกโลดแล่นอยู่ชายทุ่ง แล้วลิ่วลับไปจากพระเนตรในทันใด คำว่า “ลิว” นี้ก็คือ “ลิ่ว” นั่นเอง เพราะถ้าจะแปล “ลิว” ตามความหมายในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ย่อมไม่ได้ความแน่ครับ
ลิว
ก. เอามีดเฉือนหนังทั้งแผ่นให้เป็นเส้นเพื่อทําเชือกหนัง; ร่อน,
ขว้าง, ปา.
อีกแห่งในลิลิตตะเลงพ่ายเช่นกัน กวีผู้ทรงพระนิพนธ์ ทรงบรรยายว่า ขณะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงคอยมหาพิชัยฤกษ์เพื่อกรีธาทัพหลวงอยู่นั้น หมู่เมฆอันมืดครึ้ม ณ ทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) ก็
“มลักแลกระลายกระลับ ลิวล่ง ไปเฮย” กลับลิ่วโล่ง กระจายสลายไป เผยให้เห็นพระอาทิตย์ส่องแสงจ้า ท้องฟ้างดงามไร้มลทิน ดุจนำแก้วอินทนิลมาดาษไว้นั่นเทียว ลิวล่ง คือ ลิ่วโล่ง
อาศัยหลักฐานทั้งสองแห่งนี้ เป็นไปได้ไหมครับ ที่ “งาย” อาจแปลว่า “ง่าย” ในกรณีที่กวี ประสงค์จะแปลงคำ ตามหลัก “กวียานุโลม”
เสือเหลืองจ้องมองเนื้อทราย พอได้โอกาสก็ตะครุบฉุดคร่าเอาไปได้อย่างง่ายดาย รวดเร็วจนดูไม่ทัน และ
เหล่าช้างลงเล่นน้ำ ใช้งวงสูบน้ำได้อย่างง่ายดาย (เพราะงวงมันใหญ่อยู่แล้ว)
อาจมีบางท่านแย้งว่า ไม่เห็นจำเป็นจะต้องแปลงเสียงจาก “ง่าย” เป็น “งาย” เลย ในเมื่อกาพย์มิได้บังคับเรื่องวรรณยุกต์เคร่งครัดอย่างโคลงกับร่าย ก็จริงครับ แต่ถ้าท่านลองพิจารณากาพย์จากกวีชั้นครู (กระทู้นี้ ขอกล่าวจำเพาะกาพย์ฉบัง ๑๖) จะพบว่า เสียงท้ายวรรค ท่านนิยมเล่นเพียงสองเสียงเท่านั้น คือสามัญ กับจัตวา สลับกัน ลองท่องบทนมัสการพระธรรมคุณ กับบทนมัสการพระสังฆคุณ อันท่านพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) นิพนธ์ไว้ดูเถิดครับ
เสียงท้ายวรรคของฉบังนั้น ถ้าใช้เสียงวรรณยุกต์โทซึ่งลากลงต่ำ ความเสนาะจะลดลง
โบราณาจารย์กวีท่านจึงนิยม ใช้เสียงกลาง (สามัญ) กับเสียงลากขึ้นสูง (จัตวา) เล่นล้อกันไปมาเพื่อให้ไพเราะโสตดุจสำเนียงดนตรี เวลาขับทำนองเสนาะก็ฟังละเมียดละไมนัก
โดยสมมุติฐานดังสาธยายมา ผมจึงอนุมานในชั้นต้นก่อนว่า “งาย” อาจแปลว่า “ง่าย” กระนั้น ก็ยังมิแน่ใจครับ ว่า ความคิดจากมันสมองสะตึๆของตนพอจะมีเค้าบ้างหรือไม่ ขอท่านผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน โปรดแสดงความเห็น เอื้อวิทยาทานปัญญาประทีปให้ผมคนโฉดเฉาด้วยเถิดครับ
ขอแสดงความนับถืออย่างสูงยิ่ง
ชูพงค์ ตรีวัฒน์สุวรรณ
เว็ปไซต์อ้างอิง ลิลิตตะเลงพ่าย
http://www.reurnthai.com/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2 พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
http://rirs3.royin.go.th/