เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 9
  พิมพ์  
อ่าน: 77658 ตำนานนักกลอน
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 24 ก.ย. 08, 10:30

       วันนี้ได้รับจดหมายและบทกลอนที่คุณอัจฉรา ตันสงวนได้กรุณาไปค้นมาให้ ครับ

    ..บทที่ได้รางวัลได้นำไปลงหนังสือของคณะครุฯ รู้สึกเป็นหนังสือรุ่นทำกันเอง
เผอิญรุ่นพี่ไปเห็นเข้า ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นพี่รัศมี เผ่าเหลืองทอง พี่เขาแนะให้แก้ไข ประแป้งแต่งตัวใหม่

    .. กลับไปค้นหากลอนเก่าๆ ได้บทดั้งเดิมของ "น้ำค้างใสหยดเดียว" มาฝาก

22 มิ.ย. 2507

             น้ำค้างหยดเดียว

    น้ำค้างใสหยดเดียวบนเรียวหญ้า
ณ เบื้องหน้ากลอกกลิ้งประกายฉาย
ดังรวมรุ้งเพชราดาราราย
สะท้อนพรายน้ำพร่างกระจ่างดวง

สุรีย์มาศสาดแสงเริ่มแรงกล้า
ฉันผวาหัตถ์ป้องเปรียบของหวง
เกรงฤทธิ์ร้อนจะกร่อนกัดกำจัดดวง
ละลายร่วงลับไปในชั่วพริบ

แม้หัตถ์ไหม้ให้แสงแรงกว่านี้
หรือลมปรี่ฉันกันไว้ไม่ไหวกริบ
อยากจะนำน้ำใสไปเสียลิบ
ครั้นจะหยิบเกรงจะหยดรินรดลง
 
ฉันสุดหวงห่วงประกายสายน้ำนิ่ง
เห็นแล้วยิ่งบีบหทัยให้เป็นผง
น้ำค้างอ้อนซ้อนเศร้าเฝ้าพะวง
ดูเหมือนคงพูดด้วยว่า "ช่วยที"

แม้ฉันช่วยชูช่วงดวงน้ำเอ๋ย
คงไม่เลยหลีกละหรือผละหนี
โอ้เวลาล่วงลับนับนาที
ทุกข์ทวีหทัยฉันหวั่นอาวรณ์

พอหวนมองอีกทีฤดีหาย
คงให้คลายคิดทาบว่าภาพหลอน
ผวาช้อนเรียวพฤกษานัยน์ตาวอน
โอ้เจ้าจรน้ำเนตรหยาดลงพาดตฤณ.
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 24 ก.ย. 08, 10:33

        .. อีกบทหนึ่งเรื่อง "โลกบ้า" เขียนเอง อ่านเอง ไม่เคยไปลงพิมพ์ที่ไหน..

11 มีนาคม 2551

               โลกบ้า
 
     โอ้เอ๋ย โอละเห่ ทะเลหวาน
ชมพู่ฝานเห็นหนอนมันบ่อนไส้
อันคนชั่วตัวผ่องเป็นยองใย
คนดีไซร้ปุ่มป่ำตามลำตัว

ดูเลือดมดสดดีเป็นสีชาด
คนสะอาดเปลี่ยนใจไปเป็นชั่ว
อันนวลนางสอางค์โฉมก็โทรมมัว
พระก็กลัวกุฏิพังจะคลั่งตาย

อาทิตย์เปลี่ยนขึ้นพลันตะวันตก
ฝูงคางคกหัวเราะกัน พระจันทร์หาย
โลกย่อยยับอัปรีย์ดังผีร้าย
ทั้งดินทรายเปื่อยยุ่ยเป็นปุยปลิว

นาฬิกาผันเปลี่ยนเป็นเวียนซ้าย
ฝูงกระต่ายโง่เง่า เต่าวิ่งฉิว
ทั้งนกกาเข้าแถวเป็นแนวทิว
คนยามหิวมืดหน้าคว้าอาจม

กฎุมพีรี่วิ่งชิงวังเจ้า
ใบสะเดากลายหวาน น้ำตาลขม
อันเพชรพลอยลอยหล่นจมโคลนตม
ความโสมมทั่วถนนแห่งหนทาง

ด้วยโลกบ้าอาภัพมันยับย่อย
สงครามพลอยซ้ำทรุดสุดจะขวาง
อีกฝูงชนบ่นซ้ำคร่ำครวญคราง
กลิ่นศพสางตราบทิวาจวบราตรี


ป.ล. นิดหนึ่งครับ - คุณปราโมทย์ > หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช < ครับ


บันทึกการเข้า
jomyutmerai
อสุรผัด
*
ตอบ: 51

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 25 ก.ย. 08, 22:21

อ่านกลอนของนักกลอนฝั่งจุฬาฯ มาหลายชุดแล้ว มาอ่านกลอนของนักกลอนฝั่งธรรมศาสตร์กันบ้างดีกว่าครับ

นักกลอนคนนี้ได้ฉายาว่า "ปากกาจุ่มน้ำผึ้งแล้วจึงเขียน" และเป็นหนึ่งในอดีตสี่มือทองของธรรมศาสตร์

ขอคัดกลอนของท่านมานำเสนอ ๒ ชิ้นครับ

คนช่างงอน

ก่อนแก้มนิ่มเธอแนบลงแทบหมอน
กราบขอพรเผื่อใครคนไหนหนอ?
ภายหลังหลับแล้วละเมอหลงเพ้อพ้อ
เขาผู้ก่อความฝันคนนั้นใคร?

แอบพลิกหมอนค่อนคืนเพื่อฟื้นฝัน
พอตื้นตันแล้วก็หมองแอบร้องไห้
หมอนข้างทอดกอดประทับแนบกับใจ
คิดถึงเขา...ใช่มิใช่อย่าไก๋เลย

กระนี้หนอนิดหนึ่งก็ขึ้งโกรธ
แท้ทำโทษใจตนอีกคนเฉย
เพราะอีกฝ่ายใจเย็นเห็นเสียเคย
แทบอยากเย้ยเอ๋ยคำแกล้งซ้ำเติม

รู้ไหมว่าเหตุผลคือมือแห่งรัก
จะคอยชักจูงใจมิให้เหิม
อารมณ์คือมือมารผลาญรักเดิม
ผู้ริเริ่มทำลายสายสัมพันธ์

ที่เง้างอนค้อนคว่ำจำไว้ว่า
แม้น่ารักบางเวลาก็น่าขัน
ลับหลังแล้วร้องไห้ทำไมกัน
เขารู้ทันทุกวลีที่อยากพ้อ

เมื่อแก้มนิ่มนิ่งแนบหลับแทบหมอน
คนช่างงอนฝันว่าได้อะไรหนอ?
รู้ว่าขนตาฉ่ำน้ำตาคลอ
จะไปง้อในฝันคืนวันนี้

ทวีสุข  ทองถาวร  ๒๕๑๐
บันทึกการเข้า
jomyutmerai
อสุรผัด
*
ตอบ: 51

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 25 ก.ย. 08, 22:23

มาอ่านกลอนอีกชิ้นของ ทวีสุข  ทองถาวร ต่อครับ ผมขอคัดงานชิ้นนี้มาให้อ่านแล้วกัน

ลาวกระทบไม้

เมืองผมมวยผ้าไหมสาวใจซื่อ
ผู้เยือนคือญาติสนิทใช่มิตรใหม่
โอ้เวียงจันทน์นั้นเพียงเป็นเวียงใจ
แม้จากไกลก็มิอาจขาดพันธะ

เสียงแคนครวญชวนรำเมื่อค่ำนั้น
โทนกระชั้นฉาบกระชับรับจังหวะ
หวานเพลงแอ่วแห่งความสุขทุกระยะ
เกินใจจะห้ามใจมิให้จำ

ตามแสงไต้ปลายชานที่บ้านสาว
เหมือนมนต์น้าวหนุ่มคะนึงถึงทุกค่ำ
เยี่ยมชานเรือนเพื่อนเย้าเฝ้าฝากคำ
จนเดือนคล้อยลอยต่ำจึงอำลา

ภาพของความสุขสันต์ในวันก่อน
เทียบทุกตอนกับวันนี้ยิ่งมีค่า
เยือนครั้งใหม่แม้นยิ่งเอ่ยว่าเคยมา
ยิ่งผิดท่าผิดใจเหมือนไม่เคย

สิ้นแคนครวญชวนรำโอ้ค่ำนี้
โทนเคยตีฉาบกระชับก็กลับเฉย
แสงไต้หรี่ราวจะดับลงลับเลย
โอ้เวียงเอ๋ยเวียงเทวษด้วยเหตุใด

เสียดายแต่ความหลังครั้งเก่าเก่า
เหลือเพียงเงางำอดีตชวนกรีดไหว
จะรอฟ้าลงโทษพิโรธใคร
ใจต่อใจต่างประจัญฆ่ากันเอง

ทวีสุข  ทองถาวร
บันทึกการเข้า
jomyutmerai
อสุรผัด
*
ตอบ: 51

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 25 ก.ย. 08, 22:26

ขอขอบคุณ คุณ SILA ครับ ที่นำบทกลอนของคุณ อัจฉรา  ตันสงวน มาให้อ่านกัน

ขอบคุณจริง ๆ ครับ
บันทึกการเข้า
jomyutmerai
อสุรผัด
*
ตอบ: 51

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 30 ก.ย. 08, 19:21

สรสิทธิ์  สุนทรเกศ ก้าวสู่การเป็นนิสิตคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
เมื่อพอศอสองพันห้าร้อยสิบสอง เป็นอดีตประธานชมรมวรรณศิลป์ของคณะบัญชีคนแรก อดีตรองประธาน
ชมรมวรรณศิลป์ ส.จ.ม. และเป็นอีกหนึ่งในทีมกลอนสดมหาวิทยาลัย

มาอ่านงานของเขาสัก ๒ ชิ้นครับ ซึ่งอาจจะสังเกตเห็นอิทธิพลในการใช้คำของ อดุล จันทรศักดิ์ เร้นแฝง
อยู่บ้าง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของนักกลอนรุ่นน้องกับรุ่นพี่ที่มีความผูกพันสืบทอดกัน

สันติภาพยังไม่มี

ดาวแห่งชีพริมฟ้า เวิ้ง ว้าเหว่
โดยร่อนเร่ห่างแสงแห่งจันทร์ฉาย
พานักบินหมู่หนึ่งซึ่งกล้าตาย
สัมผัสสายลมริ้วพลิ้วแผ่วเบา

เดินทางกับลมเหนือเมื่ออ่อนล้า
จุดแววตาโชนไฟให้ร้อนเร่า
โลดทะยานผ่านระลอกทึบหมอกเทา
ข้ามขุนเขาสู่สุสานแห่งการรบ

บรรทุกดินระเบิดดำเต็มลำใหญ่
โดยสารดอกไม้ไฟไปทำศพ
จุดระเบิด-สาหัส,จุดนัดพบ
คือจุดจบจุดหนึ่งซึ่งต้องมี

อยากเห็นแสงสันติภาพ ทาบ สาดส่อง
เช็ดน้ำตาความหมองของที่นี่
อยากเก็บดวงดาราเต็มฟ้านี้
โปรยแทนที่ดอกไม้ไฟ ให้เป็นพร

แล้วหน้าที่ก็บังคับให้รับรู้
การต่อสู้-ยุทธวิธีที่สั่งสอน
การตอบโต้ช่วยเพิ่มรสอีกบทตอน
ร้ายและร้อนเข้มข้นบนผืนฟ้า

ดาวแห่งชีพหลับไหลเมื่อไกล้สาง
ริ้วควันจางร่วงลงไปถึงในป่า
โรยดอกไม้สีดำด้วยน้ำตา
ยืดเวลาเสรีที่รอคอย

สรสิทธิ์  สุนทรเกศ
บันทึกการเข้า
jomyutmerai
อสุรผัด
*
ตอบ: 51

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 30 ก.ย. 08, 19:23

มาอ่านงานของ สรสิทธิ์ สุนทรเกศ อีกสำนวนครับ

ขอบฟ้ายังกว้าง

ดวงพระจันทร์สว่างพรายโลมชายป่า
สัมผัสหญ้า สัมผัสดาวแสงขาวใส
อ้อมทะเลภูเขาทอดเงาไกล
ทาบแมกไม้สีดำยามค่ำคืน

สันโดษโดยว้าเหว่การเร่ร่อน
รินเพลงพรคลอขับ หลับ,สะอื้น
นกหลงป่าร้อนรนขนเปียกชื้น
เย็นหยาดรื้นน้ำค้างกลางหมู่ดาว

เมื่อขอบฟ้ารอบข้างยังกว้างอยู่
สำนึก-รู้ปีกเจ็บและเหน็บหนาว
รู้ว่าเหนื่อย รู้ว่าล้า กว่าทุกคราว
แต่การก้าวกลับหลังยังไม่มี

เปิดโอกาสให้ตามความจองหอง
หากจะต้องตายเพราะสู้บินอยู่นี่
ให้มันซ้ำ ให้มันสา มากกว่านี้
ทุกสิ่งที่ประทับรอยคับแค้น

เมื่อดวงดาวทิศนี้หรี่แสงโรจน์
ตัดสินแรงหฤโหดให้โลดแล่น
แสวงหาแม่บทไว้ทดแทน
แผลลึกแก่นสันดานที่ผ่านไป

ดวงพระจันทร์ต่ำลงตรงชายป่า
สุสานฟ้าเงียบเหงา,เศร้า,หวั่นไหว
กล่อมนกซึ่งหลงบินคว้างเดินทางไกล
ทั้งที่ลมหายใจไม่มีแล้ว

สรสิทธิ์  สุนทรเกศ
บันทึกการเข้า
กุ้งแห้งเยอรมัน
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1573



ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 01 ต.ค. 08, 14:40

ขอบคุณ คุณกุงแห้งเยอรมันครับ ทีให้ข้อมูลเพิ่มเติมของ ปราโมทย์  สันตยากร

มาถึงนักกลอนจากชมรมวรรณศิลป์ สจม. อีกท่านหนึ่งครับ

อุบล  เพชรหนู เป็นนักกลอนหญิงจากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และเป็นหัวหน้าทีมกลอน
ชมรมวรรณศิลป์ สจม. ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ที่พาทีมชนะเลิศได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระศรี
นครินทราบรมราชชนนี ในการแข่งขันร้อยกรองสดระหว่างสถาบัน

ส่งรูปประวัติศาสตร์มาให้ชมค่ะ คุณอุบล เพชรหนู คือคนที่ถือถ้วย คุณสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ยืนหลัง แอบปิดบังความหล่อ โผล่หน้ามานิดเดียว คุณปราโมทย์ สันตยากร ยืนข้างหลัง คนที่สองจากซ้าย
ไม่มีใครทราบอนาคต ว่า คุณสรสิทธิ์ ที่แสนเรียบร้อยวันนี้ เป็นผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และคุณปราโมทย์ กลายเป็นหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช


บันทึกการเข้า
กุ้งแห้งเยอรมัน
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1573



ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 01 ต.ค. 08, 15:05

งานเลี้ยงฉลอง สิ่งที่เป็นความทรงจำอันประทับใจ คือเมื่อฝ่าฟันดงกลอนระดับมหาวิทยาลัยที่ทุ่มเทกันทุกทีมมาได้
นักกลอนทีมเลือดสีชมพูทุกคนที่ออกแรงมีสิทธิ์สัมผัสรางวัลที่ภาคภูมิใจ
ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระราชชนนี จะถูกวนไปในมือของทุกคน ที่ไปร่วมงานเลี้ยง ทั้งน้องใหม่และพี่ๆ
มีการกล่าวกลอนสดโดยรุ่นพี่ที่เป็นกำลังใจมาตลอด แม้จะจบไปแล้ว
คุณอดุล จันทรศักดิ์ กำลังว่ากล่อนสด 


บันทึกการเข้า
กุ้งแห้งเยอรมัน
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1573



ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 01 ต.ค. 08, 15:20

ถึงคิวของคุณภิญโญ ศรีจำลองดื่มฉลอง พร้อมกับกล่าวกลอนสดบ้าง
ทุกคนตั้งใจฟังกันเงียบกริบ
ข้างๆคือคุณพุทธ พรเพียรเลิศกุลจากคณะวิศวฯ คุณปิยพันธุ์ จัมปาสุต รุ่นพี่ที่จบไปแล้ว และคุณสมบุญ ศรีมีชัย จากคณะวิศวฯเช่นกัน


บันทึกการเข้า
jomyutmerai
อสุรผัด
*
ตอบ: 51

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 04 ต.ค. 08, 22:12

ชยศรี  สุนทรพิพิธ  เป็นอีกหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งชมรมนักกลอนก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสมาคมนักกลอน
แห่งประเทศไทยในช่วงต่อมา เนื่องจากเป็นสายเลือดของนักปกครองตัวอย่าง-พระยาสุนทรพิพิธ
เธอจึงเดินทางเข้าสู่อาณาจักรสิงห์ดำอย่างสง่าผ่าเผย เป็นนางสิงห์รุ่นที่ ๒ ของรัฐศาสตร์จุฬา

ขอเลือกกลอนของ ชยศรี สุนทรพิพิธ มาเสนอ ๑ ชิ้นแล้วกันครับ

จนกว่าจะสิ้นใจ

เจิดจิต
มืดสนิทมิตระหนกวิตกว่า
ภราดรพรอำไพไม่คืนมา
แม้ดาวเดือนเลือนลานภาลัย

ฤๅสายฟ้าผ่าผางเปรี้ยงปร้างเสียง
ไร้สำเนียงวิเวกหวานกังวานใส
ไก่กระชั้นขันกระชากหลากฤทัย
สุวานใหญ่ไขว่เห่าหอนย้อนยอกยวน

แต่โอภาสอาจอำไพกลางใจนี้
ขับราตรีมืดสนิทวิกฤตผวน
ศรัทธานิตย์สถิตแน่มิแปรปรวน
ถึงทุกข์ทวนทรมานจะทานทน

โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่ช้านี้
คงจักมีชั่วโมงสว่างกระจ่างหน
รำไรแจ้งแสงทองเรื่อเหนือสากล
ภพอำพนผ่องผุดมนุษยธรรม

เมื่ออยู่เดียวยามดื่นดึกระทึกอก
มืดโมงเยือนเหมือนจะปรกชีวิตถลำ
แว่วสำเนียงจำเรียงซร้องพร้องลำนำ
อักขราค่าเลิศล้ำจากดวงมาน

เทียบน้ำทิพย์ลิบอำลานภามาศ
ที่หยดหยาดย้อมกมลโกมลศานติ์
สองมือน้อยคล้อยสมองตรองวิญญาน
นำธรรมทานธรณิน...จนสิ้นใจ !

ชยศรี สุนทรพิพิธ ๒๔๙๖
บันทึกการเข้า
jomyutmerai
อสุรผัด
*
ตอบ: 51

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 13 ต.ค. 08, 13:44

ถ้าเอ๋ยถึงอดีต สองกุมารสยาม ในวงการนักกลอนสมัยเก่าก็เป็นที่รับรู้กันว่าหมายถึง ขรรค์ชัย  บุนปาน
และ สุจิตต์  วงษ์เทศ ซึ่งโด่งดังมากในแนวกลอนที่เรียกกันว่า กลอนลูกทุ่ง ซึ่งลักษณะกลอนเช่นนี้
มีผู้สันนิษฐานว่า น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากวรรณกรรมของ "ไม้เมืองเดิม" ถึงตรงนี้ผมคงไม่ต้องเกริ่น
อะไรมาก ของนำกลอนลักษณะกลอนลูกทุ่ง ของ สุจิตต์  วงษ์เทศ มานำเสนอไว้ในตำนานนักกลอน
สัก  2  สำนวน ครับ

มาลัยเสน่หา

จะขอเส้นเกศามาแทนไหม
เจ้าคงไม่หลงเสน่ห์เส้นเกศา
หอมกระแจะแตะกลิ่นประทิ่นทา
เพื่อนึกหน้าผมหอมเมื่อดอมดม

แม่ผมปอยปล่อยปลายคล้ายพู่หงส์
ดูเครื่องทรงสดใสสไบห่ม
มาลัยรักจักน้อมถนอมชม
ขอเพียงผมเส้นน้อยร้อยมาลัย

จะเชิญแก้วแพรวกล้ามาร้อยแก้ว
ครั้นตรองแล้วก็มิกล้าพูดจาได้
อันกลิ่นหอมจอมขวัญทุกวันไป
เป็นจอมใจจรุงรสจึงจดจำ

โอ้แก้วเจ้าพราวพริ้งยิ่งแก้วต้น
ประกายกลมณีแท้ที่แก่ก่ำ
หวาดว่าแก้วชูกิ่งยิ่งถ้อยคำ
แต่ร่ำร่ำร้อยแก้วไม่แล้วกัน

สวาทวาดมาดหมายสายสวาท
ยังมิอาจซาบซึ้งถึงสวรรค์
ศักดิ์เจ้าจอมหม่อมห้ามจึงคร้ามครัน
ถึงกระนั้นไพร่ฟ้าก็กล้าพอ


แก้วเสน่ห์เกศาถ้ามิให้
ตามแต่ใจจักจำไม่ซ้ำขอ
เถอะจะหามาลัยกรองมาคล้องคอ
ซึ่งเหมือนสร้อยพระศอนรกานต์

สุจิตต์  วงษ์เทศ
บันทึกการเข้า
jomyutmerai
อสุรผัด
*
ตอบ: 51

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 13 ต.ค. 08, 13:45

มาอ่านกันอีกสำนวน ซึ่งเป็นชิ้นหนึ่งที่ผมชอบมากและผมคิดว่าสำนวนนี้เป็นสำนวนกลอนชั้นครูอีกสำนวนหนึ่ง

รบทัพจับศึก

กาฬปักษ์นัคเรศเขตสวรรค์
กระต่ายหันตนห่างจนจางหาย
เพชรพโยมถมเถ้าเหงาประกาย
เทพฟูมฟายฝอยฟองเหมือนกองฟอน


โอ้ วังเวียงเสียงวับกับอากาศ
อันปรางค์มาศเอนพิงเหลี่ยมสิงขร
ละห้อยหอช่อฟ้าเฟี้ยมอาภรณ์
ห่วงสังหรณ์หางหงส์ฤๅคงทน

กระหนกเปราะเกาะปานจะพาลปรัก
เหลือห้ามหักหวามหายนับหายหน
กรุงศรีเอ๋ยเคยคึกศึกประจญ
เข้าขับช้างเสยชนพ้นศัตรู

ศึกครั้งนี้หนีรับทัพพม่า
ขุนกลับมาเหมือนหมดมันอดสู
ถ่อยตะเลงเก่งกล้าท้าประตู
อนาถกูกอดตนยืนคนเดียว

ปอยหางอาชาอยู่เยี่ยงคู่ขวัญ
พร้อมจักหันควบควับเข้าขับเคี่ยว
กราบพระองค์ทรงซูบดูรูปเรียว
โลหะเหี่ยวนิมิตเห็นว่าเป็นลาง

แต่สรวงยังสังเวชประเทศทัก
กาฬปักษ์แผ่นดินสิ้นสว่าง
พี่น้องกูดูทีคล้ายมีซาง
ท้องก็ป้างบ้างปานตานขโมย

ดาบคู่ขันสันทัดเอาขัดหลัง
น้ำตาขังอกแข่งกันแห้งโหย
โอ้ กูหนอรอโทษมาโปรดโปรย
จักร่วงโรยตรงรับทัพตะเลง

วาสนาถ้าหนุนถึงขุนศึก
อย่าพึงนึกนั่งก้มเจ้าข่มเหง
จะเกณฑ์พลด้นรบจนจบเพลง
เกี่ยงแต่เก่งกูประมาณทหารเลว

สุจิตต์  วงษ์เทศ
บันทึกการเข้า
jomyutmerai
อสุรผัด
*
ตอบ: 51

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 13 ต.ค. 08, 21:15

ถ้าพูดถึงนักกลอนที่มีวรรคทองโดดเด่นและเป็นที่รู้จักกันดี คงต้องนึกถึงนักกลอน
ท่านนี้อีกคนครับ สวัสดิ์  ธงศรีเจริญ นักกลอนจากเมืองน้ำเค็ม ชลบุรี โดยเฉพาะวรรคทอง
บาทนี้หลายท่านน่าจะได้ยินมาบ้างครับ

"อ้อมกอดพี่จะสงวนไม่ด่วนเสนอ      อ้อมตักเธอจงถนอมก่อนยอมสนอง"

สำหรับกลอนที่มีวรรคทองบาทที่ผมยกมาอยู่ในกลอนชิ้นที่ชื่อ "ภาษารัก" สามารถหาอ่านได้ในเน็ตครับ
ในที่นี้ผมเลยขอยกกลอนชุดอื่นของ สวัสดิ์  ธงศรีเจริญ มาฝากไว้ในตำนานนักกลอนครับ

แก้ว

ขอเขียนกลอนถึงแก้วที่แวววับ
ก่อนแก้วลับดับรักอีกสักหน
เก็บหวงแหนแขวนไว้เหนือใจตน
แหวะกมลออกมาผ่าดูที

ความเหลื่อมล้ำค้ำกลางระหว่างรัก
จะละศักดิ์สมรสก็หมดศรี
ทนรอท่ายาจกเกือบหกปี
ป่านฉะนี้ยังอาภัพน่าอับอาย

จะรักสัตย์ซื่อต่อก็เสียหน้า
จะร้างราเลิกรอก็เสียหาย
จะฝืนสาวเล่าหนอก็เสียดาย
กลืนหรือคายมันก็ฝืดพะอืดพะอม


เห็นใจแก้วเก้าสีที่สุดแล้ว
แก้วคู่แก้วโดยเฉพาะจึงเหมาะสม
หากลดเกียรติเกลือกกรวดอวดสังคม
แก้วจะจมกรวดจ้อยถอยราคา

ยอมคว้านใจจำฝืนคืนพันธะ
เสียสละแก้วขวัญแก้ปัญหา
ลืมเสียเถิดลืมอดีตกรีดน้ำตา
แก้วล้ำค่ายังพิสุทธิ์ประดุจดาว

ขอทอดใจใฝ่สูงอุ้งเท้าแก้ว
แก้วเหยียบแล้วขอให้ลือกันอื้อฉาว
เป็นประกาศนียบัตรขจัดคาว
ส่งแก้วสาวก้าวสู่สิ่งคู่ควร

สวัสดิ์  ธงศรีเจริญ ๒๕๐๗
บันทึกการเข้า
jomyutmerai
อสุรผัด
*
ตอบ: 51

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 16 ต.ค. 08, 22:27

นิรินธน์  ศรีรักษา  ลูกทัพฟ้าที่คลุกคลีกับวงการกลอนมาตั้งแต่มีชมรมกันที่บางขุนพรหม
และจัดรายการกลอนทางวิทยุกองทัพอากาศ เข้าร่วม "เรือเพลง" กับสนธิกาญจน์ จนกระทั่ง
มีเรือเพลงครั้งสุดท้าย เคยเป็นกรรมการ "ชมรมนักกลอน" หลายสมัย

มาอ่านผลงานของ นิรินธน์  ศรีรักษา ที่ผมขอบันทึกไว้ในตำนานนักกลอนกันครับ

แล้ววันนั้นก็มาถึง

กลับมาสู่ถิ่นเก่าของเราแล้ว
พร้อมกับแก้วโดยตำแหน่งแห่งศักดิ์ศรี
บนแผ่นดินประวัติศาสตร์เพื่อราชพลี
เคล้าดนตรีในอดีตของมีดคม

เราเดินผ่านปราสาทราชฐาน
อดีตกาลคืนวันอันขื่นขม
การสู้รบสงคราม ความล่มจม
ถูกถล่มทำลายเสียหายยับ

มือของเราชื้นเหงื่อเมื่อแลเห็น
ใจหนึบเน้นเต้นตีบเหมือนชีพดับ
สิ่งสุดท้ายคือใบหน้าก่อนลาลับ
เธอเอื้อมจับมือเราอย่างเข้าใจ

หลิวใบเรียวยืนเดี่ยวอยู่ริมหนอง
กำลังมองเราเหมือนผู้มาอยู่ใหม่
ในแวดวงแดนดินแห่งกลิ่นไอ
ของดอกไม้ สายน้ำและลำธาร

มองท้องฟ้าอึมครึมครึ้มเมฆฝน
บนถนนสายยาวที่ก้าวผ่าน
ด้วยความสุขเต็มหัวใจดอกไม้บาน
เดินกลับบ้านเคยอยู่คู่กับเธอ

วันแห่งความหวานชื่นและคืนรัก
แควป่าสักเรืองรองน้ำนองเอ่อ
หนาวน้ำค้างนกกลางคืนยืนละเมอ
เราต่างเผลอจูบจันทร์อันรัญจวน


นิรินธน์  ศรีรักษา
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.047 วินาที กับ 18 คำสั่ง