นายยอดตรัง หรือ นายยอดทองเอมิล จอดตรองเดินทางไปทำงานที่สยามเมื่ออายุ 32 ปี ค.ศ. 1898 นับเป็นที่ปรึกษากฎหมายที่อายุน้อยที่สุดในคณะที่ปรึกษาชาวเบลเยียมในช่วงนั้น
บ้านพักของปู่และย่าของเธอในสยามชื่อ วิลล่า ซูซาน อยู่ตรงถนนสระประทุมซึ่งเคยเป็นบ้านพักของที่ปรึกษากฎหมายเบลเยียมอีกคนหนึ่งที่ชื่อปิแอร์ โอตมาก่อน
ย่าของเธอเป็นคนที่ชอบสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะแมว และชอบเก็บสะสมของทุกอย่าง ไม่ว่าจดหมาย บัตรเชิญ ภาพถ่าย ตั๋วรถรางไฟฟ้า บัตรอวยพร เมนูอาหาร แสตมป์และอื่นๆ
หนังสือเก่าและอัลบั้มภาพที่เธอมีอยู่นี้ เธอได้รับมาจากพ่อและน้าสาวของเธอ เราสองคนเปิดดูภาพต่างๆ ในอัลบั้มด้วยความตื่นเต้น กระดาษอัลบั้มนั้นดูเก่าจนเป็นสีเหลือง กรอบแห้งตามกาลเวลา ภาพถ่ายขาว-ดำได้รับการติดอย่างปราณีตเรียบร้อย มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก หลายภาพเป็นภาพที่คุ้นตาเนื่องจากได้รับการเผยแพร่และอ้างอิงในหนังสือประวัติศาสตร์มาหลายเล่มแล้ว ในขณะที่หลายภาพเป็นภาพที่ต้องยอมรับว่าไม่เคยพบเห็นจากที่ใดมาก่อนเลย ของสะสมหลายชิ้นเป็นของที่น่าจะสูญหายไปจากประเทศไทยแล้ว (กระมั้ง) อาทิ ตั๋วรถรางไฟฟ้าในสยาม
เกี่ยวกับตัวนาย Emile Jottrand มาดาม Simone กล่าวว่าเธอมีความภูมิใจในตัวปู่ของเธอมาก
เมื่อถามว่าภูมิใจตรงไหน เธอตอบว่าภูมิใจที่ปู่ของเธอได้ไปทำงานในสยามและเป็นส่วนหนึ่งของคณะที่ปรึกษากฎหมายเบลเยียมสนองราชการในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวของสยาม
คนเบลเยียมที่เธอรู้จักส่วนมาก ไม่ค่อยมีใครทราบเรื่องคณะที่ปรึกษากฎหมายเบลเยียมในสยามมากนัก ซึ่งเธอจะรู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่จะได้เล่าเรื่องของปู่ของเธอให้เพื่อนๆ ฟัง
เธอเล่าว่า ย่าของเธอเป็นคนชอบดนตรีและได้นำเอาเปียนโนไปสยามด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่โกลาหลมาก เนื่องจากต้องขนเปียนโนดังกล่าวลงเรือ ขึ้นเรือหลายครั้งกว่าจะถึงสยาม ทำให้เมื่อถึงบ้านพักในสยาม
ปู่ของเธอต้องจ้างช่างดนตรีให้มาจูนเสียงกันใหม่ เธอเล่าว่า เปียนโนหลังนั้น นับเป็นหลังเดียวในสยามในขณะนั้นเลยทีเดียว
เมื่อถามว่า หลังจากที่เอมิล จอตตรองกลับมาจากสยามแล้ว ได้ทำอะไรบ้าง เธอเล่าว่า…หลังจากกลับมาจากสยาม ปู่ของเธอได้ไปบริหารวิทยาลัยการค้าแห่งหนึ่งในเมือง Mons ใกล้เขตแดนฝรั่งเศส วิทยาลัยดังกล่าวมีชื่อว่า Institut Commerce Warocque ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็น Institut superieur de commerce du Hainaut ที่มีชื่อเสียง ปู่ของเธอได้เขียนบทความและข้อเขียนเกี่ยวกับสยามหลายชิ้น ที่มีชื่อมากที่สุดได้แก่บันทึกการเดินทางเรื่อง Au Siam :Journal de Voyage de M. et Mme. Emile Jottrand จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Plon ในปี ค.ศ 1905 ซึ่งปรากฎว่าได้รับความนิยมจากผู้อ่านชาวเบลเยียมจนต้องจัดพพิมพ์เป็นครั้งที่ 2
เนื้อหาสาระเป็นจดหมายบันทึกการเดินทางรายวันของนาย Jottrand และภรรยา ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงจนวันสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสยาม ซึ่งเป็นบันทึกที่ค่อนข้างละเอียดมาก (จดหมายฉบับแรกคือวันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม 1898 และฉบับสุดท้ายคือวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 1902) ผู้เขียนได้บันทึกเรื่องราวของชีวิตในสยามทั้งในด้านการงานและส่วนตัวแทบจะทุกๆเรื่อง อาทิ ได้กล่าวถึง ความรู้สึกแรกที่ได้มาเห็นสยาม ราชสำนัก ข้าราชการ ชาวสยาม ชาวต่างชาติในสยาม คนรับใช้ในบ้าน การพิจารณาคดี ภูมิประเทศและภูมิอากาศ วัฒนธรรม กษัตริย์ ฯลฯ ความละเอียดของบันทึกดังกล่าว ทำให้ Au Siam เป็นหนังสือที่มีข้อมูลเกี่ยวกับสยามที่สำคัญเล่มหนึ่งซึ่งต่อมาสำนักพิมพ์ White Lotus โดย นาย Walter J. tips ได้จัดแปลและพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษเผยแพร่ ชื่อว่า In Siam นอกจากบันทึกการเดินทางดังกล่าวแล้วเขาได้เขียนบทความเรื่อง Europeens et Asiatiques และการปฎิวัตในสยามในวารสาร le Flambeau รวมทั้งการให้สัมภาษณ์ลงหนังสือพิมพ์ Le Soir ในโอกาสการเสด็จเยือนเบลเยียมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในรัชกาลปัจจุบัน ในปี ค.ศ 1960 ด้วย
ในปี ค.ศ 1909 ปู่และย่าของเธอได้เขียนเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวในอินโดจีนและญี่ปุ่น (Indo-Chine et Japon) จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Plon ปารีส เนื้อเรื่องเป็นการเล่าถึงการเดินทางทางเรือจากอิตาลี ท่องมหาสมุทร์ไปยังประเทศอินโดจีนที่ไกลโพ้นทะเล ในหลายบทได้เล่าถึงการแวะเยือนสยามไว้อย่างน่าประทับใจด้วย และเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่มีส่วนทำให้ปู่ของเธอมีชื่อเสียงมากที่สุดในบรรดาคณะที่ปรึกษากฎหมายเบลเยียมในสยาม จะยกเว้นก็อาจจะมีเพียงเมอร์ซิเออชาลส์ บูลส์ อดีตนายกเทศมนตรีกรุงบรัสเซลส์ที่เดินทางไปสยามและกลับมาเขียนเรื่อง สยามสเก๊ตซ์ (Croquis Siamois) จนมีชื่อเสียงโด่งดังในเบลเยียมเช่นเดียวกัน
เธอได้เล่าถึงประสบการณ์ที่น่าทรงจำเหตการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลปัจจุบันเสด็จเยือนเบลเยียมในปี ค.ศ.1960 ปู่ของเธอได้รับเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่ฝ่ายเบลเยียมจัดถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีนาถด้วย เธอจำได้ดีว่าเธอเองเป็นคนขับรถไปส่งปู่กับน้าสาวที่พระราชวัง โดยตัวเธอนั่งรออยู่ในรถ
นอกจากนั้น เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเจ้าโบดวง แห่งเบลเยียมเสด็จเยือนประเทศไทย ในปี ค.ศ. 1964 (4 กุมภาพันธ์ 1964) สมเด็จพระเจ้าโบดวงได้มีโทรเลขสั้นๆ *ถึงปู่ของเธอ เพื่อแจ้งว่าทั้งสองพระองค์ได้เสด็จมาถึงประเทศสยามหรือไทยซึ่งเป็นประเทศที่ Emile Jottrand ปู่ของเธอได้ทุ่มเทให้อย่างมากแล้ว ซึ่งปู่ของเธอก็ได้ตอบโทรเลขของพระเจ้าโบดวง ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1964 * ด้วยความปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด
Emile Jottrand ยังได้ระบุในหนังสือตอบด้วยว่า ตนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่รู้ว่า หลังจากเวลาผ่านไป 60 ปี ชาวสยามยังคงตระหนักและระลึกถึงคุณงามความดีต่างๆ ที่นายกุสตาฟ โรแลง ยัคแมงส์ หรือเจ้าพระยาอภัยราชาและคณะที่ปรึกษากฎหมายชาวเบลเยียมได้สร้างไว้ให้กับสยาม
สำหรับในส่วนตัวของนาย Jottrand นี้ ได้กราบทูลพระเจ้าโบดวงอย่างตรงไปตรงมาว่า จากการที่ได้เดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ หลายประเทศ ประเทศไทย (หรือสยาม) อยู่ในความประทับใจของตนเป็นอันดับแรก เหตุผลก็คือความมีมารยาทงดงามที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้ของชนชาวสยาม ความรวดเร็วและง่ายดายในการเรียนรู้วิชาการต่างประเทศรวมทั้งการแสดงไมตรีจิตและน้ำใจต่อผู้อื่นในเรื่องต่างๆ แทบทุกเรื่องไม่ว่าดีหรือไม่ดี ชาวสยามจะมีวิธีการแสดงออกที่งดงามเสมอ*
พูดถึงเรื่องชื่อของนาย Jottrand มีข้อสังเกตว่าฝ่ายสยามพยายามสะกดชื่อดังกล่าวเป็นภาษาไทยซึ่งก็มีผลทำให้นาย Jottrand มีชื่อเป็นไทยหลายชื่อ ตั้งแต่ นายชวดตรอง นายยอดตรัง และแม้กระทั่งนายยอดทอง*
จากการที่ครอบครัว Jottrand เกี่ยวข้องกับสยามมากเช่นนี้ ทำให้เราคาดว่าเธอคงจะได้รู้จักและเคยไปเที่ยวเมืองไทยหลายครั้งแล้ว แต่ผิดคาด เธอตอบว่าเธอยังไม่เคยไปเที่ยวประเทศไทยเลยแม้ สักครั้งเดียว
ที่มา
http://forums.thaieurope.net/index.php?action=printpage;topic=313.0