เรื่องของควายจบ เรื่องของคนยังไม่จบ
ขอถามคุณหมอเพ็ญชมพูค่ะ
ถ้า ' รัตน์ วงษ์ซี' ปล่อยเจ้าบุญรอดเข้าป่า แทนที่จะเข้าวัด ตีซะว่าให้ไปอยู่ในป่าใหญ่นเรศวร หรือป่าแห่งใดแห่งหนึ่งที่คุณตั้งไปด้อมๆ เดินสำรวจหินแร่อยู่
ตัดประเด็นว่าจะถูกชาวบ้านแถวนั้นไล่ล่าเอาเนื้อมาทำเนื้อเค็ม ควายอย่างบุญรอดจะดำรงชีวิตอยู่ได้ไหมคะ
ก่อนคุณหมอจะเข้ามาตอบ ผมขอซีเรียสหน่อย
จากประสบการณ์เรื่องเจ้าบุญรอด ทำให้ผมพบสัจธรรมของโลกว่า สัตว์ที่มาเกิดเป็นเหยื่อเพื่อให้สัตว์ที่เป็นนักล่าฆ่าเป็นภักษาหารนั้น คงจบชีวิตด้วยการถูกฆ่าเอาเนื้อทั้งสิ้น จะแก่ตายจริงๆคงจะน้อยจนเปอร์เซ็นต์ใกล้ศูนย์ สัตว์ป่าแก่ๆก็จบชีวิตเพราะหนีผู้ล่าไม่ทัน มิใช่หมดอายุขัย
สัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน ยิ่งแล้ว ไม่มีใครทนภาระที่จะเลี้ยงดูมันยามแก่ได้ พ่อแม่ตัวเองบางที คนจำพวกนั้นยังไม่ดูแลเลย ภาระที่สำคัญของเขาคือ หาอาหารใส่ปากใส่ท้อง
เป็นความเขลาของผมแท้ๆ ที่ในตอนนั้นคิดว่า ผมจะช่วยควายตัวหนึ่งให้พ้นบ่วงกรรมของการถูกฆ่าได้ไปตลอดรอดฝั่ง
จากนั้น ผมก็รู้จักพรหมวิหารสี่ ในเรื่อง "อุเบกขา" ที่พระอรรถคถาจารย์แปลว่าการวางเฉย ฟังดูคล้ายๆความประพฤติของคนเห็นแก่ตัว ซึ่งความจริงไม่ใช่
อุเบกขาคือความรู้สึกที่เป็นกลางต่อทุกสรรพสิ่ง อันเนื่องมาจากความเข้าใจว่า โลกมันก็เป็นของมันเช่นนั้นแล ผลทุกอย่างเกิดจากเหตุทั้งสิ้น
เหตุนั้นคือกรรมที่เคยก่อไว้ และกรรมนั้นก็เป็นเครื่องนำให้จิตวิญญาณดวงหนึ่งไปเกิดในอบาย เสวยชาติเป็นดิรัจฉาน และยังจำแนกอีกว่าเป็นดิรัจฉานประเภทไหน บางตัว เช่นแม่หนูที่ขี่คอผมอยู่ในภาพโน้น ขอเชื่อเถิดว่ามันสุขสบายกว่ามนุษย์ในโลกนี้ไม่รู้ว่าจะกี่สิบเปอร์เซนต์ ผมเลี้ยงพวกมันจนแก่ตายไปหลายรุ่นแล้ว โชคดี พวกมันไม่ได้ไปเกิดในสังคมที่เขากินหมา
สัตว์ผู้ล่าและถูกล่าในป่า ถ้าใครไปฝืนวงจรชีวิตเขา เช่นไปช่วยไม่ให้ควายถูกเสือฆ่า จะรู้ไหมว่าเสือตัวนั้นก็ต้องอดอาหาร ดีไม่ดี หากเป็นเสือแม่ลูกอ่อนและอดอาหารจนไม่มีน้ำนมพอจะเลี้ยงลูก โศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นอยู่ดี
เมื่อเข้าใจได้ ใจก็เป็นกลางมากขึ้น อะไรจะเกิดก็ย่อมต้องเกิด