naitang
|
ความคิดเห็นที่ 255 เมื่อ 19 พ.ค. 17, 19:31
|
|
ควาญช้างจะขัดล้างผิวหนังของช้างมากที่สุดในบริเวณสันหลังของช้าง (ทั้งสองข้างของแผ่นหลัง) บริเวณข้างตัวที่เป็นแนวของแถบเชือกรัดแหย่ง (ที่รัดรอบตัวบริเวณรักแร้ของช้าง) ที่บริเวณคอที่ควาญช้างนั่ง และที่บริเวณโหนกหัว (คงจะเกี่ยวกับการทำความสะอาดแผลจากตะขอหรือมีด)
เมื่อขัดสีฉวีวรรณเสร็จแล้ว ควาญช้างก็จะปล่อยให้ช้างได้นอนแช่น้ำอีกสักพักหนึ่งก่อนที่จะให้ลุกขึ้นไปแต่งตัว น่าเอ็นดูดีนะครับ อยู่กันด้วยความเข้าใจความต้องการซึ่งกันและกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 256 เมื่อ 20 พ.ค. 17, 18:54
|
|
ว้นใหนที่เส้นทางเดินค่อนข้างจะง่าย คือเดินตามทางด่านสัตว์ ก็มีอีกภาพหนึ่งที่น่าดู แทนที่ควาญช้างจะนั่งอยู่บนคอในลักษณะที่เอาเท้าแนบไว้ที่ข้างหูช้าง ก็จะนั่งในอีกท่าหนึ่งคือเอาเท้าห้อยไว้ที่โหนกหัวของช้าง ปล่อยให้ช้างเดินไปตามทางเองโดยไม่ต้องมีการบังคับ ช้างเองก็รู้ว่าต้องเดินไปทางนั้น ไม่ต้องเดินออกนอกทางจนกว่าจะได้รับการสั่งการจากควาญช้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 257 เมื่อ 20 พ.ค. 17, 19:19
|
|
แล้วก็มีภาพที่น่าดูผนวกเข้าไปอีก เมื่อทั้งช้างและคนอยู่ในอารมณ์ที่ผ่อนคลาย ควาญช้างก็ยังเอาวิทยุมาเปิดเสียงดังฟังข่าวสารและเพลงบนคอช้างอีกด้วย
ในสมัยนั้นมีวิทยุทรานซิสเตอร์คลื่น AM ที่ผลิตโดยบริษัทของไทยอยู่ยี่ห้อหนึ่ง (หนึ่งเดียวในสมัยนั้นและในปัจจุบันก็ยังมีผลิตขายอยู่) เสียงดังฟังชัดในพื้นที่ป่าเขาทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดและ ณ จุดใดก็ตาม ดีกว่าวิทยุมีชื่อที่นำเข้ามาขายเสียอีก ที่เกือบจะเป็นใบ้ รับคลื่นใดๆเกือบจะไม่ได้เอาเสียเลย พอจะรับฟังได้บ้างก็ในข่วงเวลาเย็นที่อากาศมีความหนาแน่นมากขึ้น
วิทยุ Made in Thailand เครื่องนี้ มีความแข็งแรงทนทานมาก ตกหล่นอย่างไรก็ยังเปิดฟังได้ ผมเคยต้องเปลี่ยนตัวเครื่องซึ่งตกแตกจนไม่น่าดูแล้ว ย้ายเครื่องในซึ่งมีอยู่ไม่กี่ชิ้น เอามาใส่ในแกลลอนน้ำมันเครื่องของรถยนต์ กลายเป็นวิทยุประจำหน่วยที่พกพาไปทั่วทุกป่าที่เข้าไปทำงาน ก็ยังใช้ได้ต่อมาอีกหลายปีโดยไม่ต้องกลัวตกแตก อึดจริงๆครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 258 เมื่อ 22 พ.ค. 17, 18:37
|
|
ที่เอาวิทยุเข้าป่าไปด้วย มิใช่เรื่องเพื่อความสุขนะครับ แต่เพื่อจะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากภายนอกบ้าง เป็นการสื่อสารแบบ one way communication เป็นสื่อเดียวที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้ทุกที่ แต่ก็น่าเสียดายที่สาระที่ส่งกระจายเสียงออกมาทั้งวันเกือบทั้งหมดนั้นมีอยู่สองเรื่องหลักๆ คือ เพลง และโฆษณาขายของ รายการที่เป็นสาระทางความรู้มีน้อย และที่มีก็ยังเหมาะสำหรับคนในเมือง ก็ยังดีที่ชาวบ้านยังนิยมเปิดฟังข่าวของสถานีวิทยุแห่งประเทศไทยในตอนเย็น ส่วนข่าวเช้านั้นส่วนใหญ่จะฟังรายการของนายหนหวย สำหรับในช่วงเวลาสายๆและบ่ายๆ ก็จะมีรายการกระจายเสียงที่พอจะแยกออกได้เป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มละครวิทยุซึ่งชาวบ้านในเขตเมืองจะนิยมฟังกัน ส่วนชาวบ้านป่าก็จะฟังรายการเพลง ซึ่งน่าจะเป็นรายการโฆษณาสลับเพลงเสียมากกว่ารายการเพลง... เรียกว่าฟังแก้ง่อม คือฟังไปงั้นแหละ ใช้เสียงเป็นเพื่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 259 เมื่อ 22 พ.ค. 17, 19:33
|
|
สภาพในปัจจุบันนี้ก็ดูจะไม่ต่างไปจากสมัยนั้น แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าอย่างมากมายทางเทคโนโลยีและทางวิทยาการของสื่อ
สถานีวิทยุการในปัจจุบันนี้เกือบทั้งหมดกระจายเสียงด้วยระบบ FM ซึ่งมีข้อจำกัดในด้านพื้นที่ครอบคลุมและอุปสรรคที่ขวางกั้นการกระจายของคลื่น ต่างกับคลื่นในระบบ AM ที่เกือบจะไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ครอบคลุมและอุปสรรคขวางกั้น แต่มีสถานีออกอากาศเหลืออยู่ในปัจจุบันนี้น้อยมาก สาระที่ต่างๆที่ออกอากาศในระบบ FM ต่างๆ จะว่าไปแล้วก็อยู่บนพื้นฐานของการโฆษณาและเพลงเป็นหลักเช่นเดียวกันกับสมัยก่อน แม้ว่าจะมีสถานีที่เน้นสาระทางข่าวสาร แต่ด้วยความจำกัดของพื้นที่ครอบคลุมก็จึงมีประโยชน์ในวงจำกัด ชาวบ้านห่างไกลก็ยังคงต้องฟังวิทยุแบบมีแต่โฆษณากับเพลงอยู่เช่นเดิม แถมในหลายพื้นที่ก็ยังรับฟังได้แบบขาดๆวิ่นๆอีกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 260 เมื่อ 22 พ.ค. 17, 20:38
|
|
ประเด็นของเรื่องก็เพียงจะบอกว่า ข้อมูลข่าวสารที่น่าจะกระจายได้ในวงกว้างตามพัฒนาการทางเทคโนโลยี วิทยาการและสื่อ ดูจะกลับกลายเป็นว่ามีวงจำกัดแคบลงไปมากกว่าสมัยก่อน ข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหลายจะมีอยู่ในเฉพาะพื้นที่หนึ่งเท่านั้น เมื่อเริ่มห่างออกไปจากพื้นที่นั้นๆ ข้อมูลข่าวสารก็จะเริ่มแปรเปลี่ยนไป มีทั้งใส่ไข่ ใส่สี ตีความ ขยายความ จนสุดท้ายกลายเป็นข่าวลม เกิดเป็นข่าวลือ เกิดเป็นข่าวที่มีความจริงอยู่เพียงนิดเดียว นี๊ดเดียวจริงๆ
ข่าวสารที่ออกอากาศจากสถานีใน กทม. จะครอบคลุมพื้นที่ของ กทม.และปริมณฑลเท่านั้น เมื่อออกนอกเขตปริมณฑลก็ขาดหายไป รับฟังไม่ได้อีกต่อไป จะต่อข่าวได้อีกครั้งก็เป็นข่าวเล่าต่อเลียแล้ว ยิ่งห่างจากออกไปข่าวก็ยิ่งเปลี่ยนไป แล้วชาวบ้านที่อยู่ไกลปืนเที่ยงจะได้ฟังหรือได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงครบถ้วนได้อย่างไร ผมขับรถออกต่างจังหวัดบ่อยๆจากกรุงเทพถึงเชียงรายโดยเฉพาะในช่างที่มีการชุมนุมต่างๆ จากที่มีข่าว(วิทยุ)หลากหลาย ค่อยๆกลายเป็นเกือบจะไม่มีข่าวอะไรเลยเพียงพ้นเขตกรุงเทพฯไปเท่านั้นเอง แล้วก็ถึงระดับที่คุยกับคนท้องถิ่นแบบคนละเรื่องเดียวกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 261 เมื่อ 23 พ.ค. 17, 19:37
|
|
ท่านทั้งหลายที่ชอบออกต่างจังหวัด หรือชอบท่องเที่ยวในพื้นที่ป่าเขา ผมมีความเห็นว่า ท่านควรจะต้องมีวิทยุพกพาที่สามารถรับฟังคลื่น AM ได้ติดตัวไปด้วย ควรจะลองเปิดหาคลื่นแล้วฟังดู และก็ควรจะบันทึกคลื่นความถี่ที่รับฟังได้นั้นไว้ด้วย วิทยุติดรถยนต์ต่างๆก็สามารถรับฟังวิทยุในระบบนี้ได้ ลองเปิดฟังดูนะครับ มีอยู่อย่างน้อยก็
สถานีวิทยุที่ยังคงกระจายเสียงด้วยคลื่นวิทยุในระบบ AM นี้ โดยลึกๆแล้วก็คือระบบสำรองสำหรับการกระจายข้อมูลข่าวสารในสภาวะที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ในภาพง่ายๆก็คือ เสาส่งต้นเดียว สามรถรับฟังได้หลายจังหวัดเกือบจะครอบคลุมได้ทั้งภูมิภาคเลย ต่างกับระบบ FM ที่จะต้องใช้เสาส่งหลายต้นและต้องใช้ระบบ Repeater หรือจะต้องมีเจ้าหน้าที่ช่วยดำเนินการถ่ายทอดสัญญาณ
ในปัจจุบันนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยสถานีที่มีคุณภาพไม่เป็นรองพวกสถานี FM เน้นสาระที่ประเทืองความรู้แบบ positive approach
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 262 เมื่อ 23 พ.ค. 17, 20:29
|
|
วิทยุที่เอามาเปิดฟังเสียงดังลั่นป่านั้นก็มีเหตุผลแฝงอยู่ด้วยเรื่องหนึ่ง คือ
ในสมัยนั้น เป็นช่วงของการต่อสู้ทางความคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองการปกครอง เมื่อเดินไปใหนมาใหนในป่า พบชาวบ้านเมื่อใดก็จะได้รับคำถามบ่อยมากว่า มีวิทยุใหม แรกสุดก็มีความสงสัยกับคำถามนี้ว่าถามไปทำไม แล้วก็ถึงบางอ้อโดยเร็ว ก็คงเข้าใจนะครับว่าเขาถามไปทำไม เราก็เลยเอาวิทยุออกมาเปิด ได้ยินเสียงไปไกล เพื่อเป็นการแสดงว่ามาทำงาน มิใช่มาเพื่อการล่าสัตว์ มาแบบเปิดเผย มิใช่มาแบบแอบๆซ่อนๆมีลับลมคมใน เมื่อถูกถามว่ามีวิทยุใหม เราก็ชี้ไป บนหัวช้างนั่งไง ก็ทำให้ความแครงใจทั้งหลายได้หายไปเกือบหมด เล่ามาเพียงเท่านี้ก็คงพอจะเห็นภาพได้นะครับ ว่าอิทธิพลทางความคิดที่แพร่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆในสมัยนั้นเป็นเช่นใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 263 เมื่อ 24 พ.ค. 17, 17:35
|
|
แล้วก็ที่ผมต้องจ้างช้างและชาวบ้านซึ่งนอกจากจะเพื่องานแล้ว ก็เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพวกผมเอง การจ้างก็มิใช่ผมจะเป็นผู้เลือกได้ว่าจะจ้างผู้ใด เป็นเรื่องของสุดแท้แต่หัวหน้าชุมชุน (กำนัน สารวัตรกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน)จะจัดให้ว่าจะเป็นผู้ใด ซึ่งจะต้องมี 2 คนเป็นอย่างน้อย อย่างว่าแหละครับ คนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบ เขาก็กลัวถูกหมกป่าเช่นกัน กรณีจ้างช้าง 2 ตัวนี้ก็คือการจ้างชาวบ้านรวมกัน 4 คน แต่แรกนั้นเขาจะให้จ้างรวม 5 คนด้ายซ้ำไป แต่เราต่อรองได้เหลือเพียง 4 คน
ที่หัวหน้าชุมชนขอเป็นฝ่ายเลือกคนให้เรานั้น หนึ่งในคนที่เขาเลือกให้นั้นจะเป็นคนสนิทของเขา เหตุผลลึกๆมีอยู่หลายเรื่อง แต่ที่สำคัญคือ การสืบหาข่าว ติดตามความเคลื่อนไหว พิสูจน์ทราบการมาปรากฎตัวและการทำงานของเรา และได้รู้จักสถานที่และพื้นที่ใหม่ๆที่ไม่เคยเข้าไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 264 เมื่อ 24 พ.ค. 17, 18:13
|
|
มันเป็นเรื่องของกระบวนการรู้เขารู้เรา ด้วยวิธีการเข้าให้ถึงต้นตอของข้อมูลที่ต้องการจะทราบ คนของเขาจึงต้องเข้าถึงตัวผม ส่วนผมเองไม่มีความจำเป็นถึงขนาดนั้น นั่นแหละ เลขานุการ....ทั้งหลายจึงได้รับการปฎิบัติที่ดีและได้รับความเป็นกันเองจากผู้ที่เข้ามาติดต่อและประสานงานเสมอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 265 เมื่อ 24 พ.ค. 17, 18:45
|
|
วกกลับเข้ามาต่อเรื่องช้าง
คงจะได้เคยเห็นภาพว่า ในขณะที่ช้างกำลังทำงานนั้น จะมีควาญช้างหรือคนที่เป็นตีนข้างยืนอยู่ติดๆกับขาหน้าซ้ายของช้าง บางทีก็เห็นดึงมีดออกจากฝักที่เหน็บอยู่ที่เอวมาถือไว้ ทำท่าคล้ายกับว่ากำลังจะฟันอะไรสักอย่างหนึ่ง สักประเดี๋ยวก็เก็บเข้าฝัก
ก็เป็นภาพของช้างที่กำลังจะดื้อ จะไม่ยอมทำตามคำสั่ง มีดที่เขาดึงออกมาจากฝักนั้นเป็นการขู่ว่า หากไม่ทำก็จะโดนสันมีดเคาะที่โคนเล็บหรือโคนงา(หรือขนาย)ตรงบริเวณที่มีหนังปิดอยู่ เป็นจุดอ่อนของช้าง เจ็บมากและกลัวมาก ก็คงไม่ต่างไปจากคนเราและสัตว์อื่นๆที่เมื่อโดนอะไรที่โคนเล็บแล้วจะรู้สึกเจ็บปวดมากๆ
แล้วช้างจะเจ็บมากเพียงใด ?? ก็มากพอที่หยุดการกระทำใดๆในขณะที่กำลังทำร้ายคน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 266 เมื่อ 24 พ.ค. 17, 19:20
|
|
เท่าที่เคยเห็นมา จุดที่คนยืนกำกับช้างจะอยู่ที่บริเวณขาหน้าซ้ายเสมอ ไม่เคยเห็นยืนอยู่ที่บริเวณขาหน้าขวา และก็แน่นอนว่าคงไม่มีผู้ใดไปยืนกำกับอยู่ที่บริเวณขาหลัง
ควาญช้างเอง จะขึ้นคอ/ลงคอช้าง ก็ขึ้น/ลงทางด้านขาซ้าย ให้ช้างใช้ยกขาซ้ายช่วยส่งและช่วยรับ
ก็คงจะเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรที่น่าจะสนใจมากนัก ไม่ต่างไปจากภาพของการขึ้น/ลงและจอดจักรยาน หรือขึ้น/ลงและจอดมอเตอร์ไซด์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 267 เมื่อ 24 พ.ค. 17, 19:37
|
|
เป็นเรื่องของคนถนัดขวาทั้งนั้น
ผมคิดว่าช้างก็จะถนัดขวาเช่นกันกับเรา ?? ตัวผมเองไม่มีความรู้และไม่มีข้อเท็จจริงใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่มีข้อสังเกตเล็กๆน้อยๆ(ดังที่ได้เล่าผ่านมาแล้ว)ว่า เมื่อช้างลงน้ำมันจะเริ่มด้วยการนอนตะแคงไปทางขวา ดูลักษณะอาการคล้ายๆกับคนที่ถนัดขวาซึ่งจะเอนตัวลงนอนไปทางขวาก่อนที่จะพลิกตัวไปด้านอื่น (??)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 268 เมื่อ 25 พ.ค. 17, 18:54
|
|
แล้วช้างหลับยังไง ยืนหลับ หรือ หมอบหลับ ?
ผมไม่เคยเห็นช้างในขณะที่มันกำลังหลับ แต่ก็เชื่อว่าน่าจะมีทั้งสองลักษณะ การยืนหลับนั้น อนุมานได้จากคำบอกเล่าของควาญช้างที่ได้เล่าว่า เคยตามไปดูช้างที่ปล่อยให้หากินหลังจากที่ตนเองได้ดื่มเหล้าจนพอเมา ว่าได้นั่งหลับพิงขาช้าง ช้างก็ยืนนิ่งๆให้นั่งพิงหลับไปนาน และในอีกภาพหนึ่งที่บ่งชี้ว่าน่าจะเป็นการยืนหลับก็คือ ช้างในสวนสัตว์ต่างๆ ที่ถูกล่ามโซ่ไว้ที่ข้อเท้า ซึ่งน่าจะต้องเป็นการยืนหลับมากกว่าจะเป็นการนั่งหลับ แต่..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 269 เมื่อ 25 พ.ค. 17, 19:21
|
|
แต่ที่ในตะพักลำห้วยแม่กะสา ในป่าแม่วงก์ จ.นครสวรรค์
รุ่งเช้าวันหนึ่งในช่วงต้นปีซึ่งมีอากาศหนาวเย็น ได้เดินไปตามห้วยเพื่อไปทำงาน ก็พบรอยเท้าช้าง เมื่อเดินตามไปก็ได้พบหญ้าราบเป็นวงๆอยู่ 6 วง ยังเห็นไออุ่นได้อย่างชัดเจน ซึ่งแสดงว่าช้างเพิ่งจะลุกเดินออกไป แสดงว่าช้างคงจะนอนหลับในลักษณะของการหมอบหลับ เสียววูบขึ้นมาในทันทีเลย อาจจะซวย หากเดินมาถึงจุดนั้นเร็วกว่านี้ก็อาจจะถูกช้างไล่เตลิดเปิดเปิงไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะเป็นความโชคดีที่ช้างโขลงเล็กๆนี้ได้ยินเสียงของเราและเลือกที่จะเดินหลบไป
ตอนเดินไปตามรอยช้างนั้น ก็ได้พิจารณาแกะรอยดู รู้ว่าเป็นรอยใหม่ พบว่ามีตัวเมียแน่ๆและก็มีลูกช้างด้วย แต่ไม่รู้ว่ามีกันทั้งหมดกี่ตัว เพราะช้างที่เดินตามกันจะเหยียบซ้ำรอยเท้าเดิมของตัวที่เดินนำหน้าถัดไป ที่ต้องให้ความสนใจแกะร่องรอยเท้าช้างนั้น เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ เพื่อจะดูว่าจะเป็นรอยของเจ้าสีดอหรือไม่ เจ้าตัวอันตรายที่ไล่ทำร้ายเราได้เกือบจะทุกเมื่อที่จ๊ะเอ๋กัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|