เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: han_bing ที่ 10 ก.ค. 11, 10:56



กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 10 ก.ค. 11, 10:56
เรียนสมาชิกเรือนไทย

ช่วงนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าการนั่งระลึกชาติช่างเป็นที่นิยมเหลือเกิน เดินผ่านร้านหนังสือในไทยเห็นหน้าปกเกี่ยวกับการมองชาติที่ผ่านมามากมาย

ผู้เขียนเองก็เคยไปถือศีล และฟังพระที่นับถือท่านเทศน์ ท่านไม่ปฏิเสธเรื่องอดีตชาติ แต่ท่านก็ไม่พูดเรื่องให้ไปนั่งระลึกชาติ ท่านเน้นมากๆคือกรรมอันเกิดจากการกระทำท้ังจากปัจจุบัน และจากอดีต (ท่อนนี้ท่านว่าเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ แต่ท่านฟังจากพระอาจารย์ของท่านอีกที)

โดยส่วนตัวของข้าพเจ้าเองออกจะเชื่อเรื่องอดีตชาติอยู่บ้าง จริงๆถ้าพูดให้ถูกต้องว่าเชื่อเรื่องกรรมเก่า เคยเจอกับตัวเองมาเป็นเหตุน่าอัศจรรย์ กล่าวคือ เคยป่วยหนักปางตาย ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีอาการใดๆ ที่บ้านได้แต่ทำใจไว้แล้ว ข้าพเจ้าเองขอออกไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งแถวๆสยาม เพราะไหนๆก็ไหนๆ ขอทำบุญสักหนขณะที่พอจะมีแรงทำ พอไปมีพระภิกษุชราเห็นข้าพเจ้าท่านบอกว่าให้ทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวร...ด่วน ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ออกจะงงๆ พอกลับไปบ้านเล่าให้ที่บ้านฟัง แม่ซึ่งไม่ได้ไปวัดกับข้าพเจ้าก็หน้าซีด...และเล่าว่ามีคนทักเหมือนกันแต่แม่ไม่เชื่อเรื่องพรรณนี้ สุดท้ายเลยไปถือศีล ด้วยคำแนะนำจากพระที่นับถือ ว่าการรักษาศีลจะเป็นการประพฤติที่ดีที่สุด และอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย

แปลกแต่จริง พอไปถือศีล อาการป่วยค่อยๆดีขึ้นอย่างน่าตกใจ จากเดินไม่ได้ก็กลับไปเดินได้อีกครั้ง หมอที่รักษาก็งง ข้าพเจ้าเองก็งง ภายหลังชีวิตก็ได้เจอเหตุอัศจรรย์เล็กๆว่าด้วยเรื่องชาติภพที่ผ่านมา ไม่ได้ไปนั่งระลึกชาติเอง แต่ฝันเห็น แล้วจู่ๆมีคนมาทักสิ่งที่เราฝันอย่างละเอียด

ตัวข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนั้นเลยออกจะเชื่อเรื่องกรรมเวรในอดีต ภายหลังเริ่มรู้สึกว่าคนไทยรอบๆตัวก็เชื่อเช่นนี้เยอะแยะ  ที่บ้านก็เล่าว่า ครั้่งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ของเราเคยมีคดีทรงเจ้าเข้าผีกลับชาติมาเกิดยกใหญ่ และหลายสิบปีก่อน ก็มีเรื่องเด็กหญิงอะไรก็ไม่รู้เป็นวิญญาณ แล้วมาช่วยคุณหมอสักท่านที่ป่วย

ข้าพเจ้ายกขึ้นมานี้ไม่ได้หวังชวนให้คนงมงาย แต่ด้วยอยากทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดังในสังคมไทยกี่ครั้ง และเรื่องดังกล่าวท่านใดเคยอ่านผ่านตาบ้าง ข้าพเจ้าอยากได้ประดับเป็นความรู้

สวัสดี


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 10 ก.ค. 11, 11:17
ปล. ไม่ได้ชวนให้งมงาย แต่สงสัยจริงๆว่าเหตุใดยุคนี้ (หรืออาจก่อนหน้านี้) คนไทยจึงนิยมเรื่องเหล่านี้นัก คิดว่าเพราะสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศหรือไร ถึงขั้นอยู่ในขีดน่ากลัว เพราะข้าพเจ้าถูกสอนว่า "เกิดแล้วดับ แล้วผ่าน รู้เรื่องที่ผ่านอย่าได้ยึดติด อาจเป็นเพียงความหลงนึก แต่จำไว้ว่าหากเป็นสิ่งที่เรารู้ว่าทำแล้วไม่ดี จะเคยทำมาจริงหรือไม่ ก็ขออย่าได้ปฏิบัติเช่นนั้นอีก"

แต่ดูหนังสือปัจจุบันมีอะไรแปลกที่ข้าพเจ้ารู้สึกเชิงน่ากลัวมากมาย


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ก.ค. 11, 20:43
นึกไม่ออกว่าในประวัติศาสตร์ไทยมีการบันทึกเรื่องระลึกชาติไว้แบบเป็นทางการหรือไม่
หัวข้อนี้ต้องขอผ่านค่ะ    เชิญท่านอื่นดีกว่า


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Thida ที่ 13 ก.ค. 11, 09:12
บังเอิญเมื่อวานพบเว็บนี้ค่ะ

https://sites.google.com/site/reincarnationthailand/ceaphraya-sursakdi-mntri

มีประวัติส่วนหนึ่งของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (อ่านพบเฉยๆ นะคะ ยังไม่ได้ได้ค้นข้อมูลจากที่อื่นเพิ่มเติมว่าตรงกันหรือเปล่า เพราะถ้าค้นในเว็บส่วนมากก็สำเนาต่อๆ กันมา หาข้อเท็จจริงยาก)

เขาบอกว่าเขาได้ศึกษาเรื่องนี้จริง ก็เป็นเรื่องแปลก ส่วนมากคนที่ระลึกชาติได้ในข้อมูลมักจะเป็นการจากชาติที่แล้วอย่างไม่เต็มใจ

อ่านแล้วก็กึ่งน่ากลัว ก็ดีไปอย่างนะคะ การเชื่อชาติภพทำให้ตั้งใจสร้างสิ่งดีงามไว้ในแต่ละชาติ



กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ก.ค. 11, 17:36
อ้างถึง
และหลายสิบปีก่อน ก็มีเรื่องเด็กหญิงอะไรก็ไม่รู้เป็นวิญญาณ แล้วมาช่วยคุณหมอสักท่านที่ป่วย

ข้าพเจ้ายกขึ้นมานี้ไม่ได้หวังชวนให้คนงมงาย แต่ด้วยอยากทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดังในสังคมไทยกี่ครั้ง และเรื่องดังกล่าวท่านใดเคยอ่านผ่านตาบ้าง ข้าพเจ้าอยากได้ประดับเป็นความรู้

^
น่าจะเป็นเรื่องนี้นะครับ


http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=390


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 13 ก.ค. 11, 20:08
กระทู้นี้น่าสนใจ แต่ไม่ใช่ประเด็นจริงหรือไม่ เพราะไม่สำคัญเท่ากับ ได้อะไรจากการระลึกชาตินั้นค่ะ

พระพุทธเจ้า ในคืนก่อนจะตรัสรู้ ท่านก็ระลึกชาติได้ จากอำนาจของสมาธิขั้นสูง คือ ฌาน

ผลของฌาน จะทำให้มีอภิญญา หรือ อำนาจจิตวิเศษ ที่จำเรื่องในอดีตได้ราวกับตาเห็น

จึงย้อนไปเห็นภพชาติว่า เคยเกิดเป็นใคร หรือ อะไร ที่ไหน = ปุพเพนิวาสานุสติญาน

พระพุทธเจ้าได้อะไรจากการระลึกชาติ =>> เห็นกรรมที่เคยทำไว้ และ การรับผลของกรรมที่ผ่านมาแต่ละชาติ

เป็นปัญญาที่ช่วยให้เบื่อหน่ายคลายกำหนัด จิตพัฒนาเรื่อยไปตามลำดับจนบรรลุอริยสัจ 4 และนิพพาน

เขียนมายาว เพื่อ ยืนยันว่า การระลึกชาติมีจริงค่ะ ตายแล้วเกิดใหม่ จำอดีตชาติได้ มีจริงค่ะ

แต่จะต้องระวัง เพราะ ระลึกจริง หรือ จิตคิดไปเอง อันนี้ แยกได้ยากมาก หากเรายังมีกิเลส

ยิ่งไปให้คนอื่น ดูกรรมเก่าให้เรา ยิ่งเสี่ยงเข้าไปใหญ่ เรารู้ได้อย่างไรว่า เขามี อภิญญา

และขอเตือนว่า พระพุทธองค์เท่านั้น ที่จะระลึกชาติจนรู้กรรมและผลของกรรมของสัตว์ได้แม่นยำ

นอกนั้นไม่แน่นอนค่ะ เพราะกิเลสยังไม่หมด

พระรูปที่เตือนคุณหาญให้ไปทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรนั้น อาจเป็นได้ว่าท่านฝึกจิตมาดีจะทำให้เห็นอะไรที่ตาเนื้อไม่เห็นได้

แต่ไม่เสมอไปนะคะ อย่าไปติดยึด สมาธิที่ไม่แนบแน่น เสื่อมได้ค่ะ







กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 13 ก.ค. 11, 20:14
ดิฉํนมีหนังสือเเรื่องตายแล้วเกิดใหม่จำญาติในอดีตได้มากมาย อ่านแล้วก็งั้น ๆ ค่ะ

ที่น่าตกใจคือ พวก "ตายแล้วฟื้น" ยังไม่พบสักรายที่ตายจริง แต่เล่าเรื่องราวยาวเหยียดเป็นตุ เป็นตะ

เรื่องพวกนี้ ทางการแพทย์ ยืนยันได้ว่า ตายจริงหรือไม่

ทางหลักธรรมก็อธิบายได้หมด ว่าไอ้ที่อ้างว่าไปนรกสวรรค์มานั้นคืออะไร

มีทั้งหมอ ทั้งพระ มาให้เหตุผลมากมายแล้ว แต่ไม่ค่อยจะมีคนเชื่อกัน

มักจะเชื่อคนที่ "สลบแล้วฝัน" และยอมรับกันไปหมดว่า นั่นคือ "ตายแล้วฟื้น"


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.ค. 11, 20:24
สวัสดีค่ะ คุณ Navarat.C และคุณ Ruamrudee

ขอเล่าเป็นความรู้ประกอบ

ชาวพุทธเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด  ตามที่ปรากฏอยู่มากมายในพระไตรปิฎก  ว่าด้วยการเสวยพระชาติต่างๆของพระโพธิสัตว์ ก่อนจะตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณก่อนจะตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระพุทธเจ้าท่องเที่ยวในภพภูมิต่างๆนับแสนโกฏิชาติ เป็นคนบ้าง เทพบ้าง สัตว์บ้าง เท่าที่พบในชาดกเรื่องต่างๆ 547 เรื่อง ปรากฏว่า พระองค์ได้เสวยพระชาติต่างๆ ดังนี้

พรหม 1 ครั้ง พระอินทร์ 17 ครั้ง    เทวดา 44 ครั้ง คือ รุกขเทวดา 30 ครั้ง เทวดาทั่วไป 7 ครั้ง เทพบุตร 3 ครั้ง สมุทรเทวดา 3 ครั้ง อากาศเทวดา 1 ครั้ง
มนุษย์ชั้นสูง 184 ครั้ง คือ จักรพรรดิราชาและพระราชา 44 ครั้ง พระโอรสของพระราชา 23 ครั้ง พรามหมณ์ พราหมณ์มหาศาล 38 ครั้ง อาจารย์ทิศาปาโมกข์ 18 ครั้ง ปุโรหิต 18 ครั้ง อำมาตย์ มหาอำมาตย์ 15 ครั้ง บัณฑิต 12 ครั้ง ราชเสวก 10 ครั้ง พระยา 5 ครั้ง ราชครู 2 ครั้ง พนักงาน 1 ครั้ง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ 1 ครั้ง
มนุษย์ทั่วไป 80 ครั้ง คือ เศรษฐี บุตรเศรษฐี กฎุมพี 30 ครั้ง พ่อค้า 16 ครั้ง กุมาร 6 ครั้ง คนจนเข็ญใจ 4 ครั้ง ชาวนา 3 ครั้ง มาณพ 3 ครั้ง จัณฑาล 3 ครั้ง โจรและนายโจร 3 ครั้ง คนสอนช้าง 2 ครั้ง หมองู 1 ครั้ง ช่างทอง 1 ครั้ง ช่างหม้อ 1 ครั้ง ช่างตัดผม 1 ครั้ง นายขมังธนู 1 ครั้ง คนตีกลอง 1 ครั้ง นักเลงสุรา 1 ครั้ง นักกระโดด 1 ครั้ง คนงาน 1 ครั้ง ประชาชนทั่วไป 1 ครั้ง อาจารย์ดีดพิณ 1 ครั้ง มนุษย์ออกบวช 66 ครั้ง คือ พระดาบส 40 ครั้ง ฤษี 25 ครั้ง ปริพาชก 1 ครั้ง

 นอกจากนี้ ทรงบังเกิดเป็นเดรัจฉาน 114 ครั้งแยกเป็น สัตว์ป่า สัตว์บ้าน สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์น้ำ คือ
สัตว์ป่า วานร วานรเผือ และพระยาวานร 16 ครั้ง ราชสีห์ พระยาราชสีห์ 9 ครั้ง เนื้อทรายทอง พระยาเนื้อ 8 ครั้ง ช้าง ช้างแก้ว พระยาช้าง และพระยาช้างเผือก 7 ครั้ง สุนัขจิ้งจอก 2 ครั้ง กวาง กวางทอง 2 ครั้ง พระยาหนู 2 ครั้ง กระบือ 1 ครั้ง กระต่าย 1 ครั้ง กบ 1 ครั้ง
สัตว์บ้าน ม้า พระยาม้า 4 ครั้ง โค ดคอุสภะ 4 ครั้ง สุกร 1 ครั้ง สุนัขบ้าน 1 ครั้ง
สัตว์ปีก หงส์ พระยาหงส์ หงส์ทอง พระยาหงส์ทอง 8 ครั้ง พระยานก 3 ครั้ง นกกระจาบ 3 ครั้ง นกยูง นกยูงทอง 3 ครั้ง พระยากา 2 ครั้ง นกสุวโปดก 2 ครั้ง (นกแก้ว หรือนกแขกเต้า) พระยาครุฑ 2 ครั้ง พระยาไก่ พระยาไก่ป่า 2 ครั้ง นกดุเหว่า 2 ครั้ง นกหัวขวาน 2 ครั้ง นกกระทา 2 ครั้ง นกจากพราก 2 ครั้ง พระยานกออก 1 ครั้ง นกกาน้ำ 1 ครั้ง นกขมิ้น 1 ครั้ง นกมูลโค 1 ครั้ง
สัตว์เลื้อยคลาน ตะกวด (เหี้ย) พระยาเหี้ย 3 ครั้ง พระยานาค 3 ครั้ง
สัตว์น้ำ ปลา พระยาปลา 3 ครั้ง 3 ครั้ง

อภิญญาที่คุณร่วมฤดีเอ่ยถึง ขออธิบายว่า อภิญญา แปลว่า ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน
แบ่งเป็น 2 ระดับ คืออภิญญา 5  จัดเป็นชั้นโลกียะ คือยังอยู่ในระดับโลก  
    อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
    ทิพพโสต มีหูทิพย์
    เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
    ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
    ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
 
   การบรรลุอภิญญา 5 มีมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล    ฤๅษีชีไพรที่ฝึกจิตได้กล้าแข็งก็สามารถบรรลุได้มากมาย   แต่เป็นอภิญญาชั้นโลกียะ ไม่ทำให้หลุดพ้นจากกิเลส  พระเทวทัตเองก็สำเร็จอภิญญาชั้นโลกียะ
   ส่วนข้อ 6  เรียกว่า    อาสวักขยญาณ คือรู้การทำกิเลสให้สิ้นไป    เป็นคุณสมบัติของพระอริยบุคคล   มีในพุทธศาสนาเท่านั้น  


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.ค. 11, 20:26
ดิฉํนมีหนังสือเเรื่องตายแล้วเกิดใหม่จำญาติในอดีตได้มากมาย อ่านแล้วก็งั้น ๆ ค่ะ

ทางหลักธรรมก็อธิบายได้หมด ว่าไอ้ที่อ้างว่าไปนรกสวรรค์มานั้นคืออะไร
มีทั้งหมอ ทั้งพระ มาให้เหตุผลมากมายแล้ว แต่ไม่ค่อยจะมีคนเชื่อกัน
มักจะเชื่อคนที่ "สลบแล้วฝัน" และยอมรับกันไปหมดว่า นั่นคือ "ตายแล้วฟื้น"
อยากฟังว่าทางหลักธรรมอธิบายว่าอะไรค่ะ    หมายถึงเป็นนิมิตเท่านั้นหรือคะ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 13 ก.ค. 11, 22:58
พระภิกษุหลายรูปเคยอธิบายเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นระบบ จะหาเวลาค้นมาแปะให้อ่านต่อไป

จากความเข้าใจของตนเอง สรุปดังนี้ค่ะ

ภพชาติและการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง คนตายแล้วเกิดกันทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อทันทีที่ดับจิต ขึ้นกับกรรมที่ทำไว้จะส่งไปเกิดเป็นอะไรในภูมิไหน ซึ่งมี 31 ภูมิ

คนที่ตายแล้วเกิดทันที เพราะมีบุญจะได้เกิดเป็นมุนษย์อีกครั้งอย่างต่อเนื่อง หากมีจิตที่ห่วง หรือ ติดยึดกับอดีตรุนแรง เมื่อได้เกิดทันที ก็ยังมีความจำเดิมเหลืออยู่ กรณีแบบนี้ มีไม่มาก (มีคนรวบรวมมาพิมพ์หนังสือ เวลานี้เห็นขายกัน เล่มใหญ่ ๆ หนักมาก)

ส่วนใหญ่ จะไปเกิดเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ ไปเสียเวลาอยู่ในที่ใหม่ ๆ นานไปก็ลืมภพชาติเดิม จนกว่าจะมีอะไรมากระตุ้นเตือนให้จำได้ เช่น ฝึกจิตให้เข้าถึงการระลึกได้ หรือ เพียงสมาธิบางระดับ ก็จะรับรู้ได้ เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ชัดเจนก็มี หรือได้ไปในที่ ๆ จิตเคยได้รับกระทบทางใจรุนแรง ผูกพันรุนแรง บางทีก็กระตุ้นให้จำได้ขึ้นมา

ที่เล่ามาทั้งหมด เป็นอำนาจของธรรมชาติที่ชื่อว่า สัญญาขันธ์ คือ ความทรงจำ เป็นธรรมชาติที่มีกันทุกคน และ สะสมไปเรื่อย ๆ ทุกภพชาติ ไม่มีสิ้นสุด มากมายมหาศาล มากจนสับสนและหลงลืม แต่...มันไม่หายไปไหน เมื่อไรที่จิตสงบ ก็ย้อนไประลึกได้

ความจำนี้ ข้ามภพชาติ และ ทำให้เกิดความคุ้นชินในการทำ คิด พูด ที่เราเรียกว่า นิสัย และสันดานนั่นเอง

เกิดใหม่ ก็มีแนวโน้มที่จะทำอะไรที่เคยทำ พูด หรือ คิด ในรูปแบบที่เคยชินจากอดีตที่สะสมกันมา

ในพระไตรปิฏกมีหลายเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงยืนยันว่า ไม่ได้ทำเช่นนี้แต่ในชาตินี้เท่านั้น แต่ชาติที่แล้ว ๆ มาก็ทำแบบนี้

นี่คือ ร่องรอยของความจำ หรือ สัญญาขันธ์ มีในตัวมนุษย์ทุกคน

ดร.อาจอง ชุมสาย คิดวิธีเอายานอวกาศลงดาวอังคารได้ ก็โดยใช้วิธี สงบจิตให้เป็นสมาธิ เพื่อไปค้นหาความรู้ ที่เคยรู้ หรือ เคยเห็น เคยทำได้ในอดีต หรือ ในจักรวาล มาใช้จนประสบความสำเร็จที่ Nasa


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 13 ก.ค. 11, 23:08
อ้างถึง
ปล. ไม่ได้ชวนให้งมงาย แต่สงสัยจริงๆว่าเหตุใดยุคนี้ (หรืออาจก่อนหน้านี้) คนไทยจึงนิยมเรื่องเหล่านี้นัก คิดว่าเพราะสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศหรือไร ถึงขั้นอยู่ในขีดน่ากลัว เพราะข้าพเจ้าถูกสอนว่า "เกิดแล้วดับ แล้วผ่าน รู้เรื่องที่ผ่านอย่าได้ยึดติด อาจเป็นเพียงความหลงนึก แต่จำไว้ว่าหากเป็นสิ่งที่เรารู้ว่าทำแล้วไม่ดี จะเคยทำมาจริงหรือไม่ ก็ขออย่าได้ปฏิบัติเช่นนั้นอีก"

แต่ดูหนังสือปัจจุบันมีอะไรแปลกที่ข้าพเจ้ารู้สึกเชิงน่ากลัวมากมาย

คุณหาญคะ ที่คนไทยนิยมเรื่องแบบนี้กันมาก เพราะขาดความเข้าใจธรรมชาติ เนื่องจากไม่ได้ศึกษาธรรมะ จะรู้สึกแปลก มหัศจรรย์

เมื่อมีทุกข์ ก็จะค้นหาเหตุ แต่มักไม่สนใจเหตุในปัจจุบัน มักโทษว่า เป็นผลจากอดีตชาติ เพราะปัจจุบัน "ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนี่"

ครูสอนว่าเกิดแล้วดับ อย่าติดยึด อย่าทำผิดซ้ำ ๆ ท่านสอนถูกแล้ว แต่ธรรมะเป็นอนัตตา หากขาดสติ จะทำผิด ๆ ซ้ำ ๆ ทันที โดยไม่รู้ตัว นี่คือเหตุผลที่เราควรฝึกสติ อย่างน้อยเพื่อได้มีโอกาสเลือกว่า จะทำผิด ซ้ำ ๆ อีกไหม

คนขายหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ต่างอะไรกับพวกหมอดู หรือ คนขายประกัน อาจารย์ฮวงจุ้ย คือ......

สร้างความกลัว และ สร้างความโลภ เพื่อผลทางธุรกิจ รับแก้กรรมไม่คิดเงินแต่ต้องทำบุญมิฉะนั้นอายเขา หรือ ต้องซื้อประกันวินาศภัยจากการชดใช้กรรม ฯลฯ

สรุปคือ ขอให้เชื่อครู "อย่าติดยึด" และขอให้มีสติ อยู่กับปัจจุบัน จะมองเห็นเองว่าเรามีความเคยชินอะไรที่ไม่ดี แล้วแก้เสีย
 พระพุทธเจ้าท่านบรรลุนิพพานด้วยการไม่ทำผิดซ้ำ ๆ ค่ะ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 13 ก.ค. 11, 23:24
อ้างถึง
อยากฟังว่าทางหลักธรรมอธิบายว่าอะไรค่ะ    หมายถึงเป็นนิมิตเท่านั้นหรือคะ

คำว่านิมิต ทางธรรม หมายความว่า เครื่องหมายให้ระลึกได้ จำได้ค่ะ

อาจจะเป็นภาพ เป็นเสียง ปรากฏในฝัน ปรากฏตรงหน้า ด้วยตาเนื้อมองเห็น หรือ ด้วยตาทิพย์ในขณะมีสมาธิจิต หรือ ปรากฏในวิถีจิตใกล้ตาย เป็นการรู้ทางใจของคน ๆ นั้น

พวกสลบแล้วอ้างว่าไปโน่นนี่มานั้น เข้าข่าย ฝันค่ะ เพราะจิตมนุษย์หากยังไม่ตาย ยังคิดไม่หยุด โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องสั่งหรือแม้แต่เวลาเราหลับ เขาก็ยังไม่หยุดทำงานของเขา

ทีนี้ ฝันนั้น มีจริงก็มี ไม่จริงก็มี คิดไปเอง(จิตอาวรณ์) หรือ เทวดาบอก(เทพสังหรณ์) หรือ เป็นผลของกรรมที่ทำมา(กรรมนิมิต) และ  อาหารไม่ยอ่ย หรือ ยังย่อยไม่เสร็จ ก็ฟุ้งซ่านไปม่หยุดแม้แต่เวลาเราหลับ(ธาตุพิการ)

คนที่จะฝันแม่นนั้น มักจะเป็นคนมีศีล มีการฝึกจิตให้สงบระงับ มีสติและสมาธิ การคิดฟุ้งซ่านที่จะก่อให้เกิดจิตอาวรณ์ก็จะน้อยลง และ ไม่กินอะไรจนธาติพิการอาหารไม่ย่อยอยู่แล้ว จะช่วยเพิ่มความฝันให้แม่นยำได้ แม้จะยังไม่ 100%

เล่าสู่กันฟังนะคะ อาจจะมีผิดพลาดก็ขอกราบอภัยและขอให้ผู้รู้มาร่วมขัดเกลาความเข้าใจด้วยค่ะ

สำหรับคุณหาญที่ถามหาเรื่องระลึกชาติได้ในประวัติศาสตร์ไทยก็ดีนะคะ ใครมีข้อมูลก็ช่วยกันเล่าไว้เป็นหลักฐาน

ขออย่างเดียว อย่าไปหลงเชื่อพวกทายทักว่า คุณเคยเป็นทหารพระเจ้าตาก ทหารพระนเรศวร ฯลฯ อันนี้ไม่มีหลักฐานอะไรจะยืนยันได้ค่ะ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ก.ค. 11, 10:35
อยากฟังคุณร่วมฤดีอธิบายเรื่อง "เจ้ากรรมนายเวร" ค่ะ   
หลังๆนี้ได้ยินบ่อยมาก   ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคอะไรที่หมอหาสาเหตุไม่พบ หรือเป็นโรคที่รักษาไม่หาย   หรือเกิดอุบัติเหตุเภทภัยอย่างที่ไม่น่าจะเกิด    ก็จะมีคำอธิบายว่า มาจากเจ้ากรรมนายเวร   ดิฉันเห็นว่าเป็นคำตอบที่อิงความเชื่อมากกว่าเหตุผล ก็เลยอยากฟังคุณร่วมฤดีอธิบายมากกว่า

เรื่องการเสวยพระชาติของพระโพธิสัตว์ข้างบนนี้  ลืมบอกไปว่า เอามาจากเว็บ คลังปัญญาไทย ค่ะ  โดยส่วนตัว คิดว่าบางส่วนเป็นนิทานสอนธรรมะ  บางส่วนก็แต่งขึ้นภายหลังพุทธกาล


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ก.ค. 11, 10:41
อ้างถึง
แต่ดูหนังสือปัจจุบันมีอะไรแปลกที่ข้าพเจ้ารู้สึกเชิงน่ากลัวมากมาย

ไม่ทราบว่าหนังสือเหล่านั้นมีอะไรบ้างที่ทำให้คุณหาญบิงกลัว  แต่อยากจะเสนอข้อคิดอย่างหนึ่งว่า ศาสนาพุทธไม่ได้มีเอาไว้ให้กลัว   แต่มีเพื่อทำปัญญาให้กระจ่างแจ้ง จะได้หลุดพ้นจากอวิชา หรือความไม่รู้
ที่ไหนมีความกลัว ที่นั้นก็ไม่มีปัญญา  เพราะเราจะถูกครอบงำด้วยความเชื่อที่ไม่ขึ้นกับเหตุผล  ซึ่งเป็นสิ่งตรงข้ามกับปัญญา


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: ลุงไก่ ที่ 14 ก.ค. 11, 11:55
ประสบการณ์เรื่อง ตายแล้วฟื้น อีกเรื่องหนึ่งที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้เล่าไว้ เป็นประสบการณ์ของตัวท่านเอง ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน (พระครูวิหารกิจจานุการ) วัดบางนมโค

http://www.luangporruesi.com/54.html

เรื่องของ "เจ้ากรรมนายเวร" ในพระไตรปิฎกไม่มีการกล่าวถึงไว้ เป็นคำที่มาปรากฎในครั้งหลัง เพื่อจะสร้าง "กรรมที่กระทำในอดีต ที่จะมาส่งผลในปัจจุบัน" อันเป็นนามธรรม ให้มีรูปร่างขึ้นมาเป็น "รูปธรรม"





กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ก.ค. 11, 12:17
จากสฬาตยวรรค สังยุตนิกาย  พระไตรปิฎกเล่ม ๑๘

" กรรมเก่าคืออะไร? จักขุ  โสตะ  ฆานะ ชิวหา  กาย มโน  นี้ชื่อว่ากรรมเก่า
อะไรชื่อว่ากรรมใหม่   การกระทำที่เราทำอยู่ในบัดนี้   นี่แหละชื่อว่ากรรมใหม่
อะไรคือความดับกรรม?  บุคคลสัมผัสวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม  วจีกรรม  และมโนกรรม นั้น ชื่อความดับกรรม
อะไรเป็นทางดับกรรม? มรรคมีองค์ ๘ ประการอันประเสริฐ   คือ สัมมาทิฏฐิ เป็นต้น   สัมมาสมาธิเป็นปริโยสาน    นี้เรียกว่าทางดับกรรม
***********************
"ภิกษุทั้งหลาย   ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ   ฉันทะก็ดี   ความพยายามก็ดี  ว่าสิ่งนี้ควรทำ  สิ่งนี้ไม่ควรทำ  ก็ย่อมไม่มี"


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 14 ก.ค. 11, 13:32
อนุโมทนาด้วยคัรบคุณร่วมฤดี

เมื่อข้าพเจ้าทำการนั่งสมาธิ ครูอาจารย์ท่านสอนให้คุมจิตไว้ให้ ไม่ให้แกว่ง ซึ่งทำได้ยากมาก ต้องใช้สติมาประคองกำหนดเป็นสัญญาไม่ให้แกว่ง หากเกิดมโนภาพหรือกิเลส ต้องรู้ทันกิเกส อย่าตาม อย่าติด ให้พิจารณาดูผ่าน ๆ เท่านั้น ให้เหมือนดูละคร เล่นกันไปตามบทบาท และจะเกิดสติพิจารณาถึงหลักอนัตตา มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด


เรื่องภพ ชาติ มีจริงไม่เถียง แต่จะขอเล่าประสบการณ์ไม่นานมานี้ เกิดขึ้นกับลูกน้องข้าพเจ้าเอง หัวใจหยุดเต้นไปกว่า 1 ชั่วโมงด้วยเส้นเลือดหัวใจตีบ หมอก็ช่วยให้หายใจขึ้นมาได้นานกว่าชั่วโมง กว่าจะฟื้นตัวก็อาทิตย์กว่า ๆ หายดีก็เป็นเดือน

เข้าใจว่าระหว่างที่เลือดไม่เลี้ยงสมองชั่วคราว ทำให้สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เมื่อได้รับการปั๊มหัวใจ (เท่ารอยกะบะขนมชั้น สีม่วงหลาย ๆ แผ่น บนหน้าอก) ก็ได้สติกลับมา เล่าว่าวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง เขามาเชิญให้ตามไป ไปที่แห่งหนึ่งที่มืดมาก สักพักพลันสว่างจ้า

เมื่อสว่างแล้วปรากฏจอหนังขนาดใหญ่เบื้องหน้า ฉายหนังชีวิตตนเองตั้งแต่จำความได้ เป็นฉาก ๆ ทำชั่วอะไรไว้ ทำดีอะไรไว้ เห็นทุกขั้น ทุกตอน

ขณะนี้หายดีแล้ว ด้วยยาช่วยไว้ เหลือเส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจ 1 เส้นเท่านั้น เล่าว่า "ตอนดูจอหนังชีวิตนะ บาปกรรมที่ทำไว้มันไม่ปราณีเราเลย จัดมาให้อย่างสมบูรณ์มาก"

ดังนั้นบุญก็เป็นเรื่องบุญ บาบก็เป็นเรื่องบาป แยกชั้นระหว่างน้ำกับน้ำมัน มิอาจเจือเข้ากัน และมิอาจลบล้างกันได้อย่างที่เข้าใจกัน

อนุโมทนา สาธุ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 14 ก.ค. 11, 16:42
         เหตุการณ์ที่คุณสยามิสเล่า เรียกว่า ประสบการณ์เฉียดตาย Near Death Experience ครับ

         ผู้ผ่านประสบการณ์แบบนี้จะให้ข้อมูลคล้ายๆ กัน คือ รู้สึกตัวเอง(ที่ทั่วไปเรียกกันว่าวิญญาณ)
หลุดลอยออกจากร่าง เห็นอุโมงค์ซึ่งปลายทางมีแสงสีขาวจ้า (White Light) เห็นภาพเหตุกาณ์
ในอดีตของตนฉายย้อนกลับเหมือนหนังที่เล่นด้วยปุ่ม FF บ้างเห็นองค์ศาสดาของศาสนาตน และ
เกิดความรู้สึกแสนสบาย ไม่เจ็บปวด

           แพทย์บางท่านอธิบายว่า เมื่อ(หัวใจหยุดเต้น) เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง สมองขาดอ็อกซิเจน
เซลล์สมองจะปล่อยกระแสไฟฟ้า เริ่มจากส่วนหนึ่งแล้วกระจายสู่ส่วนอื่นๆ ตามมา ทำให้ผู้ป่วยเห็น
และรู้สึกไปเป็นเช่นนั้น


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 14 ก.ค. 11, 23:06
เจ้ากรรมนายเวร คืออะไร มีจริงไหม ?

ตอบว่า คือ จิตของผู้ที่จองเวร ต้องการแก้แค้นนั้นเอง ที่เรียกว่า เจ้ากรรมนายเวร มีจริง และ มีในพระสูตรมากมายหลายเรื่อง

เรืองที่เด่นชัดที่สุดคือ เรื่องของพระพาหิยะ ทาุรุจิริยะ แม้จะบรรลุ อรหันต์แล้ว ก็หนีไม่พ้นอำนาจการจองเวร จึงถูกอมนุษย์เข้าสิงร่างวัวแม่ลูกอ่อนขวิดจนตาย

หากเราศึกษาเรื่องนี้ให้ดี ๆ จะรู้ว่า
1. เจ้ากรรมนายเวรมีจริง
2. แม้จะบรรลุอรหันต์แล้ว หากกายยังอยู่ ก็ยังต้องรองรับผลของกรรม หนีไม่พ้น พระพุทธเจ้าก็หนีไม่พ้น
3. ดังนั้น ใครที่รับจ้างแก้การให้ผลของกรรม หรือ สอนว่า ผลกรรมล้างได้แก้ได้ โกหกทั้งเพ....
4. กรรมที่แก้ได้ คือ กรรมใหม่ที่จะทำต่อไปในปัจจุับันเท่านั้น ผลของกรรมที่ทำไปแล้ว แก้ไม่ได้ ทำได้เพียงหาทางประคับประคองตนขณะที่รับผลให้รอดเท่านั้น แต่หากเป็นครุกรรม แม้แต่พระพุทธเจ้าก็หนีไม่พ้น

แม้จะรู้กันว่าเจ้ากรรมนายเวรมีจริง ก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่า อะไร ๆ ก็เกิดจาก "เจ้ากรรมนายเวร" ทำทั้งนั้น คิดแบบนี้ ก็คือการหาแพะรับบาปอยู่ดี

หลายเรื่อง เรานั่นแหละ ทำเอง ผลของกรรมมันถึงเวลาก็แสดงออกมา ไม่ต้องมีเจ้ากรรมนายเวรมากำกับการแสดง มันก็ตามมาให้ผลได้ เป็นเรื่องของธรรมชาติที่จะต้องเป็นเช่นนั้น

เช่นเราทำไม่ดีกับพ่อแม่ ๆ ท่านก็อภัยให้เราหมด ไม่ถือสา เพราะท่านไม่ตามมาแก้แค้น ไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวร แต่เราก็หนีไม่พ้น ต้องรับวิบากกรรมอยู่ดี

หากเกิดสิ่งไม่ดีกับตนเอง ก็ให้แก้ด้วยปัญญาจนสุดความสามารถแล้วก็หาทางทำบุญกุศลให้สบายใจ เพื่อจะได้มีกำลังใจสู้ปัญหา ทำบุญแล้วก็อุทิศเผื่อไปให้เจ้ากรรมนายเวรพร้อมกันไป หากมี เขาก็จะได้รับและเลิกแล้วต่อกันไป คิดแบบนี้ ไม่เสียหายอะไร อย่าไปให้ใครลิขิตชีวิตและวิธีการแปลก ๆ จนเราตกอยู่ในความกลัว ขาดอิสระในการดำรงชีวิต นั่นไม่ใช่พุทธศาสนา

ชาวพุทธ คือ อิสระชนค่ะ ธรรมะของพระพุทธเจ้า สอนให้เราหลุดจากพันธนาการ อย่าไปหามาเพิ่มอีกนะคะ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 14 ก.ค. 11, 23:17
อ้างถึง
เมื่อสว่างแล้วปรากฏจอหนังขนาดใหญ่เบื้องหน้า ฉายหนังชีวิตตนเองตั้งแต่จำความได้ เป็นฉาก ๆ ทำชั่วอะไรไว้ ทำดีอะไรไว้ เห็นทุกขั้น ทุกตอน

นี่แหละค่ะ กรรมนิมิต อาการเหมือนฝันดี ๆ นี่แหละ แต่ภาพที่เห็น มันจริงเสียยิ่งกว่าจริง ตัวเรารู้ดี เป็นการทำงานของสัญญาขันธ์ หากจะต้องตายจริง ๆ จะเกิดอีกนิมิตค่ะ เรียกว่า คตินิมิต คือ สิ่งของ สถานที่ ภาพ เสียง ฯลฯ ที่บอกให้รู้ว่าจะไปเกิดที่ไหน

ขอบคุณ ๆ SILA ที่เอาภาพและคำอธิบายของแพทย์มาให้ได้ทำความเข้าใจกันค่ะ ดิฉันชอบแนวนี้ค่ะ

เมื่อเร็ว ๆ นี้แพทย์ที่ US เล่าให้ฟังว่า มีทหารผ่านศึก เป็นฝรั่ง ได้รับบาดเจ็บหมดสติไป ก่อนจะหมดสติ ตกใจสุดขีด
พอฟื้นขึ้นมา เขาพูดภาษาของชาติศัตรูได้คล่องแคล่วอย่างอัศจรรย์มาก แพทย์งงกันเป็นแถว เพราะชีิวิตของทหารคนนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับภาษานี้เลย

มีผู้สันนิษฐานว่า วิญญานของทหารฝ่ายตรงข้ามที่เจ็บแค้นจองเวรนั่นเองเข้าสิงทหารฝัร่งคนนี้ขณะที่สลบไป

เล่าสู่กันฟังค่ะ เรื่องแปลก มีจริงมากมาย รอการพิสูจน์และทำความเข้าใจให้ตรงความจริงกันอยู่ค่ะ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ก.ค. 11, 10:39
ไปเจอคลิปวิดีโอเรื่องนี้เข้าในยูทูป

http://www.youtube.com/watch?v=_EWwzFwUOxA


เป็นเรื่องของเจมส์ หนูน้อยวัย 6 ขวบที่มีความสนใจและชำนาญเรื่องเครื่องบินจนน่าแปลกใจ     เมื่ออายุ 2 ขวบเจมส์เริ่มฝันร้ายเรื่องเครื่องบินถูกยิงตก  ทั้งๆเขาอยู่ในวัยที่ไม่เคยดูอะไรนอกจากการ์ตูน
เมื่อแม่ซื้อเครื่องบินรบเด็กเล่นให้ เป็นลำแรก   เจมส์เป็นคนบอกแม่ว่า drop tank คือส่วนไหน ทั้งๆแม่ไม่รู้จักคำนี้มาก่อน
พ่อผู้ซึ่งไม่เชื่อเรื่องระลึกชาติ เห็นเป็นเรื่องเหลวไหลมาแต่แรก  แต่เมื่อลูกชายเริ่มเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟัง  รวมทั้งประสบการณ์ว่าตัวเองเป็นนักบิน ถูกยิงตกโดยพวกญี่ปุ่น พ่อก็เริ่มไปค้นคว้าหาข้อมูลในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ 60 ปีก่อน

ยายของเด็กบอกว่า เธอได้รับคำสั่งสอนมาในศาสนาคริสต์  ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่     เรื่องที่หลานชายเล่าจึงทำให้เธอสับสนมาก  ต้องมาตั้งสติใหม่ในเรื่องนี้
เชิญติดตามคลิปที่ 2 เองว่าเป็นยังไงนะคะ 


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ก.ค. 11, 10:43
         เหตุการณ์ที่คุณสยามิสเล่า เรียกว่า ประสบการณ์เฉียดตาย Near Death Experience ครับ

         ผู้ผ่านประสบการณ์แบบนี้จะให้ข้อมูลคล้ายๆ กัน คือ รู้สึกตัวเอง(ที่ทั่วไปเรียกกันว่าวิญญาณ)
หลุดลอยออกจากร่าง เห็นอุโมงค์ซึ่งปลายทางมีแสงสีขาวจ้า (White Light) เห็นภาพเหตุกาณ์
ในอดีตของตนฉายย้อนกลับเหมือนหนังที่เล่นด้วยปุ่ม FF บ้างเห็นองค์ศาสดาของศาสนาตน และ
เกิดความรู้สึกแสนสบาย ไม่เจ็บปวด

           แพทย์บางท่านอธิบายว่า เมื่อ(หัวใจหยุดเต้น) เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง สมองขาดอ็อกซิเจน
เซลล์สมองจะปล่อยกระแสไฟฟ้า เริ่มจากส่วนหนึ่งแล้วกระจายสู่ส่วนอื่นๆ ตามมา ทำให้ผู้ป่วยเห็น
และรู้สึกไปเป็นเช่นนั้น

          ขอถามคุณ SILA   เมื่อเซลล์สมองปล่อยกระแสไฟฟ้า ให้ผู้ป่วยเห็นอะไรแบบนี้    ทำไมถึงเห็นออกมาเป็นแพทเทิร์นเดียวกันล่ะคะ
ทำไมไม่แตกต่างกันไปตามประสบการณ์ เหมือนความฝันของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 15 ก.ค. 11, 11:39
         เหตุการณ์ที่คุณสยามิสเล่า เรียกว่า ประสบการณ์เฉียดตาย Near Death Experience ครับ

         ผู้ผ่านประสบการณ์แบบนี้จะให้ข้อมูลคล้ายๆ กัน คือ รู้สึกตัวเอง(ที่ทั่วไปเรียกกันว่าวิญญาณ)
หลุดลอยออกจากร่าง เห็นอุโมงค์ซึ่งปลายทางมีแสงสีขาวจ้า (White Light) เห็นภาพเหตุกาณ์
ในอดีตของตนฉายย้อนกลับเหมือนหนังที่เล่นด้วยปุ่ม FF บ้างเห็นองค์ศาสดาของศาสนาตน และ
เกิดความรู้สึกแสนสบาย ไม่เจ็บปวด

           แพทย์บางท่านอธิบายว่า เมื่อ(หัวใจหยุดเต้น) เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง สมองขาดอ็อกซิเจน
เซลล์สมองจะปล่อยกระแสไฟฟ้า เริ่มจากส่วนหนึ่งแล้วกระจายสู่ส่วนอื่นๆ ตามมา ทำให้ผู้ป่วยเห็น
และรู้สึกไปเป็นเช่นนั้น


หากส่งอีเมล์ไปขอหนังสือ(แจกฟรี เรื่องของนพ.อาจินต์ บุณยเกคุ-หนูพิมพวดี ) จากรศ.นพ. กมลพร แก้วพรสวรรค์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บางกอกน้อย กทม. ๑๐๗๐๐ โทร.๐๒-๔๑๗-๗๙๖๘  Email SIKKW@Mahidol.ac.th.

คำตอบที่ได้ก็จะเป็นอีกแบบ




.


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ก.ค. 11, 10:06
          เคยอ่านเรื่องประสบการณ์เฉียดตายนานมากแล้ว ครับ ทางการแพทย์ก็จะอธิบาย
ด้วยเรื่องของสมอง เพราะเขาทำคลื่นสมองแล้วพบการปล่อย electrical impulse ครั้งสุดท้าย
จากสมองก่อนตาย
            
          คิดว่าน่าจะอธิบายว่าเป็น โรคสมองขาดอ็อกซิเจนเหมือนกัน กลไก(กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำ
ปฏิกิริยาสารเคมีในเนื้อสมอง) เหมือนๆ กัน ทำให้อาการแสดงออกมาคล้ายๆ กัน ครับ

             แต่ก็มีความแตกต่าง หลากหลายในรายละเอียด บางคนเห็นพระเยซู บางคนเห็นพระกฤษณะ
บางคนไม่เห็น แต่จำได้ว่าตัวเองออกมาจากร่าง, เห็นตัวเองนอนอยู่และมีหมอพยาบาลรายรอบ

              (โดยส่วนตัวเอนเอียงไปทางเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ครับ)


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 11, 09:59

หากส่งอีเมล์ไปขอหนังสือ(แจกฟรี เรื่องของนพ.อาจินต์ บุณยเกคุ-หนูพิมพวดี ) จากรศ.นพ. กมลพร แก้วพรสวรรค์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บางกอกน้อย กทม. ๑๐๗๐๐ โทร.๐๒-๔๑๗-๗๙๖๘  Email SIKKW@Mahidol.ac.th.

คำตอบที่ได้ก็จะเป็นอีกแบบ

คุณศรีสยามหมายถึงเรื่องนี้หรือเปล่าคะ


น่าจะเป็นเรื่องนี้นะครับ


http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=390


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ก.ค. 11, 12:09
^
อ้างถึง
คำตอบที่ได้ก็จะเป็นอีกแบบ

เป็นแบบไหนล่ะครับ เฉลยหน่อยได้ไหม  ???


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 11, 19:14
ตอบคุณหาญบิง
เพื่อนคนหนึ่ง เป็นนักปฏิบัติธรรมมายาวนานหลายปีแล้ว  เคยตั้งข้อสังเกตกับดิฉันว่า  เรื่องราวอะไรที่มันเข้ามาเองโดยเจ้าตัวไม่ได้ไปแสวงหามัน เขาถือว่าเป็นกรรมเก่า   แต่ส่วนเรื่องราวที่เราไปหามาใส่ตัวเอง  หรือตัดสินใจที่จะทำเอง   เป็นกรรมใหม่
แต่ฟังแล้ว ก็ต้องแยกแยะอีกว่า บางอย่างที่เข้ามาเอง เช่นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่นึกว่าป่วยก็ป่วยขึ้นมาเฉยๆ นั้น อย่าเพิ่งไปเหมาว่าเป็นกรรมเก่าไปเสียหมด    มันอาจจะมาตามวัย ตามสุขภาพที่อ่อนแอลง หรือตามกรรมพันธุ์รับมาจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ได้

เรื่องเจ้ากรรมนายเวร  อาจเป็นจริงว่าในชาติภพต่างๆที่เคยเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นั้น   เราเคยเป็นศัตรูหรือก่อความอาฆาตแค้นให้ใครจนผูกใจเจ็บไม่รู้จบ   อย่างกรณีคุณหมออาจินต์ บุณยเกตุ ประสบมา    ถ้ามองด้วยความเมตตาอย่างพุทธ    เราได้รับความเดือดร้อนจากเจ้ากรรมนายเวร   ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะได้บุญ  เพราะจิตที่อาฆาตแค้นนั้นย่อมเสวยทุกข์หนักอยู่เรื่อยไป  ไม่มีทางดีขึ้นมาได้    ดังนั้นการทำบุญหรือแผ่เมตตาไปให้ ไม่เจ็บแค้นตอบแทน ก็เป็นอภัยทานอย่างหนึ่ง   ที่จะช่วยให้ระงับเวรด้วยการไม่จองเวร
แต่ถ้าปักใจว่าอะไรๆเป็นเจ้ากรรมนายเวรแต่ชาติก่อนไปเสียหมด    เกิดมาพิการเพราะชาติก่อนเคยไปทำคนอื่นพิการ  อกหักซ้ำซากก็เพราะชาติก่อนเคยหักอกเขามา   บ้านไฟไหม้เพราะชาติก่อนไปเผาบ้านคนอื่น ฯลฯ อย่างนี้เห็นจะไม่ใช่แนวคิดของพุทธแล้ว   น่าจะหนักไปทางศาสนาเชนหรือนิครนถ์มากกว่า


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 18 ก.ค. 11, 19:32
"การอภัยทาน" ถือเป็นทานที่สุงสุด คือ การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน

การอภัยทาน ต้องฝึกฝนทีละน้อย ๆ ซึ่งทำได้ยากที่สุดที่จะไม่ให้โกรธ เช่น มีคนนินทาว่าร้ายเรา เราโกรธหรือไม่ หรือ ขับรถอยู่มีรถขับปาดหน้า หรือ บีบแตรไล่เรา เราฝึกอารมณ์เหล่านี้ทันหรือไม่  ;)


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 11, 19:41
^
อ่านแล้วทำให้นึกถึงตอนหนึ่งในหนังสือ "ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า" 

เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงดำรงตำแหน่ง "พระคู่หมั้น" ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว    พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคล กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ ทรงประทานพระโอวาทแก่พระธิดาว่า

" หนูจะต้องจำอะไรไว้อย่างหนึ่ง หนูต้องแผ่เมตตาอย่างเดียว    ตำแหน่งของหนูคือให้อภัยทาน เป็นทานสูงสุด"


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 18 ก.ค. 11, 21:13
เรียนอาจารย์เทาชมพูทราบ

           จริงๆผมเองเป็นคนเชื่อเรื่องเวรกรรมในระดับหนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรอะไรนี้พอเชื่อบ้าง แต่ตอนที่ป่วยหนักปางตายเจออะไรบางอย่าง ที่หลายคนบอกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรตามอาฆาต ตัวผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แต่ว่าแผ่เมตตาไว้เป็นดีที่สุด กล่าวคือผมเป็นโรคหมอรองกระดูกเคลื่อนอาการหนักมาก ต่อมาอาการดีขึ้นก็กลับไปเรียนที่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ บังเอิญนั่งเรือไปแล้วตกเรือ เรือฟาดกับโป๊ะ...เข้าโรงพยาบาลอีก ต่อมาออกจากโรงพยาบาลกลับไปเรียนยื่นอยู่หน้าตึกคณะ รถที่ไม่ควรจะมีผ่าน ก็ผ่านมาเฉียว เข้าโรงพยาบาลอีกรอบ จริงๆตอนนั้นจะว่าตัวเองประมาทก็คงมีส่วน แต่อุบัติเหตุมันช่างถี่...เหลือเกิน สุดท้ายไปถือศีล คือมีพระที่นับถือมากๆรูปหนึ่งท่านเจอหน้าก็บอกให้ไปถือศีล แต่ท่านไม่ได้บอกว่าเพราะอะไร แต่หลังจากถือศีล อาการป่วยหายไป อุบัติเหตุก็หาย ขนาดวันจะไปถือศีลยังถูกรถเกือบชนหน้าคอนโดในทองหล่อ ซึ่งปรกติจะมีที่กั้นรถก่อนปล่อยรถลงมา

          ถือศีลผ่านไปกลับบ้านมาจนลืมๆ สุดท้ายผ่านไปปีหนึ่ง หลวงปู่ที่ท่านให้ไปถือศีลจู่ๆก็โทรศัพท์มาหา บอกให้ไปถือศีลอีกรอบ แต่คร้านจะไปเลยไม่ไป ในคืนนั้นเองปรากฎว่าฝันแปลก เหมือนเห็นภาพชีวิตใครก็ไม่รู้ ออกจะน่ากลัว (ฉากคือบ้านเก่าของตนที่ชัยภูมิซึ่งอายุร้อยกว่าปี) แล้วก็ตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดหลังอย่างรุนแรง จนที่บ้านต้องห่ามไปโรงพยาบาล จนที่บ้านพาไปทำบุญใหญ่อาการค่อยหาย

           เวลาผ่านไปมีคนมาเยี่ยมที่บ้าน ลือๆกันว่านั่งทางในเป็น มาปุ๊บก็มองหน้าปั๊บ หลังจากนั้นเขาก็แล้วสิ่งที่เราฝันไว้...แล้วแกก็บอกว่านั้นแหละกรรมเรา ตอนแรกกลัวๆ เพราะเชื่อเรื่องนี้บ้างในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายอาจารย์ที่นับถือท่านหนึ่งที่ท่านปฏิบัติธรรม (เป็นดร.ท่านหนึ่งในมหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้จบจากโลกตะวันตก แต่แนวคิดตะวันออกสุดๆ) จึงเตือนอย่างที่ได้พูดไปข้างต้น

          เรื่องข้างต้นดูเป็นนิยายมาก และดูใส่สีตีไข่มาก แต่ว่าเป็นเรื่องจริง เจอมากับตัว ไม่ขอยืนยันว่าเรื่องเจ้ากรรมนายเวรมีจริงหรือไม่ แต่ว่าขอแนะนำว่าการรักษาศีลและปฏิบัติธรรมบางครั้งก็แก้ไขอะไรได้อยู่บ้างเหมือนกัน

          สุดท้ายนี้ขอฝากคำพูดที่ได้รับการสอนมา "การปฏิบัติตามศีลหาคือเกราะอันบริสุทธิ์ ไม่ต้องไปทำพิธีอะไร สิ่งนี้จะคุ้มครอง มีแต่การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจึงจะทำให้เรามีชีวิตอันเป็นสุข"

         (ท่านใดอย่างฟังเรื่องโดยละเอียดแล้วนำไปแต่งนิยาย บอกได้ ไม่ต้องการค่าลิขสิทธิ์ใดๆ แต่อาจดูเหมือนนิยายโกหก)

           


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 11, 22:49
ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวรของคุณหาญบิง เพราะคุณไม่ได้ให้รายละเอียดในส่วนนี้   รวมทั้งอาการบาดเจ็บแต่ละครั้งด้วย

แต่อ่านแล้วอยากจะบอกว่า โดยรวมแล้วคุณหาญบิงน่าจะถือว่าโชคดีมากกว่าเคราะห์ร้าย   ขนาดหมอนรองกระดูกเคลื่อน  ตกเรือ  เรือฟาดเข้ากับโป๊ะ(แต่ไม่ทราบว่าตัวคุณถูกฟาดด้วยหรือไม่  หรือแค่ตกน้ำลงไปเฉยๆ)   ถูกรถเฉี่ยวเข้าไปอีก (บาดเจ็บแค่ไหนก็ไม่ทราบเหมือนกัน)  คุณก็ยังแข็งแรงดี  หายป่วยได้เร็ว  สุขภาพก็ดีพอจะไปศึกษาต่อที่ประเทศจีนได้ในเวลาไม่นานจากนั้น
ก็ต้องนับว่าทั้งกระดูกและดวงของคุณ แข็งเอาการทีเดียว


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 18 ก.ค. 11, 23:16
^
อ้างถึง
คำตอบที่ได้ก็จะเป็นอีกแบบ

เป็นแบบไหนล่ะครับ เฉลยหน่อยได้ไหม  ???

ก็แบบที่นพ.อาจินต์ ประสพด้วยตนเองนั่นละครับ ท่านNC และอ. เทาชมพู

ประมาณ 15 ปีที่แล้วได้มีโอกาสรับประสพการณ์ตรงในเรื่องทำนองเดียวกันกับคุณ han_bing เอ่ยถึง ทำให้ความคิดหันเหจากวัตถุนิยมวิภาษ มาเป็นพุทธศาสนาแบบโบราณ -อิทธิฤทธิ์/ปาฎิหารย์/ภพ-ชาติ/กฎแห่งกรรม ประสพการณ์ตรง-รายวันเกือบ 15 ปีที่ได้ จึงมีมุมมองต่างไปจากเดิม จากปฎิเสธ มาเป็นว่าต้องยอมรับ.........

พยายามถ่ายทอดให้เพื่อนสนิทฟัง ไม่มีใครเชื่อ จึงเลิกพูดตั้งแต่นั้น.....................

ก็คงกล่าวได้แต่เพียงว่า ให้ลองชายตาไปหาอ่านงานเขียนที่เกี่ยวข้องกับพระปฎิบัติบางท่าน มาอ่านไปเรื่อยๆ แล้วจะพบหลายอย่างที่พอให้คำตอบได้ ว่าพุทธศาสนาเป็นสิ่งวิเศษสุดของไทย ที่บรรพบุรุษให้ไว้........เพียงอย่าหลงทางไปตีความพระไตรปิฎก เพราะ-พระไตรปิฎกเป็นสิ่งที่ไม่ต้อตีความ

พระปฎิบัติที่กล่าว มี หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ - หลวงพ่อจรัญ สิงห์บุรี - หลวงปู่โง่น เป็นอาทิ


อ่านไปเรื่อยๆ แค่ 3 ท่านนี่ก่อนก็ได้....
หากไม่ถูกจริต ก็คงแนะให้หยุดอ่าน หันไปจับงานประเภท ตีความ -แบบของท่านพุทธทาสต่อไปอย่างเดิมดีกว่า

พุทธศาสนาเป็นเรื่องประชาธิปไตยสมบูรณ์พอกับหรือมากกว่าอิสระ







ขออนุญาตเพียงแค่นี้ครับ


.


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 11, 08:09
ดิฉันไม่ได้เคลือบแคลงเรื่องชาติภพ   ในฐานะชาวพุทธ  ถ้าปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิด ก็เท่ากับปฏิเสธปฏิจจสมุปบาท  ปฏิเสธนิพพาน 
หากเชื่อว่าทุกคนตายแล้วก็จบสิ้นกัน  มีแต่โลกนี้ ไม่มีโลกหน้า   มันก็จะกลายเป็นว่าตายแล้วหลุดพ้นโดยอัตโนมัติ   จะทำดีทำชั่วย่อมเท่ากัน คือยังไงตายแล้วก็สูญหมด    ถ้าอย่างนั้นนิพพานก็ไม่มี   แม้แต่ปฏิบัติธรรมก็คงเสียเวลาเปล่า
หากเชื่อว่าตายแล้ว ถ้าทำดีก็ขึ้นสวรรค์ตลอดกาล  ทำชั่วก็ตกนรกตลอดกาล   แปลว่าไม่มีการแปรเปลี่ยนภาวะหลังตายนั้นอีก   อย่างนี้นิพพานก็ไม่มีเหมือนกัน   ปัจจัยต่อเนื่องของปฏิจจสมุปบาทก็ไม่มี เพราะผลถึงที่สุดมีให้เลือกแค่ 2 แบบ จบลงหลังความตายนั่นเอง

แต่ถ้าจะเคลือบแคลงก็เคลือบแคลงคำพูดและข้อเขียนบางเรื่อง ที่ชอบอ้างว่าใครเป็นใครกลับชาติมาเกิด   เพราะส่วนใหญ่พูดลอยๆ  หาที่มาที่ไป หาหลักฐานให้เชื่อถือไม่ได้   จึงเห็นด้วยกับคุณร่วมฤดีเท่านั้นละค่ะ

การระลึกได้เรื่องชาติภพ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย     ข้อดีคือ ถ้าใช้ปัญญากำกับก็จะเข้าใจว่าในแต่ละชาติภพที่ผ่านมา เป็นที่สะสมของกรรมดีกรรมชั่วจากการกระทำของเราเอง  ที่ส่งผลต่อเนื่องกันอย่างไรบ้าง     อะไรมีส่วนทำให้เราเกิดมาในชาตินี้เป็นอย่างนี้   ก็จะได้เลือกปฏิบัติให้ถูกต้องเพื่อส่งผลดีในภายหน้ากับตัวเองได้
     
ส่วนข้อเสียคือเมื่อรู้แล้ว   ไม่เกิดปัญญาแต่เกิดอารมณ์  อาจมีใจเอนเอียงหวั่นไหวไปกับอดีต  จนทำให้ไขว้เขวไปกับปัจจุบัน   เช่นเกิดไประลึกชาติได้ว่าชาติก่อนเคยเกิดเป็นคนใหญ่คนโต มีผู้คนยกย่องทั่วประเทศ    ชาตินี้เกิดมาเป็นคนเดินดินธรรมดา ก็เกิดไม่เป็นสุขกับชีวิตปัจจุบันขึ้นมาเฉยๆ   บางคนไประลึกชาติได้ว่าเคยเป็นคู่ครองกับคนนั้นคนนี้   ชาตินี้เขาเกิดมาเป็นคนรู้จัก ก็เลยจิตปฏิพัทธ์ขึ้นมาทั้งๆไม่มีสิทธิ์   หรือระลึกได้ว่าลูกเมียเราเคยเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อน  ที่ไม่เคยมีอคติกับลูกเมีย  ก็อาจจะเกิดขึ้นมาได้

สำหรับส่วนตัวดิฉัน   เห็นว่าการระลึกชาติ ไม่ได้ก่อให้เกิดความดีหรือร้ายด้วยตัวของมันเอง     แต่ขึ้นกับสติปัญญาของเราเป็นสำคัญ  ปัญญานั้นคือวิถีปฏิบัติสำคัญในศาสนาพุทธ   
ด้วยเหตุนี้   ต่อให้รู้ว่าชาติก่อนๆดิฉันเคยเกิดเป็นอะไร  ดิฉันก็ไม่ให้ความสำคัญ   ถือว่ามันเป็นส่วนเกิน  เคยเกิดเป็นอะไรก็จบไปแล้ว    ปัจจุบันต่างหากยังเหลืออยู่  แต่ก็ไม่รู้ว่าจะจบลงไปวันไหนเมื่อไหร่    เพราะฉะนั้นเอาปัจจุบันให้รอดก่อนดีกว่า


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 19 ก.ค. 11, 08:59



ก็เห็นตรงกันแหละครับ

 :)


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 11, 09:07
..เพียงอย่าหลงทางไปตีความพระไตรปิฎก เพราะ-พระไตรปิฎกเป็นสิ่งที่ไม่ต้องตีความ

พระปฎิบัติที่กล่าว มี หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ - หลวงพ่อจรัญ สิงห์บุรี - หลวงปู่โง่น เป็นอาทิ


อ่านไปเรื่อยๆ แค่ 3 ท่านนี่ก่อนก็ได้....
หากไม่ถูกจริต ก็คงแนะให้หยุดอ่าน หันไปจับงานประเภท ตีความ -แบบของท่านพุทธทาสต่อไปอย่างเดิมดีกว่า

พุทธศาสนาเป็นเรื่องประชาธิปไตยสมบูรณ์พอกับหรือมากกว่าอิสระ
ขออนุญาตเพียงแค่นี้ครับ


ก็เห็นตรงกันแหละครับ
 :)

ต่างกันนิดนึง  ดิฉันชอบอ่านแบบท่านพุทธทาส  คืออ่านแบบตีความค่ะ    

http://www.buddhadasa.com/buddhadham/3mountain_of_waytobuddhadham.pdf


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 19 ก.ค. 11, 10:22
อันนี้นอกเรื่อง

คิดไปโชคร้ายก็ร้าย ดีก็ดี หมอนรองกระดูกเคลื่อนเดิอนไม่ได้เกือบสองเดือน ต่อมาก็เดินได้ ตกเรือ...เรือฟาดกับโป๊ะ...แล้วเราอยู่ระหว่างเรือกับโป๊ะ เข้าโรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์เพราะแรงบีบมหาศาลของเรือเจ้ากรรม ต้องนอนนิ่งๆตลอด พอหายดีกลับมหาวิทยาลัย รถเฉี่ยวชน...คือกระจกรถชนที่หลัง ไม่แรง แต่สำหรับเราแรง... เข้าโรงพยาบาลอีกอาทิตย์หนึ่ง

แต่สรุปก็รอดตายมาได้ ไม่รู้เพราะดวงดี หรือเพราะไปถือศีลที่วัด

ตัวผมเองยอมรับว่าตอนได้ทราบเรื่องชาติก่อนอะไรนั้นจิตใจก็ไหวหวั่นอยู่บ้าง จะเรียกว่าความหลงก็ได้ จนได้รับคำเตือนจากอาจารย์ว่ามันไม่ต้องไปสนใจมากเพราะ... (ประโยคนั้นเขียนไปแล้วในข้างต้น)

ส่วนเรื่องเจ้ากรรมนายเวรอะไรนี้ผมกระดากปากจะพูด เพราะส่วนตัวรู้สึกแปลกๆ แต่ไหนๆก็ไหนๆ ขอเล่าตามที่ได้เห็นและได้ฟัง ทุกท่านไม่เชื่อก็ไม่ว่า

คือตัวผมนี้จริงๆ ก่อนหน้าจะป่วยหนัก มีคนมาทัก (คนเดียวกับที่บอกว่าเราฝันว่าอะไร และอาจารย์ที่เตือนเรา) ทักแม่ผมและผมเอง แต่ไม่ได้ทักพร้อมกันๆ ต่างๆคนต่างเจอ โดยทักผมว่า ชาติก่อนเคยไปทำกรรมกับคนไว้ ด้วยเป็นลูกเจ้าเมือง เมียมากอำนาจมาก ยิ่งผมเคยไปฆ่าคนมาก่อน ทักแม่ก็เหมือนกัน แต่พูดมากกว่า บอกว่าผมเป็นลูกแม่ แล้วเมื่อก่อนบ้านเป็นใครทำอะไร (เหมือนกับที่ผมถูกทัก) ตอนนี้กลับมาเกิดก็เกิดในตระกูลเก่าเพราะแรงกรรมผูกพันไว้ ต้องรอใช้กรรมที่ก่อไว้บางส่วน ให้ระวังและไปถือศีลเสีย แต่ว่าผมและแม่ฟังแล้วรู้สึกว่าไร้สาระ และไม่ได้คิดว่าจะเอามาเล่าให้อีกฝ่ายฟัง จนเกิดเรื่องผ่านไปค่อยพูดกับ เพราะต่างคนต่างผิดสังเกต

จริงๆเขายังพูดเรื่องวิญญาณปู่ย่าตายายอยากให้ทำบุญเหมือนกันอีก แต่สองแม่ลูกก็แค่ฟัง ไม่ได้คิดจะทำ เพราะคิดไปว่าคงเป็นเรื่องหลอกลวง (คิดไปเขาจะหลอกทำไม เพราะว่าไม่ได้ให้จากเขามาทำพิธี)

คือเรื่องทั้งหมดมันดูแปลกเกินไป แม่เป็นผู้เชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์และสิ่งอ้างอิงได้ด้วยวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง ผมเองก็ลูกแม่ คิดเหมือนแม่เลย แม้เขาพูดจะตรงบ้างในส่วนที่ว่าตระกูลผมเป็นเจ้าเมืองเก่า

แล้วก็เจออย่างที่เจอมา...

สุดท้ายความฝันนี้ฝันว่า ผมไปอยู่คนร่างคนๆหนึ่ง แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เห็นสิ่งที่่เขากระทำ คือ เขาเดินไปในบ้าน (บ้านเก่าของผม) มีผู้หญิงแก่ๆนั่งอยู่ในฝันรู้สึกเหมือนว่าเป็นคุณแม่ของคุณทวด (บ้านผมมีรูปเก็บไว้) แล้วเขาก็บอกว่าบ่าวตายไปคนหนึ่ง ตานั้นก็พูดว่าไม่รู้เรื่องอะไร แล้วแม่ผมก็เดินเข้ามา แต่ในฝันไม่ใช่แม่ แต่รู้สึกว่าเป็นแม่ แม่ก็บอกว่าแค่บ่าวจะไปสนใจอะไร เห็นว่าได้เป็นเมียแล้วนี้ แล้วผู้ชายคนนั้นก็ปฏิเสธยกใหญ่ แต่ในฝันผมสัมผัสได้ว่าเขานะฆ่าเอง เพราะไปเป็นชู้กับบ่าวคนนั้น แล้วจะเอาเรื่องไปประจาน เขาเลยฆ่าโดยการพายเรือไปในลำห้วยแห่งหนึ่งของจังหวัด (ถัดจากบ้านเก่าไปหน่อย ทุกวันนี้ยังมี) แล้วเอาไม้พายฟาดกลางหลัง ผลักตกน้ำ

อันนี้ผมตื่นมาก็ปวดหลังมาก ระหว่างรักษาก็ยังจำความฝันได้ แต่ว่าคิดว่าตัวเองคิดไปเอง จนมีคนมาพูดความฝันของเรา (ตรงจนน่ากลัว) และก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้บอกใครเพราะกลัวหาว่าเป็นคนบ้า

แต่นั้นมาก็เลยออกจะเชื่อเรื่องเจ้ากรรมนายเวร และเริ่มเข้าไปปฏิบัติธรรมบ้างทั้งแม่ทั้งลูก (นอกจากจะอุทิศส่วนกุศลแล้วยังทำให้ใจสงบด้วยนะ) แต่ไม่ค่อยคิดมากเท่าไรเรื่องชาติก่อน เพราะว่าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตอนนี้ก็ดีแล้ว

เรื่องนี้ไม่เคยเผยแพร่เล่าแล้วท่านทั้งหลายจะไม่เชื่อก็ได้ เพราะตัวผู้เล่าเองก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อมาก

ทำตัวเป็นคนดีแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปสนใจอะไรมากหรอก

สวัสดี

(อย่าหาว่างมงายเลย)


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 19 ก.ค. 11, 11:05
อนึ่ง อันนี้ไม่เกี่ยวกับการระลึกชาติ

แต่หากท่านใดจะค้น เรื่องเจ้าเมืองต้นตระกูลของข้าพเจ้า ต้นตระกูลมีดังนี้ คือ ชื่อว่าพระฤทธิ์ฤาไชย เป็นเจ้าเมืองบำเน็จณรงค์ หรือเดิมเรียกว่าบ้านชวน เดิมมียศเป็น "ขุนพล" กล่าวคือเป็น เป็น "ขุน" มีชื่อตำแหน่งคือ "พล" เป็นจัตุสดมของเมืองเล็กๆ ชื่อท่านชื่อว่าอะไรลืมแล้ว เพราะแม่บอกว่ามีคนรั้งตำแหน่งนี้สองคน คนแรกคือต้นตระกูลเรา ข้าพเจ้ากลับไปทำบุญหลวงพ่อเจ้าอาวาสผู้เป็นญาติได้บอกชื่อท่านไว้เหมือนกัน แต่ลืม... จำได้คร่าวๆว่าท่านมาจากเวียงจันทร์ และที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ขนาดนี้ เพราะว่าปราบกองทัพลาวได้ คราวกบฏเจ้าอนุวงศ์ มีของแปลกๆในบ้านว่าด้วยการรบเหลืออยู่บ้าง คือดาบอยู่เล่มหนึ่งเขาเรียกว่าดาบลาว บูชาไว้หลังหิ้ง ไม่รู้ว่าของครั้งนั้นหรือเปล่า แต่ยายเล่าว่ายายเกิดมาก็เห็นอยู่แล้ว (แต่ที่เด็ดกว่าต้องนี้...ประคำหินรักษาโรคประจำบ้าน เป็นหวัดให้เอาประคำอาบว่านยา แล้วคล้องคอ แม่บอกว่าจะหายหวัด หายไข้โดยไว ว่านยานี้ไปรับจากผู้ใหญ่มาอีกที ทำเองไม่เป็น จริงไม่จริงข้าพเจ้าก็ถูกจับคล้องตลอด)

ท่านมีลูกหลายคน เมียหลายคน แต่สายของภรรยาเอก (ข้าพเจ้าสงสัย) มีสองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ชายชื่อว่าอะไรลืมแล้วเหมือนกัน แต่ว่าลูกหลานของสายนั้นยังอยู่บ้านข้างๆกัน และนับญาติกัน (ห่างมาก แต่ก็ยังนับ) ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็โทรศัพท์ข้ามโลกไปคุยประจำ แต่สายข้าพเจ้าคือ คุณทวดดอกไม้ เป็นทวดของแม่อีกที

อันนี้ขอเล่าด้วยความแปลกเล็กน้อย บ้านเก่านั้นยกให้ลูกสาว ไม่ใช่ลูกชาย ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ว่าบ้านข้าพเจ้านี้ภายหลัง คุณทวดดอกไม้ก็ยกให้ลูกสาวท่านคือคุณทวดของผม (แม้ท่านจะมีลูกชายต่อ)

อันนี้เป็นประวัติครอบครัวธรรมดาๆในอีสานครอบครัวหนึ่ง หากท่านใดมีข้อมูล หรือสนใจ เปิดอีกกระทู้แลกเปลี่ยนความคิดก็ได้ เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าฟังมาล้วนมาจากการบอกเล่าของคุณยายและแม่ เรื่อยไปถึงตา

ปล. มีสูตรอาหารอย่างหนึ่งคือขนมจีนน้ำยาไก่ ไม่เหมือนที่ไหน กระทั่งไปเจอเพื่อนคนลาวเวียงจันทร์ให้กิน แล้วยบอกว่านี้แหละขนมจีนน้ำยาเวียง (จันทร์)

จู่ๆคิดถึงคุณวันดีขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 19 ก.ค. 11, 11:34


       ไม่ประหลาดใจอะไรเลยเพราะดิฉันตามอ่านที่คุณหาญบิงเล่าอยู่นี่นา

เรื่องจะวานหาประวัติสกุลใด  ก็จะมองหาให้ค่ะเพราะไม่ได้สะสมหนังสืออนุสรณ์มากเท่าไรตอนนี้



        จะทำน้ำยาไก่ให้ดูฝีมือ  ก็บรรยายมาเถิด   พวกเราอ่านแล้วก็จะได้รื่นรมย์หัวใจ

เลยไปเล่าในห้องอาหารที่ท่านเจ้าเรือนกรุณาจัดไว้เถิด   หลายคนจะได้อ่านด้วย

ดิฉันเทหนังสือตำรากับข้าวเก่า ๆ  มาอ่าน      หาเรื่องขบขันได้มาก  ภาษาก็ขัน

ขืนใช้ไฟ  และอบอาหารนานตามตำรา  คงไหม้ไปแล้ว

อีกตำราหนึ่งเล่ามาละเอียดถี่ถ้วน   แต่ไม่มีการอบ    อ่านแล้วก็ยิ้มอยู่คนเดียว   



กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 11, 11:58

แต่นั้นมาก็เลยออกจะเชื่อเรื่องเจ้ากรรมนายเวร และเริ่มเข้าไปปฏิบัติธรรมบ้างทั้งแม่ทั้งลูก (นอกจากจะอุทิศส่วนกุศลแล้วยังทำให้ใจสงบด้วยนะ) แต่ไม่ค่อยคิดมากเท่าไรเรื่องชาติก่อน เพราะว่าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตอนนี้ก็ดีแล้ว
เรื่องนี้ไม่เคยเผยแพร่เล่าแล้วท่านทั้งหลายจะไม่เชื่อก็ได้ เพราะตัวผู้เล่าเองก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อมาก
ทำตัวเป็นคนดีแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปสนใจอะไรมากหรอก

เห็นด้วยค่ะ   ไม่เคยได้ยินว่าใครถือศีลแล้วตัวเองเดือดร้อนจากการถือศีลนั้นๆ   ที่เป็นข่าวลงน.ส.พ. ให้อ่านกันบ่อยๆ ก็เห็นมีแต่เดือดร้อนเพราะผิดศีล


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 19 ก.ค. 11, 13:39
วันนี้เพิ่งจะมีเวลาเล็กน้อยมาแวะเยี่ยมที่นี่ อดไม่ได้ที่จะขอแสดงความเห็นบ้าง
อ้างถึง
โดยทักผมว่า ชาติก่อนเคยไปทำกรรมกับคนไว้ ด้วยเป็นลูกเจ้าเมือง เมียมากอำนาจมาก ยิ่งผมเคยไปฆ่าคนมาก่อน

คุณหาญได้รับการทายทักเหมือนดิฉันเลย แปลกไหมคะ เพื่อน ๆ ดิฉันอีกหลายคนก็มีคนทายแบบนี้ เหมือนเรื่องอดีตทหารพระเจ้าตาก ฯลฯ ฟังแล้ว เดินโบ๊เบ้ ซื้อเสื้อโหลมาขายดีกว่าเชื่อคำทายทักแบบยกโหลกันแบบนี้ค่ะ

ดิฉันบังเอิญสนใจศึกษาพระอภิธรรมด้วยตนเองคู่กับการปฏิบัติไปด้วย (เป็นเงื่อนไขไม่ให้จิตคิดเอาเองค่ะ)
พบว่า พุทธศาสนาให้คำอธิบายธรรมชาติไว้ครอบคลุมหมด แต่ไม่ส่งเสริมและไม่สอนเกี่ยวกับธรรมชาติบางเรื่อง เพราะรู้ไปก็ไม่ช่วยให้ไปนิพพาน แต่ท่านไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มี

การกลับชาติมาเกิดของใคร กรรมเก่าของใคร กรรมสนอง หรือ เจ้ากรรมนายเวรกันแน่ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ อะไรพวกนี้ ท่านรู้ได้ไม่มีขอบเขต เพราะทรงเป็นสัพพัญญู พระอรหันต์อื่น ๆ ก็รู้ได้ระดับหนึ่ง ไม่มากเท่าท่าน ด้วยอำนาจญานและ ฌาน ตามบารมีที่ถึงพร้อมของแต่ละคน แต่....พระพุทธองค์ไม่ส่งเสริมให้ตอบปัญหาพวกนี้ รวมทั้งการแสดงฤทธิ์ ถึงกับบัญญัติพระวินัยห้าม

เพราะ...เป็น อาจินไตยปัญหา...แต่ไม่ได้แปลว่า ไม่มี ไม่จริง ทรงห่้าม เพราะไม่มีผลให้ดับทุกข์ ดับกิเลสค่ะ รู้ไปยิ่งทำให้ติดยึดภพชาติหนักกว่าเก่า ห่วงกังวลตามไปแก้ไข แก้กรรมวุ่นวาย ในที่สุดตกเป็นเหยื่อคนขายบริการแก้กรรมค่ะ แทนที่จะรีบหนีออกจากการเวียนตายเวียนเกิดซึ่งเปรีบยเหมือนไฟไหม้บนหัว แต่เราไม่กลัว ไปกลัวไฟไหม้ที่อื่นค่ะ

หากเรามัวเสียเวลาค้นหา หรือ ถกเถียงกันว่า จริงไหม มีไหม เราก็ติดกับดัก เข้าข่าย Curiosity Kill The Cat

ตั้งแต่ยุคพุทธกาลมาแล้ว มีแมวตายเยอะเชียวค่ะ.....และยังตาย ๆ เกิด ๆ ไม่หยุด

อยากให้คุณหาญทำใจอย่างนี้ค่ะ ผลกรรมที่ตามสนองเราได้ ไม่ว่าจะมีเจ้าของเป็นจิตวิญญานหรือไม่ก็ตาม จะสนองเราได้ ก็เพราะเราเคยทำเอาไว้ เราจึงเป็นทายาทของกรรม รับผลของกรรมแน่นอนค่ะ

การทำบุญอุทิศให้วิญญานที่เราคิดว่าเขาจองเวรนั้น จัดเป็นอภัยทาน ทำให้เราสบายใจ ไม่โกรธตอบ ตัดกรรมและเวรกันตรงนี้ค่ะ และ ช่วยเหลือคนที่โกรธเราให้สงบลงด้วยกุศลที่เราให้เขา เหมือนจ่ายค่าเสียหายชดเชย ทำเถอะค่ะ โมทนาสาธุ

แต่อย่านึกว่า "ล้างการให้ผลของกรรมได้นะคะ" ล้างไม่ได้แน่นอน แต่มีลักษณะบรรเทาทุกข์ได้ เหมือนเราไปเผาบ้านเขา แล้วรู้ว่า อีกหน่อย เขาจะตามมาเผาบ้านเราเอาคืนแน่นอนแต่ไม่รู้เมื่อไร ป้องกันไม่ได้ เราทำได้แค่ ทำประกันอัคคีภัย พอเราได้รับผลกรรมสนอง บ้านเราหมดไปกับไฟ แต่ยังมีเงินชดเชย นี่แหละ คือ การบรรเทาทุกข์จากผลของกรรม หาใช่ แก้กรรม หรือ ปาฏิหาริย์ไม่


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 19 ก.ค. 11, 14:22
มีปัญหาเรียนถามค่ะ ไม่เกี่ยวกับการระลึกชาติ แต่น่าจะเกี่ยวกับกรรมที่แปลว่าการกระทำ นะคะ  ;D

คนบางคนทำความเลวอยู่เนืองๆ โดยไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ทำนั้นเลว ก็ไม่เป็นทุกข์
ส่วนบางคนไม่เคยชินกับการทำความเลว พอทำความเลวเข้านิดหน่อย ก็รู้สึกว่าตัวเองเลว ตัวเองบาป เป็นทุกข์หนัก

อย่างนี้คำว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
แสดงว่า คนแรกทำเลวโดยไม่ทุกข์ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตกนรก ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร
ส่วนอีกคนที่เป็นคนดี พอทำเลวนิดหน่อย เป็นทุกข์มาก ตกนรกอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราควรจะทำจิตใจให้กระด้าง ไม่ต้องรู้ดีรู้ชั่ว ไม่ต้องรู้ถูกรู้ผิด ไม่ดีหรือคะ... ???


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 19 ก.ค. 11, 14:31
เรื่องของผมนี้ตัวเองฟังแล้วสะดุ้งเล็กน้อยตอนฟังคนทักด้วยบังเอิญว่าที่บ้านเป็นเจ้าเมืองจริงๆ

แต่ว่าบังเอิญอีกเหมือนกันที่คนมาทักเขาไม่ได้ให้ไปทำอะไรนอกจากถือศีล และพระที่ท่านนับถือก็บอกว่าให้ไปถือศีล

เรื่องแก้กรรมอะไรนี้ผมไม่รู้เท็จจริงประการใด แต่รู้แค่ว่าการถือศีลนี้ก็อุทิศส่วนกุศล เป็นการทำบุญทดแทนไปบ้างผ่อนหนักเป็นเบา แต่จริงไม่จริงก็ไม่รู้แต่ไม่เสียหาย

แต่ไม่เห็นด้วยกับการไปนั่งทำพิธีบ้าบอแก้กรรมอะไรทั้งสิ้น เคยมีคนบอกว่าให้ไปกรีดเลือด ฯลฯ แต่ไม่ได้คิดจะทำตามเพราะไม่เชื่อ

ขอเตือนท่านผู้อ่านทุกคนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ให้พะวงว่ากลัวเจ้ากรรมนายเวร เพราะสิ่งที่สำคัญคือความประพฤติของเราในวันนี้ต้องประพฤติตัวเป็นคนดีเท่านั้นก็พอ รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ อดีตทำอะไรมานั้นช่างเหอะ...

คำสอน เรื่องชาติก่อนนี้หลวงปู่ฟักที่ข้าพเจ้านับถือท่านสอนไว้ ท่านบอกว่าไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องอะไร มันอาจจะส่งผลมาหรือไม่ส่งผลมา "ชาติก่อนไปทำอะไรใครมาก็แล้วแต่ อันนี้ปู่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นคนพูด แต่ปู่ว่าขอให้วันนี้ในชีวิตอันเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว จงปฏิบัติตามศีลให้บริสุทธิ์ กาย วาจา และใจให้สะอาด เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว"

หลวงปูฟักสันติธัมโมท่านว่าไว้ยาวกว่านี้ ขอย่อสั้นๆ วัดเขาน้อยสามผาน


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 19 ก.ค. 11, 14:40
วันนี้เพิ่งจะมีเวลาเล็กน้อยมาแวะเยี่ยมที่นี่ อดไม่ได้ที่จะขอแสดงความเห็นบ้าง
อ้างถึง
โดยทักผมว่า ชาติก่อนเคยไปทำกรรมกับคนไว้ ด้วยเป็นลูกเจ้าเมือง เมียมากอำนาจมาก ยิ่งผมเคยไปฆ่าคนมาก่อน

แต่อย่านึกว่า "ล้างการให้ผลของกรรมได้นะคะ" ล้างไม่ได้แน่นอน แต่มีลักษณะบรรเทาทุกข์ได้ เหมือนเราไปเผาบ้านเขา แล้วรู้ว่า อีกหน่อย เขาจะตามมาเผาบ้านเราเอาคืนแน่นอนแต่ไม่รู้เมื่อไร ป้องกันไม่ได้ เราทำได้แค่ ทำประกันอัคคีภัย พอเราได้รับผลกรรมสนอง บ้านเราหมดไปกับไฟ แต่ยังมีเงินชดเชย นี่แหละ คือ การบรรเทาทุกข์จากผลของกรรม หาใช่ แก้กรรม หรือ ปาฏิหาริย์ไม่

เรียนคุณร่วมฤดี และคุณหาญ

เรื่องกรรมนั้น ผมเคยได้สนทนาธรรมกับ หลวงพ่อก้าน วัดถ้ำเป็ด จ.สกลนคร เป็นพระฝ่ายปฏิบัติสายพระอาจารย์มั่น ท่านเมตตาสอนว่า

"เรื่องกรรมนั้นมีจริง พระพุทธเจ้าทรงสอนเราไว้หมดแล้ว ประเสริฐที่สุด หลวงพ่อก่อนบวช วัยเยาว์ด้วยความยากจนหาปลาโดยใช้ยาเบื่อปลา ก่อนบวชเมื่อายุ ๒๐ เวรกรรมเข้าเล่นงานจนเดินไม่ได้ และได้รักษามาตลอดจนหายดี จนบัดนี้ ๗๐ กว่าแล้วยังไม่ลืมเลือน

ท่านสอนว่า กรรม เสมือนหมาล่าเหยื่อคอยที่จะล่าเราทุกเมื่อ ไม่เว้นว่าเด็ก หนุ่มสาว แก่เฒ่า เมื่อมันล่าเราแล้วถึงชีวิตเลยก็มี มันเจอเราตอนเด็ก มันก็งับตอนเด็ก, มันเจอเราตอนหนุ่มสาว มันก็งับเรา และต้องใช้เวลากว่าหมาล่าเนื้อจะหยุดล่า เราต้องฝึกปฏิบัติเพื่อหนีมันให้ อย่าให้มาเจอกัน ถ้าเจอกันเมื่อไรมันก็งับเราไม่มีความเมตตา"อนุโมทนา สาธุ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 11, 14:49
มีปัญหาเรียนถามค่ะ ไม่เกี่ยวกับการระลึกชาติ แต่น่าจะเกี่ยวกับกรรมที่แปลว่าการกระทำ นะคะ  ;D

คนบางคนทำความเลวอยู่เนืองๆ โดยไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ทำนั้นเลว ก็ไม่เป็นทุกข์
ส่วนบางคนไม่เคยชินกับการทำความเลว พอทำความเลวเข้านิดหน่อย ก็รู้สึกว่าตัวเองเลว ตัวเองบาป เป็นทุกข์หนัก

อย่างนี้คำว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
แสดงว่า คนแรกทำเลวโดยไม่ทุกข์ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตกนรก ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร
ส่วนอีกคนที่เป็นคนดี พอทำเลวนิดหน่อย เป็นทุกข์มาก ตกนรกอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราควรจะทำจิตใจให้กระด้าง ไม่ต้องรู้ดีรู้ชั่ว ไม่ต้องรู้ถูกรู้ผิด ไม่ดีหรือคะ... ???

รอท่านอื่นๆมาตอบ คงจะได้คำตอบละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้
ส่วนดิฉันขอตอบว่า  ถ้าคุณดีดีกินเหล้าเข้าไปหนึ่งขวด   โดยคุณไม่รู้ว่าเป็นเหล้า  คุณก็จะไม่เมาหรือเปล่า   คุณจะเมาต่อเมื่อรู้ว่าเป็นเหล้าใช่ไหม
คำตอบคือไม่ใช่  เหล้าคือเหล้า  กินเข้าไป รู้หรือไม่รู้  มันก็เมาอยู่ดี   
ความชั่วก็เหมือนเหล้า   ผลที่เกิดจากความชั่วก็เหมือนความเมาละค่ะ    ไม่สำคัญว่ารู้หรือไม่รู้

ส่วนคนดีที่ทำผิดนิดผิดหน่อยก็ทุกข์เสียมากมาย  ข้อนี้จะต้องไปว่ากันด้วยเรื่องสติ   ไม่ใช่เรื่องกรรม
 


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 19 ก.ค. 11, 14:53
เรียนคุณสยาม

คำสอนเหมือนกันเป๊ะเลย แต่ผมฟังท่านว่าการปฏิบัติตนดีนี้เหมือนสร้างวงกลมให้กว้างขึ้น แรงกรรมที่จะตามมาก็ช้าลง แล้วถ้ายิ่งกว้างมาก ก็จะหลุดไปจากจากวงนี้ และมุ่งสู่นิพาน

หลวงปู่ฟักของผมท่านก็สายหลวงปู่มั่นเหมือนกัน


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 19 ก.ค. 11, 15:06
เรียนคุณหาญ

การมุ่งไปสู่นิพาน จะว่าง่ายก็ง่าย แต่ทำได้ยากมาก ต้องฝึกฝนจิต ไม่ให้หลงไปกับกิเลส

การฝึกจิตไม่ให้โกรธนั้น ครั้งหนึ่งคุณสมัคร สุนทรเวช เคยกล่าวไว้ว่า (น่าจะฟังจากท่านเจ้าคุณสักวัด แล้วนำมาบอกต่อ)

"เราต้องฝึกจิตของเราไม่ให้หลงกับความโกรธ เหมือน ๓ ระดับ

ระดับแรก เหมือนเอาไม้ขีดบนทราย คือ ทรายเป็นรอยตามแรงของไม้ โกรธมาก เกลียดมาก เกิดทันที

ระดับสอง เหมือนเอาไม้กรีดหิน  คือ หินเป็นรอยนิด ยังเห็นรอยจาง ๆ ละความโกรธ ให้ช้าลง

ระดับสาม เหมือนเอาไม้กรีดน้ำ คือ น้ำแหวกสักพัก แล้วกลับคืนเดิม คือ รีบละจากโกรธทันทีและปล่อยวางให้เร็ว"

แต่คุณสมัคร ท่านจะทำได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่เป็นหลักธรรมเปรียบเทียบให้เห็นว่า เราต้องหัดฝึกจิต รู้ทัน กิเลส


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 19 ก.ค. 11, 21:54
อ้างถึง
อย่างนี้คำว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
แสดงว่า คนแรกทำเลวโดยไม่ทุกข์ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตกนรก ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร
ส่วนอีกคนที่เป็นคนดี พอทำเลวนิดหน่อย เป็นทุกข์มาก ตกนรกอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราควรจะทำจิตใจให้กระด้าง ไม่ต้องรู้ดีรู้ชั่ว ไม่ต้องรู้ถูกรู้ผิด ไม่ดีหรือคะ..

ที่คุณ D:D:ถามมาก็หนีไม่พ้นเรื่อง ภพชาติการระลึกชาติหรอกค่ะ

 หากนรกสวรรค์มีแต่ในใจ แบ่งกันด้วยสภาพสุขหรือทุกข์แล้วละก็

ไม่จำเป็นต้องมีธรรมชาติที่เรียกว่า วิบากกรรม ผลกรรม กฏเกณฑ์การให้ผลของกรรม ตามชนิด ตามความหนักเบา และ ระยะเวลาให้ผล ที่เรียกกันว่า กรรม 12(หาอ่านกันเอาเองนะคะ อาจารย์วศิน อินทสระ เขียนไว้ก็อ่านง่ายดี)

ต่อให้ทำบาปแล้วยังเป็นสุขใจ ก็ไม่สุขได้ตลอดหรอกค่ะ ผลกรรมตามมาเมื่อไร คงบอกว่าสุขไม่ได้แน่
และหากสามารถระลึกชาติได้ ดีไม่ดี ขนลุกทั่วตัวทันทีที่พบคู่เวรคู่กรรมของตนตัวเป็น ๆ ยืนตรงหน้า

พวกที่ตายแล้วกลับมาเกิดจำอดีตชาติได้ มีข้อดีตรงที่พิสูจน์ได้ชัดว่า เวียนว่ายตายเกิดมีจริง
ดังนั้น ผลกรรมที่สนองไม่ทันชาตินี้ ก็ตามเหมือนหมาล่าเนื้อของคุณหนุ่มสยามและคุณหาญนั่นแหละ
มันตามล่าต่อไปจนกว่าจะนิพพาน เพราะนั่นคือการหนีแบบสาปสูญหลังจากกายแตก(ตาย)

หากกายยังไม่แตก ขันธ์ยังไม่ถูกทำลาย แม้จะนิพพานแล้ว ต่อให้เป็นถึงพระพุทธเจ้า กรรมก็ยังตามมาให้ผลได้อยู่ค่ะ
หาอ่านได้ในมหาปรินิพพานสูตร อรหันต์อย่างพระโมคคัลลานะ ก็ถูกทุบตายด้วยผลกรรมในอดีตชาติ

ดิฉันยังไม่บรรลุอะไรเลยนอกจากกิเลส รับรองว่า ทำใจให้สุขหลังก่อกรรมทำเข็ญไม่ไหวเจ้าค่ะ
ตกนรกตั้งแต่ทำกรรมสำเร็จนาทีนั้นเทียว


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 19 ก.ค. 11, 22:28
บางคนทำบาป เช่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยกตัวอย่าง เช่น ตบยุง พ่นยาฆ่ายุง วางยาเบื่อสุนัข ฯลฯ
โดยที่เขาไม่รู้สึกว่าทำบาป กลับรู้สึกภาคภูมิใจ ที่ได้กำจัดต้นตอของโรคร้าย อย่างไข้เลือดออก มาลาเรีย พิษสุนัขบ้า ฯลฯ
รู้สึกเป็นฮีโร่ ...ไปซะอีก...

บางคนโกงบ้านเมืองโดยคิดว่า ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ถ้าเขาไม่โกงคนอื่นก็ต้องโกงเอาไป...

พวกฉกชิงวิ่งราว เอาของคนอื่นไปเป็นของตัวเอง พวกรับจ้างฆ่าคน...ฯลฯ

ผลกรรมที่จะติดตามพวกเขาไป มีจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่พวกเขาไม่ได้เป็นทุกข์ เพราะใจเขาไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำเป็นความผิดบาป อาจจะรู้สึกสะใจ ภาคภูมิใจ ด้วยซ้ำที่ทำแล้วยังลอยนวลอยู่ได้ ไม่มีใครจับได้ ไม่ถูกลงโทษ


คนแบบนี้ในปัจจุบันยิ่งมีมากขึ้นนะคะ  ;D


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 11, 23:06
คนเราจะได้รับผลของกรรม เมื่อใด แบบไหน อย่างไร ไม่มีใครรู้ได้   เป็นเรื่องอจินไตย หรือเรื่องที่ไม่ควรคิด ๑ใน ๔ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้
กรรมไม่ได้ส่งผลตรงไปตรงมา ว่าเคยไปตีหัวใครหนึ่งที  ต่อมาเราก็จะถูกคนอื่นมาตีหัวหนึ่งทีเช่นกัน      คนเหล่านั้นที่คุณดีดียกตัวอย่างมา อาจกำลังเสวยผลแห่งกรรมอยู่โดยเราไม่รู้ก็ได้     หรือแม้แต่ตัวเขาเองก็อาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำไป ว่าเขากำลังเสวยกรรมอยู่  ทั้งๆหลงภูมิใจว่าตัวเองเก่งยังงั้นยังงี้ก็ตาม 
กรรมมาในสารพัดรูปแบบ นับไม่ถ้วน    ไม่ได้มาเป็นรูปธรรมอย่างคุกตะราง  แต่มาในรูปของสุขภาพกายและใจ   ของอุบัติเหตุ ของเงินทองทรัพย์สินอะไรก็ได้ทุกอย่าง   หรือแม้แต่ในรูปของคนใกล้ตัว หรือบุคคลผู้เป็นที่รัก ก็ยังเป็นได้  ไม่มีข้อจำกัดค่ะ  มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะประสบเอง  เราคนนอกมองไม่เห็น  แต่ไม่ได้แปลว่ากรรมไม่ได้ตอบสนองเขาอยู่


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 20 ก.ค. 11, 09:37
           ขอสรุปความเห็นจากการเคยอ่านมาบ้างเมื่อนานพอสมควรแล้ว ครับ

             เจ้ากรรมนายเวร ไม่มีในพระไตรปิฎก เป็นคำในชั้นหลังเรียกกัน

             ถ้าจะมีเจ้ากรรมนายเวร ก็ควรจะเป็นตัวผู้กระทำกรรมนั้นแหละที่เป็น เจ้า(ของผล-วิบากแห่ง)กรรม นั้น

             ในพระไตรปิฎกมีเรื่องการผูกโกรธพยาบาท คนที่เราทำให้เจ็บช้ำน้ำใจอาจผูกพยาบาท
ในชาติก่อนๆ ชาติปัจจุบันอาจตามมาจองเวรให้ร้ายได้ แต่ มีจำนวนเท่าไร เป็นใครบ้างเราก็ไม่อาจรู้ได้
จะขออโหสิหรืออุทิศส่วนกุศลให้เขาก็ไม่แน่ว่าใช่หรือไปถึง(เพราะไม่ใช่ทุกรูปนามจะรับการอุทิศนี้ได้)
และถึงอย่างไรเราก็ต้องรับวิบากกรรมนั้น ทางที่ดีจึงเป็นการเจริญเมตตาจิต(แผ่ส่วนกุศล) และ
หมั่นสร้างกุศลกรรม เพราะ

             ผลของกรรมนั้นเราหนีไม่พ้น แต่บรรเทาได้ด้วยกุศลกรรม ดังคาถาธรรมบทที่ว่า

                 ผู้ใดทำกรรมอันลามก ผู้นั้นย่อมปิด (ละ)เสียได้ด้วยกุศล
                 บุคคลนั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างไสว
                 เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น.

           นอกจากนี้ยังมีพระสูตรอธิบายเปรียบเทียบ เกลือกับน้ำ ดังว่า เกลือก้อนหนึ่งทำให้น้ำ
ในแก้วมีรสเค็ม แต่ถ้านำเกลือก้อนขนาดเท่ากันนี้ไปทิ้งลงแม่น้ำ น้ำในแม่น้ำนั้นจะไม่มีรสเค็ม

                 ก้อนเกลือ คือ กรรมไม่ดี น้ำคือ กรรมดีของคนๆ นั้น

           กรรมเท่ากัน (เกลือก้อนขนาดเดียวกัน) คนที่มิได้อบรมกาย ไม่มีศีล ไม่ได้อบรมจิต
ไม่ได้อบรมปัญญา มีคุณความดีน้อย (น้ำในแก้ว) ทำแล้วนำไปตกนรกได้  ในขณะที่
           กรรมเท่ากันนี้ (เกลือก้อนขนาดเดียวกัน) คนที่อบรมกาย มีศีล อบรมจิต อบรมปัญญา
มีคุณความดีมาก (น้ำในแม่น้ำ) ทำแล้วกรรมนั้นให้ผลในชาตินี้ ไม่ปรากฏผลมากต่อไปเลย

           ตัวอย่างกรณีนี้ที่ชัดเจน คือ องคุลิมาลที่ก่อกรรมหนักหนาฆ่าคนตายมากมาย ภายหลังได้บวช
(และต่อมาสำเร็จอรหันต์) ผลกรรมของท่านจึงบรรเทาเบาลงเป็นการถูกก้อนหิน ท่อนไม้ที่ชาวบ้าน
ขว้างปาไล่นกกากระทบระหว่างทางที่ท่านออกไปบิณฑบาต


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.ค. 11, 09:56
อยากจะชวนให้คนรุ่นใหม่ อ่านมิลินทปัญหา
http://www.dharma-gateway.com/dhamma/dhamma-25-index.htm
มีอยู่ในหลายเว็บ เลือกอ่านได้ตามอัธยาศัยค่ะ

มิลินทปัญหา เป็นเรื่องการถาม-ตอบปัญหาธรรมะ  ระหว่างพระเจ้ามิลินท์ หรือ พระเจ้า เมนันเดอร์ (หรือ Menandros ในภาษากรีก) ซึ่งเป็นกษัตริย์เชื้อสายกรีกที่สนใจพระพุทธศาสนา   กับพระนาคเสนเถระ พระอรหันต์รูปหนึ่งในยุคหลังพุทธกาล
หนังสือเขียนในรูปคำถามของพระเจ้ามิลินท์ และคำตอบของพระนาคเสน

" ข้าแต่พระนาคเสน กรรมดีและกรรมชั่ว ที่บุคคลทำด้วยนามรูปนี้ไปอยู่ที่ไหน ? "
" ขอถวายพระพร ติดตามผู้ทำไปเหมือนกับเงาตามตัว "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อาจชี้กรรมเหล่านั้นได้หรือไม่ว่า กรรมเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ? "
" ขอถวายพระพร ไม่อาจชี้ได้ "
" ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ยังไม่มีผล มหาบพิตรอาจชี้ได้หรือไม่ว่าผลอยู่ที่ไหน ? "

" ไม่อาจชี้ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อการสืบต่อยังไม่ขาด ก็ไม่อาจชี้กรรมเหล่านั้นได้ว่ากรรมเหล่านั้นอยู่ที่ไหน "

พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
" ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.ค. 11, 09:57
*************************
" ข้าแต่พระนาคเสน บุญและบาปข้างไหนมากกว่ากัน ? "
" ขอถวายพระพร บุญมากกว่าบาป บาปน้อยกว่า "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทำไมจึงว่าบุญมากกว่า บาปน้อยกว่า? "
" ขอถวายพร บุคคลทำบาปแล้วย่อมร้อนใจในภายหลังว่า เราได้ทำบาปไว้แล้วเพราะเหตุนั้นบาปก็ไม่ได้มากขึ้น ส่วนบุญเมื่อบุคคลทำเข้าแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง มีแต่เกิดปราโมทย์ ปีติ ใจสงบมีความสุข จิตเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้น บุญจึงมากขึ้น ดังมีบุรุษผู้มีมือมีเท้าขาดแล้ว ได้บูชาพระด้วยดอกบัวเพียงกำเดียว ก็จักได้เสวยผลถึง ๙๑ กัปด้วยเหตุนี้แหละ จึงว่าบุญมากกว่า ขอถวายพระพร"

" ชอบแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "
******************
ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงการทำบาปแห่งผู้รู้กับผู้ไม่รู้

" ข้าแต่พระนาคเสน สมมุติว่ามีคน ๒ คน คนหนึ่งรู้จักบาป อีกคนหนึ่งไม่รู้จัก แต่กระทำบาปด้วยกันทั้งสองคน ข้างไหนจะได้บาปมากกว่ากัน ? "
" ขอถวายพระพร ข้างไม่รู้จักได้บาปมากกว่า "

" ข้าแต่พระนาคเสน ราชบุตรของโยมหรือราชมหาอำมาตย์คนใดรู้ แต่ทำผิดลงไป โยมลงโทษแก่ผู้นั้นเป็นทวีคูณ "
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือสมมุติว่ามีคน ๒ คน จับก้อนเหล็กแดงเหมือนกัน คนหนึ่งรู้ว่าเป็นก้อนเหล็กแดง อีกคนหนึ่งไม่รู้ คนไหนจะจับแรงกว่ากัน ? "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คนไม่รู้จับแรงกว่า "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ไม่รู้บาปได้บาปมากกว่า"

" ชอบแล้ว พระนาคเสน "


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 20 ก.ค. 11, 10:10
^
ปัญหาในข้อที่ ๑๐. ที่อ้างถึง คงเป็นคำตอบที่ดีสำหรับปัญหาของคุณ ดีดี

แต่สำหรับผมอยากทราบว่า เมื่อทราบว่าเหล็กแดง ยังจับต้องแต่บาปน้อยกว่า

แล้วอย่างกรณี "พนักงานที่ทำงานโรงฆ่าสัตว์"

๑. รู้ว่าเป็นบาปแน่นอน เสมือนรู้ว่าเหล็กแดง

๒. ต้องฆ่าสัตว์ทุกวัน เสมือน ยอมที่จะจับเหล็กแดง

แต่ความบาปและเวรกรรมนั้นจะหนักหน่วงสักแค่ไหนกัน หากย้อนกลับไปเรื่องความบาป ดังก้อนเกลือกับน้ำ คงเป็นเกลือเต็มแก้ว

อนึ่ง พวกเพชฌฆาต นั้นกระทำหน้าที่ตามหน้าที่รับมอบหมาย แต่หากต้องฆ่าอีกหนึ่งชีวิตลง ก่อนกระทำการมีการอโหสิกันและกัน แต่ก็มิได้ว่าความบาปนั้นจะหมดสิ้นไป (ในการประหารพระนางแมรี่ ด้วยคมขวาน พระนางยังยังบอกเพชฌฆาตด้วยว่า ด้วยความประสงค์แห่งพระเป็นเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าทำตามหน้าที่ ขอให้ข้าไปในคมขวานเดียว อย่าให้ข้าได้ทรมาน ข้าให้อภัยแก่เจ้า ..... อาเมน....ฉึก !!)


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.ค. 11, 10:28
ความเชื่อในแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน   บางศาสนา การฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงชีพให้มนุษย์ ก็ไม่ถือว่าบาป   
ดิฉันเคยถามตัวเองอย่างคุณหนุ่มสยามถามเหมือนกัน  แต่เดี๋ยวนี้เลิกถามไปแล้ว เพราะถามไปก็ไม่ได้คำตอบ  เป็นกรรมวิสัยอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ถึงแม้ว่าเราตัดสินใจว่าจะไม่ทำบาป แม้แต่ฆ่ามดฆ่ายุงก็ไม่ทำ  แต่อย่าลืมว่ารอบๆตัวเรา การหล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ก็ล้วนแต่แลกมาด้วยชีวิตสัตว์โลก        กว่าจะกินข้าวกันได้แต่ละจาน กินผลไม้ได้แต่ละลูก   ต้องแลกกับชีวิตในท้องทุ่งที่หมดไปกับยาปราบศัตรูพืชตั้งเท่าไร   สร้างบ้าน ต้องถมดิน  มดปลวกในพื้นที่ตายไปทั้งนั้น    แม้แต่เดินๆไป เหยียดมดตายไปกี่ตัวโดยไม่ทันเห็น
ยังไม่รวมว่าบางทีต้องถอนหญ้า ตัดต้นไม้ในบ้าน  ล้วนแต่ทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งนั้น

เราไม่ได้อยู่อย่างพวกศาสนาเชน ที่เดินไปไหนก็ต้องกวาดพื้นให้มดให้แมลงพ้นทางเพื่อจะไม่เหยียบเข้า   กินก็เฉพาะผลไม้ที่สุกงอมหล่นจากต้นลงมาเอง  ตัดปัญหาเรื่องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไปได้
เพราะฉะนั้นคิดอะไรที่เกินวิสัยจะหาคำตอบ   ก็ต้องหยุดความคิดตัวเองไว้แค่นั้นค่ะ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 20 ก.ค. 11, 11:05
เรื่องการฆ่าสัตว์ ตบยุง ฆ่ามด นั้นในทางพุทธศาสนาสอนว่า การซ่าสัตว์ตัดชีวิต เข้าองค์ประกอบถึงพร้อมดังนี้

การฆ่านั้นต้องประกอบไปด้วยหลัก ๕ ประการนี้
(๑) สัตว์นั้นมีชีวิต
(๒) รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
(๓) มีจิตคิดจะฆ่า
(๔) เพียรพยายามฆ่า
(๕) สัตว์นั้นตายลง

ต่อด้วยหลวงพ่อก้าน วัดถ้ำเป็ดได้แสดงธรรม ต่อมาเรื่องการกินอาหารของคนเรานั้น ถ้าไปทาน Sea Food ไปชี้ที่ตู้ เอาตัวนั้น เอาตัวนี้ แบบนี้ก็เป็นกรรมหมู่ ...ฟังแล้วตกใจไม่น้อย

ดังนั้นการกินอาหาร โดยไม่รู้ไม่เห็นถึงการฆ่า ก็ไม่นับว่าบาป มันเป็นอาหารตามที่ อ.เทาชมพูกว่าวไว้ ดังนั้นเวลาทาน Sea Food แม้ว่าไม่ได้สั่งเชือด นึ่งปูสด ๆ ก็ตาม ทุกคนที่ร่วมโต๊ะรับกรรมหมู่  ;)


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: willyquiz ที่ 20 ก.ค. 11, 11:18
     โดยปกติผมจะไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับความเชื่อในศาสนาของบุคคล  และไม่คุยเรื่องอจินไตย   แต่ชอบอ่านความคิดเห็นของแต่ละบุคคล   
แต่ผมกังวลว่ายังมีบุคคลบางกลุ่มที่เมื่อประสบปัญหาชีวิตบางประการก็จะเข้าหาพระเพื่อให้พอเป็นที่พึ่งทางใจ  อีกอย่างหนึ่งคือ  บังเอิญมีการอ้างถึง
ชื่อของพระภิกษุบางรูปขึ้นมา  และผมก็ประสบกับการเคยถูกทักทายจากภิกษุสงฆ์เช่นกัน  จึงอยากนำข้อความจากภิกษุปาฏิโมกข์ข้อที่ ๔ มานำลง
ไว้ให้อ่านเพื่อการพิจารณาร่วม

   ๔.  โย  ปน  ภิกฺขุ  อนภิชานํ  อุตฺตริ-               ๔.    อนึ่ง ภิกษุใดไม่รู้เฉพาะ (คือไม่รู้จริง) 
มนุสฺสธมฺมํ  อตฺตูปนายิกํ   อลมริยญาณ-               กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็น   
ทสฺสนํ  สมุทาจเรยฺย                                       ความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ             
                                                          น้อมเข้าในตัวว่า                                             
" อิติ  ชานามิ  อิติ  ปสฺสามีติ;                           ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้
ตโต  อปเรน  สมเยน  สมนุคฺคาหิยมาโน                ครั้นสมัยอื่น แต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง  ถือเอา
วา   อสมนุคฺคาหิยมาโน   วา   อาปนฺโน                ตามก็ตาม*  ไม่ถือเอาตามก็ตาม ก็เป็นอัน
                                                          ต้อง
...
                *คือเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตาม  แต่ในบทภาชนย์วิภังค์แก้ความว่า
                  ถูกซักก็ตาม ไม่ถูกซักก็ตาม.                                                             
...
 วิสุทฺธาเปกฺโข  เอวํ  วเทยฺย                              อาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด (คือพ้นโทษ)
                                                            จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า                                     
" อชานเมวํ  อาวุโส  อวจํ  " ชานามิ "                 “ แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้ ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็น
อปสฺสํ  " ปสฺสามิ "                                      ได้กล่าวว่าเห็น
ตุจฺฉํ   มุสา  วิลปินฺติ,                                  ได้พูดพล่อยๆ เป็นเท็จเปล่า ๆ”
อญฺญตฺร  อธิมานา;                                      เว้นไว้แต่ว่าสำคัญว่าได้บรรลุ                         
อยมฺปิ  ปาราชิโก  โหติ   อสํวาโส.                    แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.

ความโดยรวมก็คือ   ภิกษุใดไม่รู้ ไม่เห็น แต่กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมว่าได้รู้ ได้เห็นแก่บุคคลอื่น  โดยเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม  ภิกุนั้นต้อง
อาบัติ “ปาราชิก” คือขาดจากการเป็นภิกษุสงฆ์  เว้นแต่จะเข้าใจเอาเองว่าตนได้บรรลุถึงขั้นนั้นๆ

แล้วถ้าภิกษุนั้นได้บรรลุฌานแล้วล่ะ  จะกล่าวได้หรือไม่?   ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะจะต้องอาบัติ “ปาจิตตีย์” ข้อที่ ๘ ทันที

   ๘.  โย ปน ภิกฺขุ อนุปสมฺปนฺนสฺส                   ๘.  อนึ่ง ภิกษุใด บอกอุตตริมนุสสธรรม
อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อาโรเจยฺย,                         ( ของตน) แก่อนุปสัมบัน
ภูตสฺมึ ปาจิตฺติยํ.                                     เป็นปาจิตตีย์  เพราะมีจริง

พระที่ท่านบรรลุแล้วท่านไม่ทำตนของท่านให้มัวหมองจากอาบัติหรอกครับ

ผู้อ่านท่านใดที่ประสบกับปัญหาชีวิตแล้วใคร่จะสนทนาธรรมกับพระภิกษุก็คงไม่เสียหายอะไร   แต่ถ้าภิกษุรูปใดบอกกล่าวว่า  เป็นเพราะท่าน
เคยทำกรรมไว้เมื่อชาตินั้นชาติโน้น  ท่านเคยเกิดเป็นใครเมื่อชาติใดก็ตาม (ดังที่ผมได้เคยประสบมา) ก็ขอให้พิจารณาข้อบัญญัติของภิกษุสงฆ์
ที่ผมได้นำมาลงไว้ให้อ่านให้ดี   ส่วนการที่ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อเป็นสิทธิส่วนบุคคลของท่านเองครับ

เมื่อผู้อ่านเข้าใจข้อบัญญัติของภิกษุสงฆ์แล้ว   การอ่านกระทู้นี้ต่อไปก็คงจะอ่านกันอย่างมีสติ  เรื่องของ “อจินไตย ๔” เป็นปัญหาโลกแตก   
ต้องรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้นครับ   เราอ่านกันเพื่อนำมาพิจารณาประกอบเพื่อละเว้นการกระทำชั่วเป็นสิ่งที่ดีที่สุด


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 20 ก.ค. 11, 17:39
          เรื่องการรับประทานผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ที่ข้องเกี่ยวกับการฆ่า การตายนั้น ท่านให้ดูที่เจตนา ครับ

            เราไม่ได้มีเจตนาให้ฆ่า ไม่ได้ยินดีที่มีการฆ่าและการตายของสัตว์ จึงไม่ถือว่า
เป็นบาป ครับ

             ในพระไตรปิฎกมีกรณีตัวอย่าง ได้แก่ ภรรยาซึ่งบรรลุโสดาบันแล้วจัดเตรียมอาวุธให้สามี
ผู้มีอาชีพเป็นพรานออกไปล่าสัตว์ทุกวัน ก็มีคำอธิบายว่า ไม่ผิดไม่บาปเพราะเป็นการกระทำไป
ตามหน้าที่ จิตขณะนั้นไม่ได้คิดหรือยินดีให้สามีไปฆ่าหากแต่คิดว่าเป็นการปฏิบัติต่อสามีตามสมควรแก่หน้าที่

คาถาพระธรรมบทว่า เมื่อฝ่ามือไม่มีแผล ก็ย่อมถือยาพิษได้โดยที่พิษไม่ซึมซาบเข้าสู่ร่าง ฉันใดก็ฉันนั้น
                           บาปย่อมไม่มีแก่คนที่ไม่คิดจะทำ

             อีกกรณีหนึ่งคือ ภิกษุตาบอดเดินจงกรมแล้วเหยียบแมลงตาย ภิกษุรูปอื่นไปทูลพระพุทธองค์
ทรงตอบว่าภิกษุรูปนั้นไม่ผิดเพราะไม่ได้มีเจตนาตั้งใจเหยียบแมลงเหล่านั้นให้ตาย


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ค. 11, 10:37
บังเอิญเมื่อวานพบเว็บนี้ค่ะ

https://sites.google.com/site/reincarnationthailand/ceaphraya-sursakdi-mntri

มีประวัติส่วนหนึ่งของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (อ่านพบเฉยๆ นะคะ ยังไม่ได้ได้ค้นข้อมูลจากที่อื่นเพิ่มเติมว่าตรงกันหรือเปล่า เพราะถ้าค้นในเว็บส่วนมากก็สำเนาต่อๆ กันมา หาข้อเท็จจริงยาก)

เคยอ่านพบในประวัติบุคคล หลายท่านด้วยกัน เล่าถึงเด็กในตระกูลที่ตายไปก่อน  พ่อแม่เอาดินหม้อหรือปูนทำเครื่องหมายไว้บนร่างกายก่อนเผา เพื่อขอให้มาเกิดใหม่
ต่อมาพอมีลูกหลานมาเกิด   ก็พบรอยปานแบบเดียวกัน

ตอนนี้กำลังอ่านงานของม.ร.ว.คึกฤทธิ์เพื่อเอามาเล่าในกระทู้ความเป็นนักประพันธ์ของท่าน   ก็พบว่าท่านเล่าประสบการณ์นี้ไว้ใน "โครงกระดูกในตู้"
ท่านพ่อของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช คือพระองค์เจ้าคำรพ  ทรงมีหม่อมคนแรกชื่อหม่อมผาด  มีบุตรชายด้วยกันคนหนึ่ง  ตายเมื่อแรกเกิด
พระองค์เจ้าคำรพท่านเสียดายมาก ก็เอาปูนป้ายไว้ที่ก้นเด็ก  แล้วบอกว่า "เกิดมาเป็นลูกพ่อใหม่นะ"
ต่อมาท่านมีหม่อมคนที่สอง คือหม่อมแดง บุนนาค   มีบุตรชายคนแรกคือม.ร.ว.เสนีย์    พอทรงทราบว่าได้บุตรคนแรกเป็นชาย ก็ทรงรีบพลิกดูที่ก้น
ก็ปรากฏว่าที่ก้นของม.ร.ว.เสนีย์มีปานแดงจริงๆ   ตรงที่ท่านพ่อเอาปูนหมายก้นบุตรชายคนแรกไว้
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ทิ้งท้ายไว้ตามสไตล์ของท่านว่า

" เรื่องนี้ใครอยากพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างไร  ก็ขอให้ไปเปิดก้นคุณเสนีย์ดูเอาเองเถิด"


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 25 ก.ค. 11, 20:50
อ้างถึง
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ทิ้งท้ายไว้ตามสไตล์ของท่านว่า

" เรื่องนี้ใครอยากพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างไร  ก็ขอให้ไปเปิดก้นคุณเสนีย์ดูเอาเองเถิด"

ดิฉันรักเสน่ห์ในการเขียนหนังสือของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ตรงนี้มาก ให้ทั้งอารมณ์ขันและ

ท้าให้พิสูจน์ก่อนเชื่อไม่งมงายสักแต่เชื่อตามทีเล่าลือกันปากต่อปาก

ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าลือกันมากนะคะ โดยเฉพาะในยุคที่ Internet เฟื่องฟู ข้อมูลหาง่ายมาก

ปัญหาคือ อะไรจริง อะไรไม่จริง ควรด่วนเชื่อหรือควรพิสูจน์ และ คุ้มไหมที่จะเสียเวลาไปพิสูจน์


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: samun007 ที่ 13 ส.ค. 11, 17:46
ถ้าจะให้เป็นกึ่งวิทยาศาสตร์หน่อย ก็น่าจะมีผลงานของ คุณลุงหมอ อาจินต์ บุณยเกต  กับ ดร. คลุ้ม วัชโรบล( บิดาคุณลีลาวดี ) ซึ่งท่านได้จดบันทึกเรื่องทางจิตไว้เป็นจำนวนมาก วิธีการของท่านก็ไปในแนวทางกับ ดร. เอียน สตีเฟนสัน บิดาของการพิสูจน์เรื่องระลึกชาติ ซึ่ง ดร. เอียน ก็เคยเข้ามาทำงานวิจัยเรื่องการระลึกชาตินี้กับ ดร. คลุ้ม หลายหนนะครับ

คุณหมออาจินต์ ท่านเป็นลูกศิษย์ของ หลวงปู่อ่ำ วัดวงษ์ฆ้อง อยุธยา ซึ่งเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่งครับ และมีความสามารถทางจิตสูงมากครับ

วงการวิทยาศาสตร์จริง ๆ เขาจะเรียกความรู้แขนงนี้ว่าเป็น psudo science ครับ ไม่นับเป็นวิทยาศาสตร์(ในความคิดของเขา)




กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 11, 15:22
ไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับ Dr. Ian Stevenson มาอ่านจากกูเกิ้ล ก็น่าสนใจดีค่ะ    ดร.สตีเวนสันรวบรวมจากการสัมภาษณ์ผู้คนที่อ้างว่าระลึกชาติได้มาทั่วโลก   หลายกรณีก็ดูน่าเชื่อถือ
คนไทยที่อ่าน อาจไม่มีปฏิกิริยาแปลกใจหรือไม่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด   เพราะแนวคิดเรื่องชาติก่อนชาตินี้ปรากฏอยู่มากมายในพระไตรปิฎก  ว่าด้วยการเสวยพระชาติต่างๆของพระพุทธเจ้า
แต่ฝรั่งไม่ค่อยตอบรับ     เพราะตามความเชื่อในศาสนาคริสต์ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดแบบพุทธ   โดยเฉพาะที่ว่ามนุษย์อาจเคยเกิดเป็นสัตว์ หรือสัตว์มาเกิดเป็นมนุษย์ ยิ่งยากจะกลืนลงคอไปได้

ไปเจอข่าวไทยรัฐเมื่อพ.ศ. 2521   ลงเรื่องการระลึกชาติของเด็กชายคนหนึ่ง ระบุชื่อนามสกุลและเหตุการณ์ไว้ละเอียด  เลยขอลอกเอามาให้อ่านกัน

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับที่ 7423 วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 ได้ลงข่าวว่า ได้พบเด็กระลึกชาติรายใหม่ อายุเพียง 3 ขวบ หนียายออกจากบ้านไปหาครอบครัวเมื่อชาติก่อน เผยความหลังชาติก่อนเป็นครู ถูกคนร้ายยิงตาย มีลูก 4 คน เมียเก่าและลูกได้ยินเรื่องราวถึงกับตะลึง เพราะรู้เรื่องชาติก่อนได้ถูกต้อง เพื่อนเก่าเป็นตำรวจก็อัศจรรย์ใจ เมื่อเด็ก 3 ขวบทักทายว่า จำได้ไหม ? แล้วเล่าความหลังให้ฟัง

เด็กระลึกชาติรายใหม่ที่จำความชาติปางก่อนได้ถูกต้อง คือ ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์ เดี๋ยวนี้อายุ 10 ขวบ (พ.ศ. 2521) บุตรของนายเบิ้ม หรือคำรณ - นางสมคิด อยู่บ้านเลขที่ 189 หมู่ 1 กิ่งอำเภอวังทรายพูน จ.พิจิตร นายเบิ้มผู้เป็นพ่อมีอาชีพเป็นช่างตัดผม แม่ตัดเย็บเสื้อผ้า ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพ ฯ พักอยู่ที่ บ้านเลขที่ 20 ซ.โลหิตสุข ถ.ดินแดง แขวงห้วยขวาง เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร แต่ ด.ช.ชนัย อาศัยอยู่กับยายที่พิจิตร ชื่อนางพรม เบ็ญทอง อายุ 79 ปี พักอยู่ที่ 608 หมู่ 1 ต.พับคล้อ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 ร.ร. วัดเขาทราย อ.ตะทานหิน จ.พิจิตร


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 11, 15:23
นางพรม เบ็ญทอง ผู้เป็นยาย ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐว่า มารู้ว่า ด.ช.ระลึกชาติได้ ก็เพราะ ด.ช.ชนัย ได้เล่าเรื่องแต่ชาติปางก่อนให้ยายฟังว่า เมื่อชาติก่อนตัวเองเป็นครู ชื่อ บัวไข หล่อนาค สอนประจำอยู่ที่โรงเรียนท่าบ่อ ต.บางหว้า อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร จากนั้น ด.ช. ชนัย ยังได้เล่าว่า แต่เดิมตนมีพ่อชื่อนายเขียน แม่ชื่อนางยวง แล้วยังมีภรรยาชื่อนางสวน มีลูกกับนางสวน 5 คนด้วยกันเป็นหญิง 3 ชาย 2 คนโตชื่อ น.ส. บรรจง หรือติ่ม คนที่สอง ชื่อ น.ส. เบญจา หรือต๋อย ทั้งสองคนนี้เป็นฝาแฝด คนที่สามชื่อ นายณรงค์ คนที่สี่ชื่อ นายบุญเทียม และคนสุดท้องชื่อ น.ส. น้ำค้าง

ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์ หรือนายบัวไข หล่อนาค เมื่อชาติก่อน ได้เล่าเหตุการณ์ณ์ที่ตนต้องตายว่า ขณะนั้นภรรยาในชาติก่อน คือนางสวนได้ตั้งท้องลูกสาวคนเล็ก คือ น.ส. น้ำค้าง ได้ 3 เดือน นายบัวไขได้ขี่รถจักรยานจะไปสอนหนังสือที่โรงเรียน ได้ถูกคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นใครลอบยิงจากท้ายทอยทะลุหน้าผาก

ฝ่ายผู้เป็นยายคือนางพรม เมื่อรับฟังเรื่องราวจากหลานชายวัย 3 ขวบ ในตอนแรกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อยู่มาวันหนึ่ง ด.ช.ชนัย ได้พยายามหนีออกจากบ้านขึ้นรถประจำทางจาก ต.ทับคล้อ อ.ตะพานหิน ไปที่อ.เมือง จ.พิจิตร เพื่อเยี่ยมครอบครัวของนางสวน ภรรยาในชาติก่อน นางพรมจึงต้องตามไปด้วย เมื่อพบกันและเล่าความหลังให้ฟัง ก็ปรากฏว่าฝ่ายครอบครัวของนางสวนเขื่อสนิทว่า ด.ช.ชนัย คือนายบัวไขในชาติก่อน นอกจากนี้ ด.ช.ชนัย ยังสอบถามนางสวนว่า ของมีค่าที่ให้เก็บไว้ในชาติก่อนนั้นยังอยู่ดีหรือ ซึ่ง ด.ช.ชนัยหมายถึงปืนสองกระบอกพรือมกับบอกที่ซ่อนของ ซึ่งสมาชิกในครอบครัวเมื่อได้รับคำบอกเล่าถึงกับตะลึง

เมื่อ ด.ช.ชนัย ได้พบหน้ากับ จ.ส.ต. สนาน เจ้าหน้าที่ตำรวจแห่ง ส.ภ.อ. เมืองพิจิตร ซึ่งเดิม จ.ส.อ. สนานเป็นเพื่อนสนิทของนายบัวไข ทันทีที่พบหน้า ด.ช.ชนัย ก็เอ่ยปากทักว่า เฮ้ย หนาน ยังอยู่สบายดีหรือ จำเราได้ไหม ? เราบัวไขเพื่อนเก่าของนายไงล่ะ

จ.ส.อ. สนานถึงกับตะลึงงันไปเช่นกัน นึกไม่ถึงว่า เด็กอายุ 3 ขวบ จะเป็นเพื่อนของตน เมื่อสอบถามเรื่องความหลังซึ่งกันและกัน ด.ช.ชนัย ก็เล่าความหลังได้ถูกต้องทุกอย่าง และเมื่อถามถึงอาหารการกินที่ชอบ ด.ช.ชนัย ก็บอกว่า ชอบไข่ดาวกับข้าวหลาม
ซึ่งทุกคนยอมรับว่า นายบัวไขเมื่อชาติก่อนชอบอาหารเช่นนั้นจริงๆ และแม้แต่ในชาตินี้ ด.ช. ชนัย ก็ยังชอบอาหารชนิดนี้ นอกจากนี้ จ.ส.อ. สนาน รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของนางสวนทุกคน รวมทั้งลูกๆ ทุกคนของนายบัวไขในชาติก่อน ต่างก็ยอมรับว่า ด.ช.ชนัย ผู้นี้คือพ่อของตนในชาติก่อนจริง และปัจจุบัน ด.ช.ชนัย ยังไปมาหาสู่กับครอบครัวนี้โดยสนิทสนม

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ถาม ด.ช.ชนัย ซึ่งปัจจุบัน อายุ 10 ขวบ ในทำนองกระเซ้าว่า ถ้ามีคนมาสู่ขอนางสวนภรรยาเก่าในชาติก่อนของ ด.ช.ชนัย จะว่าอย่างไร ด.ช.ชนัย ไม่ตอบ แต่แสดงอาการหึงหวงเห็นได้ชัด และไม่พอใจต่อคำถามนี้มาก แต่ได้หัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกไว้

ต่อจากนี้จะขอนำข้อความที่น่าสนใจที่คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ไปสัมภาษณ์ ยาย พ่อ แม่ และภรรยาในชาติก่อน มาเพิ่มเติมอีกสักหน่อย ตอนที่นางพรม เบ็ญทอง - ยาย ได้พา ด.ช.ชนัย ไปพบ พ่อ - แม่ ในชาติก่อน ด.ช.ชนัยเป็นผู้บอกนำทาง เมื่อไปทางถนนใหญ่แล้ว ก็ชี้ให้เข้าตรอกซอยจากถนนใหญ่อีกไกลกว่าจะถึงบ้านพ่อแม่เขา เมื่อไปถึงเขาก็เดินนำเข้าไปในบ้านซึ่งมีคนมานั่งอยู่หลายคน ทั้งคนอายุมากและเด็กๆ ด.ช.ชนัย ก็ตรงเข้าไปกราบชายอายุมากคนหนึ่ง และหญิงอีกคนหนึ่งแล้วก็ร้องไห้ พูดว่า

“พ่อจ๋า แม่จ๋า ลูกมาหา ลูกคิดถึงพ่อคิดถึงแม่มาก”

ชายหญิงมีอายุทั้งสองที่เด็กอ้างว่าเป็นพ่อแม่ในชาติก่อน ก็ตะลึงงงและสงสัย เพราะจู่ๆ ไม่ทันรู้ตัวก็มีเด็กเข้ามากราบ แล้วร้องไห้เรียก พ่อ แม่ ทั้งที่ไม่เคยเห็นเด็กและยายมาก่อน ส่วนยายเองก็ตื่นเต้น เพราะว่าที่นั่นมีผู้ใหญ่อยู่บนเรือนหลายคน ทำไมเด็กอายุแค่นั้น (สามขวบ) จึงไปเจาะจงว่าคนนั้นคนนี้เป็นพ่อ เป็นแม่มาแต่ชาติก่อน เด็กบอกว่าเป็นครูบัวไขมาเกิด ผู้ใหญ่ทั้งสองยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นครูบัวไข ลูกของตัวมาเกิด แต่เมื่อเห็นแผลเป็นเหมือนครูบัวไข ลูกชาย ที่ถูกยิงจากท้ายทอยทะลุออกหน้าผาก ก็ชักจะมีน้ำหนักพอที่จะเชื่อ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 11, 15:23
ตอนที่ยายได้พา ด.ช.ชนัย ไปพบพ่อแม่อีกครั้งหนึ่งตามนัด มีผู้คนทั้งหญิงชายเด็กผู้ใหญ่ คนเฒ่า คนแก่ พ่อแม่ นั่งคอยอยู่ในบ้านก่อนแล้ว เพื่อเป็นพยานช่วยกันพิสูจน์เรื่องครูบัวไขกลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่ ญาติผู้หนึ่งได้ถามขึ้นว่า เราอ้างว่าเป็นครูบัวไขน่ะ จำเมียของเราได้ไหมว่า ชื่ออะไร ด.ช.ชนัยก็หันไปมองเมียแล้วตอบทันทีว่า ชื่อสวนนะซิ เสียงพึมพำเกิดขึ้น ต่างก็แปลกใจที่เด็กบอกได้ถูกต้อง ต่อมาแม่เขาก็นำของใช้ของธรรมดาหลายอย่างปนกันมาให้ดูแล้วบอกว่า

อะไรเป็นของลูกเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ยังจำได้ไหม ? หยิบให้แม่ดูซิ เด็กก็หยิบดูแล้วว่า นี่ก็เป็นของผม นี้ไม่ใช่ของผม โน่นก็เป็นของผม เสร็จแล้วเขาก็จูงมือแม่เขาเดินดูในบ้านแล้วก็ชี้ว่า อ้ายตรงนี้ของๆ ผมตั้งอยู่ที่นี่มันหายไปไหน ? ตรงโน้นของผมตั้งอยู่หายไปไหน ? หนังสือของผมอยู่ในตู้มันหายไปไหนหมด เมียในชาติก่อนเขาก็บอกว่า เมื่อเจ้าของไม่อยู่ฉันก็ให้เขาไปซิ จะได้เป็นประโยชน์กับผู้อื่นต่อไป เมื่อ ด.ช. ชนัยได้ยินเช่นนั้นก็พูดว่า

เมื่อให้ไปแล้วก็แล้วไปนะ ต่อมาแม่เขาก็ถามขึ้นอีกว่า แล้วอะไรของลูกนี่นึกออกว่ายังมีอะไรบ้าง เด็กก็บอกว่า พระของผมยังมีอยูพวงหนึ่ง แม่ถามว่า พระของลูกมีอยู่กี่องค์ เด็กบอกว่า พระของผมมีอยู่ สาม องค์ เป็นพระเครื่องนางพญา คราวนี้พวกที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนแอบกระซิบถามเมียเมื่อชาติก่อน ว่าจริงไหมที่เขาพูดเมียเขาก็บอกว่าเป็นความจริงทุกอย่าง

คราวนี้มีผู้ถามว่าก่อนที่ครูจะถูกยิงตายวันนั้น ครูทำอะไรบ้าง พอจะนึกออกไหม ? ด.ช. ชนัยบอกว่า เช้าขึ้นวันนั้นผมก็ซักผ้าก่อน และผมก็ถอดพระที่ห้อยคอไว้ที่โต๊ะ แล้วก็ไปอาบน้ำเสร็จแล้วก็มากินข้าวแล้วก็แต่งตัวถีบจักรยานไปโรงเรียน วันนั้นผมลืมพระไว้ ไม่ได้ห้อยคอติดตัวไปเลย ถ้าผมไม่ลืมเอาไปด้วย เมื่อถูกยิงตายก็คงไม่มีอะไรเหลือ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 11, 15:24
พ่อในชาติก่อนของเด็กได้ถามขึ้นว่า ปืนอะไรที่ลูกมี เด็กก็ตอบว่า ก็ปืนสั้น ปืนยาวอย่างละกระบอก พ่อแม่และเมียต่างก็รับจริง ตอนนั้นทั้งพ่อแม่และเมียและญาติต่างก็เช็ดน้ำตาบางคนก็ก้มหน้าสะอึกสะอื้น ญาติที่สนใจถามว่า ที่หนูอ้างว่าเป็นครูบัวไขถูกยิงตายกลับชาติมาเกิดคงจะรู้เรื่องวันที่ถูกยิงได้ดี ถูกยิงเวลาเช้าไปโรงเรียน หรือบ่ายกลับจากโรงเรียน เด็กตอบว่า เขายิงเงลาที่ฉันถีบจักรยานที่จะไปโรงเรียน

แล้วมีผู้ถามต่อไปว่า เมื่อครูตายแล้วเขาเอาศพครูไปเผาที่วัดไหน ? เด็กตอบว่า เขาก็เอาไปเผาที่วัดตะพานหินนะซิ ต่อจากนั้นแม่เขาก็ไปหยิบเข็มขัดที่เป็นช่องสำหรับใส่ลูกกระสุนปืนคาดเอว 5 - 6 สาย ทำเหมือนจะเสี่ยงทายแล้วพูดว่า เข็มขัดกระสุนเหล่านี้ หากลูกจำได้ว่าอันไหนเป็นของลูกก็หยิบขึ้นมา ถ้าหยิบไม่ถูกจำไม่ได้ก็เป็นอันว่าไม่ใช่ลูกของแม่

ตอนนั้นยายของเด็กรู้สึกตื่นเต้นใจคอไม่สบาย เพราะกลัวว่าหลานชายจะหยิบผิดจำไม่ได้ และกลัวเขาจะว่ายายพาหลานมาหลอกลวงเขา ทำให้คิดวุ่นวาย ใจเต้น คอยจ้องตาดูว่าเด็กจะหยิบถูกหรือผิด เป็นการตัดสินครั้งใหญ่ แต่เมื่อเด็กมองดูแล้วก็ไม่ได้ชักช้าเสียเวลาหยิบเข็มชัดสายหนึ่งยังมีลูกกระสุนปืนเสียบอยู่ 3 ลูก ออกมาชูขึ้นบอกว่า

แม่ เข็มขัดลูกปืนเส้นนี้เป็นของฉัน เมื่อผู้เป็นแม่ในชาติก่อนเห็นเช่นนั้นก็ร้องไห้โฮ และพวกญาติที่นั่นก็ร้องไห้ตามไปด้วยหลายคน ส่วนยายที่ใจกำลังเต้นกุกกักอยู่นั้นก็ค่อยโล่งอกหายใจทั้วท้อง เมื่อพ่อแม่เขารับว่าถูกต้องแล้ว เป็นครูบัวไขมาเกิดแน่ แล้วแม่เขาก็คร่ำครวญว่า

พุทโธ่เอ๋ย ลูกของแม่ ญาติของเราก็มีถมเถไป ทำไมลูกจึงไม่มาเกิดในสายญาติของเราละลูก ทำไมต้องไปเกิดทางโลกไกลอย่างนี้ ด.ช. ชนัย ได้ตอบว่า เราจะเลือกเกิดไม่ได้หรอกแม่ แล้วแต่ผู้จัดการบันดาลให้เราเกิด เราขัดคำสั่งเขาไม่ได้ เขาสั่งให้เราเกิดที่ไหน เราก็ต้องเกิดที่นั่น ถ้าหลบไปเกิดที่อื่น ไม่ช้าเขาก็เอาตัวกลับไปอีก เราก็ต้องรับโทษ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 11, 15:24
ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงเมียในชาติก่อนเขาพูดอย่างเยาะๆ ว่า เกิดมาชาตินี้จะเจ้าชู้มีเมียมากอีกไหม ? เด็กได้ตอบว่า ฉันเข็ดแล้วไม่เอาอีกแล้วเล่าให้เมียฟังว่า เขาบังคับทำโทษให้ฉันแก้ผ้าหมดเหลือแต่ตัวเปล่าส่อนจ้อน เขาพาไปที่สระบัวกว้างใหญ่ เขาให้ฉันเดินลัดบุกฝ่าป่าดงบัวเหมือนทำโทษที่ฉันเจ้าชู้มีเมียมาก ฉันได้รับความลำบากมาก กว่าจะเดินฝ่าดงบัวออกมาได้ เมื่อพ้นแล้วเขาก็ให้ใส่เสื้อผ้า มีคนมาประกบคุมตัวอยู่สองข้าง พาฉันให้เดินมาพักหนึ่งแล้ว เขาก็บอกว่า ให้ไปเกิดได้ เขาส่งได้แค่นี้ ฉันก็มาเกิด แล้วฉันก็หมดความรู้สึก

อีกตอนหนึ่งที่นับว่าสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง วิญญาณ คือการที่ คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ได้สัมภาษณ์ ด.ช.ชนัย ข้อความบางตอนเป็นดังนี้

ประสิทธิ์ : วันที่หนูก่อนจะถูกยิงนั้น มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ผิดปกติกว่าวันธรรดา

ชนัย : วันที่ผมตาย ผมลืมไม่ได้แขวนพระติดตัวไปด้วย ธรรมดาผมไม่เคยลืม ปืนสั้นที่ผมเคยพกไม่ได้พก เมื่ออาบน้ำกินข้าวเสร็จก็รีบแต่งตัว คว้าจักรยานถีบออกจากบ้าน เคราะห์ดีครับที่ผมไม่ได้ห้อยพระและพกปืนไปไม่เช่นนั้นเมื่อผมถูกยิงตาย มันคงเก็บเอาไปหมด

ประสิทธิ์ : แล้วหนูรู้จักชื่อเสียงตัวคนร้ายที่ยิงหนูไหม ? แล้วเวลาตายรู้สึกอย่างไรบ้าง ? ใจวูบไปเลยหรือเจ็บปวดสาหัสก่อนจะตาย หรือเหมือนหลับไปเฉยๆ

ชนัย : ไม่หรอกครับ คนยิงไม่รู้จักว่าเป็นใคร เพราะเขายิงผมข้างหลัง ไม่รู้ตัวเวลาตาย รู้สึกวิญญาณผมออกจากร่างแล้ว ผมยังมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนถนน ขายังสั่นกระดิกๆ เลือดออกทางแผลที่ถูกยิงตรงหัวไหลนองถนน

ประสิทธิ์ : เมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้วล่องลอยไปอยู่ที่ไหน ? พบปะอะไรบ้าง ? หนูยังจำได้ไหม ? ก่อนจะกลับมาเกิดใหม่ มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง

ชนัย : วิญญาณผมเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ วนเวียนไปหลายแห่ง จะไปไหนบ้างเวลานี้ผมจำไม่ได้ ผมลืมไปหมดแล้วครับ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 11, 15:31
ได้มาจากอีกเว็บ   เรื่องเดียวกัน

      จากการที่ ด.ช.ชนัย อ้างว่าเมื่อถูกยิงตายอยู่บนถนน วิญญาณได้ออกจากร่างแล้ว ยังมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนถนน ขายังสั่นริกริก ๆ เลือดออกทางแผล ที่ถูกยิงตรงหัวไหลนองถนน นี้ตรงกับการศึกษาค้นค้วาของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เกี่ยวกับการตายแล้วรู้สึกอย่างไร โดยแพทย์รับรองว่าตายแน่ เพราะหัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ และกระแสคลื่นสมองก็ไม่มี และภายหลังได้ฟื้นขึ้นมาอีก กลับมีชีวิตต่อไปได้ แล้วได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ได้ปรากฏและพบเห็นขณะที่วิญญาณได้ออกจากร่างไปนั้น นักวิทยาศาสตร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายแพทย์ ที่ควรจะกล่าวชื่อ คือ แพทย์หญิงเอลิซาเบธ คืบเลอร์ - รอสส์ (Dr. Rlisabeth kubler- ross) ซึ่งได้เขียนลงในหนังสือเรื่อง ความตายและกำลังตาย (On Death and Dying) และอีกคนหนึ่ง คือ ดร . เรมอนย์ เอ มูดี (Dr. Raymond A Moody Jr) ท่านผู้นี้เป็น ดร . ทางปรัชญา และภายหลังได้เรียนต่อทางแพทย์ จนได้รับ M.D. มหาวิทยาลัย เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ท่านผู้นี้ได้กล่าวถึง ชีวิตภายหลังการมีชีวิตอยู่ (Life After Life) ในหนังสือเรื่อง การคำนึงถึงเรื่องชีวิตภายหลังการมีชีวิตอยู่ (Reflection on life After Life) ได้ศึกษามานานถึง ๑๒ ปี

       ทั้งสองท่านนี้ได้พบว่ามีหลายต่อหลายรายด้วยกัน มีความรู้ว่าได้ล่องลอย ออกจากร่าง และมองเห็นตัวเอง ทั้งได้ยินผู้คนที่มาแวดล้อมพูดจากันทุกอย่าง กระทำการแก้ไขเพื่อให้ฟื้น บางรายลอยไปในอุโมงค์มืดตื้อแล้วไปสู่ที่สว่างสวยงาม พบเพื่อนฝูงคนที่ได้ตายไปแล้วมาต้อนรับ และชวนอยู่ด้วย บางรายเล่าว่า ความตายเป็นสุขและความหวัง และไม่มีสักรายที่จะกลัวว่าจะตายอีก นอกจากสองท่านนี้ยังมีอีกท่านหนึ่ง ชื่อ คาร์ลิส โอซีส (karlis osis) เป็นนักจิตวิทยา สมาชิกของชมรมค้นคว้าทางจิตของอเมริกาในกรุงนิวยอร์ค ท่านผู้นี้ได้สัมภาษณ์นายแพทย์จำนวน ๘๗๗ คน ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการรักษาพยาบาลดูแลคนป่วยหนัก ที่ กำลังจะสิ้นชีวิต คนป่วยเหล่านี้มากต่อมากที่เล่า มีคนมาคอยรับจะเอาชีวิตไป


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 11, 15:33
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2552 รายการ ตีสิบ ได้เชิญ คุณชนัย  ชูมาลัยวงศ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็น ครูบัวไข  หล่อนาค สืบชาติมาเกิด พร้อมทั้งบุตรสาวฝาแฝด คือ นางบรรจง(ติ๋ม) นางเบญจา(ต๋อย) และบุตรอีก 3 คนของ ครูบัวไข คือ นายณรงค์ นายบุญเทียม และน.ส.น้ำค้าง มาร่วมรายการด้วย


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 11, 15:35
 ในรายการ คุณชนัย ได้แสดงให้เห็นว่าเขายังจำเรื่องราวในอดีตชาติได้อยู่  เขาได้เล่าถึงชีวิตหลังความตายตอนหนึ่งว่าหลังจากเสียชีวิต เขาได้ถูกคนรูปร่างสูงใหญ่พาเดินไปตามทาง จนไปถึงทางสองแพ่งเขาก็เลือกที่จะไปในทางที่เป็นป่ารก จนกระทั่งมาถึงสถานที่หนึ่งมีน้ำขังอยู่เป็นแอ่งกระทะ ผู้คนที่เดินผ่านไปบริเวณนั้นส่วนใหญ่ก็จะตักดื่มกัน แต่ตัวเขาไม่ได้ดื่มน้ำนั้น (ซึ่งเขาเชื่อว่านั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขายังสามารถจำอดีตชาติได้ไม่ลืม)  ต่อมาเขาถูกบังคับให้ขึ้นต้นไม้สีดำมีหนามด้านล่างมีคนร่างใหญ่คอยเอาหอกแหลมคอยแทง ข้างบนก็มีอีกาคอยจิก เขาถูกอีกาจิกที่ลูกตา ซึ่งคล้ายกับตอนที่เขาเป็นครูบัวไข  แล้วถูกยิงกระสุนถูกที่ท้ายทอยทะลุหน้าผาก  ทำให้ตาข้างซ้ายถลนออกมานอกเบ้า     เมื่อตายแล้วยังมาถูกนกกาจิกที่ตาอีก และที่สำคัญเมื่อถึงวันครบรอบวันตายของครูบัวไข คุณชนัยจะรู้สึกเจ็บตาข้างซ้ายอยู่เป็นประจำทุกปี และเขาจะเจ็บตาข้างซ้ายเวลาที่พูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติ ซึ่งก่อนที่จะมาเล่าเรื่องราวในอดีตชาติให้ฟังในรายการนี้ เขาก็รู้สึกเจ็บตาข้างซ้ายเช่นกัน คุณชนัยเชื่อว่าการที่วิญญาณของครูบัวไขถูกลงโทษให้ปีนต้นไม้มีหนามคงเป็นเพราะเวรกรรมที่ครูบัวไขมีเมียหลายคน และที่ต้องถูกกระทำกับดวงตาข้างซ้ายก็คงเป็นเพราะเวรกรรมที่เคยทำไว้
            คุณชนัย เล่าถึงความผูกพันที่มีต่อครอบครัวในอดีตชาติว่ารู้สึกผูกพันตลอดมา ส่วนทางฝั่งของบุตรสาวฝาแฝดทั้งสองคนของครูบัวไขก็มีความรู้สึกผูกพันกับคุณชนัยด้วยเช่นกัน โดยยังคงเรียกคุณชนัยซึ่งมีอายุน้อยกว่าว่า "พ่อ" ได้อย่างสนิทใจ  และทั้งสองคนได้เล่าถึงความห่วงใยของผู้เป็นพ่อว่า แม้จะเกิดมาในชาติใหม่นี้ก็ยังเป็นห่วงเมื่อตอนเด็กๆ ด.ช.ชนัย มักจะนั่งรถโดยสารมาหาที่บ้านและจะซื้อต้นอ้อยที่พวกเธอชอบมาฝากเสมอ

         จากเว็บ Reincarnation Thailand


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 11, 20:25
จากงานวิจัยของดร.เอียน สตีเวนสัน    มีตอนหนึ่งบอกว่า คนหลายคนที่ระลึกชาติได้ มักจะเป็นคนที่ประสบการตายอย่างรุนแรง เช่นถูกฆ่าตาย    พวกนี้เมื่อเกิดใหม่จะจดจำรายละเอียดการตายได้ทุกขั้นตอน   
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน  บางคนก็ตายไปตามธรรมชาติด้วยโรคภัยไข้เจ็บ   ไม่มีอะไรรุนแรงในชาติก่อน

ไม่มีเหตุผลหรือที่มาที่ไปพอจะตั้งทฤษฎีได้ว่า  ทำไมคนบางคนระลึกชาติได้  ทำไมบางคนระลึกไม่ได้       เหมือนกับว่าถ้าระลึกได้ก็ระลึกได้ขึ้นมาเฉยๆ     นอกจากนี้ยังหลากหลายด้วย   บางคนก็ระลึกได้เมื่อวัยเด็ก แต่พอโตก็ลืมเลือนจำอะไรไม่ได้     บางคนก็จำได้แม่นยำอยู่ยาวนาน 
แต่เท่าที่อ่าน   การระลึกชาติได้จะระลึกได้ตั้งแต่ยังเล็ก    ไม่ใช่ว่าอยู่มาจนแก่ถึงเพิ่งระลึกขึ้นมาได้
ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับว่าคนนั้นเคยบรรลุญาณ หรือปฏิบัติภาวนาอะไรมาแต่ชาติก่อน จึงระลึกได้     แต่เป็นคนธรรมดาๆ มีดีมีชั่วอย่างทั่วๆไปนี่เอง
ไม่พบว่าการระลึกชาติได้มีผลต่อการดำเนินชีวิตใหม่ของคนนั้น ในแง่บวกหรือลบ      ดูเหมือนว่าพวกนี้ก็ดำเนินชีวิตไปได้ตามปกติ   ไม่ได้รับกระทบกระเทือนมากมายจากชีวิตเก่าที่เขาระลึกได้


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 18 ส.ค. 11, 00:23
อ้างถึง
การระลึกชาติได้จะระลึกได้ตั้งแต่ยังเล็ก    ไม่ใช่ว่าอยู่มาจนแก่ถึงเพิ่งระลึกขึ้นมาได้
ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับว่าคนนั้นเคยบรรลุญาณ หรือปฏิบัติภาวนาอะไรมาแต่ชาติก่อน จึงระลึกได้     แต่เป็นคนธรรมดาๆ มีดีมีชั่วอย่างทั่วๆไปนี่เอง

การจำชาติที่เพิ่งตายจากไปได้ เป็นการระลึกได้เพียงชาติสุดท้ายก่อนชาติปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องมีอภิญญา ขอเพียงมีความติดยึด ผูกพัน ฝังใจ หรือ สะเทือนใจ ก็ย่อมทำให้ความจำติดแน่น อาการจึงเหมือนการจำได้ และ มักจะจำได้เมื่อเป็นเด็ก โตขึ้นก็ค่อย ๆลืมไป เว้นแต่มีเรื่องผูกพันฝังใจมาก เช่น กรณีที่มาออกตีสิบเป็นต้น

สำฟรับการระลึกได้ด้วยอำนาจจิตทีี่่ฝึกดีแล้ว ที่เรียกว่า อภิญญานั้น เรียกกันว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาน หรือ บ้างก็เรียกว่า อตีตะตังสะญาน(อาจสะกดไม่ถูกนะคะ)

อภิญญานั้น เลือกค้นหาไปได้หลาย  ๆชาติตามกำลังของฌาน ไม่ใช่จำได้แค่ชาติสุดท้ายที่เพิ่งตายจากเท่าันั้น

อ้างถึง
ไม่พบว่าการระลึกชาติได้มีผลต่อการดำเนินชีวิตใหม่ของคนนั้น ในแง่บวกหรือลบ      ดูเหมือนว่าพวกนี้ก็ดำเนินชีวิตไปได้ตามปกติ   ไม่ได้รับกระทบกระเทือนมากมายจากชีวิตเก่าที่เขาระลึกได้

การระลึกชาติได้ ในบางรายมีผลกระทบ เพราะเจ้าตัวเองนั่น ต้องการ "แก้แค้น หรือแก้ไข" ก็มีค่ะ บางคนคิดว่าเป็นหน้าที่ ๆ ต้องมาทำต่อให้แล้วเสร็จก็มี

แต่ส่วนใหญ่ เมื่อเวลาผ่านไป ก็ลืม และไม่ใส่ใจติดตามอีก พ่อแม่ของคน ๆ นั้น ก็มักจะพยายามให้ลูกที่ระลึกชาติได้ลืม เพื่อทำปัจจุบันชาติให้ดีต่อไป


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 11, 09:18
ยินดีที่เห็นคุณร่วมฤดีเข้ามาร่วมวงด้วยค่ะ      ดิฉันอยากฟังความเห็นของคุณในเรื่องพุทธศาสนาอีก  หวังว่าคงมีเวลาแวะมาสนทนากันอีกนะคะ

มีเรื่องระลึกชาติ ที่เป็นข่าวในไทยรัฐ มาฝากอีก ๑ เรื่อง 
เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อพ.ศ. ๒๕๐๘  ผู้ให้สัมภาษณ์คือนางไสว พรหมสิน (หรือพรหมศิลป์) อยู่ที่ร้านพาณิชย์พัฒนาในตลาดท่าตะโก ต.ดอนคา อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์   สามีชื่อ นายอมร พรหมศิลป อายุ ๔๖ ปี เป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดแรง ต.ดอนคา อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์
นางไสวเล่าว่า บุตรชายคนที่ ๙ ของเธอชื่อด.ช.บงกช    เมื่อเริ่มจะพูดได้ ก็พูดบ่นและร้องไห้เสมอว่าจะไปหาพ่อแม่ เมื่อนางบอกว่าพ่อแม่ก็อยู่ที่นี่ เด็กปฏิเสธว่าไม่ใช่ เลยเกิดโทสะถึงกับตีด้วยไม้ก็มี
หลายเดือนต่อมา เด็กไปบอกคนข้างบ้านว่า เขาไม่ใช่ลูกของนางไสว เขาคือนายจำรัส ลูกชายของนายม่านและนางศรีนวล พุภูเขียว บ้านอยู่ ต.หัวถนน อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ตายเพราะถูกแทง เขาอยากไปหาพ่อแม่ (เก่า) ขอให้พาไปด้วย เมื่อนางไสวกับสามีทราบข่าวจากชาวบ้านจึงสอบถามด.ช.บงกช เด็กบอกว่าเขาชื่อจำรัส ไม่ใช่ชื่อบงกช เขาถูกแทงตายที่ข้างศาลเจ้า ต.หัวถนน นายแบนและนายมาซึ่งเขารู้จักดี ช่วยกันแทงจนเขาตาย แล้วเอาสร้อยคอทองคำหนัก ๓ บาท แหวนทองคำ ๒ วง และนาฬิกาข้อมือของเขาไปด้วย
ตั้งแต่เกิดมา ด.ช.บงกชชอบกินปลาร้า ผิดจากพ่อแม่และพี่น้องอื่นๆ (มี ๑๐ คน แต่ตายไป ๒ คน) ซึ่งไม่กินปลาร้า โดยด.ช.บงกชไปกินกับคนข้างบ้าน และยิ่งกว่านั้นยังพูดภาษาอีสานได้ดีอีกด้วย ทั้งๆ ที่ในหมู่บ้านนั้นไม่มีชาวอีสานเลย และบางครั้ง ด.ช.บงกชยังขอร้องมารดาให้บวชให้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะเด็กอายุแค่ ๓ ขวบเท่านั้น
นางไสวเล่าว่า ครั้งหนึ่งเมื่อไปตลาด ด.ช.บงกชเห็นผลฝรั่งก็อยากกิน จึงบอกนางไสวว่าอยากกินหมากสีดา นางไสวไม่เข้าใจ เด็กจึงชี้ให้ดูผลฝรั่ง นางไสวจึงได้รู้ว่า ชาวอีสานเรียกฝรั่งว่าหมากสีดา

เรื่องการตายของนายจำรัส ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบหลักฐานจากทะเบียนคดีอาญาของอำเภอท่าตะโก ก็พบว่ามีจริง นายจำรัสอายุ ๑๘ ปี บุตรนายม่าน พุภูเขียว และนางศรีนวล ถูกแทงตายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๖ เหตุเกิด ที่บริเวณงานวัดหัวถนน ต.หัวถนน อ.ท่าตะโก
นายม่านซึ่งเป็นบิดาของนายจำรัส ได้เล่าถึงการตายของลูกชายว่า วันนั้นมีงานที่วัดหัวถนน มัน (จำรัส) บอกผมว่าจะไปเที่ยว ตอนไปมันใส่ทองหนัก ๓ บาท นาฬิกา ๑ เรือน แหวนทองนาค ๒ วง พอ ๒ ยามเศษ ตำรวจก็มาบอกว่าลูกชายถูกคนร้ายแทงตายและชิงทรัพย์ไปหมด ผมจำได้ว่ามันสวมเสื้อขาวแขนสั้น นุ่งกางเกงสีกากี ขาสั้น นอนตายอยู่โคนต้นตะโก ข้างศาลเจ้า
บ่ายวันรุ่งขึ้น เมื่อชันสูตรศพแล้ว ผมก็เอาไปวัดเผาเลย พอเขาตายได้ ๓ เดือนผมก็เอาจักรยานของเขาไปขายให้ทิดมี พอตกกลางคืน ลูกชายคนเล็กของผมก็ร้องไห้จนไม่ต้องหลับนอนกัน ผมเลยไปจุดธูปบอกจำรัสเรื่องรถจักรยาน เจ้าลูกคนเล็กก็หยุดร้อง ผมเลยไปซื้อรถจักรยานมาเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ แต่เสื้อผ้าของเขาผมให้ทานไปหมด เก็บไว้แต่มีดพกและกางเกงขายาวดำอีกตัวหนึ่งเพราะไม่มีคนใส่

นายม่านเล่าเรื่องเกี่ยวกับด.ช.บงกชว่า ผมรู้เรื่องเมื่อต้นปีนี้เอง มีคนลือกันว่าลูกผมไปเกิดที่ ต.ดอนคา ผมก็ไปกับเมียผม พอไปถึงบ้านนางไสว ด.ช.บงกชก็วิ่งมาหา ดูหมาให้ผมแล้วพูดภาษาอีสานกับผม ผมนึกเอะใจก็ลองถามเขาเรื่องสีของรถจักรยานและมีดพก เขาก็บอกว่าช่วยเก็บไว้ให้เขาด้วย เขาเอามีดพกเสียบไว้ข้างฝา ผมก็งงเป็นไก่ตาแตก ยิ่งคุยถามไปเด็กก็ตอบได้ถูกต้อง เขาต่อว่าผมไม่ไปหาเขาเลย เขาคิดถึงผมตลอดเวลา เด็กตัวเล็กๆ พูดจาเหลือเชื่อ เมื่อผมถามว่าเวลาตายใส่เสื้ออะไร เขาตอบว่าใส่เสื้อขาวแขนสั้น นุ่งกางเกงขาสั้นสีกากี ก็พ่อเป็นคนให้ใส่จำไม่ได้หรือ ผมถึงกับน้ำตาไหล แม่ของเขาก็ร้องโฮ แล้วเขาถามถึงเกวียนที่ผมเคยซื้อ ผมบอกว่าขายไปแล้ว เขาก็ไม่ว่าอะไร และยังพูดถึงน้องๆ ของเขาอย่างถูกต้อง มันเคยตีน้องมันยังเล่าถูก ผมร้องไห้เพราะเชื่อแน่ว่าเป็นลูกผม กลับถึงบ้านผมปรึกษากับเมียว่า จะขายนาสัก ๓๐ ไร่ เอาเงินไปซื้อตัวลูกคืนมา แต่ทางฝ่ายครูอมรและนางไสวไม่ยอม ส่วนเรื่องมือมีดนั้น ตำรวจจับนายมาได้ ส่วนนายแบนหนีไป ยังจับไม่ได้ เมื่อฟ้องศาลแล้ว ศาลตัดสินให้ปล่อยตัวเพราะหลักฐานอ่อน

นายม่านเล่าถึงนิสัยใจคอของนายจำรัสว่า เมื่อ ๒ ปีก่อนจะตาย นายจำรัสเคยปรารภว่าอยากจะบวชเณร แต่นายม่านนางศรีนวลทัดทานไว้เพราะเกรงว่าไม่มีคนช่วยทำนา เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ด.ช.บงกชในขณะนี้ ก็บ่นกับนายอมรและนางไสวเสมอว่าอยากบวช บางคราวด.ช.บงกชเอาผ้าคลุมหัวแล้วทำท่าเป็นพระ บางคราวก็บอกนางไสวว่า เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็จะบวช ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ นายจำรัสหรือด.ช.บงกชมีจิตเป็นกุศล ใคร่จะบวชในพระศาสนาอยู่เสมอ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 11, 09:27
ผู้สื่อข่าวไทยรัฐถามเด็กชายบงกชว่า "เมื่อถูกแทงตายไปแล้วไปอยู่ที่ไหน" 
เด็กชายตอบว่า "อยู่ข้างกอไผ่นั่นแหละ"  (หมายถึงสถานที่ที่ถูกแทงตาย)  และเล่าต่อไปว่า อยู่คนเดียวสบายดี ข้าวปลาก็ไม่ต้องกิน อิ่มดี แต่จะไปหาพ่อแม่ก็ไปไม่ถูก  ก็เดินเที่ยวอยู่จนกระทั่งพบพ่อ (หมายถึงครูใหญ่อมร พ่อคนปัจจุบัน) ขี่จักรยานกลับจากประชุมครูที่หัวถนน จะไปบ้านที่ต.ดอนคา  ก็เลยโดดเกาะท้ายจักรยานพ่อมา

ความตายที่ด.ช.บงกชระลึกได้หลังจากถูกแทง  ไม่เจ็บปวดอย่างกรณีนายชนัย    เขาเล่าว่า "หลับไปไม่รู้เรื่อง  รู้แต่ว่าไม่หิวอะไรเลย"  แต่ว่าจำเหตุการณ์ตอนถูกฆ่าได้แม่นว่าฆาตกรคนหนึ่งล็อคคอ  อีกคนเอามีดแทงพุง    เด็กทำท่าให้ผู้สื่อข่าวดูด้วย

หนังสือพิมพ์ไม่ได้ติดตามข่าวต่อ  จึงไม่ทราบว่าด.ช.บงกช ซึ่งปัจจุบันคงอายุเกือบ ๕๐ แล้ว เป็นอย่างไรต่อไป   

ตรวจวันเดือนปีที่เกิดเหตุ    นายจำรัสหรือด.ช.บงกชในชาติก่อน ถูกแทงตายเมื่ออายุได้ ๑๘ ปี  ที่ต.หัวถนน  อ.ท่าตะโก   ในพ.ศ. ๒๔๙๖  ส่วนด.ช. บงกชเกิดเมื่อพ.ศ. ๒๕๐๕    มีระยะเวลาห่างกัน ๙ ปี


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 11, 09:41
กรณีครูบัวไข หล่อนาคที่ถูกยิงตายแล้วกลับมาเกิดเป็นนายชนัย ชูมาลัยวงศ์ ในข่าวไทยรัฐไม่ได้บอกว่าครูบัวไขตายเมื่อพ.ศ.อะไร  แต่ไปเช็คจากในเน็ต  มีเว็บหนึ่งบอกว่าครูบัวไขตายไป ๒ ปีก็มาเกิดเป็นเด็กชายชนัย


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 11, 14:07
เรื่องนี้เคยอ่านพบในหนังสือ หลายปีมาแล้ว     ลองใช้อินทรเนตรค้นดูก็พบว่ามีบันทึกไว้ในหลายเว็บด้วยกัน   จึงลอกมาให้อ่านกันอีกครั้ง
เป็นเรื่องที่บอกว่าได้มาจากหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์     ท่านผู้ถึงแก่กรรมได้เขียนบันทึกถึงตัวท่านเองไว้ว่า

""ผม (คือ พ.ต.อ.ชติ ลัทธาพงศ์) ก็ระลึกชาติได้เหมือนกัน แต่แตกต่างจากคนอื่นที่เขาเป็นกัน คนอื่นเขาเคยเป็นช้าง เคยเป็นงูซึ่งอยู่บนพื้นโลกด้วยกันเขาจะบอกสถานที่ พ่อ แม่ พี่น้อง และชื่อเสียงในชาติก่อนได้    แต่ผมบอกสถานที่เดิมในชาติก่อนได้บ้างไม่มาก จะชี้ให้ใครเห็นไม่ได้ เพราะไม่ใช่ที่มนุษย์อยู่กัน"

พ.ต.อ.ชติ บอกว่าการระลึกชาติของท่านนั้นมันเป็นความรู้สึกชัดเจนในความทรงจำของท่านมาตั้งแต่เด็กๆไม่มีลืมเลย ท่านบอกสถานที่ในชาติก่อนที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ว่า

" รู้สึกตัวว่านอนอยู่บนแท่นๆหนึ่งลอยอยู่บนที่สูงมาก แท่นที่นั่งนอนนั้นไม่ใช่แท่นหินหรือแท่นไม้ หากแต่เป็นแท่นบางใส   เป็นที่นอนสบาย ยังจำเหตุการณ์ในช่วงนั้นได้ว่าแท่นที่นอนอยู่เกิดแข็งกระด้างขึ้นมา ไม่อาจนอนนิ่งสบายอยู่ได้        รอบๆ ตัวที่จำได้มองเห็นเป็นท้องฟ้าสีคราม รู้สึกตัวลอยอยู่ผู้เดียวท่ามกลางความโดดเดี่ยวและอ้างว้าง รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอยากมีเพื่อนสนทนาด้วย     มองต่ำลงมาห่างออกไปอีกไม่มากมีชมรมเทพ ชมรมใหญ่กำลังสนุกสนานกันอยู่ อยากจะไปก็ไปไม่ได้

ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงบอกแกมสั่งว่า " ถึงเวลาไปเกิดเป็นมนุษย์แล้ว "

จึงตอบเจ้าของเสียงนั้นไปว่า " ข้าพเจ้าไม่อยากไปเกิดเป็นคน อยู่ที่นี่ดีกว่า"

เสียงที่ไม่เห็นตัวบอกว่า "ต้องไป...หมดเวลาแล้ว ไปอยู่เมืองมนุษย์   ถึงเวลาจะต้องกลับมาก็ไม่อยากจะกลับเสียอีก"


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 11, 14:09
      พ.ต.อ.ชติในชาตินั้นค่อยๆเคลื่อนจากที่อยู่   ลอยเลื่อนไปจนถึงที่อยู่ของเทพยดากลุ่มใหญ่ อากาศ ณ ที่นั้นสว่างไสว เทพยดาหญิงชายอยู่กันเป็นหมู่ 7-8 องค์บ้าง 2-3 องค์บ้าง    วิมานคล้ายศาลาสวยงามมาก เทพยดาสนทนาปราศัยกันเป็นที่สนุกสนานเพลิดเพลิน    บางวิมานมีการขับร้องดนตรีไพเราะ เทพยดาบางกลุ่มไม่มีวิมาน และเทพยดาเหล่านั้นก็ไม่สนใจ พ.ต.อ.ชติ เหมือนเขามองไม่เห็น

       พ.ต.อ.ชติในร่างเทพค่อยๆลอยเลื่อนไปๆจนรู้สึกเหมือนตกฮวบลงที่ต่ำมองไปรอบๆรู้สึกตัวกำลังลอยอยู่เหนือสะพานผ่านฟ้า ถนนราชดำเนินนี่เอง ลอยสูงกว่าพื้นประมาณตึก 2 ชั้น ลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ทราบว่าตัวเองจะลอยไปไหน ทันใดนั้นก็มีดวงกลมของจิตวิญญาณเคลื่อนมาจากทางป้อมพระกาฬ    ลอยมาหยุดเคียงกับ พ.ต.อ.ชติ          ดวงวิญญาณทั้งสองดวงมีลักษณะเป็นทรงกลมมีแสงเรืองออกไปโดยรอบ     เมื่อมีวิญญาณใหม่มาลอยเคียงข้าง พ.ต.อ.ชาติในร่างของดวงวิญญาณก็รู้สึกดีใจหายว้าเหว่

       ทั้งสองจึงลอยจากเหนือสะพานผ่านฟ้าคู่กันไปทางนางเลิ้ง ตามแนวถนนนครสวรรค์ ก่อนถึงสี่แยกนางเลิ้งเล็กน้อยมีลำคลองเล็กจากทางข้างวัดโสมนัสไปทะลุคลองข้างวัดสระเกศ    ทางขวามือมีสะพานไม้เล็กพอที่ 2 คนจะหลีกกันได้      สะพานไม้เล็กๆนี้เลียบริมคลองไปมีบ้านริม   วิญญาณดวงที่ลอยมาด้วยกันก็ลอยเลี้ยวหายแว้บไปทางสะพานนั้น     วิญญาณ พ.ต.อ.ชติจะลอยตามไปบ้างก็ทำไม่ได้ ต้องค่อยๆลอยเลื่อนไปทางนางเลิ้ง    ถึงตรงหน้าโรงหนังนางเลิ้ง (เฉลิมธานี) หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น

     วิญญาณ พ.ต.อ.ชติในชาติที่แล้วรู้ว่า   ถ้าเลยไปจะถึงสนามม้านางเลิ้ง เลี้ยวซ้ายจะเป็นที่น่าอยู่มาก     อยากจะไปอยู่     แต่ก็ไปไม่ได้  คงลอยนิ่งอยู่ที่เดิมก่อน    แต่แล้วก็ต้องลอยเลี้ยวไปทางโรงหนังนางเลิ้งทั้งๆที่ไม่อยากไป    หลังจากนั้นก็ไม่มีความรู้สึกอย่างใดอีก   รู้สึกตัวอีกทีเหมือนอยู่ในถ้ำมืด (อยู่ในครรภ์มารดา) รู้สึกอึดอัดคับแคบ ขาดอากาศ ไม่สบาย บางช่วงก็หมดความรู้สึกเหมือนหลับไป มารู้ตัวชัดเจนอีกทีก็เมื่อคลอดพ้นจากครรภ์มารดามาเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ    เป็นบุตรชายของขุนนางที่มีนามบรรดาศักดิ์พระราชทานจากในหลวงว่าอำมาตย์ตรีพระลัทธาพงศ์พิรัชพากย์ (ต่วย ลัทธาพงศ์)


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 11, 14:18
ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการระลึกชาติของพ.ต.อ.ชติ มาแค่นี้ค่ะ
ไปเจอในเว็บไซต์ เป็นงานค้นคว้าเรื่องระลึกชาติ  ยาวมาก  เลยยกมาให้อ่านกันเอง สำหรับผู้สนใจ

๑๖ กรณีศึกษา ผู้จำอดีตชาติได้ จากหมู่บ้านตะคร้อ ต.ตะคร้อ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ (http://sites.google.com/site/reincarnationthailand/Home/hnangsux-16-krni-suksa-phu-ca-xdit-chati-di)

หมายเหตุ  งานค้นคว้าข้างบนนี้ ไม่ได้มีการตีพิมพ์   โปรดพิจารณาด้วยวิจารณญาณ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 11, 15:08
ในเรื่องเดียวกันนี้ ผู้รวบรวมได้ข้อสังเกตจากเรื่องระลึกชาติมาลงด้วย   ใครสนใจอ่านได้ที่นี่ค่ะ

ลักษณะที่น่าสนใจของผู้จำอดีตชาติได้ (http://sites.google.com/site/reincarnationthailand/Home/hnangsux-16-krni-suksa-phu-ca-xdit-chati-di/prisna-chiwit-hlangkh-wam-tay-laea-kar-keid/khana/withi-phisucn-chiwit-hlangkh-wam-tay-tay-laew-keid/prawati-khwam-pen-ma-khxng-hmuban-takhrx/nay-thewes-n-reiyb-samphanth/dek-chay-nph-phr-cirew/cesda-tem-hatth/dek-chay-xdisr-sukh-phochn/dek-chay-phngsthr-sr-chay/dek-chay-vththikir-non-nxy/nang-sengiym-nan-klang/nangsaw-sm-lim-khng-sa-to/nay-thir-a-phanth-wngs-kha-pha/dek-chay-wr-wathn-ceriy-phrxm/nang-surangkhna-mala/dek-chay-phl-wathn-cul-phothi/dek-chay-phirocn-na-dng/dek-chay-wachra-cirew/nay-xanac-xa-wi-su/hnangsux-xatth-thrrm-payha)

ขอสรุปบางตอนมาให้อ่านกัน

-  จากผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ ราย  ผู้ป่วยเสียชีวิตหรือเสียชีวิตตามปกติธรรมชาติ(Natural Death)จำอดีตชาติได้เพียง ๓ ราย   แต่ผู้เสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติ  คือเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม หรือที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า ตายโหง(Violent Death)จำอดีตชาติได้มากถึง ๑๓ ราย      
    สอดคล้องกับข้อมูลกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ในต่างประเทศ ที่พบว่ามีจำนวนของผู้เสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติ จำอดีตชาติได้มากกว่าผู้ที่ในอดีตชาติป่วยเสียชีวิตหรือเสียชีวิตตามปกติธรรมชาติ
-  ผู้ค้นคว้าให้เหตุผลว่า  ผู้ประสบกับเหตุการณ์ที่รุนแรงน่ากลัว เกิดขึ้นกะทันหันไม่ทันตั้งตัว เกิดอุบัติเหตุ หรือถูกฆาตกรรม ในทางพุทธศาสนาเรียกอารมณ์ที่มีผลกระทบรุนแรงทางกาย ว่า "อติมหันตารมณ์" และเรียกอารมณ์ผลกระทบทางใจว่า "วิภูตารมณ์" ซึ่งอาจทำให้จำได้ฝังใจ  เพราะประกอบด้วยความคั่งแค้น  ความเป็นห่วงหรือเสียดาย ในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำหรือสิ่งที่ตั้งใจไว้  ทำให้เกิดความระลึกถึงอยู่เสมอ
    อารมณ์นี้ทำให้ความทรงจำถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับจิตสำนึกปกติ (Consciousness) เมื่อสืบชาติมาเกิดใหม่จึงมีโอกาสที่จะจำอดีตชาติได้มากกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ เช่น เสียชีวิตเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ  เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มีเวลาทำใจให้พร้อมรับกับความตายที่กำลังจะมาถึง อีกทั้งการเจ็บป่วยเป็นเหตุการณ์ตามธรรมชาติ  ไม่มีใครทำให้เกิด จึงไม่เป็นเหตุให้เกิดความฝังใจ แค้นใจ ความทรงจำนั้นๆจึงไม่ค่อยจะหนักแน่นหรือไม่ถูกระลึกอยู่เสมอ    จึงถูกเก็บไว้ในระดับของภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก(Subconsciousness)ที่ลึกลงไป  ทำให้โอกาสที่จะจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติ จึงมีน้อยกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ผิดธรรมชาติ  


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ส.ค. 11, 16:56
คำบอกเล่าของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม  วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ท่านระลึกชาติได้ว่า เคยเป็นพ่อค้าขายผ้าชาติลาว ออกเดินทางมากับ พ่อเชียงหมุน(อุปัฏฐากคนหนึ่งในชาตินี้) ข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งไทย มาทานผ้าขาวหนึ่งวาและเงิน 50 สตางค์ บูชาถวายพระธาตุพนมพร้อมทั้งอธิษฐานขอให้ได้บวชได้พ้นทุกข์ ท่านเล่าว่าท่านเคยมาช่วยสร้างพระธาตุพนมด้วยสมัยพระมหากัสสปะเถระเจ้า พระธาตุพนมนี้สร้างก่อนพระปฐมเจดีย์
ท่านเคยเป็นคนยางอยู่ในป่า เคยเกิดเป็นทหารพม่ามารบกับไทย แต่ยังไม่ทันฆ่าคนไทย ก็ตายเสียก่อน เคยเกิดอยู่เมืองปัน พม่า ชาตินี้ท่านก็ได้กลับไปดูบ้านเกิดในชาติก่อนที่เมืองปันด้วย
เคยเป็นทหารไปหลบภัยที่ถ้ำกระ เชียงใหม่ และได้ตายเพราะอดข้าวที่นั่น
หลวงปู่ เคยเป็นพระภิกษุ รักษาศิลอยู่กับพระอนุรุทธ เคยเป็นสามเณรน้อย ลูกศิษย์พระมหากัสสปะ
สำหรับการเกิดเป็นสัตว์ นั้น หลวงปู่เล่าว่า ท่านผ่านพ้นมาอย่างทุกข์ยากแสนเข็ญ เช่นเคยเกิดเป็นผีเสื้อแล้วถูกค้างคาวไล่จับเอาไปกินที่ถ้ำผาดิน เคยเกิดเป็นฟาน หรือเก้ง ไปแอบกินมะกอก กินยังไม่ทันอิ่มสมอยาก ก็ถูกมนุษย์ไล่ยิง เขายิงที่โคกมนถูกที่ขา วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไปตายที่บ้านม่วง
เมื่อครั้งเกิดเป็นหมีไปกินแตงช้าง (แตงร้าน) ของชาวบ้านถูกเจ้าของเขาเอามีดไล่ฟันถูกหัวถูกหู เคราะห์ดีไม่ถึงตาย แต่ก็บาดเจ็บมาก ต้องทนทุกข์ไปจนกระทั่งหายไปเอง
เคยเกิดเป็นไก่ มีความรักผูกพันรักชอบนางแม่ไก่สาว จึงอธิษฐานให้ได้พบกันอีก ทำให้กลับมาเกิดเป็นไก่ซ้ำถึง 7 ชาติ
เคยเกิดเป็นปลา ซึ่งอยู่ในสระ (ปัจจุบันอยู่ที่สวนหลังบ้านของ พล.อ.อ.พโยม เย็นสุดใจ)


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ส.ค. 11, 16:58
ท่านเล่าถึงชีวิตของการเป็นสัตว์ว่าแสนลำเค็ญ อดอยากปากแห้ง มีความรู้สึกร้อน หนาว หิวกระหายเหมือนมนุษย์ แต่ก็บอกไม่ได้ พูดไม่ได้ ต้องเที่ยวซอกซอนไปอยู่ตามป่า ตามเขาตามประสาสัตว์ ฝนตกก็เปียกหนาวสั่น แดดออกก็ร้อนไหม้เกรียม อาศัยถ้ำ อาศัยร่มไม้ไปตามเพลง บางทีมาอยู่ใกล้หมู่บ้านหิวกระหาย เห้นพืชผลที่ควรกินเป็นอาหารได้ พอจะจับใส่ปากใส่ท้องได้บ้าง ก็กลับกลายเป็นของที่เขาหวงห้าม มีเจ้าของต้องถูกเขาขับไสไล่ทำร้าย

ชีวิตที่เวียนว่ายวนอยู่ในกองทุกข์ตามอำนาจกรรมที่กระทำมานี้ แต่บางทีภพชาตินั้นก็ยืดยาวต่อไปด้วยอำนาจกิเลสตัณหา    ยกตัวอย่างเช่น ตอนท่านเกิดเป็นไก่ ใจนึกปฏิพันธ์รักใคร่นางแม่ไก่ ชื่นชอบภพชาติที่เป็นไก่ของตน ปรารถนาขอให้พบนางไก่อีก ก็ต้องวนเวียนกลับมาเกิดเป็นไก่อยู่เช่นนั้น

หลวงปู่เล่าว่า แม้ท่านพระอาจารย์มั่นเอง เมื่อท่านระลึกชาติได้ เห็นภพชาติที่เวียนวนกลับไปเกิดเป็นสุนัขถึงหมื่นชาติ ท่านยังเกิดความสลดสังเวช ถึงกับขออธิษฐานเลิกปรารถนาพุทธภูมิ เพราะการบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตนั้น ท่านจะต้องบำเพ็ญต่อไปอีกเป็นแสนกัปแสนกัลป์ฯ
เคราะห์ดีที่ท่านเกิดสลดสังเวชคิดได้ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงสามารถดำเนินความเพียรเร่งรัดตัดตรงเข้าสู่พระนิพพานเป็นผลสำเร็จได้



กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ส.ค. 11, 16:58
วันหนึ่งระหว่างหลวงปู่กำลังวิเวกอยู่ที่เชียงใหม่ ตกกลางคืนท่านก็เข้าที่ภาวนาตามปกติ ปรากฏภาพนิมิต มีแม่ไก่ตัวหนึ่งมาหาท่าน กิริยาอาการนั้นนอบน้อมอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง   มาถึงก็ใช้ปีกจับต้องกายท่าน จูบท่าน ท่านประหลาดใจที่สัตว์ ตัวเมียแสดงกิริยาอันไม่สมควรต่อพระเช่นนั้น จึงได้ดุว่าเอา
แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็อ้างว่า เคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมาถึง 7 ชาติแล้ว ความผูกพันยังมีอยู่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ แม้จะรู้ว่าพระคุณเจ้าเป็นภิกษุสงฆ์ไม่บังควรจะแสดงความอาวรณ์ผูกพันเช่นนี้ ตนมีกรรมต้องมาบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่ำต้อยน้อยวาสนา ก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเองอยู่มาก อย่างไรก็ดี เมื่อพระคุณเจ้าผู้เคยเป็นคู่ชีวิตมาอยู่ในถิ่นที่ใกล้ตัวเช่นนี้ ตนอดใจมิได้จึงมากราบขอส่วนบุญบารมี

ในนิมิตนั้นปรากฏว่าหลวงปู่ได้เอ็ดอึงเอาว่าเราเป็นคนเจ้าเป็นสัตว์ จะมาเคยเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไร เราไม่เชื่อเจ้า
แม่ไก่ก็เถียงว่า ถ้าเช่นนั้นคอยดู พรุ่งนี้เช้าตอนท่านไปบิณฑบาต ข้าน้อยจะไปจิกจีวรท่านให้ดู
ตอนเช้าหลวงปู่ครองผ้าออกไปบิณฑบาตตามปกติท่านเล่าว่า ท่านไม่ได้นึกอะไรมาก ด้วยคิดว่าเป็นนิมิตเหลวไหลไร้สาระ แต่เมื่อท่านเดินบิณฑบาตเข้าไปในหมู่บ้านยางที่ชื่อบ้านป่าพัวะ อำเภอจอมทอง ก็มีแม่ไก่ตัวเมียตัวหนึ่งตรงรี่เข้ามาจิกจีวรท่านข้างหลัง!
หมู่เพื่อนที่ไปด้วยก็ตกใจ เพราะเป็นสัตว์ตัวเมีย เกรงท่านจะอาบัติ จึงช่วยกันไล่ แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็ยังพยายามวิ่งเข้ามาอีก
คืนนั้นหลวงปู่เข้าที่พิจารณาซ้ำ ก็รู้ว่าแม่ไก่ตัวนั้นเคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมา 7 ชาติแล้วจริงๆ เป็นที่น่าเวทนาสงสารอย่างยิ่งที่นางกระทำไม่ดีไว้ ไม่มีศิล จึงต้องตกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ส.ค. 11, 10:11
พระสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่ระลึกชาติได้ คือเจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์ (โชติ คุณสัมปันโน) อดีตเจ้าอาวาสวัดวชิราลงกรณ์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ท่านจำได้ว่า ท่านเป็นพี่ชายของแม่ท่าน   ท่านถึงแก่กรรมขณะที่แม่ท่านคลอดลูก คือ เมื่อท่านตายนั้นญาติมาแจ้งข่าวที่บ้าน ว่าน้องสาวท่านคลอดบุตรแล้ว ท่านก็เลยอยากไปดูน้องสาวและหลานที่เกิดใหม่  พอคิด ก็ไปถึงห้องน้องสาว  น้องสาวเห็นตัวท่านด้วย  ร้องบอกให้ท่านไปที่ชอบที่ชอบเพราะรู้ว่าท่านตายแล้ว   พอท่านจะกลับออกมา ก็รู้สึกเวียนหัว รู้สึกตัวอีกครั้งก็ไปอยู่ในตัวทารกเกิดใหม่  คือตัวท่านในปัจจุบัน
พอจำความได้ก็เรียกแม่ในชาติปัจจุบัน อย่างที่เคยเรียกสมัยเมื่อเป็นน้องสาวท่าน   ญาติพี่น้องก็จะพากันลงโทษ หนักเข้าท่านก็แกล้งทำเป็นลืม   แต่ยังจำเรื่องราวสมัยเมื่อท่านเป็นพี่ชายแม่ได้แม่นยำ จนต่อมาท่านได้มาบวชอยู่กับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์

เรื่องนี้นับว่าแปลก  เพราะทารกที่อยู่มาตลอด ๙ เดือนในท้องแม่จนคลอดออกมา  ย่อมจะมีขันธ์ทั้ง ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ครบแล้ว  แต่เหตุใดลุงจึงเข้าไปแทนที่ได้เมื่อคลอดแล้ว     ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 28 ส.ค. 11, 22:02
หายหน้าไปจัดการปลงศพญาติผู้ใหญ่หลายวันจนไม่มีเวลาตามอ่านกระทู้เลยค่ะ
 
ขอข้ามมาอ่าน ค.ค.ห.สุดท้าย และ คำถามทิ้งท้ายของ อ.เทาชมพูค่ะ

อ้างถึง
เรื่องนี้นับว่าแปลก  เพราะทารกที่อยู่มาตลอด ๙ เดือนในท้องแม่จนคลอดออกมา  ย่อมจะมีขันธ์ทั้ง ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ครบแล้ว  แต่เหตุใดลุงจึงเข้าไปแทนที่ได้เมื่อคลอดแล้ว     ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน

อาจารย์เข้าใจถูกต้องแล้วค่ะ

การจุติและปฏิสนธิของสัตว์นั้น จะเกิดต่อเนื่องกันทันทีไม่มีระหว่างคั่น

แปลว่า....ตาย(จุติ)ปุป.... เกิดใหม่(ปฏิสนธิ)ปั๊ป

การปฏิสนธิ

ทางวิทยาศาสตร์ ถือเอา รูปธรรมเป็นหลัก คือ ทันทีที่มีการผสมกันระหว่างไข่และsperm

ทางพุทธศาสนา ก็ถือว่า จะต้องมี ปฏิสนธิจิต หรือ วิญญานของสัตว์ที่จะมาเกิดเข้ามาครอบครอง หรือ สิง ไข่และ Sperm ที่ผสมกันแล้วนั้น ทันที

แปลว่า วิญญานของสัตว์ที่จะมาเกิด เป็นเจ้าของร่างกายที่เริ่มแบ่งเซลล์เป็น ปัญจสาขา(2แขน+2ขา+1หัว)ทันที

ส่วนทารกนั้นจะได้เกิด และ อยู่รอดจนได้คลอดมาเป็นปกติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ อุปฆาตกรรม(กรรมที่จะมาตัดรอนชีวิต)
หากมีกรรมนี้แรงมาก ก็อาจจะแท้ง หรือ ตายเมื่อถึงเวลาคลอด นี่เป็นเพราะผลกรรมที่เคยตัดชีวิตผู้อื่นไว้

ดังนั้น การกลับชาติมาเกิด ต้องเป็นขณะปฏิสนธิ ไม่ใช่ขณะใกล้คลอด เพราะร่างทารกนั้น มีเจ้าของแล้ว

....ต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ด้วยความเคารพค่ะ....

กรณีที่เจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์เล่ามานี้ ฟังดูคล้ายกับการเข้าดลใจเด็กให้คิดและเชื่อว่าเป็นใครกลับมาเกิดมากกว่า เพราะจิตผูกพันกันมาก

ไม่ใช่การสิง ไม่ใช่เกิดใหม่ แต่ "น่าจะ" เป็นการดลใจเด็กให้เชื่อตามวิญญานของผู้ตายต้องการ

และผู้ที่ตายไปแล้ว ก็เกิด(อุบัติขึ้นทันที=โอปะปาติกะกำเนิด)แล้ว ในภพที่เป็นเปรต หรือ ผี(นั่นเอง)

หากจิตผูกพันกันมาก ก็ติดตามเด็กนั้นไปจนโต หรือจนวิญญานนั้นไปเกิดใหม่ เด็กก็จะลืมว่าเคยจำอะไรได้มาก่อน

น่าสังเกตุว่า กรณีระลึกชาติได้ ส่วนใหญ่ จะลืมเมื่อโตขึ้น





กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ส.ค. 11, 16:57
นำกรณีระลึกชาติมาให้อ่านกัน อีกเรื่องหนึ่ง   เรื่องนี้ผู้ให้สัมภาษณ์ระบุชื่อนามสกุล และอาชีพการงานไว้ชัดเจน   
ท่านชื่อผศ.วิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ อาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร "หญิงไทย" ว่า
"ผมเกิดที่กรุงเทพฯ ตรงวัดตรีทศเทพ เมื่อเด็กๆพอเล่าเรื่องนี้ทีไรแม่จะตีเรื่อย ผมก็เล่าอยู่ไม่รู้กี่ครั้งจนแม่สั่งห้าม คือผมมีความรู้สึกว่าผมเคยเห็นแม่ผมกับเพื่อนเขา 3-4 คนเนี่ยไปเดินอยู่ในวัดซึ่งตอนหลังผมมารู้ว่าที่นั่นคือวัดตรีทศเทพ เขากำลังเผาศพผมอยู่และสมัยนั้นวัดที่ผมตายไม่มีเตาเผาศพ เขาเอาไม้ฟืนมากองเป็นชั้นๆ   ผมจำได้ว่ามีพระนุ่งผ้าสบง   ใช้เหล็กเขี่ยศพผมพลิกกลับไปกลับมา   ผมก็ยืนดูอยู่เสร็จแล้ว   ก็เห็นแม่กับเพื่อนเขาหาทางออกไม่ได้ เพราะที่วัดตรีทศเทพมันจะมีนายป้าช้าคนหนึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ เขาปิดทางไม่ให้ออก   แม่แกก็เดินวนไปวนมา ตอนหลังจึงไปถามพระว่าทางออกอยู่ตรงไหน  พระท่านก็ว่า " โอ๊ย...ไอ้ผีพวกนี้คอยปิดทางอีกแล้วหรือ " แล้วตอนหลังแกก็ออกไปได้"

"พอหลังจากนั้นผมไม่รู้ว่ามันเป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็มีเสียงบอกว่า "เอ้า...ถึงเวลาไปเกิดกันแล้ว" เขาก็เรียกไปเข้าแถว ผมอยู่แถวสุดท้ายที่มีชัก 5-6 คนได้มั้ง แล้วเขาก็ให้ดินเม็ดกลมๆเขาบอกว่าก่อนจะเกิด  ให้กินเม็ดลืมชาติก่อน     มันเป็นเม็ดกลมๆแต่ผมกินไม่หมด กินแค่ครึ่งเม็ดแล้วทิ้ง เพราะไม่อยากกิน อยากจะจำได้ พอกินเข้าไปรู้สึกชานะ แบบหมุนวิ้วๆๆเหมือนดิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ซักพักหนึ่งไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จู่ๆก็ลืมตาเห็นแสงสว่าง จะพูดก็พูดไม่ได้ จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ อึดอัดมาก ผมร้องอย่างเดียว แว๊ดๆๆคือตอนนั้นมาเกิดแล้ว"

ถ้าอ่านไม่ผิด อ.วิวัฒน์ชัยนอกจากระลึกชาติตัวเองได้แล้ว ยังระลึกชาติของคุณแม่ได้อีกด้วย


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ส.ค. 11, 16:59
"ผมแน่ใจว่าก่อนจะตายในชาติที่แล้วผมเป็นผู้หญิงแก่ แต่ก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใครเพราะผมกินเม็ดลืมชาติน่ะ แต่ยังจำหน้าตาตัวเองในชาติที่แล้วได้  ว่าไว้ผมทรงดอกกระทุ่มตายราวๆอายุ 70 กว่า และช่วงก่อนตายผมนอนอยู่บนเตียงไม้ธรรมดาๆแล้วมีคนมานั่งเฝ้ากันเยอะเลย เขาบอกว่าผมทำบุญไว้เยอะคงจะได้สมความปรารถนา ซึ่งผมก็อธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าผมอยากจะเป็นผู้ชาย เพราะชาตินี้เป็นผู้หญิงไม่ได้บวช ชาติหน้าขอเป็นผู้ชายขอให้ได้บวช อีกอันหนึ่งที่ผมจำได้แม่นคือ มีคนกระซิบข้างหูก่อนที่จะตาย บอกให้สวดพุทโธๆผมก็สวดไปเรื่อยๆ   พอถึงจุดๆนึ่งก่อนจะหมดลม   ความรู้สึกมันจะค่อยๆเย็นยะเยือกจากเท้าขึ้นมาเรื่อยๆ   ถึงตรงหน้าขาก็ไม่อยากสวดอีก ผมเลยหลับตา ได้ยินเสียงพระองค์หนึ่งพูดว่าปัฐธาตุจะหมดแล้ว ตอนนั้นมันหลุดไปเลย ดิ่งลงลิบไปเลย จิตวิญญาณหลุดไปแล้ว"

"ขณะที่วิญญาณผมออกจากร่าง ผมเห็นร่างตัวเองลอยขึ้นๆเป็นร่างเราที่ไม่โปร่งแสง ตอนนั้นไม่กลัวเพราะผมรู้ว่าคนเราต้องตาย แล้วพอมารู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ที่วัดๆหนึ่ง   เห็นตัวเองนอนอยู่ในโลง   ก็รู้ว่าผมตายแล้วแน่นอน เห็นเพื่อนฝูงมามากมาย ยังจำได้เลยว่าสมัยก่อนงานศพเขาจะนุ่งโจงกระเบนสีดำ เสื้อสีขาว รองเท้าไม่ใส่ แล้วพอเข้าไปทักใครก็ไม่มีใครพูดด้วย โลงศพเขาก็ตั้งไว้ธรรมดา   มีสายสิญจน์ผูกแล้วก็มีถ้วยเครื่องเซ่น แต่ระหว่างที่อยู่ในโลงนั้นผมกินอะไรไม่ได้เลย รู้ว่าเขาเคาะโลงให้กินแต่ผมกินไม่ได้ เคาะไปก็ไม่มีผลอะไรแต่ผมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ที่ๆผมอยู่มีวิญญาณซัก 10 ตนนะ แต่มีคนหนึ่งเรียกว่า "นายป่าช้า" หน้าตาก็เหมือนเรานี่แหละ   แต่เป็นคนคอยควบคุมวิญญาณด้วยกัน"


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ส.ค. 11, 17:01
"ผมเชื่อเรื่องนี้มากเพราะมีจริง อีกเหตุการณ์หนึ่งตอนที่แม่ผมท้องอยู่ อาเขามาขอพระ ผมก็ดูอยู่เห็นแม่เขาให้พระอาไป   เป็นพระวัดพลับ พิมพ์เสมาวันทา พอผมถามแม่ แม่ก็ว่าทำไมแกรู้ล่ะ แกยังอยู่ในท้องยังไม่เกิดเลย ผมก็งงไม่รู้ว่าอยู่ในท้องทำไมเรามองเห็นหรือวิญญาณเราจะอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ในท้องด้วย วิญญาณคงตามตัวเราตลอด แล้วแม่ผมเขาสันนิษฐานว่าผมเนี่ยคือคุณยายเจิมที่อยู่แถวๆวัดตรีทศเทพ    แกเป็นคนชอบทำบุญสุนทาน สร้างวัดเยอะและไม่มีครอบครัว    แม่เขาสนิทกับคุณยายคนนี้แต่เขาไม่ได้เป็นญาติอะไรกับทางแม่ผมนะ   แม่เขาเล่าว่าคุณยายเจิมเนี่ยเวลาตายแกท่อง "พุทโธ" คนแถวบ้านมาเล่าให้แม่ฟัง ตอนตายแม่ไม่ได้ไปด้วย แม่ไม่เห็น ผมก็เคยไปสืบหาบ้านคุณยายเจิมนะ   แต่เขารื้อไปหมดแล้ว แกไม่มีลูกมีหลาน ทรัพย์สมบัติแกยกให้วัดหมด และคิดว่าระยะเวลาที่ผมตายกับช่วงเวลาที่มาเกิดใหม่น่าจะห่างกันประมาณ 8 ปี"

" ประสบการณ์อย่างนี้ทำให้ผมเชื่อในเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ผมถึงไม่กลัวตาย   ผมรู้ว่าเวลาตายไปแล้วเนี่ย   เราจะได้มีโอกาสเกิดใหม่ แต่สิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือผมยังไม่เห็นผลของกฎแห่งกรรม เพราะผมว่าผมยังไม่ได้ไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ แต่ผมก็มีความเชื่ออย่างนึงว่าถ้าคนกลัวการทำบาปและทำความดี ทำบุญไว้มากๆจิตจะสงบ เมื่อจิตเรานิ่งมันจะทำให้เรามั่นคง ปัญญาก็จะเกิด   แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง"


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 30 ส.ค. 11, 13:54
เรื่องกลับชาติมาเกิดใหม่ในหมู่พระภิกษุที่มีชื่อเสียง ก็มีหลายรูป อาทิ หลวงพ่อลี วัดอโศการาม มีคนลือๆว่าท่านเป็นพระเจ้าอโศกกลับชาติมาเกิด แต่ข้าพเจ้าไม่ยักพบหลักฐานใดที่ท่านบอกว่าที่กลับชาติมาเกิด

ส่วนพระภิกษุอีกท่านที่ข้าพเจ้าได้ยินข่าวลือว่า เป็นพระยาพิชัยดาบหัก กลับชาติมาเกิดคือ หลวงปู่ฟัก สันติธรรมโม แห่งวัดเขาน้อยสามผาน จังหวัดจันทรบุรี ข้าพเจ้าเคยเข้าไปปฏิบัติธรรมและรับใช้ท่านในช่วงปฏิบัติธรรม

ท่านก็ไม่ยักเคยเล่าอะไรว่าท่านระลึกชาติได้ ใครว่าท่านระลึกชาติได้ และท่านเคยเป็นใครท่านจะทำตาโตและยิ้มๆพร้อมพูดว่า "หรือ ปู่พึ่งรู้นะนี้"

อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผู้เขียนป่วยไข้ขนาดหนัก ท่านว่านอกจากจะให้ทำสมาธิให้จิตใจสงบจะได้ไม่ทรุดไปมากกว่าเดิม ท่านยังบอกว่าให้ลองแผ่เมตตาแก่เจ้ากรรมนายเวรดู

แล้วท่านก็เล่าเรื่องให้ฟังว่า ช่วงหนึ่งท่านมีอาการอัมพฤต และมีปัญญหาพูดไม่ได้ลิ้นคับปาก ภายหลังมีคนมาบอกท่านว่าท่านนั้นแต่เดิมเป็นนายทหารครั้งกรุงเก่า (หรือกรุงธนบุรีข้าพเจ้าเองก็จำไม่ค่อยได้) เคยรบกับพม่า และเป็นนักรบที่เหี้ยมหาญมาก ชนิดว่าครั้งหนึ่งเคยเอาดาบไปกระซวกเข้าที่ปากพม่า แทงทะลุ ในยามรบ

เขาผูกใจเจ็บอยู่ คล้ายๆเขาก็จะแพ้อยู่แล้ว ทำร้ายเขาขนาดนั้นทำไม

ภายหลังท่านเล่าต่อว่าเลยมีคนแนะนำให้ท่านไปที่ๆเคยเป็นสมรภูมิ (ข้าพเจ้าก็โคมลอยไม่ค่อยฟังว่าที่ไหน) แล้วก็ไปจุดๆหนึ่ง ทำนองว่าคนๆนั้นตายตรงนี้

แล้วท่านก็นั่งสมาธิแผ่ส่วนบุญให้ ท่านว่าอาการท่านก็ค่อยๆดีขึ้น ท่านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือไม่ บังเอิญหรือเปล่า แต่ท่านก็ว่าให้ข้าพเจ้าลองๆดู เพราะการปฎิบัติดีตามศีลนี้ไม่เคยเป็นผลเสีย และการแผ่ส่วนกุศลไม่ว่าจะมีผู้มารับจริงหรือไม่ก็ไม่ได้เสียหายและไม่ได้ทำร้ายใคร

ข้าพเจ้าก็ทำตาม

แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือมีคนลือๆเรื่องชาติก่อนของท่าน แต่ท่านไม่เคยยืนยัน ไม่เคยสนับสนุน มีแต่เล่าว่าท่านฟังมาดังข้างต้น จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ปฏิบัติธรรมดูไม่เสียหาย

อันนี้เลยไม่กล้าถามว่า หลวงปู่ จริงๆหลวงปู่เห็นของหลวงปู่เองใช่ไหม แต่หลวงปู่ไม่เล่า เพราะหลวงปู่กลัวลูกศิษย์งมงาย แต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะถามไปท่านก็คงไม่บอก และบอกคงแค่ว่า การเข้ามาในร่มพระศาสนาคือการปฏิบัติตนดีตามหลักของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มาลองอิทฤทธิ์ใดๆ

สุดท้าย ไหนๆก็ไหนๆ ข้าพเจ้าอยากรู้จริงทำไมคนบางคนชอบอ้างว่าเห็นอดีตชาติของคนอื่นนัก มีญาณเช่นนี้ด้วยหรือไร

ขอบพระคุณ


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 30 ส.ค. 11, 17:10
อ้างถึง
สุดท้าย ไหนๆก็ไหนๆ ข้าพเจ้าอยากรู้จริงทำไมคนบางคนชอบอ้างว่าเห็นอดีตชาติของคนอื่นนัก มีญาณเช่นนี้ด้วยหรือไร

คุณหาญคะ ญานนั้นมีจริงค่ะ แต่จะมีกับผู้ปฏิบัติสมาธิขั้นสูง และ ต้องมีศีลบริสุทธิ์รักษาได้ไม่เสื่อมจนถึงขณะที่ระลึกอดีตนั้น

หากศีลด่างพร้อย ญาน(ปัญญาวิเศษระลึกชาติได้) อัน เกิดจาก อำนาจ ฌาน(สมาธิขั้นแนบแน่น) จะเลื่อมทันที

หากยังระลึกได้บ้าง ก็ไม่มีอะไรแน่นอนแล้วว่า สิ่งที่ระลึกได้นั้น เป็นของจริง หรือ ของที่จิตสร้างขึ้นมาเอง หรือ เกิดจากความจำที่สะสมกันมา และ ปะปนกัน จนไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไรกันแน่

ผู้ที่ระลึกโดยที่ฌานเสื่อม ศีลเสื่อม หรือ เกิดจากการฝังใจเชื่อ จิตผูกพันมากนั้น จะต้องอาศัยการ "อนุมาน" หรือ เดา ช่วยปะติดปะต่อเรื่องขึ้น

ฌาน หรือ สมาธิ เปรียบเหมือนการกวนน้ำขุ่นให้ตกตะกอนจนใส ภาพจึงชัดเจนไม่ขุ่นมัว

พวกที่ไม่ได้ฌาน ภาพก็ไม่ชัด แต่ อดตื่นเต้นกับอะไร วับ ๆ แวม ๆในน้ำที่ยังขุ่น ๆ ไม่ได้ เลยสนใจติดตาม และ คิดเอาเองว่า นั่นคืออะไร

ถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่เจ้าตัวมักจะมั่นใจว่า ถูกแน่ ๆ ก็เลย เที่ยวได้ทายทักคนอื่น ๆ จะด้วยหวังดี หรือ ด้วย อัตตา(อยากอวด)อักเสบขึ้นมา เราไม่มีทางรู้ได้เลย

ด้วยเหตุนี้ จึงละไว้ เป็น อาจินไตยปัญหา

มีจิตแพทย์เล่าให้ฟังว่า มีคนระลึกชาติได้ หรือ สื่อกับพวกกายทิพย์กายใสได้ ทำนายทายทักเป็นคุ้งเป็นแคว
แต่พอให้กินยา Anti Psychotic เข้าไป พวก "ภาพหลอน" และ "เสียงแว่ว" ที่ตนเข้าใจว่า เป็น ระลึกชาติได้ หรือ ได้ยินเสียงกายทิพย์มาพูดด้วย ก็หายไปหมด

แปลกไหมคะ คนไข้พวกนี้ของหมอ มักจะไม่ยอมกินยา เพราะทนเหงาไม่ไหว

ดิฉันขอทนเหงา และ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่ไม่แน่นอนดีกว่า


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ส.ค. 11, 23:38
อ้างถึง
สุดท้าย ไหนๆก็ไหนๆ ข้าพเจ้าอยากรู้จริงทำไมคนบางคนชอบอ้างว่าเห็นอดีตชาติของคนอื่นนัก มีญาณเช่นนี้ด้วยหรือไร
มีค่ะ  เรียกว่าอภิญญา   เป็นการฝึกฌานที่ทำให้บรรลุถึงญาณวิเศษ  จนสามารถกระทำได้ต่างๆ ๕ อย่างข้างล่างนี้ เรียกว่าโลกียอภิญญา
มีมาก่อนพุทธกาล  พวกฤๅษีชีไพรก็บรรลุกันได้    ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะทำให้คนนั้นเป็นคนกิเลสเบาบางลง    เพราะพระเทวทัตเองก็บรรลุอภิญญาขั้นอิทธิวิธี
คือ
๑. อิทธิวิธิ  หรือปุถุชนฤทธิ์    คือแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
๒. ทิพพโสต    มีหูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ  ญาณที่ให้ล่วงรู้ใจคนอื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ   ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
๕. ทิพพจักขุ     มีตาทิพย์

แต่ญาณทั้ง ๕ นี้ ไม่ถึงขั้นทำให้กิเลสดับสิ้นลงได้      ในพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าทรงบรรลุญาณอย่างที่ ๖ คืออาสวักขยญาณ ได้แก่ญาณที่ทำให้อาสวะกิเลสสิ้นไป   เป็นระดับโลกุตตรญาณ  เรียกว่าอภิญญา ๖
นอกจากพระพุทธเจ้า ก็มีพระอรหันต์ที่บรรลุถึงอภิญญา ๖     มีแต่ในพุทธศาสนา  ในศาสนาหรือลัทธิอื่นไม่มี


กระทู้: ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 มี.ค. 15, 20:04
การระลึกชาติ ตอนที่ ๒  ;D

ไปเจอข่าวนี้เข้าค่ะ
พบเจ้าหนูระลึกชาติ อดีตเป็นดาราฮอลลีวูด
http://www.posttoday.com/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/355034/%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B9%E0%B8%94 (http://www.posttoday.com/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/355034/%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B9%E0%B8%94)