ผมเคยมีประสบการณ์การทำคำคู่ความในคดีความต่างๆ อยู่บ้าง เคยพบผู้ฟ้อง หรือผู้ถูกฟ้องคดี ที่อ้างว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา เขาไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย ทั้งหมดเริ่มจากความเข้าใจผิดเล็กน้อย บวกกับการที่เขาเป็นคนยึดมั่นในหลักการอะไรบางอย่าง ที่ไม่ถูกจริตของคนอื่นๆ จนในที่สุดก็เป็นที่เกลียดชัง ถูกทุกคนก็รวมหัวกันกลั่นแกล้ง เป็นเหตุให้ต้องได้รับความเดือดร้อน ฯลฯ ลักษณะวิธีการพูด แนวทางการต่อสู้แทบจะเป็นอย่างเดียวกันเลยครับ
เมื่อท่านอาจารย์หลายๆท่านวิเคราะห์ว่า เป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่ง ก็เห็นภาพกระจ่างชัดเลยครับ
สำบัดสำนวนคุณนริศพัฒนาขึ้นมาก ใกล้จะใช่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เข้าไปเต็มทีแล้ว ห้า ห้า
ผมอยากจะปรารภเรื่องตามอ้างถึงข้างบนสักหน่อย จากประสบการณ์ของผมเอง ทำให้ทราบว่าโรคประเภทเคมีในสมองในปัญหา เดี๋ยวสมดุลย์ เดี๋ยวไม่สมดุลย์ ต้องคอยทานยา(ถ้าเจ้าตัวยอมรับ)ให้มันสมดุลย์ จะได้คิดอะไรทำอะไรเหมือนคนธรรมดาทั่วไปนี้ ศาลไม่รับว่าเป็นคนโรคจิต ญาติจะไปร้องศาล ขอให้ศาลมีคำสั่งนั่นโน่นนี้ไม่ได้
ความลำบากจึงตกอยู่กับญาติ ไมว่าจะเป็นพ่อแม่ สามีภรรยา หรือลูก ที่ผู้ป่วยจะไปก่อหนี้ก่อสินไว้ กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นเพราะอาการป่วย ก็จะหมดกันไปแทบสิ้นเนื้อประดาตัวไปด้วย ไอ้บัตรเครคิตนี่แหละครับตัวดี มันสามารถปอกลอกได้ถึงเนื้อถึงกระดูก กฏหมายไทยน่าจะมีข้อกำหนด หากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลใดเป็นโรคในกลุ่มดังกล่าว ห้ามสถาบันการเงินออกบัตรเคดิตให้
ปัจจุบัน พอญาติไปช่วยแก้ปัญหา เอาเงินไปชำระเจ้าหนี้ให้ นึกว่าจะเข็ดไปแล้ว ไหนได้ ไม่นานก็ไปขอบัตรเครดิตมาได้อีกเต็มกระเป๋า เข้าวงจรอุบาทว์อย่างเดิม ญาติไปขอให้ธนาคารระงับบัตร ธนาคารตอบว่าถ้าผู้ถือบัตรยังมีแววว่าจะชำระหนี้ได้ ก็จะไม่ระงับ ญาติจะไปขอให้ศาลมีคำสั่ง ทนายก็บอกว่าทำไม่ได้
ตกลงจะต้องปล่อยให้ถึงความหายนะกันไปจริงๆก่อน ผู้ป่วยจึงจะหมดปัญญาที่จะสร้างปัญหาไปเอง