ขออนุญาตเก็บความไว้เพื่อความสะดวกในการอ่านบ่อยครั้งที่ภูมิปัญญาไทยนั้นมักจะสอน การดีดฟังเสียงของผลไม้ที่มีความสุก แล้วบอกว่าผลไม้ที่สุกแล้วเมื่อดีดจะดังเสียง “ปุ ปุ” แต่ถ้ายังดิบอยู่จะได้ยินเสียง “แป๊ะ แป๊ะ”
แล้วมันเชื่อได้จริงมั้ยนี่?? คำตอบก็คือว่า “เชื่อได้” หากว่าเมื่อผลไม้นั้นสุกแล้วจะมีโพรงอากาศช่องว่างมากขึ้นเมื่อสุก เช่น ทุเรียน แตงโม หรือมีความฟ่ามของเนื้อผลไม้จนกระทั่งการเดินทางของเสียงจากแรงสั่นสะเทือนที่เราดีดลงไปนั้นเปลี่ยนไป
การเดินทางของเสียงผ่านวัสดุที่มีสมบัติวิสโคอิลาสติค (viscoelastic materials) อย่างผลไม้ที่มีความสุกต่าง ๆ กัน หรือวัสดุพอลิเมอร์ ฯลฯ นั้นจะแตกต่างกันไป เมื่อสถานะนั้นเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งบางทีเราก็จะเรียกสมบัตินี้ว่า “สมบัติทางเสียงของวัสดุ” (Acoustic properties of materials)
โดยมากวัสดุที่มีโครงสร้างแน่นมักจะให้คลื่นความถี่ที่สูงกว่า (เสียงก็จะสูงคล้าย ๆ กับเสียงตรี เช่น แป๊ะ/ เป๊ะ/ เปรี๊ยะ)
ในขณะที่วัสดุที่มีความโปร่ง หรือโครงสร้างที่มี amorphous ที่อยู่ในสถานะยางนั้น จะมีความถี่ต่ำลง เป็นเสียงเอก เช่น ปุ โผละ หรืออาจจะต่ำลงจนหูเราไม่ได้ยินกันเลยทีเดียว เนื่องจากพลังงานเสียงบางส่วนนั้นจะถูกใช้ไปในการทำให้อากาศขยับตัว หรือหมุนโครงสร้างของพอลิมอร์ เป็นต้น
เทคนิคการฟังเสียงผลไม้สุกนั้นมีงานวิจัยรองรับด้วย อย่าง
งานวิจัยการวิเคราะห์เสียงของแตงพันธุ์ Juan Canary melon พบว่าเสียงที่ได้จากการดีดแตงนั้นจะมีค่าในช่วง ๔.๐๐-๔.๔๙ kHz เมื่อเก็บเกี่ยวในวันที่ ๕๕/ ลดลงเหลือ ๒.๓๘-๒.๙๑ kHz ในวันที่ ๖๐/ ลดลงเหลือ ๑.๖๒-๑.๗๘ kHz ในวันที่ ๖๕/ ลดลงเหลือ ๑.๖-๑.๖๒ kHz ในวันที่ ๗๐/ และลดลงเหลือ ๐.๙๔-๑.๐๕ kHz ในวันที่ ๗๕
การศึกษาครั้งนี้ยังพบว่าค่าบริกซ์ของผลแตงที่ถูกดีดนั้นจะเพิ่มขึ้น เมื่อค่าความถี่ของเสียงลดลงด้วย จึงสรุปได้ว่า ค่าความหวาน (sweetness) และระดับความสุก (stage of rippening) นั้นจะแปรผกผัน กับค่าความถี่ของเสียงด้วย
ภูมิปัญญาท้องถิ่นเรื่องการฟังเสียงผลไม้สุกนั้นมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ ถ้าใช้เครื่องมือที่วัดได้อย่างแน่นอน แต่ปัญหาที่ทำให้เชื่อไม่ได้นั้นก็คือ หูเราไม่ดี เท่านั้นแหละ