|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อ 25 ก.พ. 06, 08:16
|
|
พระเจ้ายอร์จที่หกได้ทรงประทานพระตำหนักให้ใหม่ทันที เพราะส่วนปีกหนึ่งในพระราชวังวินด์เซอร์ออกจะคับแคบไปสำหรับครอบครัวใหม่นี้ พระตำหนักที่ว่านี้คือ พระตำหนักคลาแร้นซ์ ที่อยู่ในสภาพย่อยยับพอสมควร เนื่องจากพระองค์ได้ปล่อยให้สภากาชาดเช่า..ใช้ในการดูแลผู้บาดเจ็บจากสงคราม ดังนั้น การระดมซ่อมสร้างจึงต้องมีการเร่งมืออย่างเร่งด่วน รัฐบาลอนุมัติเงินงบประมาณให้ถึง ห้าหมื่นปอนด์ แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจหลังสงครามยังฝืดเคือง การปล่อยเงินจึงออกมาล่าช้าไปถึงปีครึ่ง..จนค่าซ่อมสร้างนั้นบานปลายเตลิดเปิดเปิงไปจนถึงหนึ่งล้านเหรียญ เพราะรวมค่าตกแต่งอื่นๆ เช่น โคมไฟระย้าห้อยจากเพดาน ผ้าม่านไหม ก๊อกน้ำเคลือบทอง แต่ประชาชนต่างพร้อมใจ..พากันโหวตสมยอมอย่างให้ไม่อั้นราคา เพื่อความสุขของพระธิดา มกุฏราชกุมารีที่พวกเขาชื่นชมรักใคร่
หากแต่..หนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้ายได้ลงข้อความจิกกัดบ้าง เช่นว่า..เหมาะสมแล้วหรือ..ในเมื่อรายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ยังอยู่ในระหว่าง ห้าสิบ หกสิบ ปอนด์ต่ออาทิตย์ อีกทั้งจำนวนคนที่ไร้ที่อยู่ที่ต้องไปอาศัยนอนในโรงทหารเก่าๆก็ยังมีอีกมากมาย ข้อความนี้คงกินใจพอสมควร..พระราชินีถึงกับต้องทรงออกโรงแทน ในวันฉลองราชสมภพ Silver Jubilee 1948 พระองค์ได้ตรัสออกวิทยุว่า.. "สำหรับผู้ที่อยู่ในระหว่างการตกทุกข์ได้ยาก และไร้ที่อยู่อยู่ในขณะนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจและตระหนักในปัญหาเป็นอย่างดี แต่ขอให้พวกท่านจงอดทน เข้มแข็ง และ ความรักสามัคคีที่พวกเรามีต่อกันนั้น จะทำให้พวกเราได้พบกับความสำเร็จ สมปรารถนาในเร็ววัน"
ส่วนพระเจ้ายอร์จที่หก ทรงลงมาบัญชาการเองในเรื่องของการตกแต่งพระตำหนัก ถึงขนาดทรงสั่งห้ามมิให้พวกคนงาน"อู้" ในการพักดื่มน้ำชาแล้ว น้ำชาเล่า อย่างที่เคยชอบปฏิบัติกัน สุขภาพของพระองค์เริ่มทรุดโทรม ด้วยพระชนมายุเพียงแค่ 53 พระองค์เริ่มป่วยด้วยอาการของมะเร็งในปอด เนื่องจากการที่ทรงพระโอสถมวนจัด ที่ไม่มีแพทย์หลวงคนใดกล้าตักเตือน
ในสมัยนั้น การสูบบุหรี่ในชาววินด์เซอร์คือเรื่องปรกติ จะมากจะน้อยก็สูบกันแทบทุกองค์ อย่างพระนางแมรี่ อย่างดยุค ออฟ วินด์เซอร์ อย่างเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต หรือแม้แต่องค์สมเด็จพระราชินีก็ทรงวันละแปดมวน.. เพียงแต่..ทุกพระองค์ระมัดระวังที่จะไม่ทรงสูบในที่สาธารณชน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 47 เมื่อ 25 ก.พ. 06, 08:20
|
|
นอกจากมะเร็งในปอดแล้ว พระเจ้ายอร์จที่หกยังทรงมีปัญหาในเรื่องของเส้นโลหิตขอดที่พระชงค์ ที่ทำให้เกิดอาการเป็นตะคริวบ่อยๆ..ซึ่งต้องรับการรักษาอย่างใกล้ชิด
พระองค์จึงต้องเลื่อนหมายกำหนดการเยือนประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ออกไปอย่างไม่มีกำหนด
จากการซูบเซียวของการป่วยใข้ในครั้งนี้ ทำให้พระเจ้าอยู่หัวต้องทรงได้รับการ"เมคอัฟ" บนพระพักต์ก่อนเสด็จออกงานทุกครั้ง ส่วนอาร์ติสต์ นั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน สมเด็จพระราชินี นั่นเอง
ที่ต้องช่วยทรงลงแป้ง ลงรู๊ธ พรางรอยย่นยับตรงนั้นตรงนี้ แต่งไปพระองค์ก็ทรงกริ้วไป..ว่า
"ถ้าไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวพี่ชายของพระองค์แล้ว..เราก็ไม่ต้องมาทนทุกข์ยาก ทรมานสังขารอย่างนี้ " พระองค์หมายถึง ดยุค ออฟ วินด์เซอร์ ผู้เห็นสตรีดีกว่าราชบัลลังค์
บางทีก็ทรงว่า
"ถ้าแม่คนนั้นไม่ถ่อสังขารมาจากบัลติมอร์..เรื่องร้ายๆจะไม่เกิดขึ้น"
พระราชินีได้ทรงเป็นกลไกชิ้นสำคัญของของ
พระเจ้ายอร์จที่หกและมีบทบาทในแทบทุกเรื่องภายในพระราชวังนับตั้งแต่ยามที่ได้ขึ้นครองราชย์เมื่อปี 1936 เป็นต้นมา และ ตั้งพระองค์เป็นปรปักษ์กับฝ่ายดยุค และ หม่อมวอลลิสอย่างไม่มีวันเลิกรา..
พร้อมที่จะกล่าวโทษให้ได้ทุกเรื่อง ที่มักทรงเปรยให้ใครต่อใครฟังบ่อยๆเสมอว่า
"ถ้าเบอร์ตี้ไม่ต้องมาทรงงานแทนอย่างหนักหนาสาหัสแทน ..พระองค์ก็จะไม่ทรงทรุดโทรมไปจนถึงขนาดนี้"
พระนางแมรี่..ก็ทรงเห็นด้วยเป็นปี่เป็นขลุ่ย ....ต่างพร้อมพระทัยลงความเห็นต้องกันว่า..
"ก็เพราะ..นางซิมปสันคนนั้นคนเดียว"
เป็นเพราะพระราชินีมัวแต่ทรงเป็นห่วงในสุขภาพของพระสวามีจนไม่ได้มีเวลามาสนพระทัยอ่านจดหมายที่มีมาถึงพระองค์จากหนังสือนิตยสารสตรี ที่มีชื่อว่า Ladies' Home Journal
ที่กราบบังคมทูลมาว่า..ขอให้พระองค์ทรงพระกรุณาช่วยตรวจสอบข้อความที่เขียนขึ้นมาโดยพระพี่เลี้ยง ครอว์ฟี่
(Marion Crawford) ว่าเห็นสมควรหรือไม่ประการใด
ซึ่งพระราชินีไม่ได้สนพระทัยที่จะอ่านหรือตอบกลับ..
มาทรงรู้อีกที ก็เมื่อข้อความได้ลงตีพิมพ์ไปแล้วอย่างเรียบร้อย ในชื่อว่า The Little Princess ที่ได้เรียบเรียงเขียนมาได้อย่างละเอียดละออเกี่ยวกับเจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธ โดยพระพี่เลี้ยงคนใกล้ชิดที่คอยถวายพระอภิบาลมาตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์จนรวมเวลาที่ได้ถวายงานมาถึงสิบเจ็ดปี..จนขอลาเกษียณไปเมื่อปี 1949
ในข้อความนั้น คนเขียนได้เล่าว่า..
ตัวเธอได้ทำหน้าที่อย่างจงรักภักดี และเฝ้ารอจนเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น งดงามไปด้วยพระจริยาวัตร เธอจึงได้มาสนใจตัวเอง และมาแต่งงานเมื่ออายุได้สี่สิบปี
ซึ่งทางพระราชวงค์ก็ไม่มีใครมาร่วมแสดงความยินดีกับเธอสักนิด
มิหนำซ้ำ พระนางแมรี่ ยังทรงแย้งว่า..
เธอจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวได้อย่างไร..แล้วเด็กๆล่ะ..
แม้แต่พระราชินีเอง..ก็ทรงขัดพระทัยที่ทรงทราบว่าเธอจะลาไปแต่งงานตั้งครอบครัว ทั้งๆที่เธอได้ทูลไว้ล่วงหน้าก่อนที่เจ้าฟ้าหญิง
อลิซาเบธจะเข้าพิธีอภิเษกถึงสามเดือน
พระองค์ได้กรีดเสียงใส่เธอว่า..
"ก็แล้วทำไมจะต้องมาคิดเรื่องมีผั..กันตอนนี้ล่ะยะ.."
พระเจ้าอยู่หัวก็พลอยเป็นไปด้วย พระองค์กราดเกรี้ยวใส่
จนในที่สุด..เธอต้องยอมอยู่ถวายงานไปจนถึงวันอภิเษกเพื่อความสุขของคนทุกฝ่าย (ยกเว้นของตัวเอง)
พระเจ้ายอร์จที่หกจึงได้สัญญาว่าถ้าอยู่ทำงานต่อไปเรื่อยๆ ยังไม่ต้องออกเรือน..จะให้ตำแหน่ง Commander of the Royal Victorian Order
ซึ่งถ้าเทียบก็คล้ายๆกับตำแหน่งท่านผู้หญิงที่ได้รับตราของสมเด็จพระนางวิคตอเรีย..อันเป็นเครื่องราชย์ฯ
(ที่มาการเริ่มต้นให้กันมาโดยพระนางวิคตอเรียแก่ผู้ที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดด้วยความซื่อสัตย์ ตั้งแต่ปี 1896)
แต่..กระนั้น..เธอก็ยังลาออกอยู่ดี..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 48 เมื่อ 25 ก.พ. 06, 08:22
|
|
เมื่ออ่านข้อความจนจบ..สมเด็จพระราชินีทรงกริ้วจนองค์สะท้าน..และแย้งให้ฟังความจริงว่า.. "นังครอว์ฟี่ มันเหิมเกริม ตำแหน่งท่านผู้หญิงน่ะ..ไม่อยากได้ ใจคอมันจะขอตำแหน่ง..Dame Commander of the Royal Victorian Order แน่ะ..แต่มันไม่ได้...มันเลยลาออก" (Dame Commander of the Royal Victorian Order อันนี้..คือสูงสุดในกระบวนข้าราชบริพารที่มีสิทธิได้ใช้คำว่า เดม นำหน้าชื่อ และ มีการจัดแต่งสถานะกันใหม่มีที่อยู่บนชั้นบนของพระราชวังพร้อมมีข้าทาสบริวารส่วนตัว...วิวันดา )
ไม่ว่าพระราชินีจะว่าอย่างไร..หนังสือของครอว์ฟี่ก็ขายดิบขายดี จนต้องเขียนบันทึกจากความทรงจำขึ้นมาอีกสองเล่ม..จัดจำหน่ายรับทรัพย์อู้ฟู่...
พระราชินีประกาศความเป็นศัตรูต่อข้าเก่าเต่าเลี้ยงอย่างครอว์ฟี่แบบชนิดไม่มีการเผาผี และถือว่าเธอคือ พวกทรยศ ที่ไม่ต้องมีการคบค้าสมาคมอีกด้วยต่อไป.. (ไม่เผาผีจริงๆนะ ไม่ใช่พูดเล่น...เพราะตอนที่เธอได้ถึงแก่กรรมไปในปี 1988 ไม่มีใครในพระราชวงค์ไปร่วมงาน หรือ แม้แต่ส่งการ์ดแสดงความเสียใจ อย่าว่าแต่ดอกไม้..เพราะ พระองค์ถือว่า เธอได้ตายจากไปตั้งแต่วันที่หนังสือได้ออกวางจำหน่าย)
จากบทเรียนในครั้งนั้น ทำให้พระราชินีได้ทรงทราบและถ่องแท้ดีกว่าใครๆว่า ข้อเขียนของคนใกล้ชิดนั้น..สามารถสร้างกระแสได้อย่างปั่นป่วนยิ่ง เพราะมันจะกลายเป็นการบันทึกของประวัติศาสตร์ที่ไม่มีวันลบรา เป็นพยานของร่องรอยอดีตที่ทำให้คนสามารถมองเห็นต่างมุม เช่น..บัดนี้ได้มีผู้รู้ว่า.. พระองค์เป็นแม่ที่ไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องการศึกษาของพระธิดา..มากไปกว่าการร้องรำทำเพลง..และสำหรับเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตที่แสนดื้อรั้นนั้น การเลี้ยงดูใกล้ชิดพระองค์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระพี่เลี้ยง.. แม้ว่าในหนังสือจะมีแต่คำสรรเสริญถึงพระองค์ในด้านดีๆ..เช่น เป็นผู้หญิงที่อ่อนหวาน หรือจะเป็นคำชมที่มีต่อ ดัชเชส แห่ง เค้นท์ ว่า..เป็นหญิงที่งดงามอย่างหาตัวจับได้ยาก และโชคดีที่สุดในโลกที่ได้ทรงอภิเษกกับเจ้าชายที่หล่อที่สุด..ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมา..เพราะข้อความที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนพระองค์ในด้านอื่นๆยังปรากฏหราอยู่บนหน้ากระดาษ เช่น ในห้องพระบรรทมได้ใช้ผ้าคลุมพระที่สี ฟ้า-เขียว หรือ ทั้งสองพระองค์ต่างแยกห้อง...มิได้ประทับอยู่รวมกัน.. หรือ คำบรรยายที่ว่า เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงจ้ำม่ำ น่ารักน่าเอ็นดูยามอยู่ในชุดว่ายน้ำ..ก็เหมือนกับลูกปลาวาฬตัวน้อยๆ หรือ เจ้าฟ้าหญิงลิลิเบทเป็นพระนัดดาองค์โปรดของ คุณลุงเดวิด (พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด หรือ ดยุค ออฟ วินด์เซอร์)
ที่สำคัญคือ..ครอว์ฟี่ได้นำเรื่องส่วนพระองค์มาขยาย เช่น..ในยามที่เสด็จประพาสอเมริกาในปี 1939 นั้น ทั้งสองพระองค์ได้โทรศัพท์มาคุยกับเจ้าฟ้าหญิงจากในเรือเดินสมุทร การสนทนาแบบเด็กๆที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายนั้น พระราชินีทรงแกล้งตัดบทด้วยการแกล้งหยิกพวกคุณสุนัขให้ส่งเสียงขรม จนคุยกันไม่รู้เรื่องและต้องวางสายไป
เท่านั้นไม่พอ..ที่ทรงกริ้วจัด..นั่นคือเรื่องนำความในส่วนพระองค์ของเจ้าฟ้าหญิงมกุฏราขกุมารีมาขยายว่า.. ทรงเจ้าระเบียบอย่างเกินมนุษย์ ขนาดทรงกำลังบรรทมสนิทแท้ๆ ยังต้องตื่นขึ้นมาเพื่อจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เพราะกลัวยับ"
ทั้งหมดนี้..ยิ่งมาจากปากคำของพระพี่เลี้ยงอย่างครอว์ฟี่..ใครอ่านก็ต้องเชื่อ..เพราะใครเล่าจะรู้ดีไปกว่าเธอ.. และจากนั้นว่า..ศัพท์แสลงคำว่า.."ทำครอว์ฟี่" {to do a Crawfie} ได้นำมาใช้อย่างกว้างขวางในกลุ่มชาววัง สำหรับคนที่คิดคดทรยศต่อพระราชวงค์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 49 เมื่อ 25 ก.พ. 06, 08:24
|
|
พิษสงของ to do a Crawfie นั้น...ทั้งสองพระองค์ถึงกับต้องรีบล้อมคอก ด้วยการนำความไปปรึกษาฝ่ายกฏหมายให้รีบออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งการป้องกันความเสื่อมเสียที่จะมีขึ้นต่อพระราชวงค์ อันมาจากคนใน.. ถ้าจะว่ากันตรงๆนั่นคือ เหล่าบรรดาข้าราชบริพารต้องปิดปากให้สนิท ความในไม่ให้ออก..และถ้าฝ่าฝืน..ก็ต้องได้รับโทษทัณฑ์ที่ชัดเจน
หรือในกรณีถ้ามีอย่าง to do a Crawfie ได้เกิดขึ้นอีก สำนักพระราชวังมีสิทธิใช้อำนาจศาลที่จะระงับการจัดพิมพ์การจัดจำหน่ายก่อนออกสู่ท้องตลาด.. และการตีพิมพืเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชวงค์ใด..ต้องได้รับการกลั่นกรองและได้รับการพิจารณาความเห็นชอบเสียก่อน.. ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อความศักสิทธิ์ของสถาบันที่สูงสุดของประเทศที่ไม่สมควรได้รับการล่วงละเมิด..
แต่..พระเจ้ายอร์จและพระราชินีไม่สามารถมองเห็นอนาคตได้เลยว่า..ของพรรค์นี้ยิ่งห้าม..ก็เหมือนยิ่งยุ เพราะ ในปัจจุบัน โลกวัตถุได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ข่าวทุกชิ้นของเจ้านายสามารถ"ขายได้ราคา" ทั้งสิ้น จัดจำหน่ายไม่ได้ในอังกฤษ...ก็พากันไปพิมพ์ที่อื่น ออกขายกันนอกประเทศให้ลึ่ม..
ยิ่งมาในปี 1994 ยิ่งแล้วหนัก เพราะเจ้าฟ้าชายชารลส์ ว่าที่พระมหากษัตริย์ เล่นออกรายการโทรทัศน์เอง..ยอมรับสารภาพกับฝูงชนอย่างพระพักต์พระเนตรเฉย..ว่า.. ทรงเป็นชู้กับเมียชาวบ้านมาตั้งนานแล้วละ... จะไม่สารภาพให้สิ้นเรื่องสิ้นราวได้อย่างไร..เพราะ มหาดเล็กคนใช้ตัวดี..เล่นให้ข่าวว่า.. "พระองค์แอบไปเล่นจ้ำจี้ ขลุกกันอยู่ในบ่อสองคนกับนางคามิลล่า จนเปรอะเปื้อนโคลนไปหมด แบบไม่อายผีอายสาง...ผมเป็นคนนำฉลองพระองค์ปิยาม่าชุดนั้นไปซักเองกับมือ" ผลคือ..นายนั่นได้ถูกไล่ออกจากงานมหาดเล็กที่มีรายได้ปีละ 18,000 ปอนด์..หมอก็ไม่ยี่หระ..เพราะ ขายข่าวเจ้านายให้กับสำนักพิมพ์แค่ชิ้นสองชิ้นก็ได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ ไม่ต้องไปทำงานรับใช้ให้หน้าแก่..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 58 เมื่อ 26 ก.พ. 06, 13:33
|
|
การเสด็จกลับของพระองค์ที่มีท่านเชอร์ชิลล์ไปรอรับเสด็จที่สนามบินพร้อมทั้งคณะบุคคลในรัฐบาล และได้นำเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระตำหนักคลาแร้นซ์ที่ซึ่งสมเด็จพระนางแมรี่ได้ทรงคอยอยู่ในฉลองพระองค์ชุดดำ สมเด็จพระนางแมรี่ พระอัยยิกาเจ้า..ผู้ซึ่งมีพระชนมายุได้แปดสิบห้าในตอนนั้น ได้เสด็จสวรรคตในเวลาสิบสามเดือนต่อมา แต่ในขณะที่ทรงมีพระชนมายุอยู่นั้น พระองค์ได้ทรงสูญเสียพระสวามีพระเจ้ายอร์จที่ห้า..และต้องมาปลงพระศพพระโอรสอีกสองพระองค์ จนพระองค์ได้ออกกฏว่า..ชุดดำ เป็นสัญญลักษณ์แห่งความโศกเศร้า ที่ต้องใช้ในพิธีงานศพเท่านั้น และชาววินด์เซอร์จะไม่ใส่ชุดดำไปไหนทั้งสิ้นถ้าไม่ใช่เพื่องานแห่งความสูญเสีย และสมเด็จพระราชินีที่ต้องเสด็จเข้ามาหาพระนางแมรี่ก่อน นั่นคือธรรมเนียมปฏิบัติในพระราชวงค์ที่ต้องให้พระญาติที่เจริญพระชันษาที่สุดได้จุมพิตพระหัตถ์และถวายความเคารพก่อนเป็นองค์แรก)
นายจอห์น ดีน ได้บันทึกไว้ว่า เพราะพระประสงค์ของพระนางแมรี่ดังนี้..ชาววังจึงถือเป็นระเบียบปฏิบัติที่ไม่ว่าจะไปไหนต่อไหน ต้องมีชุดดำเตรียมพร้อมเสมออยู่ในกระเป๋าเดินทาง เผื่อฉุกเฉิน อย่างครั้งนี้ ที่..สมเด็จพระราชินี (องค์ใหม่) จึงได้เสด็จลงจากเครื่องบินด้วยชุดดำที่พร้อมไปทั้งหมด ทั้งพระมาลา และฉลองพระหัตถ์
เมื่อได้เสด็จถึงพระตำหนักคลาแร้นซ์..พระนางแมรี่ พระอัยยิกาได้รีบชิงถอนสายบัวถวายความเคารพพระราชินีที่มีพระชนมายุเพียง ยี่สิบห้าก่อน แต่เมื่อทรงพระวรกายขึ้นมาได้ พระนางรีบเข้าไปกระซิบกับพระนัดดาว่า.. "นี่..ลิลิเบทจ๋า..กระโปรงที่ทรงอยู่นั่น...สั้นไปหน่อยนะจ๊ะ"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|