แยกซอยเรื่อง อำแดงจั่น
อำแดงจั่นได้ทูลเกล้าถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวโทษผัวชื่อนายเอี่ยม ว่าลักเอาชื่อของตนไปขายให้เป็นทาสแก่ผู้อื่น โดยที่ตนมิได้รู้เห็นด้วย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงตัดสินว่า
"ผัวลักเอาชื่อภรรยาไปขาย ภรรยาไม่ได้รู้เห็นด้วจะเรียกว่าเป็นเรือนเบื้ยไม่ควร"
กฎหมายสมัยนั้นอนุญาตให้ผัวหรือพ่อแม่มีสิทธิที่จะเอาชื่อเมียหรือลูกใส่ลงในกรมธรรม์เพื่อขายให้แก่ผู้อื่นได้ โดยที่ลูกหรือเมียจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามก็มีสิทธิ์ทำได้ เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ได้ทรงทราบหลักกฎหมายดังกล่าวแล้ว ทรงมีพระราชดำริว่า
"กฎหมายนี้เมื่อพิเคราะห์ดูเหมือนผู้หญิงเปนความ ผู้ชายเปนคน หาเปนยุติธรรมไม่ ให้ยกเสีย"
คดีอำแดงจั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ ถ้าผัวจะขายเมีย ให้พิจารณาดูฐานะของเมียก่อนโดยสามารถแยกออกเป็น 2 กรณี คือ
1. ถ้าเมียนั้นไม่ใช่ทาส ผัวจะขายได้ก็ต่อเมื่อเมียยินยอมให้ขาย และเมียจะต้องลงลายมือชื่อ หรือทำเครื่องหมายแกงไดลงในสารกรรม์นั้น และจะต้องมีพยานรู้เห็น การขายจึงมีผลผูกมัดตามกฎหมาย
2. ถ้าเป็นเมียทาส หรือเป็นทาสโดยทั่วไป จะเป็นไทแก่ตัวก็ต่อเมื่อผัว หรือนายเงิน ฉีกกรมธรรม์ยกค่าตัวให้ ถ้าตราบใดที่ผัวยังไม่ฉีกสารกรมธรรม์ทิ้งก็ยังอยู่ในฐานะทาส ผัวจะเอาชื่อของตนไปขายในราคาค่าตัวเดิม หรือหย่อนกว่าค่าตัวเดิมก็ได้ โดยผัวจะต้องมอบสารกรมธรรม์เก่าให้แก่นายเงินเพื่อซื้อตัวคนใหม่เป็นหลักฐาน แต่ถ้าผัวจะขายสูงกว่าค่าตัวเดิม เพียงแต่การมอบสารกรมธรรม์ให้แก่นายเงินคนใหม่ไปนั้นยังไม่เพียงพอ แต่ทาสจะต้องลงแกงไดยินยอมรับค่าตัวใหม่ด้วย ทั้งนี้เพราะการเพิ่มค่าตัวย่อมเป็นการเพิ่มภาระผูกพันของทาสให้มากขึ้น
3. กรณีบิดามารดาขายบุตร ถ้าลูกอายุต่ำกว่า 15 ปี และอยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่มีสิทธิขายได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมของลูก แต่ถ้าลูกอายุ 15 ปี ขึ้นไปแล้ว ต้องให้ลูกลงแกงไดยินยอมและต้องมีพยานรู้เห็น สัญญาซื้อขายจุึงจะสมบูรณ์ อีกประการหนึ่ง ถ้าพ่อแม่หย่าร้างกัน และลูกแยกไปอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่ง หรือญาติของอีกฝ่ายหนึ่ง พ่อหรือแม่จะลักเอาชื่อของลูกไปขายไม่ได้
http://www.learners.in.th/blogs/posts/257346