เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: ภูมิ pooml@usa.net ที่ 19 ม.ค. 01, 06:06



กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ pooml@usa.net ที่ 19 ม.ค. 01, 06:06
อ่านเรื่องฝันของคุณเทาชมพูก็นึกขึ้นมาได้ว่า
เคยอ่านพบว่า ตอนค้นพบ วงเบ็นซิน (การเรียงตัวของคาร์บอนในวงเบ็นซิน)
นายเบ็นซินก็ฝันเหมือนกัน เห็นงูไล่กัดกัน

คนไทยแบ่งความฝันไว้เป็น๔ชนิด
ธาตุวิปริต   กินอาหารอิ่มเกิน    
จิตสังวร  จิตวิตก กับเรื่องการงานที่คั่งค้างอยู่
เทพสังหร   มีเทพมาเข้าฝัน
บุพนิมิตร เเรงดลบรรดาลใจจาก บรรพบุรุษ
ซึ่งลําดับก็จะเรียงกันจากหัวคํ่า ๒อันเเรกเชื่อถือไม่ได้ ๒อันหลังน่าเชื่อถือกว่า
จึงบอกกันว่าฝันตอนใกล้ตื่นมักจะเป็นจริง

เขียนๆไปเเล้วชักงง สองอันหลังนี่มันคลายๆกันนี่นะ  ไม่รู้จําผิดหรือเปล่า ๒อันนี่รวมกัน
เเล้วทําตกไปอันหนึ่งใครช่วยเเก้ด้วยนะครับ


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: ดร. สลัมม์ ที่ 08 ม.ค. 01, 17:31
ผมก็เคยได้ยินมาว่า ความจริงแล้วแอปเปิ้ล
หล่นใส่หัวเซอร์ ไอแซค นิวตันในฝันแล้ว
ตกใจตื่นเลยคิดเรื่องกฏแรงโน้มถ่วงออก

ไม่รู้เกี่ยวรึเปล่า


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 08 ม.ค. 01, 18:54
แจมด้วยครับ
คนไทยฝันเห็นงูกัด งูรัด (คนฝัน) ทำนายว่าจะได้คู่
ฝรั่ง (นักเคมี) ฝันเห็นงูเหมือนกัน แต่เป็นงูที่เอาปากคาบหางตัวเองเป็นวงกลม แทนที่จะตีความไปในทางเนื้อคู่ กลับตีความเป็นการจัดเรียงโครงสร้างโมเลกุลของเบนซิน ดังไปเลย...
ตำราฝันที่ผมจำได้มี 4 จำพวก
บุพพนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ ธาตุกำเริบ บุพพนิมิต คือฝันเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้าก่อนเหตุจะเกิดจริง ถือว่าเชื่อได้
จิตนิวรณ์ คือ คิดมากเลยฝัน จิตใจจดจ่อกับอะไรมากๆ อยู่ก็เก็บไปฝัน อันนี้เชื่อไม่ค่อยได้
เทพสังหรณ์ คือ เทวดามาดลใจให้ฝัน ควรจะเชื่อได้ แต่ตำราบอกว่าบางทีเทวดาก็แกล้งคนเล่น ดังนั้นถือว่าเชื่อไม่ได้เหมือนกัน
ธาตุกำเริบ ก็ตรงตามความหมายว่า กินมากไปน้อยไป ร่างกายไม่ปกติก็ฝัน อันนี้เชื่อไม่ได้
สรุปว่าเชื่อได้อย่างเดียว คือฝันที่เกิดจากบุพพนิมิต แต่จะรู้ได้ยังไงว่าฝันไหนเป็นประเภทไหน ผมก็จำไม่ได้ แต่จำได้ว่าฝันตอนใกล้รุ่งแม่นกว่าฝันตอนอื่น


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ม.ค. 01, 22:33
เรื่องของเบนซิน เป็นความฝันดังระเบิดเรื่องหนึ่งของโลกค่ะ
นักวิทยาศาสตร์คนนั้นชื่อออกุสต์ เคคูเล่  ชาวเยอรมันศึกษาโครงสร้างโมเลกุลของเบนซิน ซึ่งเป็นสารประกอบที่สกัดจากน้ำมันดิบ  ว่าอะตอมแต่ละตัวมีการเกาะเกี่ยวกันและกันในรูปใด
เบนซินมีโมเลกุลที่ประกอบด้วยอะตอม ๑๒ ตัว คือเป็นอะตอมของคาร์บอนและไฮดดรเจนอย่างละ ๖ ตัว  อะตอมของคาร์บอนมีตะขอตัวละ ๔ อัน  ไฮโดรเจนมีตัวละ ๑ อัน รวมเป็น ๓๐ อัน  ทำยังไงให้ตะขอเกี่ยวกัยให้ได้หมดโดยไม่ให้เหลือว่างอยู่เลย
ความฝันของคุณเคคูเล่ คือฝันเห็นภาพงูไล่งับหางตัวเองเป็นวงกลม   พอตื่นแกก็จับอะตอมของคาร์บอนมาเกี่ยวกันเป็นวงกลม เหลือตะขอ ๑ อันจับเกี่ยวเข้าไปกับไฮโดรเจน  แค่นี้ก็ได้คำตอบลงตัวเป๊ะ

บทกวีโด่งดังชื่อ Kubla Khan  or A vision in A Dream ของ Samuel Taylor Coleridge เกิดขึ้นจากความฝันของกวี ตอนง่วนกับเสพย์ฝิ่นแก้ปวด แล้วเคลิ้มหลับไป เห็นเป็นภาพโดมของพระราชวังตะวันออก ตระการตา   ได้ยินเสียงผู้หญิงคร่ำครวญหาชู้ปีศาจ  และเห็นภาพแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลเชี่ยวแรงไปสู่ทะเลมืดมิด
ภาพที่ฝันเห็นทั้งสวยงามและพิลึกพิสดารเสียจนเมื่อตื่นขึ้นมา พี่แกก็ร่ายออกมาเป็นบทกวี ด้วยถ้อยคำเข้าใจยาก เป็นที่ปวดเฮดของนักศึกษาที่ฝิ่นก็ไม่ได้สูบ  ฝันก็ไม่ได้ฝัน แต่จำเป็นต้องตามอ่านเอาคะแนนจากงานของแก
เชิญอ่านตอนต้นกันเองค่ะ
In Xanadu did Kubla Khan
A stately pleasure-dome decree:
Where Alph,  the sacred river, ran
Through caverns measureless to man
Down to a sunless sea.
So twice five miles of fertile ground
With walls and towers were girdled round:
And there were gardens bright with sinuous rills,
Where blossomed many an incense-bearing tree;
And here were forests ancient as the hills,
Enfolding sunny spots of greenery.


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ม.ค. 01, 22:47
ขุนช้างขุนแผน มีเรื่องของความฝันอยู่หลายตอนค่ะ  ตอนต้นของเรื่องเมื่อขุนช้างขุนแผนและนางวันทองจะเกิด  แม่ๆของทั้งสามก็มีบุพพนิมิตกันทั้งนั้น
ตอนนางเทพทองตั้งท้อง  ฝันได้พิลึกไม่แพ้ Coleridge
ฝ่ายนางเทพทองนั้นนอนหลับ..........พลิกกลับก็เพ้อละเมอฝัน
ว่าช้างพลายตายกลิ้งตลิ่งชัน.............พองขึ้นหัวนั้นเน่าโขลงไป
ยังมีนกตะกรุมหัวเหม่......................บินเตร่เร่มาแต่ป่าใหญ่
อ้าปากคาบช้างแล้ววางไป................เข้าในหอกลางที่นางนอน
ในฝันนั้นว่านางเรียกนก...................เชิญเจ้าขรัวหัวถกมานี่ก่อน
นางคว้าได้ตัวเจ้าหัวกล้อน...............กอดนกกับช้างนอนสบายใจ
พอคลอดลูกออกมาก็ได้ลูกชายหัวล้านเหมือนนกตะกรุม ตัวโตอัปลักษณ์เหมือนช้างตาย   เป็นตัวเอกในเรื่อง...คือขุนช้างค่ะ

ที่แปลกคือขุนช้างขุนแผนทั้งเรื่อง  ไม่มีตอนไหนที่เจอคู่แล้วฝันเห็นงูเลยสักตอน    ถ้าสาวๆจะได้เนื้อคู่ จะฝันเห็นดอกบัว
ฝ่ายว่านวลนางศรีมาลา.................คืนวันนั้นนิทราก็ใฝ่ฝัน
ว่าลงสระเล่นน้ำสำราญครัน.........เห็นบุษบันดอกหนึ่งดูพึงตา
ผุดขึ้นพ้นน้ำงามสะอาด...............นางโผนผาดออกไปด้วยหรรษา
เด็ดได้ดีใจว่ายกลับมา..................กอดแนบอุราประคองดม
นางเม้ยพี่เลี้ยงก็ทายว่า
ดอกบัวคือผัวมิใช่อื่น...................มิพรุ่งนี้ก็มะรืนคงถึงนี่
ไม่เหมือนอีเม้ยทายให้นายตี........ฝันอย่างนี้ได้ทายมาหลายคน


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 08 ม.ค. 01, 23:37
แจมต่อ นอกเรื่องฝันครับ
Xanadu และ Cathey เป็นชื่อของเมืองจีนในภาพฝันของฝรั่งโบราณ รวมทั้งพ่อแซม โคลริดจ์ กวีขี้ยาฝิ่นรายนี้ด้วย เข้าใจว่าเป็นชื่อเก่าที่ฝรั่งเรียกจีนมาตั้งแต่ครั้งมาร์โคโปโลเป็นอย่างน้อย เอ่ยชื่อสองชื่อนี้ขึ้นมากับฝรั่ง ก็ยังให้บรรยากาศลึกลับแบบดินแดนในฝันทางตะวันออกอยู่จนเดี๋ยวนี้ (อาจจะไม่เกิดผลอย่างเดียวกันกับเรา เพราะเราเป็นคนตะวันออกอยู่เอง...)
แต่คนจีนตัวจริงไม่รู้จักหรอกครับ ทั้งคำว่าซานาดูและคาเธ่ย์นั่นแหละ (คนไทยอาจจะคุ้นๆ ว่าคาเธ่ย์เคยเป็นชื่อโรงหนัง แต่ไม่ยักกะฉายหนังจีนไพล่ไปฉายหนังแขก... และซานาดู เคยมีการเอามาตั้งเป็นชื่อไนท์คลับ)
ถ้าแม่นางหลิน Linmou อยู่แถวๆ นี้ ช่วยตรวจสอบด้วยครับ หรือคุณภูมิ หรือคุณ Crazy horse หรือท่านผู้รู้ทางจีนท่านอื่นก็ได้ ผมเคยถามๆ ดูได้ความว่า XANADU นี้ เป็นความพยายามประสาฝรั่งลิ้นแข็ง ที่จะเรียกคำว่า โส่วตู อันเป็นภาษาจีนกลางแปลว่าเมืองหลวง (ไม่ได้เป็นชื่อเฉพาะของเมืองหลวง)
สมัยกุบไลข่านราชวงศ์หยวน มองโกลยึดครองจีนได้แล้ว เข้าใจว่าตอนที่มาร์โคโปโลไปถึงจีนนั้น กุบไลข่านจะตั้งเมืองหลวงในดินแดนจีนแล้ว คือบริเวณที่เป็นกรุงปักกิ่งเดี๋ยวนี้ แต่สมัยนั้นเรียกว่า ต้าตู หรือมหานคร
ส่วนคาเธ่ย์ นั้น ได้ความว่า เพี้ยนมาจาภาษาจีนกลางคำว่า กั๋วไท่ ครับ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะแปลว่า ประเทศอันอุดมสมบูรณ์ หรืออย่างไรนี่แหละ
เรื่องของการเพี้ยนข้ามวัฒนธรรม เป็นเรื่องปกติ ตัวอย่างที่ใกล้เราที่สุดคืออีตาพระเจ้ามังคุดในดินแดนสมมุติชื่อไซแอม ซึ่งผมดูทีไรก็ต้องทำใจ ว่าไม่ใช่ในหลวง ร.4 ของเราจริงๆ เป็นตัวละครที่เกิดจากความเพี้ยนข้ามวัฒนธรรมเท่านั้น ถึงมาดามบัตเตอร์ฟลายก็ไม่ใช่ญี่ปุ่นแท้ แต่เป็นญี่ปุ่นในจินตนาการของอิตาเลียน พอๆ กับอุปรากรอีกเรื่องคือ มิกาโด ซึ่งเอาญี่ปุ่นไปทำเป็นตัวตลกเหมือนกัน
เอ นอกเรื่องฝันไปแยะแล้วครับเนี่ย


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ม.ค. 01, 00:08
ไม่เป็นไรค่ะ  ตื่นจากฝันแล้วก็คุยกันไปได้  เดี๋ยวใครยังติดใจเรื่องฝันต่อค่อยกลับไปฝันกันต่อ

เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า Xanadu มาจากคำอะไร    รู้แต่ว่า Kubla Khan ก็คือกุบไลข่าน   แต่ก็ยังมองไม่เห็นภาพในควันฝิ่นอยู่ดีว่าเป็นกู้กงหรือที่ไหน

ในวิวาหพระสมุทร  พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ท่านก็ทรงเอาฝรั่งมาร้องเพลงคลื่นกระทบฝั่ง บังใบ และแขกสาหร่ายเหมือนกันนะคะ
ตอนอ่านก็รู้สึกว่าเท่มาก ไม่ได้รู้สึกว่าฝรั่งทำไมมาร้องเพลงไทยเดิม  
ชอบที่พระเอกยืนอยู่ใต้หน้าต่างแล้วนางเอกเปิดออกมาร้องเพลงโต้ตอบกัน
อย่างเพลง....
(หยุดกึก)
อะแฮ่ม...
เชิญคุณนกข.เล่าต่อตอนนี้ค่ะ  แม่ยกทยอยกันมานั่งฟัง  เต็มโรงละครเวทีเรือนไทยแล้ว
ดิฉันขอตัวเข้าหลังฉากละค่ะ   ก่อนกระป๋องน้ำหมากจะลอยมาเตือน


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 09 ม.ค. 01, 00:36
ไม่รู้จะเล่าอะไรครับผม หมดภูมิแค่นั้นแหละ รอคุณ Linmou มาขยายความต่อ
ขอแก้ตัวผมเองนิดหนึ่ง กรุง Xanadu นั้นฝรั่งตั้งใจจะให้หมายความถึงเมืองหลวงของกุบไลข่าน ส่วน Cathey ฝรั่งตั้งใจให้หมายถึงเมืองจีนทั้งประเทศนะครับ ซานาดูไม่ได้แปลว่าเมืองจีนตามที่ผมเขียนไป
เรื่องวิวาหพระสมุทรเป็นเรื่องละครพระราชนิพนธ์ ร.6 ที่ผมชอบมากอีกเรื่องหนึ่ง ขนาดไม่เคยได้ดูการแสดงเรื่องนี้เลย เคยแต่อ่านบทก็ชอบ
ชอบเพลง ...ถึงกลางวัน สุริยัน แจ่มประจักษ์ ไม่เห็นหน้า นงลักษณ์ ยิ่งมืดใหญ่... มาก มาจากเรื่องนี้ใช่ไหมครับ
ว่าเฉพาะเรื่องเพลง นอกจากฝรั่งจะมาร้องเพลงไทยเดิมแล้ว ร.6 ท่านยังทรงเก๋ เอาเพลง รูล บริเทเนีย (Rule, Britania) มาใสเนื้อไทยให้พลพรรคทหารเรือในเรื่องนี้ร้องกันอีก ทำนองเพลง รูล บริเทเนีย นี้ เป็นทำนองที่เกือบจะเป็นสัญลักษณ์ของอังกฤษในความรู้สึกของคนที่ไม่ใช่อังกฤษไปแล้ว แต่เป็นอังกฤษยุคบริติชเอ็มไพร์นะครับ ไม่ใช่อังกฤษยุคโทนี่แบลร์ (สมัยนี้ มีฝรั่งเล่นคำบอกว่าต้องเปลี่ยนเป็น Cool Britania แทนถึงจะกิ๊บเก๋ยูเรก้า)
เสียดายร้องไม่ได้ตรงนี้ แต่ทำนองคุ้นหูมากครับ ถ้าร้องได้คงมีคนร้องอ๋อกันหลายคน
ในเดอะคิงแอนด์ไอ ฉบับยูลบรินเน่อร์ ฮอลลีวูดก็เอาเพลงนี้ไปใส่ตอนทูตอังกฤษออกงานราตรีสโมสรของพระเจ้ามังคุด (ก่อน Shall We Dance? จะขึ้น) ทำนองจะเป็น...
แตน -แตนแต๊นแต๊น/ แตนแต๊นแตนแตนตะแต่น/ แต๊น แตน แตนตะแต๊นตะแตนแตนตะแต่น...
ทำนองนั้นแหละครับ หาเนื้อร้องภาษาไทยได้ ในเรื่อง วิวาหพระสมุทร


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: เรือตรีพร้อม เอ๊ย นกข. ที่ 09 ม.ค. 01, 01:18
ผมจำบทพระราชนิพนธ์ไม่ได้ จำได้แต่ท่อนสร้อยดังนี้
... ครอง- เถิดนาวี นาวีจงครองทะเล...
ชนะศัตรู ศัตรูมลายมลายทั้งเพ...

ในสมัย ร.6 นั้น อังกฤษเป็นมหาอำนาจเจ้าอาณานิคม มีดินแดนอยู่ทั่วโลกจนได้สมญาว่า ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแสนยานุภาพทางทะเลนี่เอง (เหมือนอเมริกาเป็นเจ้าโลกอยู่ตอนนี้)
ผมเคยชอบเรื่องละครนี้มาก จนเร็วๆ นี้ลองกลับไปคิดทบทวนดู ด้วยความคิดของคนที่มีชีวิตผ่านเข้ามาถึง คริสตศตวรรษที่ 21 ก็ชักไม่ค่อยแน่ใจว่าชอบมากเท่าเดิม (ที่จริงไม่ถูกนะครับในการเอาบรรทัดของศตวรรษที่ 21 ไปวัดงานในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เพราะ ร.6 ท่านก็คงทรงใช้บรรทัดอีกอันหนึ่งคนละอันกันกับของผม หรืออาจไม่ได้ทรงใช้บรรทัดอะไรเลย ในการทรงพระราชนิพนธ์บทละครสนุกๆ เรื่องนี้ มีแต่ผมซีเรียสไปคนเดียว)
เอาเป็นว่าผมยังชอบเรื่องนี้อยู่ แต่ไม่ชอบพระเอกเท่าไหร่แล้ว พระเอก คือเจ้าชายอันเดรหลงรักนางอันโดรเมดา (สุดาสวรรค์) แต่ท้าวมิดัสพระบิดา ซึ่งเป็นกษัตริย์ครองเกาะอัลฟะเบตาอยู่ ไม่ทรงอยากได้อันเดรมาเป็นเขย เพราะรังเกียจว่าจน เกาะอัลฟะเบตามีตำนานว่า ทุกกี่ร้อยปีไม่รู้ พระสมุทร จะเกณฑ์ให้ชาวเกาะส่งหญิงสาวไปเป็นชายา (ตรงนี้ ร.6 ทรงล้อตำนานกรีกโบราณ ที่ให้เนปจูนมาเอาอันโดรมีดาไปเป็นเครื่องสังเวย แม้แต่ชื่อนางเอกก็เอามาจากตำนานนั้น)
พอใกล้ถึงกำหนด ประชาชนก็ชักจะแตกตื่น พอดีเรือรบอังกฤษมาจอดเยี่ยมเทียบท่า มีเจ๊กบ๋อยประจำเรือ (ขออภัยชาวไทยเชื้อสายจีนทุกท่านครับ แต่ทรงใช้คำว่า เจ๊กบ๋อยจริงๆ) ซึ่งมีหางเปีย ติดมาด้วย พอบ๋อยรายนี้ขึ้นไปที่ท่า ชาวเมืองก็แตกตื่นว่าคนประหลาดมีหางบนหัว เป็นผีทะเลมาทวงส่วยให้พระสมุทร บ๋อย (ดูเหมือนชื่อเต๊กหลี) เห็นได้ทีก็เลยขู่ชาวเมืองใหญ่
ทีนี้ผู้ร้ายก็ออกได้แล้ว ผู้ร้ายคือ พระสังฆราชนักบวชประจำเกาะ มีหลานชายคือคอนสแตนติโนส ซึ่งก็หลงรักเจ้าหญิงอันโดรมีดาอยู่เหมือนกัน เห็นได้ทีก็คบคิดกันกับเต๊กหลีว่า เมื่อพระสมุทรส่งทูตมาทวงอย่างนี้ ก็จะต้องบังคับท้าวมิดัสให้เจ้าหญิงอันโดรเมดาแต่งงานกับพระสมุทร หรือผู้แทนพระสมุทร โดยตกลงกันว่า พอถึงตอนทำพิธีส่งตัวเจ้าสาวพระสมุทร เต๊กหลีในฐานะผีทะเล ก็จะออกมาชี้ตัวคอนสแตนติโน้สให้เป็นผู้แทนพระสมุทร และมติมหาชนก็คงจะบังคับให้ท้าวมิดัสต้องสละราชธิดาให้คอนสแตนติโนส
แต่แผนนี้รั่วไปถึงเจ้าหญิง ซึ่งที่จริงทรงรักกับเจ้าอันเดร เจ้าอันเดรก็เลยได้รู้เรื่องด้วย แล้วก็ไปขอความช่วยเหลือจากนายนาวาเอกไลอ้อนผู้บังคับการเรือรบอังกฤษ จึงเกิดการซ้อนแผนขึ้น ในพิธีส่งตัวเจ้าสาวพระสมุทร ทหารเรืออังกฤษก็เข้าควบคุมสถานการณ์ และเมื่อเต๊กหลีไม่กล้ารับเป็นทูตพระสมุทร นาวาเอกไลออนก็ว่า เขาในฐานะเป็นผู้บังคับการเรือราชนาวีอังกฤษ มีอำนาจเหนือท้องทะเล ถือว่าเป็นผู้แทนพระสมุทรโดยชอบธรรม พระนักบวชจะหือก็โดนดาบปลายปืนจี้ ต้องยอมรับว่าไลอ้อนเป็นผู้แทนพระสมุทรจริง ไลออนก็เลยเรียกเจ้าบ่าวที่พระสมุทรยินยอมพร้อมใจด้วย มารับตัวเจ้าสาว คืออันโดรเมดา เจ้าอันเดรก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดเครื่องแบบทหารเรืออังกฤษ ถือว่าเป็นญาติหรือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับพระสมุทร (คือราชนาวีอังกฤษ) แล้ว สมควรจะแต่งงานกับเจ้าหญิงได้ ใครหือก้เชิญถามกระบอกปืนเรือรบอังกฤษดู...
เรื่องก็จบแฮปปี้เอนดิ้ง มีไม่แฮปปี้อยู่แต่พระนักบวชกับหลานชายเท่านั้น เพราะชาวเมืองก็พลอยยินดีไปกับเจ้าชายและเจ้าหญิงทั้งสอง และนายนาวาเอกไลออนก็พลอยได้แต่งกับแมรี พระพี่เลี้ยงชาวอังกฤษของเจ้าหญิงด้วย

ก็น่าจะดีนะครับ แต่ผมตั้งคำถามตัวเองว่า เมื่อท้าวมิดัสสิ้นพระชนม์แล้ว เกาะอัลฟะเบตาก็คงตกเป็นของเจ้าอันเดร ซึ่งกลายเป็นนายทหารอังกฤษไปแล้วเห็นๆ อยู่ อย่างนั้น อีกประเดี๋ยวไม่ต้องห่วงหรอก เอกราชอิสรภาพอธิปไตยของอัลฟะเบตาก็คงถูกสิงโตอังกฤษขม้ำหวานคอสิงห์ไปเลย เจ้าอันเดรนี่แกเป็นเชื้อพระวงศ์เลวๆ ประเภทไหนกัน ที่ยอมให้มหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศของตัวได้ขนาดนี้
เพราะฉะนั้น ถ้ามองจากมุมของโยฮันนิสและคอนสแตนติโนส  "ผู้ร้าย" ในเรื่อง อาจจะแก้ตัวได้ว่าเขารักชาติมากกว่า "พระเอก" ด้วยซ้ำ (และที่ประหลาดคือ องค์ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ได้ชื่อว่าทรงมีผลงานในด้านการปลุกใจคนไทยให้รักชาติอย่างยิ่ง "ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง..."  ลูกหลานคอนสแตนติโนสอาจจะอยากเอาเพลงนี้ไปร้องก็ได้)
อยากเขียนประวัติศาสตร์เกาะอัลฟะเบตา ภาค 2 ต่อจังเลย อาจจะเป็นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ที่อังกฤษหมดรัศมี สูญอาณานิคมไปทีละแห่งๆ ประเทศเกิดใหม่เหล่านี้กลายเป็นประเทศขึ้นมาในยุคที่อเมริกาเป็นเจ้าโลก ในบรรยากาศสงครามเย็น ลูกหลานของเจ้าอันเดรซึ่งทำอะไรไม่เป็นนอกจากโผเข้าพึ่งเกาะขามหาอำนาจ กำลังจะพาประเทศอัลฟะเบตาไปหาสหรัฐฯ (หรือไอเอ็มเอฟก็ได้) ส่วนลูกหลานของคอนสแตนติโน้สก็ลงใต้ดินเป็นพลพรรคปฏิวัติ (หรือเรียกร้องให้เว้นวรรคกับ WTO ก็ได้) ดูซิว่าอันโดรเมดาสมัยใหม่เธอจะเลือกใคร...
 แต่ไม่กล้าครับ ด้วยความเคารพในพระมหาอัจฉริยภาพของพระมหาธีรราชเจ้าพระองค์นั้น ผมไม่กล้าแต่งต่อจากของท่านทรงไว้ดีๆ แล้วหรอกครับ


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 09 ม.ค. 01, 01:34
ขออภัยครับ หลุดเรื่องฝันไปไกลกู่ไม่กลับแล้ว


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 09 ม.ค. 01, 07:29
ไม่เป็นไรครับ เราก็คุยกันไปเรื่อยๆได้ความรู้ดีด้วย

เรื่องตําราฝันนั้นเเสดงว่าเราก็ตําราเดียวกัน
(ต่างกันในรายละเอียดนิดหน่อย หยวน เเล้วกัน)

กลับมาเรื่องเมืองจีน  เเล้วการบิน คาร์เท่ย์เเปซิฟิกนี่เกี่ยวกันไหมครับ


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 09 ม.ค. 01, 08:15
คาเธ่ย์ แปซิฟิก เป็นสายการบินของฮ่องกงไงครับ ก็เป็นส่วนหนึ่งของจีน หรือแต่ก่อนนี้อังกฤษยังบริหารอยู่ ก็ถือว่าฮ่องกงเป็นอาณานิคมอังกฤษที่มีความเป็นจีนมากอยู่ดี สายการบินของฮ่องกงจึงเอาชื่อคาเธ่ย์ในความรับรู้ของฝรั่งว่าเป็นชื่อเมืองจีนสมัยโบราณ (ตามที่ฝรั่งเรียกมาตั้งแต่ครั้งมาร์โค โปโล) มาเป็นจุดขายของตัวเอง นอกจากชื่อคาเธ่ย์ในชื่อบริษัทแล้ว สมัยหนึ่ง สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก เคยมีที่นั่งชั้นมาร์โค โปโล คลาสด้วย เดี๋ยวนี้ไม่ได้นั่งนานแล้วไม่รู้ยังมีหรือเปล่า


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: กระบี่อิงฟ้า ที่ 09 ม.ค. 01, 11:18
ขอมั่วเรื่องกว๋อไท่ หน่อย กว๋อ แปลว่าแผ่นดิน ประเทศ เช่น ไท่กว๋อ ประเทศไทย จงกว๋อ ประเทศจีน คำว่าไท่ ไม่รู้ว่า เป็นคำที่คล้ายกับคำ ต้า (ใหญ่) หรือเปล่า ถ้าใช่คำนี้ใช้กับเพศหญิง เช่น ไท่ไท่ ซือไท่ กว๋อไท่ ผมก็เลยอยากจะแปลว่า แผ่นดินแม่ (แปลมั่วนะ)


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 09 ม.ค. 01, 12:42
ผมก็ไม่แน่ใจ แต่รู้สึกว่าไม่ใช่ไท่ ตัวเดียวกับ ไท่ไท่ ครับ
น่าจะเป็น ไท่ ตัวเดียวกับที่เอามาใช้แปลว่าประเทศไทย มากกว่า
คือเป็นคำพ้องเสียงน่ะครับ ประเทศที่ออกเสียงว่า ไทย นี้ คนจีนเขาก็ไปหยิบคำว่า ไท่ ตัวนี้มาให้แทนเสียง ไทย แต่ที่จริง ไท่ นี้ มีความหมายของมันเองอยู่ด้วย (ความหมายดีครับ)
เหมือนอเมริกา คนจีนตัดสั้นๆ เรียกว่า เหม่ยกว๋อ เหม่ย ตัวนี้คือแทนเสียง -อเมริ- แต่ว่าเหม่ยเองก็มีความหมายอยู่แล้ว ว่างาม อเมริกาในภาษาจีนจึงอาจจะแปลได้ว่าประเทศงาม
ไท่ตัวนี้ ของคำว่าประเทศไทย ผมเข้าใจว่าเป็นไท่ตัวเดียวกับคำว่า ไท่เหอเตี้ยน อันเป็นตำหนักหลังหนึ่งในพระราชวังโบราณ


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 09 ม.ค. 01, 12:47
ขอโทษครับมือเร็วไป
ไท่ ที่เป็นชื่อเมืองไทยด้วย และอยู่ในชื่อพระที่นั่งไท่เหอเตี้ยนด้วย และผมกำลังจะเดาว่าอยู่ในคำว่ากว๋อไท่ด้วยนั้น ดูเหมือนจะแปลว่า สูงสุด สุดยอด อุดม supreme ครับ ใครมีพจนานุกรมก็ช่วยเปิดตรวจสอบด้วยครับ


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 09 ม.ค. 01, 12:56
ตัวไท ที่ใช้แทนชื่อประเทศไทยคือตัวเดียวกับภูเขาไทซาน

หมายถึงความสงบ ความมั่นคง


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ม.ค. 01, 15:00
ขอคั่นเรื่องจีนด้วยตำราทำนายฝัน หน่อยนะคะ
เสร็จแล้วเชิญคุยกันต่อ

ไปเปิดเรื่องทำนายฝัน  ในตำราพรหมชาติ  เจออะไรแปลกๆไม่เหมือนกับที่เคยอ่านในวรรณคดี
อย่างเวลาจะเจอเนื้อคู่ ไม่ยักฝันงูอย่างที่เข้าใจกัน  กลับเป็นว่าฝันถึงนาคหรืองูมารัดแปลว่าจะมีผู้อุปถัมภ์

ฝันว่านาคเกี่ยวกรกรอง……ตัวกลัวอย่าหมอง
ย่อมมีที่คุ้มรักษา

ถ้าจะเจอคู่ คือฝันว่าได้แหวน  ถ้าเป็นผู้ที่มีครอบครัวแล้วจะได้ลูกค่ะ

ฝันว่าสวมแหวนทอง……….แม้หญิงลำยอง
เปลี่ยวเปล่าจักได้สามี
ถ้ามีคู่ชมสมศรี……………..จักได้บุตรี
บุตราอันพึงพอใจ

อีกอย่างคือถ้าฝันเห็นหญิงสาวถือเทียนหรือโคม มาขึ้นเรือน จะได้เลื่อนยศหรือไม่ก็ได้คู่

ฝันว่าสาวพรหมจารี…………ถือประทีปเทียนศรี
สะอาดมาสู่เรือนตน
จักมียศยิ่งกว่าชน……………ท่านจักเลื่อนตน
ขึ้นให้ถึงพระยา
แม้นว่าหญิงโสภา……………จักได้ภัสดา
อันสบเนื้อพึงใจ

ถ้าฝันว่าเชิญพระพุทธรูปไปไว้ที่วัด   ไม่ยักแปลว่าจะได้บวชหรือได้บุญ แต่จะได้คู่และลาภค่ะ

ฝันว่าเชิญรูปพระทศพล………ไปไว้ตำบล
ถิ่นฐานนิวาสอาราม
ทายว่าจักได้เมียงาม…………..ลาภจักไหลหลาม
มาสู่สำนักแห่งตน

ใครเคยฝันอย่างนี้แล้วแม่นยำ ชิญมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ เผื่อเป็นแรงใจและไฟฝันให้คนไม่เคยฝัน ได้ฝันบ้าง

ข้อสังเกตเรื่องวิวาหพระสมุทร  ต่อจากที่คุณนกข.จุดประกายไว้
คงไม่เป็นการบังอาจที่ดิฉันจะผสมโรงวิจารณ์พระราชนิพนธ์ เพราะในรัชสมัยของพระองค์ท่านก็ทรงเปิดกว้างให้ออกความเห็นอยู่แล้ว  ไม่ทรงห้ามปราม
ดิฉันเข้าใจว่าการไปอยู่อังกฤษถึง ๙ ปี ทำให้สมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงพอพระทัยวัฒนธรรมหลายๆอย่างของอังกฤษ  
อย่างการตั้งคลับหรือสโมสร ก็ทรงนำมาปฏิบัติในสยาม
วัฒนธรรมทางวรรณคดีและการละคร ยิ่งไม่ต้องพูดถึง  โปรดเรื่องเหล่านี้มาก
ความเป็นอยู่หลายอย่าง ก็ทรงปฏิบัติแบบอังกฤษ เช่นการแต่งพระองค์   เสวยพระสุธารสชา  ไม่เสวยพระศรี  การเล่นกีฬาบางอย่างก็เป็นแบบอังกฤษ
แต่บางเรื่องที่ไม่ทรงเห็นด้วยก็คือเรื่องการเมืองแบบประชาธิปไตย

ดังนั้นอังกฤษในวิวาหพระสมุทร เป็นอังกฤษพันธมิตร ที่ไม่เข้ามาแตะต้องระบอบการปกครองของเกาะอัลฟะเบตา   ท้าวมิดัสก็ยังครองเมืองต่อไป
เพียงแต่เปลี่ยนความล้าสมัยในความคิดบางอย่างของเกาะนั้น ให้ทันสมัยขึ้น เช่นไม่เชื่อเรื่องเจ้าสมุทร  ช่วยให้พระเอกนางเอกแฮปปี้เอนดิ้ง  แล้วนาวาเอกไลออนแกก็คงถอนสมอเอาเรือกลับบ้านไป
ทางเกาะก็คงอยู่กันไปอย่างสงบสุข ไม่ต้องวุ่นวายสังเวยใคร

แนวคิดแบบนี้ก็สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครองสยามในยุคนั้นและก่อนนั้น  คือรับวัฒนธรรมตะวันตกมา ไม่ได้รังเกียจรังงอน
ฝรั่งจะเข้ามาแทรกแซงบ้างก็ไม่ว่ากัน
แต่ไม่ชอบให้เข้ามายึดครองถาวร  หรือเอาระบอบการปกครองของฝรั่งเข้ามาเต็มรูป
ยังคงอยู่กันแบบไทยๆต่อไป

แต่ล่วงเข้าศตวรรษใหม่   การยึดครองจากมหาอำนาจเปลี่ยนจากรูปใช้กำลังในยุคอาณานิคม มาเป็นการยึดครองโดยไม่เสียเลือดเนื้อ
การยึดครองทางวัฒนธรรม เป็นทัพหน้านำหน้ามาก่อน  แล้วทัพใหญ่คือการยึดครองทางเศรษฐกิจก็เข้าจู่โจม
ได้ผลดีกว่าทำสงครามเวียตนาม

ถ้าวิวาหพระสมุทรจะมีภาค ๒  ลูกหลานเจ้าอันเดรก็ควรปิดเกาะชั่วคราว  รัดเข็มขัดกันตัวโก่งสงวนเงินตราบนเกาะเอาไว้   แล้วอยู่ให้ได้โดยไม่ต้องพึ่งลูกหลานนาวาเอกไลออน...
เฮ้อ...มองเห็นลิเกการเมืองลอยมารำไรเสียแล้วค่ะคุณนกข.


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 10 ม.ค. 01, 20:26
ในเมื่อคุณเทาชมพูสนุกด้วย ผมก็ขอสนอง
อังกฤษตั้งแต่สมัยอีตา นอ. ไลออนเองก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นอังกฤษผู้ดีนักนะครับ
ในเรื่องที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เอง มีการกระทำที่ผมเอาแว่นตาคนเรียนรัฐศาสตร์ใส่แล้ว มองว่าเป็นการแทรงแซงกิจการภายในของรัฐอธิปไตยด้วยกำลังของมหาอำนาจเจ้าอาณานิคม ด้วยกำลังทหารด้วยนะ
ทำไมธิดาเจ้านครอิสระนครหนึ่งจะมีคู่ อังกฤษสมัยโน้น (หรืออเมริกาสมัยนี้) ถือสิทธิอะไรไปยุ่งเกี่ยวกิจการในบ้านเขา แล้วถ้าจะยุ่งด้วยโดยอ้างว่า ไม่อยากเห็นราชธิดาต้องเป็นเหยื่อประเพณีจนต้องจมทะเลตาย เพื่อมนุษยธรรมว่ายังงั้นเถอะ ผบ. เรือรบอังกฤษก็ควรรักษาความเป็นกลางเพื่อมนุษยธรรมหรือเพื่อหลักการอะไรก็ตามที่ยกมาอ้างไว้ ให้เป็นหลักได้จริงๆ ไม่ใช่ในที่สุดเอาเจ้าหญิงไปยกให้เจ้าอันเดรนายทหารเรืออังกฤษ อย่างนี้ แนวคิดฝรั่งอังกฤษเองน่ะแหละ จะเห็นว่าไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใสครับ มีสิ่งที่ฝรั่งอังกฤษเองเรียกว่า conflict of interests อยู่ (ท่านอานันท์ ปันยารชุนก็จบจากอังกฤษ)
เรื่องเจ้าอันเดรยอมทิ้งศักดิ์เจ้านายในราชตระกูลอัลฟะเบตาไปแต่งตัวเป็นทหารอังกฤษ เพียงเพื่อจะได้เมีย นั่นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้า นอ.ไลออนมีใจเป็นธรรมจริงก็น่าจะหาทางออกได้สวยกว่าเอาทหารเรืออังกฤษมาเดินสวนสนามเต็มเกาะไปหมด
ผมนึกเล่นๆ ว่า สมัยวิกฤตการณ์วังหน้าของเราเองนั้น โชคดีที่ผู้ใหญ่ทางอังกฤษไม่มีนโยบายที่จะแทรกแซงกิจการภายในของไทยไปตามกงสุลนอ็กซ์  ไม่ยังงั้นนาวาเอกไลออนอาจจะได้มาเดินเล่นแถวๆ สนามหลวงก็ได้...


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ม.ค. 01, 22:09
มองอีกมุมนะคะ

ถ้าเจ้าอันเดรฉลาดพอ ก็เสามารถใช้นาวาเอกไลออนให้เป็นประโยชน์  
แต่ไลออนต่างหากมีแต่เจ๊งกับเจ๊า  อันเดรมีแต่ได้หรือเสมอตัว

เป้าหมายของอันเดรคือแต่งงานกับนางเอก ผลพลอยได้คือบัลลังก์ในอนาคต
แต่พลังของเจ้าอันเดรมีไม่พอ  ถูกคานซะด้วยพลังของนักบวชที่พ่อนางเอกเชื่อถือ  
จึงต้องแสวงหาพลังพันธมิตรภายนอก คืออังกฤษให้มาหนุน พอจะสู้กันไหว
เหมือนอีกฝ่ายมีอาวุธผลิตในประเทศเต็มมือ   เจ้าอันเดรจะสู้มือเปล่าก็ไม่ใช่อาโนลด์ ชวาสเซนเนกเกอร์  จำต้องยืมอาวุธอิมพอร์ตมาถือไว้ชั่วคราว ขู่ไว้ให้อีกฝ่ายไม่กล้าหือ
การแต่งเครื่องแบบทหารอังกฤษก็คือปลอมๆไปงั้นแหละ   ในเนื้อแท้ก็ยังเป็นเจ้าอันเดรชาวเกาะ  
พันธะอะไรที่ได้แต่งเครื่องแบบก็ไม่มี    คือไม่ต้องไปประจำการเป็นกลาสีอยู่ในเรือร่อนเร่ตามกัปตัน
พอเสร็จธุระเรื่องนี้แล้วเจ้าอันเดรก็ถอดเครื่องแบบส่งคืน  กลับไปนุ่งชุดชาวเกาะอย่างเดิม  ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอังกฤษตรงไหน
ลองใจไม่เป็นอังกฤษซะอย่าง  ก็ถือว่าเป็นชาวเกาะแท้ เท่ากับตอนไม่ได้แต่งเครื่องแบบเหมือนกัน
ไลออนจะมาอ้างอะไรไม่ได้เพราะต่างก็รู้กันว่าเล่นละครตบตาคนอื่น  ถ้าจะตกลงกันก็ต้องตกลงแต่แรก  ประเภทหมูไปไก่มา
แต่นี่ช่วยฟรีเพราะพี่เลี้ยงสาวชาวอังกฤษช่วยลุ้นเจ้าหญิงเจ้าชาย  ไลออนอยากมีเมียเต็มแก่เลยยอมทั้งที่ไม่ได้กำรี้กำไร

ถ้าหากว่าไลออนจะกลับมาขูดผลประโยชน์ในภายหลังก็อีกเรื่อง  คือมาแบบข่มขู่  ไม่เป็นผู้ดีเป็นอันธพาลไปแล้ว
้เป็นคนละเรื่องคนละประเด็น

ดิฉันมองว่าอันเดร ใจไม่เป็นอังกฤษเสียอย่าง ก็น่าจะปกครองเกาะต่อไปได้  
ไม่ยอมขึ้นกับอังกฤษ  จะสู้รบพ่ายแพ้หากอังกฤษบุกก็เป็นการแพ้แบบน้ำน้อยแพ้ไฟ  ช่วยไม่ได้
ข้อสำคัญคืออันเดรอย่าไปเกรงกลัวหรือหลงใหลได้ปลื้มเห็นไลออนดีไปหมด  จนสั่งลูกหลานให้เดินตามหลังลูกหลานไลออน
แบบเดินผิดเดินถูกยังไงก็ขอให้เดินตามลูกหลานไลออนไว้ก่อน   อย่าเดินด้วยตัวเอง
อย่างนี้ละค่ะน่าประณาม


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 10 ม.ค. 01, 22:54
เรื่องที่ว่าชาวเกาะ ตั้งแต่เจ้าอันเดรลงมาถึงประชาชน จะหลงใหลได้ปลื้มทหารเรืออังกฤษไปหรือไม่นั้น น่าต่อความครับ
คุณเทาชมพูกล่าวไว้เองว่าการรุกรานของลัทธิอาณานิคมสมัยใหม่ ไม่ใช่เอาเรือปืนไปปิดอ่าวแล้ว แต่เป็นการรุกทางเศรษฐกิจวัฒนธรรม ในด้านวัฒนธรรมนี้ก็อย่างที่ฮอลลีวู้ดกำลังขายวัฒนธรรมอเมริกันไปทั่วโลก
ผมขอเรียนเสนอประเด็นว่า ชาวเกาะอัลฟะเบตาเดิมกราบไหว้บูชานับถือพระสมุทร (ดูเหมือนสมัยนั้นท่านสะกด "สมุท") เป็นเทพเจ้านะครับ ทหารเรืออังกฤษมาอ้างตัวว่า พระสมุทรที่แท้จริงแล้วคือราชนาวีนั่นเอง แปลว่าอะไร แปลว่าอังกฤษคือพระเจ้าองค์ใหม่ เป็นการรุกทางวัฒนธรรมขั้นพื้นฐานเลยนะครับนั่นน่ะ


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 11 ม.ค. 01, 18:50
พักเรื่องวิพากษ์วิวาหพระสมุท หรือ วิวาห์พระสมุทณภาค 2 ไว้ก่อน เอาไว้ว่างๆ โต้โผเทาชมพูอาจจะเอาไปเปิดเป็นลิเกการเมืองอีกเรื่องก็ได้ แต่ลิเกเรื่องนี้ (ถ้ามี) ทำท่าจะซีเรียสครับ ไม่รู้จะฮาออกรึเปล่า เล่นจับประเด็นเรื่อง ลัทธิอาณานิคมแผนใหม่ คือโลกาภิวัตน์ หรือไม่ ยังงี้
..............
กลับมาเรื่องฝันต่อ
มีนักจิตวิทยาบนเรือนไทยไหมครับ ผมน่ะไม่ใช่ เป็นได้แต่คนไข้โรคจิต...
ดร. ซิกมุนด์ ฟรอยด์ บิดาแห่งสำนักจิตวิเคราะห์ หรือถ้าจะว่าไปก็เป็นบิดาของวิชาจิตวิทยาและจิตเวชศาสตร์แผนปัจจุบันได้ทั้งหมด เพราะเป็นคนแรกที่พยายามศึกษาจิตใจมนุษย์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มีงานชิ้นแรกๆ ที่ศึกษาวิเคราะห์เรื่องความฝัน ซึ่งเข้าใจกันว่าอาจเป็นการแสดงตัวรูปหนึ่งของจิตใต้สำนึก
นักจิตวิทยารุ่นหลังยังศึกษาเรื่องการนนอนหลับและความฝันสืบต่อมาหลังยุคฟรอยด์ แล้วก็ดูเหมือนถ้าจำไม่ผิดจะมีการแยกความฝันตอนหลับตื้นๆ กับหลับลึกไว้ด้วย มีอะไรสักอย่าง ที่เรียกว่า การนอนหลับในช่วง REM หรือ Rapid Eye Movement แล้วก็ช่วงที่หลับแบบไม่มี REM .... อะไรทำนองนั้นน่ะครับ มั่วๆ นะครับ
ผมกำลังสงสัยว่า ถ้าตามวิชาจิตวิทยาและประสาทวิทยาสมัยใหม่มีช่วงหลับตื้น หลับลึก สลับกันไป นี่ ความฝันตอนใกล้รุ่งตามตำราไทย ถือได้ว่าเป็นช่วงหลับช่วงไหน (น่าจะเป็นหลับลึก?) ทำไมจึงถือกันว่าฝันตอนนั้นจะแม่น...?
.............
มีเรื่องฝันเกี่ยวกับงูและคู่ครอง ในบันทึกประวัติศาสตร์ไทย ว่า เจ้าคุณพระประยูรวงศ (คุณแพ) ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็น "รักแรก" ของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ร.5 (ตั้งแต่ครั้งยังดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้าชายในรัชสมัย ร.4) นั้น เมื่อก่อนจะได้ถวายตัว หรือที่จริงก่อนจะได้เฝ้าฯ เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำนั้น คุณแพฝันเห็นงู และไม่ใช่งูธรรมดาแต่เป็นพญานาคราช (ตามที่ท่านเล่า ว่าเป็นนาคเหมือนที่เขาทำไว้ตามวัด) มาคาบพาตัวไปจากบ้าน งานนี้ต้องเรียกว่าฝันแม่นเอามากๆ


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ม.ค. 01, 19:34
ระหว่างยังตามตัวนักจิตวิทยาไม่เจอ  ก็ขอมั่วตอบไปก่อน  หากว่าผิดคงมีผู้รู้อดรนทนไม่ได้มาแก้เองละค่ะ

เข้าใจว่าฝันตอนใกล้รุ่ง เป็นระยะที่ร่างกายพักผ่อนเต็มที่จนกระทั่งใกล้จะตื่นขึ้นมา  จะเป็นการหลับตื้นค่ะ  ถ้าหลับลึกแล้วจะไม่ฝัน
บางคนก็ครึ่งหลับครึ่งตื่นในตอนใกล้รุ่ง เพราะใกล้จะตื่นเต็มที  จิตใต้สำนึกก็จะโผล่ออกมา
ที่ว่าแม่น เพราะบางครั้งจิตใต้สำนึกสะท้อนสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจเรา  เป็นสิ่งที่เราคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ได้แล้วว่าจะเกิด
มันจะพัวพันกับเหตุการณ์ในชีวิตที่เกิดมาก่อน แต่ยังไม่ถึงตอนจบ  จิตก็ประเมินตอนจบให้
จึงพบว่าฝันในตอนนี้ ต่อมาจะบอกความจริงได้แม่นกว่าตอนอื่น

ส่วนฝันพญานาคของเจ้าคุณแพวัยสาวรุ่น   ตัวท่านเอง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าพญานาคหมายถึงอะไร  จะว่าเพ้อฝันถึงคู่ไปล่วงหน้าก็ย่อมไม่ใช่
ต้องถือว่าเป็นเทพนิมิตที่แม่นยำมาก  ไม่ว่าจะหมายถึงคู่ หรือหมายถึงผู้อุปถัมภ์ ก็ตาม ค่ะ

คุยมาถึงตอนนี้ ยังไม่เห็นมีใครมาบอกซักคนว่าฝันล่วงหน้าเห็นเนื้อคู่บ้างหรือเปล่า   แม่นไหม?


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: :) ที่ 11 ม.ค. 01, 22:26
In my dream (long time ago), I saw a snake ka', but I ran away... it followed, I just ran ran and ran as fast as I could. Even I climbed the tree too! ^___^! Didn't find "the one". So I plan I won't run away again next time! :P :)


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 11 ม.ค. 01, 22:35
ของคุณน่ะยังดี เพื่อนสาวเก่งของผมคนหนึ่ง ฝันเห็นงูหลายครั้ง ทุกครั้งเธอ (ในฝัน) จะต้องไล่ตีงูจนหัวแหลกเหลวตายไปทุกทีทุกตัว
แล้วในความเป็นจริงเธอก็มาบ่นว่า... เมื่อไหร่จะมีใครมาจีบชั้นสักทีน้อ?
งูนอกฝันรวมทั้งคนที่มีหัวเป็นงูทั้งหลาย ไม่มีใครกล้าแหยม...


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: อ้อยขวั้น ที่ 12 ม.ค. 01, 09:48
จะฝันว่าเหาะได้บ่อยมากค่ะ  ส่วนฝันถึงงูนี่เป็นแบบเดียวกับเพื่อนคุณ นกข.   เคยมีแบบกัดงูกลางลำตัวขาดคาปากด้วยแหละ


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 12 ม.ค. 01, 12:54
เท่าที่เคยฟังมา(จําๆเขามาเหมือนกัน อย่าเชื่อมาก) :-)
REM กับ NON-REM จะมาเป็นชุด สลับกันราว ชุดละ ชม.ครึ่ง
โดยที่REMจะเป็นช่วงสั้นๆราว๑๕นาทีซึ่งช่วงREMนี้จะเป็นช่วงที่ฝันเเละ
ตื่นง่าย

ภาพประกอบนี้ ช่วงสีเเดงจะเป็นช่วงREM  ส่วนช่วง NON-REM
ถูกแบ่งเป็น๔ขั้นตามความลึกของการหลับ


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 12 ม.ค. 01, 13:01
เมื่อกี่รูปใหญ่ไปหน่อยใส่ไม่ได้

ขอใส่ใหม่ที่นี่


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: ชานเรือน ที่ 12 ม.ค. 01, 21:03
คุณอ้อยขวั้นคะ  ฝันว่าเหาะได้  ว่ายน้ำได้ บ่อยๆเช่นกันค่ะ  แต่ไม่ได้ข้ามภูเขานะคะ
และฝันถึงงูก็ตีงูจนตายเหมือนกันค่ะ และยังเรียกคนรอบข้างมาช่วยกันตีด้วยค่ะ


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ม.ค. 01, 22:02
ฝันว่าเหาะเลื่อนลอยลม.........ลินลาศนิยม
มาโดยอากาศเวหา
เร่งให้ทำขวัญกายา..............จักยิ่งยศปรา-
กฏไปทั่วทุกนรชน
แม้ว่าใครมาประจญ..............จักแพ้ฤทธิรณ
ขยาดหวาดเสียกำลัง

สาวผู้ตีงูตาย กัดงูขาด ทุบงูแหลกมาชุมนุมกันอยู่ในเรือนไทยหลายคนจังค่ะ
ที่นี่....เชื่อว่าน่าจะเป็นเขตปลอดงู
หรือไม่ก็เขตกวาดล้างงู
งูโปรดระวัง


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 16 ม.ค. 01, 07:59
ใครเคยได้ยินเรื่องความฝันของจวงจื้อบ้างครับ จวงจื๊อเป็นเมธีจีนโบราณคนหนึ่งตั้งแต่ยุคหลายพันปีมาแล้ว วันหนึ่ง เขาหลับไปแล้วก็ฝันไปว่า เขาเป็นผีเสื้อ ใช้ชีวิตอย่างผีเสื้อ โบยบินไปตามดอกไม้ต่างๆ อย่างมีความสุข แล้วก็ตื่นขึ้นมา พบว่า เขาไมได้เป็นผีเสื้อสักหน่อย ก็เป็นคนชื่อจวงจื๊อนั่นแหละ มีชีวิตของจวงจื๊อ แต่แล้วเขาก็เกิดฉุกใจคิดอีกที แล้วก็ขมวดเป็นคำคมไว้ว่า นี่เขาเป็นจวงจื๊อที่ฝันไปว่าตัวเองเป็นผีเสื้อ หรือว่า ที่จริงแล้ว เขาเป็นผีเสื้อที่กำลังฝันอยู่ ฝันว่าตัวเองเป็นคนชื่อจวงจื๊อกันแน่????
ความจริงกับความฝัน อะไรจริงแท้กว่ากัน

เรื่องของจวงจื๊อถ้าจะโยงกันจริงๆ ก็โยงสาวไปได้ถึงความคิดเรื่องโลกแห่งแบบของเมธีกรีก คือเพลโต ไปจนถึงโลกของโซฟีที่เป็นหนังสือนิยายฝรั่งสมัยนี้ และเรื่องอื่นๆ ที่มีการจงใจทำให้เส้นแบ่งความจริงกับความฝัน หรือความนึกคิด เบลอลงไป แม้กระทั่งหนังฝรั่งหลายเรื่อง ไม่ว่าจะ 13th Floor หรือ The Matrix ก็ถือได้ว่าเล่นกับแนวความคิดเรื่องอะไรจริงอะไรฝันทั้งนั้น

ผมเข้าใจว่านักปรัชญาฝรั่งสำนักหนึ่ง เอาแนวคิดเรื่องจริงคือฝันนี่ ไปขยาย ว่า โลก ชีวิต จักรวาล ทุกสิ่ง แม้แต่ตัวเราเอง ที่จริงแล้วไม่ได้ดำรงอยู่จริงๆ แต่ดำรงอยู่ในจิตอันยิ่งใหญ่อันหนึ่ง ซึ่งจะเรียกว่าพระเจ้าก็ได้ พระเจ้านั้นมีจริง แต่ทุกอย่างอื่นๆ รวมทั้งคุณและผมและจวงจื๊อ และอีกกี่พันล้านชีวิตนอกนั้นด้วย ล้วนไม่ดำรงอยู่จริง เป็นแค่ "ความฝันของพระเจ้า"  เท่านั้น
สงสัย "จิตที่เป็นพระเจ้า" ของสำนักนี้จะเสวยหรือกินอะไรผิดสำแดงไปหน่อย จึงทำให้ฝันเลอะเทอะตามประสาธาตุกำเริบ กลายมาเป็นชีวิตผม !


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 16 ม.ค. 01, 08:58
นอกจากเรื่องฝันเป็นผีเสื้อแล้ว ตอนผมเรียนยังมีการพูดถึงประโยคที่ว่า
คนคือหญ้าที่มีความคิด
เราคิดจึงมีตัวเรา
จําไม่ได้ว่าเป็นคําพูดของใคร  แต่ประโยคที่๒นี่ของกรีก


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ม.ค. 01, 20:11
I Think,therefore I am ฉันคิด..ฉันจึงเป็นอยู่

คำพูดของ Descartes ค่ะ  อยู่ในแนวปรัชญา Existentialism (อัตถิภาวนิยม)

เชื่อเถอะ  เดี๋ยวคุณนกข.จะต้องเข้ามาอธิบายขยายความให้ฟัง   ดิฉันรอดตัวไปไม่ต้องค้นมาเล่า



เรื่องฝันคล้ายแนวคิดของจวงจื๊อ และพระเจ้าผู้เสวยอะไรเข้าไปผิดสำแดง  อยู่ในเรื่องที่จะเล่านี้ค่ะ



"ความฝัน" อยู่ในหนังสือชุด "วรรณวิจิตร"ของ" แสงทอง" ชื่อ "วนวัลลรี" เป็นเรื่องแนวอินเดียโบราณ

แปลจากต้นฉบับเรื่อง In the Great God's Hair ของ F.W. Bain ชาวอังกฤษ



ในตอนนี้ วนวัลลรีนางเอกของเรื่องเล่านิทานให้พระอินทร์ที่ปลอมเป็นพราหมณ์แก่มาลองใจนาง ว่า



" อันใดจะมีมารยายิ่งกว่าความฝัน   แต่ก็ไม่มีใครสังเกตทราบมารยาของฝันจนเมื่อฝันจบแล้วตื่น    ถ้ายังไม่สำนึก ว่ามันเป็นมารยา  มารยาก็ดีเท่ากับของจริงใช่หรือไม่"



เนื้อเรื่องมีอยู่ว่าพระราชากับพระราชินีเสด็จลงสรงน้ำในสระในฤดูร้อน   เมื่อขึ้นจากน้ำพระราชาก็บรรทมหนุนตักพระราชินี หลับไป

แล้วสุบินว่า เมื่อตอนเช้าพระองค์เสด็จออกไปล่าสัตว์ในป่าแล้วพบพราหมณ์นอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้  จนเย็นเสด็จกลับผ่านมาทางเดิมก็เจอพราหมณ์ยังหลับอยู่อย่างเดิม  

แปลกพระทัยก็ให้มหาดเล็กไปปลุก ปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น แต่ก็ไม่ได้ตาย  ก็เลยทรงนำแกกลับมาเข้าวังทั้งหลับๆ  

พราหมณ์ก็หลับไปตลอด ๗ ปี  จนวันหนึ่งแกก็ตื่นขึ้นมาแล้วประหลาดใจเพราะนึกว่าตัวเองเพิ่งเข้านอนใต้ต้นไม้ไปเมื่อเช้านี้เอง  

พระราชาก็ตอบว่า แกนอนหลับไปถึง ๗ ปี  พระราชาได้ทำศึกสงครามและมีโอรสธิดาในช่วง ๗ ปียาวนานที่แกหลับไป  

พอพราหมณ์จะตอบ พระราชาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาพบพระองค์นอนหนุนตักพระราชินีอยู่  พบว่าทรงนอนไปเพียงครู่เดียว  

ก็ทรงสำนึกได้ว่า เวลาที่แท้จริงอาจไม่ใช่เวลาที่ประสบอยู่  ในตอนนั้นพระองค์กับนางคงกำลังฝัน และอีกไม่นานคงจะตื่น  

ก็ทรงขอให้พระราชินีจุมพิตพระองค์เสียก่อนจะตื่น ในขณะที่ยังมีเวลาอยู่ด้วยกัน    พระราชินีไม่เข้าพระทัยแต่ก็ทรงทำตาม  

 เมื่อจุมพิต หลังคาที่บังแดดอยู่ก็เกิดพังลงมาทับสองพระองค์สิ้นพระชนม์อยู่ตรงนั้น แต่ก็ทรงทายถูกที่ว่าทรงมีเวลาอยู่ด้วยกันเหลือน้อยเต็มที



มีเกร็ดเบื้องหลังว่า  F.W. Bain ได้เขียนนิทาน ๑๒ เรื่องนี้ โดยเท้าความว่า มาจากนิทานอินเดียโบราณ  

เมื่อครั้งเขาไปพำนักอยู่ในอินเดีย เกิดโรคระบาดขึ้นที่เมืองพาราณสี   เขาได้ไปพบพราหมณ์แก่คนหนึ่งซึ่งก่อนจะตายก็หยิบม้วนกระดาษเก่าคร่ำคร่าเขียนเป็นภาษาสันสกฤตมามอบให้เขา  

ในนั้นปรากฏว่าเป็นวรรณคดีโบราณ  ทำนองเดียวกับ " ปัญจะตันตระ"  คือเป็นนิทานซ้อนนิทาน  เล่าถึงเรื่องราวของกษัตริย์ต่างๆที่พระศิวะเล่าให้พระอุมาฟัง  เขาจึงนำมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ

แต่จากการค้นคว้าของผู้ศึกษาวิชาภาษาและวรรณคดีสันสกฤตพบว่านิทานเหล่านี้ไม่เคยปรากฏในวรรณคดีอินเดียเรื่องไหนทั้งสิ้น  

 เบนแต่งขึ้นมาเอง แต่สวมรอยเป็นบรรยากาศโบราณในยุคพระเวทได้แนบเนียน   วิธีการแต่งก็คล้ายกับของโบราณมาก



งานของเบนแพร่หลายมาถึงไทย หนึ่งในจำนวนนี้กลายมาเป็น "กนกนคร" พระนิพนธ์ของน.ม.ส. กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์   แต่งเป็นกลอนหก มีหลายตอนที่ไพเราะมาก อย่างตอนเห็นนางพายเรืออยู่ในสระบัว กลางแสงจันทร์



เห็นนางนวลศรีมีโฉม......ดังโสมส่องหล้าราศี

เนาเรือเหนือสรัสปัทมี......ตรณีจันทร์นวลชวนชม

งามเงินงามเงาเพราพาย....นวลฉายยึดด้ามงามสม

เรือน้อยลอยน้ำขำคม............บัวฉมชูห้อมล้อมเรือ



ต่อมาหลวงบุณยมานพพานิชย์(แสงทอง)นำมาแปลเป็นไทยทั้งหมด ๑๓ เรื่อง  เรียกงานของท่านว่า" วรรณวิจิตร" หมายถึงหนังสือที่งดงาม  

เรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "อติรูป" เป็นเรื่องของกามเทพที่ถูกสาปลงไปเกิดเป็นเจ้าชายเจ้าชู้มากรักแบบดอนฮวนหรือคาสซาโนวา



เล่าเสียยาวเกินเรื่องฝัน เพราะชอบวรรณกรรมของแสงทองชุดนี้มาก  ทั้งภาษาและปรัชญาของพระศิวะ น่าเสียดายเป็นงานที่ถูกหลงลืมไปแล้ว


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 19 ม.ค. 01, 15:53
เชอ ต๊องส์ - เอ้อ- เชอป๊องส์, ดองซ์ เชอสวี.
I think, therefore I am (.... confused).
เคยเรียนผ่านๆ คิดว่ารู้เรื่อง แต่จะให้อธิบายขยายความ ไม่กล้าครับ ศิษย์เดส์การ์ตคนไหนผ่านมาช่วยหน่อยครับ ผมน่ะพวกเดสะเกิ๊ร์ต

จำได้เลาๆ ว่าท่านอาจารย์พุทธทาสเคยพูดถึงเดส์การ์ตด้วย ทำนองว่า สัญชาตญาณความอยากมีตัวมีตนของสัตว์โลกมันรุนแรงมาก ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงโดยแท้นั้นมันไม่มีตัวตน เป็นอนัตตา หรือที่ท่านใช้ว่า ไม่มีตัวกูของกู แต่สัตว์โลกก็ดิ้นรนไปจะตั้งให้มีอะไรสักอย่างเอาไว้ยึดไว้หลอกตัวเอง จนถึงนักปรัชญาฝรั่ง (ไม่แน่ใจว่าท่านอาจารย์ออกชื่อหรือไม่) บางสำนัก บอกว่า ความนึกคิดนี่แหละ คือตัวตนที่แท้ เพราะมีการนึก จึงมีผู้นึกอยู่ แต่ในทางพุทธ แม้ความนึกคิดก็เป็นสังขารที่ปรุงแต่งขึ้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง และเป็นอนัตตาเช่นเดียวกัน
 
งานของท่านแสงทอง ผมก็ชอบ แต่อ่านไม่หมด ชุดคุณฉัฏฐ์ก็ตลกดี แต่ชุดของ ฟ.ว. เบน ที่ท่านแปลมานี้ ผมเคยหลงนึกว่าเป็นวรรณกรรมอินเดียโบราณจริงๆ อยู่นาน เพราะอีตาเบนแต่งได้ดี ผมไม่แน่ใจว่าเคยอ่าน วรรณวิจิตร แต่เคยอ่าน ขุมความเท็จ ครับ เคยอ่าน หงสาลัย ด้วย

เรื่องกนกนคร ก็มีเรื่องฝันๆ จริงๆ ทำท่าจะเป็น Twilight Zone ภาคภารตะ พระเอกพลัดจากนางเอก (ชื่อกนกเรขา) เดินทางไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียวจนถึง Fantasy Island แขกแห่งหนึ่ง เป็นเมืองทอง รุ่งเรืองสวยงาม แต่ร้าง ไม่มีคน เข้าไปในวังทองร้างกลางเมือง ก็เจอศพวางอยู่
เปิดผ้าคลุมศพออกดูก็ถึงกับผงะ "เพราะศพที่พระมาพบ คือศพนางกนกเรขา ขยี้เนตรเหตุเหลือเชื่อตา เป็นบ้าหรือฝันฉันใด นางอยู่ดีดีที่โน่น เมื่อโน้นยุพยงทรงไล่..."
เชิญท่านผู้สนใจหาอ่านต่อเองครับ สนุกครับ


กระทู้: ฝัน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ม.ค. 01, 18:06
จอมยุทธ นกข.ออมมือเรื่องปรัชญาเสียแล้ว  ดิฉันก็เรียนมางูๆปลาๆ  ขอเล่าเท่าที่นึกออกนะคะ ถ้ามีผู้รู้ช่วยเข้ามาแจมด้วย

อัตถิภาวนิยม เป็นปรัชญาที่สำคัญที่สุดในช่วงศตวรรษที่ ๒๐ ตอนต้นเรื่อยมาจนตอนกลาง   ตอนนี้ขึ้นศตวรรษใหม่แล้ว อาจจะเสื่อมลงไปบ้าง
ตรงกันข้ามกับพุทธศาสนา  ปรัชญานี้ยึดถือ "อัตถ" self ว่าเป็นศูนย์กลาง   ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำหนดให้เป็นไปได้ เพราะ self ของมนุษย์
ทำไมถึงถือเช่นนั้น  ก็เพราะก่อนหน้านี้   ทางตะวันตกไม่ว่ากรีกโรมันหรือพวกนับถือคริสตศาสนา ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามการบันดาลของพระเจ้า  มนุษย์เป็นผู้ถูกกำหนด
ต่อมามนุษย์ก็เริ่มอหังการ์ ถึงขั้นประกาศตัวตนเป็นอิสระ และเป็นไทแก่ตัวขึ้นมา    นักปรัชญาอย่างนิทชี( ออกเสียงแบบอเมริกัน  ขี้เกียจสะกดเป็นเยอรมัน และออกเสียงอย่างเยอรมันไม่ถูกค่ะ) ถึงกับประกาศว่า " God is dead"
แต่อัตถิฯที่ว่านี้ก็ขัดกับแก่นของพุทธศาสนา ที่ถือว่าทุกอย่างเป็น อนัตตา ไม่ใช่ อัตตา  

กลับเข้า "วรรณวิจิตร"
ชื่อนี้เป็นชื่อหนังสือรวมผลงานทั้งหมดของเบน ค่ะ   ขุมความเท็จและหงสาลัยก็รวมอยู่ในนั้น
ขุมความเท็จชื่อน่ากลัว แต่เอาเข้าจริงเป็นเรื่องที่พระศิวะเล่าให้พระอุมาฟัง ถึงรักหวานชุบน้ำผึ้งของกษัตริย์หนุ่มกับเจ้าหญิง ซึ่งหลอกกันไปหลอกกันมาก็ happy ending

มีตอนหนึ่ง สาวๆคงจะชอบ

" ไม่มีอะไรจะเพิ่มความปฏิพัทธ์ได้มากเท่าการอภัยผู้ถูกปฏิพัทธ์  
แลเครื่องทดลองความรักมีอยู่แต่เพียงสองเท่านั้น
คืออำนาจแห่งความรำลึกได้ กับสมรรถภาพที่จะให้อภัย
เพราะรักลวงนั้นลืมเร็ว   แลไม่อาจให้อภัยเลย
แต่รักที่เป็นความรักแท้นั้นให้อภัยได้เสมอ แลไม่ลืมเลย"

ชุดคุณฉัฐฏ์ กลุ่มสหายคุณถึก สิกขาทร  เรื่องตลกของแสงทองที่จี้เส้นไม่แพ้พล นิกร กิมหงวน  ดัดแปลงมาจาก Pickwick Papers ของนักเขียนดังที่สุดคนหนึ่งยุควิกตอเรียน คือ Charles Dickens
ใครเคยดูหนังชีวิตหนูน้อยกำพร้า เรื่อง Oliver หรือ Christmas Carol ที่มีตัวเอกคือตาแก่ Scrooge จอมงกผู้ไม่รู้จักวันคริสต์มาส  นั่นแหละค่ะ ผลงานของดิกเกนส์
และเขาคนนี้ยังเป็นนักเขียนคนโปรดของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย

ออกนอกเรื่องฝันไปไกลจริงๆ