azante
อสุรผัด
ตอบ: 31
|
ความคิดเห็นที่ 105 เมื่อ 31 มี.ค. 19, 12:51
|
|
รุ่นผมก็มีอิสลาม หลานปู่พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ เจ้าเมืองสตูล ก็ไม่เห็นมีปัญหาอย่างไร
เวลาทานข้าว อยู่คนละโต๊ะ เลยไม่ทราบว่า แกตักหมูเข้าปากหรือเปล่า สมัยก่อนอาหารทำด้วยไก่น้อยมาก ส่วนมากเป็นหมูทั้งนั้น
แต่พอจบมาเจออิสลามภายนอก ถึงได้ทราบว่ากฎระเบียบเรื่องนี้เคร่งครัดมาก ขนาดน้ำเปล่าบรรจุขวดยังต้องเลือกดื่ม ศูนย์อาหารก็ไม่เข้าเพราะว่าล้างจานชามร่วมกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 106 เมื่อ 31 มี.ค. 19, 19:05
|
|
การสวดมนต์ร่วมกันในเช้าวันอาทิตย์ที่หอประชุมนั้น ตามปกติก็จะเป็นมหาอรุณเป็นผู้นำสวด (?) แต่ผู้บังคับการก็ได้จัดให้มีเวร ให้เด็กที่เป็นหัวหน้าคณะเด็กโตคณะต่างๆเป็นผู้นำเด็กทั้งโรงเรียน (ประมาณ 700 คน) ทำการสวดมนต์ทำวัตรเช้าเต็มบทสวดดังที่เราได้ยินในพิธีสวดมนต์ทำบุญต่างๆ จำได้ว่ารวมถึงบทสวดสรรเสริญ(คาถา)บางบทด้วย
หัวหน้าก็เลยต้องสามารถอ่านและจำบทนำบทสวดสรรเสริญต่างๆได้ เช่น หันทะมะยังพุธาภิถุตึงกะโรมะเส หันทะมะยังพุทธัสสะภะคะวะโตปุพพะภาคะนะมะการังกะโรมะเส.... เด็กก็รู้ว่าเมื่อนำเช่นนี้แล้วจะต้องตามด้วยบทสวดเช่นใด สวดกันมานานหลายๆปีก็เลยพอจำได้ ผมเองก็ยังออกเสียงเบาๆสวดตามพระในบางช่วงของบทสวดทำวัตร
ในช่วงของเวลาสวดมนต์นั้นเด็กทั้งหลายก็ดูจะไม่แสดงอาการเบื่อหน่าย ดูตั้งใจสวดกันดีโดยแฉพาะในช่วงบททำวัตรเช้า เสียงแน่นเต็ม แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงของบทคาถา เสียงจะค่อนข้างกระท่อนกระแท่นไปบ้าง ซึ่งตามประสบการณ์ของผมนั้น เกิดจากการอ่านคำบาลีไม่ออกและอ่านไม่ทันของเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่เป็นพวกเด็กเล็กประมาณ 300 คน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 107 เมื่อ 31 มี.ค. 19, 19:51
|
|
ช่วงเวลาที่น่าเบื่อของเด็กบนหอประชุมในวันอาทิตย์ ก็คือในวันที่มีการเทศน์หลังการสวดมนต์ พระคุณเจ้าที่โรงเรียนได้นิมนต์มาเทศน์นั้น มิได้เทศน์อย่างฮา เป็นการเทศน์ในเรื่องที่เป็นสารัตถะที่ค่อนข้างจะต้องตั้งใจฟัง พระที่ผมจำได้แม่นองค์หนึ่งก็คือ ท่านปัญญานันทภิกขุ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
azante
อสุรผัด
ตอบ: 31
|
ความคิดเห็นที่ 108 เมื่อ 31 มี.ค. 19, 21:04
|
|
สมัยผม วันอาทิตย์ จะสลับกัน ระหว่าง พระเทศน์ กับ ผู้บังคับการให้โอวาท อาทิตย์ไหน ผู้บังคับการให้โอวาทจะชอบมากเพราะ ไม่นาน ได้ลงจากหอประชุมเร็ว
จำเสียงเจ้าคุณภะรตราชาไม่ได้ เพราะยังเล็ก แต่ชอบเสียง ดร.กัลย์ เสียงท่านนุ่มๆน่าฟัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 109 เมื่อ 01 เม.ย. 19, 07:43
|
|
ตัวอย่าง โอวาทของท่านผู้บังคับการ พระยาภะรตราชา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 110 เมื่อ 01 เม.ย. 19, 07:44
|
|
.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
azante
อสุรผัด
ตอบ: 31
|
ความคิดเห็นที่ 111 เมื่อ 01 เม.ย. 19, 08:23
|
|
ดร.กัลย์ เป็นผู้บังคับการ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพระราชวัง ท่ายเลยจะมีเรื่องราวในวังมาเล่าสู่กันฟังบ้าง ครั้งหนึ่งท่านเล่าว่าได้ทูลเกล้าฯถวายบันทึกของหมอฝรั่งเรื่อง การรักษา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนสวรรคต แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ซึ่งบันทึกการรักษาค่อนข้างละเอียด มีรูปวาดด้วยดินสอสี แสดงอวัยะวะภายในด้วย ว่ามีลักษณะอาการ น่าวิตกอย่างไร คุ้นๆว่าบันทึกนี้เคยมีการพิมพ์ใน วชิราวุธานุสรณ์สาร ด้วยนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 112 เมื่อ 01 เม.ย. 19, 08:59
|
|
บทความของนายแพทย์เมนเดลสันได้เขียนอาการพระประชวรของพระองค์จนเสด็จสวรรคตนั้น หาอ่านได้ไม่ยากในเน็ตนะครับ
ถ้าผมจะโยงเข้ามาก็เกรงว่าจะออกนอกเรื่องมากไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
azante
อสุรผัด
ตอบ: 31
|
ความคิดเห็นที่ 113 เมื่อ 01 เม.ย. 19, 10:44
|
|
ถ้ากลับไปดูโรงเรียนตอนนี้ จะเห็น ความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย อาคารต่างๆ ใหญ่โตทันสมัย ผิดกับรุ่นผมอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว จะมีอาคารต่างๆ เพิ่มขึ้นตามผู้บังคับการในแต่ละยุคสมัย ยุคเจ้าคุณภะรตราชา มีการก่อสร้างต่างๆมากมาย เท่าที่จำได้
๑.ตึกเพชรรัตน์ (อาคารเรียน) ๒.ตึกวิทยาศาสตร์ (อาคารเรียน) ๓.ห้องสมุด ๔.อินดอร์สเตเดียม ๕.ออฟฟิศครู อาจารย์ ๖.สระว่ายน้ำ ๗.คอร์ตสควอช ๘.โรงยิม ๙.ศาลากลางน้ำ ไว้ซ้อมดนตรี
มีหลายอาคารที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เสด็จเปิด ในวันงานกรีฑา
ยุค ดร.กัลย์
๑.ออฟฟิศครู ติดกำแพงริมถนนสุโขทัย ๒.สะพานลอยข้ามระหว่างเด็กเล็ก เด็กโต ๓.ปรับปรุงต่อเติม คณะดุสิต
ถึงแม้จะมีตึกเรียนน้อย ฝั่งเด็กเล็กมี 2 อาคาร เด็กโตมี 3 อาคาร ตึกใหญ่คือตึกวชิรมงกุฎ ตึกเพชรรัตน์ และ ตึกวิทยาศาสตร์ เนื่องจากนักเรียนมีไม่มากนัก จึงมีห้องเรียนประจำในแต่ละชั้น ประถม มีห้อง ก ข ค ไม่เกินนี้ ไม่ต้องย้ายห้องเรียน เหมือนในปัจจุบัน
เด็กโต ตอน ม.ปลาย มีสายวิทย์ ศิลป์คำนวณ ศิลป์ฝรั่งเศส อย่างละ ห้อง แต่รุ่นผมไม่มี ศิลป์ฝรั่งเศส ผมเรียนวิทยาศาสตร์ เลยมีโอกาส ได้เดินเรียนหลายตึก ครบทั้ง 3 ตึกในหนึ่งสัปดาห์ ได้เปลี่ยนบรรยากาศดีเหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 114 เมื่อ 01 เม.ย. 19, 20:10
|
|
ในสมัยผมนั้น แต่ละชั้นเรียนแยกออกเป็น 2 ห้องเท่านั้น คือ ห้อง ก. และห้อง ข. แล้วก็เป็นที่รู้กันว่าห้อง ก. จะเป็นพวกที่เรียนเก่งกว่าห้อง ข. เด็กที่เรียนได้ในระดับกลางๆก็จะมีโอกาสได้เรียนทั้งในห้อง ก. และ ห้อง ข.
การจัดแยกเด็กลงในแต่ละห้องนี้ ผมได้มาคิดย้อนดูในภายหลัง เห็นว่าเป็นการแบ่งบนพื้นฐานของความสามารถของเด็ก (ดูจากคะแนน)ในการเข้าถึงตรรกะหรือปรัชญาของวิชานั้นๆในระดับนั้นๆ เพื่อครูที่สอนในวิชานั้นๆ(ซึ่งเป็นครูคนเดียวกัน)จะได้ปรับการสอนที่เหมาะสมสำหรับเด็กอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อให้มีความรู้และความเข้าใจได้ทัดเทียมกัน มิได้เป็นเพื่อการสอนในรูปของการลดองค์ความรู้ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ (ให้เพียงแค่จำและไม่ไห้ความเข้าใจในสารัตถะต่างๆ) คือไปในทาง assimilation มิใช่ไปในทาง discrimination
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 115 เมื่อ 01 เม.ย. 19, 20:47
|
|
/\ /\ ด้วยปรัชญาของการสอนที่ผมเห็นว่าเป็นเช่นนั้น ก็จึงเห็นว่าอาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่เด็กทั้งหลายไม่เคยมีความรู้สึกในเชิงว่าเราด้อยกว่า ต่างก็มักจะมองกันไปในทางว่าเขาขยันกว่า เขาจำแม่นกว่า หลายคนนั้นเมื่อเกิดความรู้สึกว่าอยากจะถือใบคะแนนบ้าง ต่างก็ทำได้ รุ่นผมเป็นจำนวนมากที่สอบผ่านประโยคมัธยมปลายได้คะแนนในระดับปริ่มๆแบบเกือบจะสอบไม่ผ่าน แต่ก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้กันทั้งหมด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
azante
อสุรผัด
ตอบ: 31
|
ความคิดเห็นที่ 116 เมื่อ 01 เม.ย. 19, 21:32
|
|
การแบ่งห้อง ก ข ค สมัยผมแบ่งตามความเก่งของนักเรียนจริงๆ เด็กห้อง ค จะอ่อนที่สุด การเรียนการสอน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ไม่ได้มีความเท่าเทียมกัน เด็กใหม่ที่เข้ามา แรกๆจะอยู่ห้อง ค แต่ถ้าผลสอบเทอมต้นดีมาก อาจจะย้ายมาห้อง ก ข ก็ได้
ผมเรียนห้อง ก ตลอดตอนประถม มัธยมก็เรียนห้อง /๑ ม.ปลายก็เรียนสายวิทยาศาสตร์ จะได้เจอแต่ครูเก่งๆ เฉพาะด้านทางนั้นเลย คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ครูก็จบวิทยาศาสตร์จุฬาฯ เรียนภาษาอังกฤษ ครูก็จบอักษรศาสตร์จุฬาฯ เรียนภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ครูก็จบอักษรศาสตร์จุฬาฯ เช่นกัน
เพื่อนผมเรียนห้อง ค มีความน้อยเนื้อต่ำใจมาก เพราะครูอาวุโสที่เก่งๆ จะไปสอนห้อง ก ข ส่วนห้อง ค จะเป็นครูท่านอื่น ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะครูหนึ่งท่านไม่มีเวลาไปสอนทั้งสามห้องได้
จนเพื่อนจบ มาเป็นอาจารย์ เรียนจนเป็นด็อกเตอร์ บอกกับผมเลยว่า เขาชอบที่จะสอนห้องที่อ่อนที่สุด เพราะเด็กเหล่านั้นควรจะได้รับสิ่งที่ดีดีบ้าง ไม่ให้เหมือนกับที่เขาเคยเจอมาในอดีต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 117 เมื่อ 02 เม.ย. 19, 19:09
|
|
ขยายความเรื่องการส่งใบคะแนนที่ได้กล่าวถึงอีกเล็กน้อย
การส่งใบคะแนนเป็นกิจกรรมหนึ่งของโรงเรียนที่กระทำก่อนวันปิดภาคเรียนแต่ละภาค กระทำกันบนหอประชุมที่มีนักเรียนทั้งโรงเรียนนั่งอยู่รวมกัน ก็คือ นักเรียนที่สอบได้คะแนนสูงสุดของแต่ละวิชาจะเป็นผู้นำกระดาษหางว่าวขนาดกว้างประมาณ 10 ซม.ยาวประมาณ 30 ซม. ที่พิมพ์รายชื่อนักเรียนของแต่ละชั้นนั้นๆเรียงลำดับคะแนนที่ได้จากมากไปหาน้อย ใบหนึ่งก็สำหรับวิชาหนึ่ง ใบคะแนนนี้ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ที่ลุกเดินจากที่นั่งนำใบคะแนนไปส่งให้กับผู้บังคับการ นักเรียนทั้งหลายก็จะปรบมือให้
โดยนัยแล้วผมเห็นว่าเป็นรูปของกิจกรรมที่สร้างสรรค์มาก ผู้ที่ได้ที่ส่งใบคะแนนบ่อยๆในบางวิชาหรือทุกวิชาก็จะได้รับการนิยมว่าเป็นคนเรียนเก่งโดยรวมหรือเก่งในวิชาหนึ่งใด ในขณะที่ก็ทำให้นักเรียนหลายคนในหลายระดับชั้นเรียนคิดที่จะต้องทำให้ได้บ้างสักครั้งหรือหลายๆครั้ง ซึ่งส่งผลที่ก่อให้เกิดความตั้งใจ ความมานะ และความขยันในการเรียนว่าเราจะต้องทำให้ได้สักครั้ง ยังให้เกิดการปรับและการต่อสู้กับตนเองที่ส่งผลให้เกิดการรู้จักตัวตนของตนเองว่าเรามีความสามารถในเรื่องใดมากว่าเรื่องใด
สำหรับตัวผมนั้น กำหนดตนเองไว้ว่าควรจะต้องอยู่เป็นหนึ่งในสิบในทุกวิชา คิดอย่างนั้นก็ด้วยสาเหตุหนึ่งว่าเป็นเด็กมาจากต่างจังหวัด เทอมแรกปีแรกได้ที่ 31 ของนักเรียน 31 คน พัฒนาตนเองไปได้จนถึงระดับเคยส่งใบคะแนน แล้วก็รู้ว่าเรียนให้อยู่ในระดับหนึ่งในสิบก็เพียงพอหมาะสมกับตนเองแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 118 เมื่อ 02 เม.ย. 19, 19:32
|
|
เอาละครับ เรียน 7 โมงเช้า 1 ชม. แล้วจึงกินข้าว ต่อด้วยสวดมนต์เช้า แล้วก็เข้าห้องเรียนต่ออีก 2 ชั่วโมง (2 วิชา) พักทานอาหารว่าง แล้วเข้าเรียนต่ออีก 2 ชม. ไปเลิกเอาประมาณบ่ายโมง กินข้าวแล้วก็ทำเรื่องส่วนตัวได้ตามสมควร ถึงบ่าย 2 โมงก็เข้าไปนั่งในห้องเพรบจนถึงบ่าย 3 โมง ปล่อยว่างไปจนถึงบ่าย 4 โมงเย็นจึงจะมีกิจกรรมใหม่
ในช่วงเวลาตั้งแต่กินข้าวไปจนถึงบ่าย 4 โมงนี้เอง ผมเห็นว่าเป็นช่วงของการเรียนรู้ด้วยตนเองในเรื่องของการรู้จักตัวตนผู้อื่นและการอยู่ร่วมกันในสังคม (แต่ละสังคม)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
choo
มัจฉานุ
ตอบ: 95
|
ความคิดเห็นที่ 119 เมื่อ 02 เม.ย. 19, 20:59
|
|
การแบ่งห้อง ก ข ค สมัยผมแบ่งตามความเก่งของนักเรียนจริงๆ เด็กห้อง ค จะอ่อนที่สุด การเรียนการสอน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ไม่ได้มีความเท่าเทียมกัน เด็กใหม่ที่เข้ามา แรกๆจะอยู่ห้อง ค แต่ถ้าผลสอบเทอมต้นดีมาก อาจจะย้ายมาห้อง ก ข ก็ได้
ผมเรียนห้อง ก ตลอดตอนประถม มัธยมก็เรียนห้อง /๑ ม.ปลายก็เรียนสายวิทยาศาสตร์ จะได้เจอแต่ครูเก่งๆ เฉพาะด้านทางนั้นเลย คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ครูก็จบวิทยาศาสตร์จุฬาฯ เรียนภาษาอังกฤษ ครูก็จบอักษรศาสตร์จุฬาฯ เรียนภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ครูก็จบอักษรศาสตร์จุฬาฯ เช่นกัน
เพื่อนผมเรียนห้อง ค มีความน้อยเนื้อต่ำใจมาก เพราะครูอาวุโสที่เก่งๆ จะไปสอนห้อง ก ข ส่วนห้อง ค จะเป็นครูท่านอื่น ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะครูหนึ่งท่านไม่มีเวลาไปสอนทั้งสามห้องได้
จนเพื่อนจบ มาเป็นอาจารย์ เรียนจนเป็นด็อกเตอร์ บอกกับผมเลยว่า เขาชอบที่จะสอนห้องที่อ่อนที่สุด เพราะเด็กเหล่านั้นควรจะได้รับสิ่งที่ดีดีบ้าง ไม่ให้เหมือนกับที่เขาเคยเจอมาในอดีต
อยากจะแชร์ประสบการณ์เรื่องเด็กเก่งถูกจัดให้อยู่รวมกันในห้อง ก เด็กรองๆลงมาอยู่ห้อง ข และ ค โรงเรียนที่ผมเคยเรียนเป็นโรงเรียนเอกชนขนาดกลาง สอนตั้งแต่ชั้นเตรียมประถมถึงมัธยม 8 ครูอาจารย์มีวุฒิแค่ ปป.และ ปม.มีที่จบปริญญา วท.บ, อ.บ.และ ค.บ.อย่างละคน ก็จัดเด็กเก่งอยู่ห้อง ก รองๆลงมาอยู่ห้อง ข และ ค เหมือนกันแต่อาจารย์ใหญ่ที่นี่แปลกท่านให้อาจารย์ทีมีปริญญาสอนห้อง ข และ ค ส่วนห้อง ก ให้ครู อาจารย์ ปป. ปม.สอน ท่านบอกว่าต้องช่วยเด็กที่อ่อนให้ไปได้เด็กเก่งไม่ต้องเป็นห่วงเขาๆไปรอดแน่นอนเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง(ประโยคนี้ผมได้ยินมาเมื่อหกสิบกว่าปีมาแล้ว) เพื่อนผมคนหนึ่งอยู่ห้อง ก ด้วยกันเขาเรียนเก่งมากได้ pass ชั้นหลายครั้งเขาอยากมากๆที่จะไปเรียนกับอาจารย์ปริญญาไปขออาจารย์ใหญ่เรียนห้อง ค ท่านไม่ให้เขาจึงแกล้งสอบภาคปลายได้แค่ 55 % เพือชั้นต่อไปจะได้เรียนห้อง ค และก็ได้ไปสมใจผลการเรียนในปีต่อมาทุกภาคเขาได้ที่หนึ่งของห้อง ค แต่ % ที่ได้ก็ไม่ชนะเด็กห้อง ก ปีต่อมาเขากลับไปเรียนห้อง ก อีกและมาสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมได้พร้อมผมทั้งๆที่ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กชาย จากที่ผมเรียนมาจนถึงมัธยม 6 (มศ3) เด็กห้อง ค ของโรงเรียนแห่งนี้สอบผ่านข้อสอบชั้นประโยคของกระทรวงศึกษาได้คะแนนดีพอควรมีน้อยมากที่ไปเรียนต่อชั้น ม 7-8 และเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนมากไปเรียนต่ออาชีวะจบมามีงานการดีๆทำ จากทีเคยประสบมานี้ผมไม่แน่ใจว่าพวกครูอาจารย์ทีมีปริญญาจะสอนและอบรมเด็กได้ดีกว่าครูอาชีพที่ไม่มีวุฒิแต่มีจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างเต็มเปี่ยม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|