ด้วยเหตุนี้ทางราชการจึงจำเป็นต้องรีบส่งข้าหลวงคณะที่สอง ให้เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงเป็นหัวหน้าไปเมืองประจีนบุรี โดยมีจุดประสงค์สองประการคือ เพื่อสืบหาพยานหลักฐานที่จะมัดพระปรีชาในคดียักยอกเรื่องเหมืองทองของหลวงโดยเฉพาะ กับให้สำรวจว่ายังมีสินแร่ทองคำพอที่จะดำเนินกิจการทำเหมืองต่อไปได้หรือไม่
เมื่อเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงเดินทางมาถึงเมืองปราจีน ก็ได้เรียกนายสุดใจเสมียนคนสนิทของพระปรีชามาสอบสวน โดยขอดูบัญชีใช้จ่ายและให้ทำการขัดและถลุงแร่ให้ดูเพื่อจะได้รู้ข้อมูลที่ถูกต้อง แต่นายสุดใจอ้างว่าบัญชีทั้งหมดพระปรีชานำไปเก็บไว้เอง ไม่ได้อยู่ที่ตน ส่วนการทดลองขุดแร่นั้นไม่สามารถทำในเวลานั้นได้ เพราะเป็นช่วงฤดูฝน ทั้งยังปฏิเสธไม่รู้จำนวนทองที่พระปรีชาทำได้เมื่อก่อนอีก
เมื่อนายสุดใจไม่ให้ความร่วมมือ เจ้าพระยามหินทรศักดิ์จึงควบคุมตัวไว้ แล้วมีหนังสือกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาเป็นการส่วนพระองค์ ให้เจ้าพระยามหินทรศักดิ์หาทางเกลี้ยกล่อมให้นายสุดใจบอกความจริงให้ได้ เพราะนายสุดใจจะเป็นพยานปากสำคัญในเรื่องบัญชีบ่อทอง และถ้าสามารถทำให้นายสุดใจเป็นโจทก์ได้ก็จะยิ่งดี แต่จะต้องทำให้แนบเนียน
เจ้าพระยามหินทรศักดิ์จึงทั้งปลอบทั้งขู่ รวมทั้งรับปากว่าจะหาทางช่วยเหลือถ้านายสุดใจจะติดร่างแห ต้องได้รับโทษไปด้วย และเมื่อเห็นมิสเตอร์ปูล นายช่างที่พระปรีชาจ้างมาได้มอบบัญชีค่าจ้างคนงานให้กับเจ้าพระยามหินทรศักดิ์แล้ว นายสุดใจจึงยอมรับให้การว่าตนเป็นคนจ่ายเงินให้แก่พนักงานและคนงานทั้งที่เมืองกบินทร์ และปราจีนบุรี โดยได้รับเงินจากพระปรีชาครั้งละประมาณ ๔๐-๘๐ ชั่ง เพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนและวัสดุต่างๆ เงินที่เหลือก็จะนำส่งคืนพระปรีชา พร้อมกับนำบัญชีรายจ่ายของตนไปตรวจสอบกับบัญชีของพระปรีชาให้ตรงกันอยู่เสมอ
ก่อนที่พระปรีชาจะถูกเรียกตัวเข้ากรุงเทพครั้งหลังนี้ พระปรีชาได้สั่งให้นายสุดใจเผาบัญชีนั้นเสีย โดยอ้างว่านายสุดใจเป็นเพียงลูกจ้างไม่ควรมีเก็บไว้ และได้ถามว่าผู้ใดมีบัญชีอีกก็ให้นำมาคืนพระปรีชาให้หมด เรื่องนี้ทำให้นายสุดใจเกิดความสงสัยขึ้นมา จึงได้แอบซ่อนบัญชีของตนเอาไว้ก่อน พอพระปรีชาถามก็บอกว่าได้เผาไปหมดตามคำสั่งแล้ว