เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: พัดโบก ที่ 02 ก.พ. 01, 11:20



กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พัดโบก ที่ 02 ก.พ. 01, 11:20
คุยกันไปนิดหน่อยแล้วครับ ในกระทู้ 317 เห็นคุณเทาชมพู บอกว่า รวบรวมข้อมูลหลายอย่างไว้ เลยสนใจขึ้นมาทันที

ขอคุยต่อจากกระทู้ที่แล้วนะครับ เรื่องของพระยาพิชัยที่จงรักภักดี จนถึงกับตายตามพระเจ้าตาก

ส่วนตัวผมแล้ว รู้สึกว่า ไม่น่าจะเป็นเหตุผลเรื่องของ loyalty เพียงอย่างเดียว แต่น่าจะมีเหตุผลทางการเมืองแฝงอยู่ด้วย
ไม่มีหลักฐานอะไรหรอกครับ  ว่ากันตามความรู้สึกล้วนๆครับ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ม.ค. 01, 17:23
พิมพ์ยังไม่เสร็จ  ยังแปะไม่ได้  ขอเวลาถึงพรุ่งนี้อย่างช้าค่ะ
แต่บอกได้ย่อๆว่า...
กรณีการผลัดแผ่นดินจากธนบุรี มาเป็นรัตนโกสินทร์ นักประวัติศาสตร์ทั้งมืออาชีพและสมัครเล่นสนใจคุยกันมีรสชาติกว่าหัวข้ออื่นๆในเน็ต   ดิฉันขอแยกเป็น ๓ ประเด็นใหญ่
๑)พระเจ้าตากเสียพระจริตจริงหรือไม่
๒)เกิดอะไรขึ้นตอนปลายกรุงธนบุรี
๓) ร. ๑ แย่งราชสมบัติพระเจ้าตากหรือไม่
๓ เรื่องนี้มันคนละเรื่องนะคะ แม้จะเกี่ยวโยงกันก็ตาม

เท่าที่อ่านพบ  บางครั้งคุยกันไปคุยกันมา  เมื่อไรเอา ๓ ประเด็นนี้มารวมกันก็จะเกิดการแย้งระหว่างคนvs คน ขึ้นมาได้   ลืมว่าตอนแรกเราพูดแบบเป็น เหตุผล vs เหตุผล

ดิฉันจึงอยากจะพูดถึงประเด็นที่ ๒ ก่อน    ว่ามันเป็นอย่างไร  ถ้าเราพอมองภาพอะไรได้ออกในข้อนี้  ข้อ ๑ และ ข้อ ๓ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องต้องมาถกเถียงกันด้วยอารมณ์อีก  
หรือไม่บางทีคำตอบก็ออกมาให้เห็นได้เหมือนกัน

สำหรับดิฉัน จากหลักฐานที่ค้นๆมาหลายแห่ง   เชื่อแน่ว่าเมื่อปลายกรุงธนบุรี เกิด "อะไรบางอย่าง" ขึ้นจริงๆ
เรียกว่าความไม่สงบก็แล้วกัน
ไม่ใช่ว่าพระเจ้าตากทรงครองราชย์อยู่   แต่เจ้าพระยาจักรี เกิดยึดอำนาจขึ้นมาจนสำเร็จ  เหมือนอย่างที่เคยเกิดมาตอนผลัดแผ่นดินหลายแผ่นดินสมัยอยุธยา
สาเหตุที่เป็นตัวนำ เกิดจากพระเจ้าตาก จะว่าท่านเสียพระจริตหรือไม่ก็ไม่รู้ละ ยังไม่สรุปตอนนี้
แต่ในพงศาวดารบันทึกว่า ทรงมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากต้นรัชกาล จนเป็นที่สังเกตของข้าราชบริพารและข้าราชสำนัก
ความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมนี้ ผู้ได้รับผลกระทบกระเทือน มีทั้งมหาดเล็ก เจ้าจอม   ขุนนาง และบาทหลวงซึ่งทำบันทึกส่งไปยังกรุงโรม   มีหลักฐานยืนยันได้ ในกรณีที่เราไม่เชื่อหลักฐานฝ่ายไทยว่าพูดจริง
พฤติกรรมนี้จะมาจากอะไรก็ตาม  ทำให้ทรงหย่อนพระปรีชาสามารถลงทางด้านการรบ และการเป็นผู้นำแผ่นดิน   จนกระทั่งพ่ายแพ้แก่พระยาสรรค์ ซึ่งก่อกบฎขึ้นมาในเมืองหลวง
ทั้งที่พระยาสรรค์จะว่าไปก็ไม่ปรากฏว่าเป็นขุนนางเก่งฉกาจมีฝีไม้ลายมืออะไร   เทียบกับเจ้าพระยาและพระยาอีกหลายๆคน ก็ไม่เห็นมีเกียรติประวัติระบุไว้
การที่อยู่เฝ้าเมืองไม่ได้ไปรบอย่างขุนนางคนอื่น ก็พอจะบอกได้ว่าคงไม่ใช่แม่ทัพเอก
สู้พระยาสุริยอภัยหลานชายเจ้าพระยาจักรีก็ไม่ได้

การยึดอำนาจที่ทำอย่างง่ายดาย  ย่อมบ่งบอกถึงบารมีที่เสื่อมลงของพระเจ้าตากสิน..อย่างมาก

ฉายหนังตัวอย่างแค่นี้ก่อน เชิญท่านอื่นๆค่ะ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ม.ค. 01, 20:08
พระเจ้าตากสินทรงก้าวขึ้นจากสามัญชนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ด้วยความเป็นเลิศ ๒ อย่าง อย่างแรกคือฝีมือการรบและการบริหารกองทัพ    อย่างที่สองคือทรงมีพระเมตตาต่ออาณาประชาราษฎร์สูงมาก
ทรงเรียกพระองค์เองว่า "พ่อ " เรียกราษฎรว่า "ลูก "  เวลาเสด็จพระราชดำเนินไปไหนก็ให้ราษฎรได้เฝ้าชมพระบารมีได้  ไม่ได้ห้าม (ธรรมเนียมห้ามราษฎรมองพระเจ้าแผ่นดิน กลับมาใช้กันอีกในราชวงศ์จักรีตลอด ๓ รัชกาลแรก   จนถึงรัชกาลที่ ๔ จึงทรงยกเลิกธรรมเนียมนี้)
นอกจากนี้เคยทรงให้อภัยทหารไทยที่แพ้พม่า   ไม่ได้ลงโทษ  ให้อภัยนายท้ายเรือและพลเรือที่พาเรือพระที่นั่งไปล่ม ถือว่าเป็นอุบัติเหตุ  จะลงโทษก็แต่คนที่เป็นเสี้ยนหนามการสถาปนาอาณาจักรอย่างกรมหมื่นเทพพิพิธ  และผู้บังอาจฝ่าฝืนพระบรมราชโองการเท่านั้น
แต่เมื่อถึงปลายรัชกาล    ก็เกิดเหตุร้ายแรงขึ้นหลายอย่าง จะเรียงลำดับให้อ่านนะคะ
-   จดหมายเหตุกรมหลวงนรินทรเทวี พระขนิษฐาในรัชกาลที่ ๑ (ป็นสตรีผู้ดีสามัญชนในสมัยธนบุรี)   ได้บันทึกไว้ว่า
"วิบัติหนูกัดพระวิสูตร  รับสั่งให้ชิดภูบาล ชาญภูเบศร์ ฝรั่งคนโปรดทั้งคู่มาจับหนูใต้ที่เสวยในที่ด้วย   เจ้าประทุมทูลว่า  ฝรั่งเป็นชู้กับหม่อมอุบลกับคนรำสี่คน เป็นหกคนด้วยกัน   รับสั่งถาม หม่อมอุบลไม่รับ   หม่อมฉิมว่ายังจะอยู่เป็นมเหสีคี่ซ้อนอีกหรือ   มาตายตามเจ้าพ่อเถิด   รับเป็นสัตย์หมด  ให้เฆี่ยนเอาน้ำเกลือราด  ทำประจานด้วยแสนสาหัส ประหารชีวิตผ่าอกเอาเกลือทา  ตัดมือตัดเท้า
ขออธิบายเพิ่มว่ามหาดเล็กที่ว่านี้ไม่ใช่คนไทย เป็นชาวโปรดุเกส  แต่ทรงโปรดปรานให้รับใช้ใกล้ชิด     ส่วนหม่อมอุบลและหม่อมฉิมเป็นพระชายาที่โปรดมากที่สุด   ทั้งสองมีกำเนิดเป็นเจ้า  หม่อมอุบลเป็นพระธิดากรมหมื่นเทพพิพิธพระโอรสในพระเจ้าบรมโกศ   เป็นหัวหน้าหนึ่งในหกก๊กที่พระเจ้าตากทรงปราบปรามได้ก็ประหารตัวหัวหน้าเสียแล้วรับธิดามาเป็นบาทบริจาริกา   ส่วนหม่อมฉิมเป็นลูกเจ้าฟ้าจีด เชื้อสายพระเพทราชา  พ่อถูกเจ้าพระยาพิษณุโลกจับถ่วงน้ำก่อนเสียกรุง เพราะไปก่อความวุ่นวายขึ้นในเมืองพิษณุโลก
ในราชสำนักแบ่งเป็นฝ่ายหน้าฝ่ายใน   มหาดเล็กอยู่ฝ่ายหน้าจะเข้าไปฝ่ายในไม่ได้ เว้นแต่มีพระบรมราชโองการ      เข้าไปแล้วก็ถูกท้าวนางทั้งหลายตามประกบตลอดไม่ให้คลาดสายตาได้พบนางในคนไหนตามลำพัง จนเสร็จธุระตามหน้าที่   ถ้ามหาดเล็กสองคนนี้แอบไปเป็นชู้กับชาววังตั้ง ๖ คน  รวมหม่อมคนโปรดเสีย ๒ คน ก็คงเป็นเรื่องเอิกเกริกไม่น้อย  น่าจะมีพยานรู้เห็นกันมาก   พระเจ้าตากน่าจะทรงสืบสาวราวเรื่องได้ไม่ยากว่าจริงหรือไม่
แต่ในเนื้อความนี้ไม่ได้บอกว่าสืบพยานหลักฐานกันหรือเปล่า   บอกแต่ว่าเจ้าประทุม( ก็พระสนมอีกคนหนึ่ง) ฟ้อง    เท่านั้นหม่อมอุบลก็รับเป็นสัตย์ และวิธีการพูดก็ดูประชดประชันอย่างไรพิกล   คำที่บอกว่า "มาตายตามเจ้าพ่อเถิด" ก็แสดงว่าหม่อมอุบลคงจะไม่ลืมเรื่องเสด็จพ่อถูกสำเร็จโทษ   และคิดว่าน่าจะถึงคิวตัวเองเข้าสักวัน    หม่อมฉิมก็คงรับเช่นกันด้วยความรู้สึกคล้ายๆ  เลยถูกประหารทั้งคู่
ถ้ามองจากกฎมณเฑียรบาล  นางในมีชู้..โทษหนักถึงประหารแน่นอน   ก่อนประหารก็ต้องเฆี่ยนเป็นการลงโทษด้วย    แต่น่าคิดว่าทำไมถึงจะต้องถึงขั้นผ่าอก ตัดมือตัดเท้า   เป็นวิธีลงโทษที่ทารุณมากเมื่อเทียบกับความเมตตากรุณาที่พงศาวดารบันทึกไว้ก่อน
เท่านั้นยังไม่จบเรื่อง   หลังจากประหารหม่อมคนโปรดไปแล้ว  พระเจ้าตากก็ทรงเสียพระทัย แล้วเกิดเรื่องให้สงสัยขึ้นมาว่าเป็นการใส่ร้ายไม่ใช่ความจริง   ในพงศาวดารไม่ได้บอกรายละเอียดว่าทำไมถึงคิดว่าเป็นการใส่ร้าย    ดิฉันจึงขอเดาว่าพยานหลักฐานหลายๆอย่างคงจะค่อยๆเผยออกมาเองว่า ไม่ใช่ตามที่ฟ้อง  เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ใครจะลอบเข้าไปเป็นชู้กับนางในตั้ง ๖ คนได้   โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้นก็แค่มหาดเล็ก ไม่ "บิ๊ก" พอที่มีอำนาจปิดปากหรือติดสินบนท้าวนางจ่าโขลนทั้งหลายได้หมด
นอกจากนี้เพิ่งทรงทราบว่าหม่อมอุบลกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆได้ ๒ เดือน ก็เสียพระทัยหนักขึ้น ถึงกับคิดจะตายตาม  รับสั่งกับคนใกล้ชิดว่า
"ใครจะตายตามกูบ้าง"
หม่อมเสมแม่ของหม่อมอุบล กับหม่อมอีก ๓ คนก็ทูลว่าจะตายตาม  พระเจ้าตากจึงพระราชทานเงินให้คนละ ๑ ชั่ง เพื่อเอาไว้บังสุกล   พระราชทานทองให้คนละ ๑ บาทไว้สร้างพระ  แล้วนิมนต์พระเข้ามาบังสุกุล  ตั้งพระทัยจะประหารผู้หญิง ๔ คนนี้ก่อนแล้วจะปลงพระชนม์ตามไป
ทีนี้พวกขุนนางทั้งหลายก็พากันเดือดร้อน    ก็เลยไปขอให้พระท่านนิมนต์ขอชีวิตพระเจ้าตากไว้   พระสงฆ์ท่านคงจะยกเรื่องบาปบุญคุณโทษมาแสดงให้เห็นว่าเป็นบาปจนได้ผล   ก็ทรงเปลี่ยนพระทัย ไม่ตายตามและพระราชทานเงินอีกมากให้ผู้ยอมตายตามไปเป็นการทำขวัญ
ข้อนี้เป็นข้อหนึ่งของความวุ่นวายสมัยปลายกรุงธนบุรี  ทำให้ดิฉันมองว่า พระนิสัยเปลี่ยนไป  จากความสุขุมเยือกเย็นเป็นความวู่วามและเคร่งเครียด  ก็น่าจะเป็นสัญญาณถึงแสดงถึงการเสื่อมพระบารมี  ซึ่งเริ่มมาจากพระองค์ ไม่ใช่อำนาจภายนอก


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 30 ม.ค. 01, 22:13
คุณเทาชมพู มีข้อมูลที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นไปได้ที่ พระเจ้าตากสินท่านทรงมีปัญหาในการบริหารราชการ ถ้าดูจากบันทึกนี้ก็ค่อนไปในทางเสียพระจริต จริง ๆ แต่ผมมีความรู้สึกอีกอย่างว่า การขึ้นจากสามัญชน ขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น แล้วยิ่งเป็นในสมัย ที่บ้านเมืองมีปัญหา ก็อาจจะทำให้ท่านมีความเครียดมาก จนพฤติกรรมเปลี่ยนไปได้บ้าง
ทีนี้มาถึงปัญหา ที่ว่าเกิดกบฎจริง ๆ ถ้าขุนนาง เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อราชวงศ์จริง ๆ จะปราบกบฎแล้วก็ สำเร็จโทษ กษัตริย์ ซะเพื่อตั้งตัวเองเป็นใหญ่เหรอครับ ตอนนั้นพระเจ้าตากท่านก็ทรงมีพระโอรสแล้วด้วย จนเจ้าฟ้าเหม็น โอรสท่านต้องมาก่อการในสมัย รัชกาลที่ 2โจโฉ ยังไม่กล้ายึดบัลลังก์ ฮ่องเต้
สมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ ท่านยังเป็นแค่ผู้สำเร็จราชการตลอดชีวิต แล้วทำไม
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ท่านจึงไม่ชำระความแล้ว เป็นผู้สำเร็จราชการ โดยทำนุบำรุง โอรสของพระเจ้าตาก ล่ะครับ
ผมว่าความเห็นผมคือ เกิดความวุ่นวาย มีการปราบความไม่สงบ แล้วก็ใช้โอกาสนั้น ยึดอำนาจเพราะมีบารมีสั่งสมมาไม่น้อยแล้ว เหมือนกัน


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: Linmou ที่ 30 ม.ค. 01, 22:40
แค่เรื่องสังหารภรรยาที่รักมากด้วยความเข้าใจผิด ก็เพียงพอจะทำให้คนเราเสียใจจนเป็นบ้าได้แล้วล่ะค่ะ อย่าว่าแต่ภรรยายังตั้งครรภ์อ่อนๆอีกด้วยเลย

รออ่านหลักฐานชิ้นต่อไปอยู่ค่ะ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 31 ม.ค. 01, 01:07
จากเรื่อง "เจ้าชีวิต" ของพระองค์จุลฯ ตามความทรงจำนะคะ  แต่ถ้าจะให้ค้นก็จะไปขุดกรุมาให้ค่ะ  ดิฉันอาจจะเบลอๆเอาหนังสือเล่มอื่นที่อ่านมาปนกันด้วยก็ไเป็นได้ (โดยเฉพาะหนังสืออาจารย์นิธิ)

แต่ที่จำได้แน่ๆก็คือ  พระองค์จุลฯทรงนิพนธ์ว่า  หลังจากประหารพระเจ้าตากแล้ว  ร 1 เห็นนางในที่เคยเป็นข้าบาทบริจาริกาจของพระเจ้าตากมาก่อน  รำ่ร้องโศกา  ก็ทรงกริ้ว  สั่งให้เอาไปเฆี่ยน  นี่ถ้าเป็นการปรากดาเพื่อความสงบของบ้านเมืองเฉยๆ  ทำไมต้องอาฆาตกันขนาดนี้ด้วยล่ะคะ

ดิฉันจำไม่ได้ว่าข้างล่างนี่เป็นความเห็นของอาจารย์นิธิ หรือของพระองค์จุลฯนะคะ

ท่าน(?)ว่า  ในสมัยนั้นการล้มล้างกษัตริย์เก่าเพื่อแย่งชิงบัลลังก์  เป็นการ "ปราบดาภิเษก" นั้น  ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าอับอายแต่อย่างใด  ในพงศาวดารจึงบันทึกไว้ว่าเป็นการปราบดาภิเษกอย่างเปิดเผย  ต่อมาเมื่อติดต่อกับฝรั่ง  โดยเฉพาะในสมัย ร 4  ที่เริ่มเกิดความไม่มั่นใจในวัฒนธรรมของเราเอง  เพราะมันเริ่มส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ  จึงเกิดความเอนเอียงไปในทางความคิดฝรั่ง  ที่มองว่าการฆ่าฟันแก่งแย่งบัลลังก์กันเป็นเรื่องน่าละอาย  เพราะฝรั่งมองว่าป่าเถื่อน  โดยเฉพาะเจ้านายที่ไปรับการศึกษาอย่างผู้ดีอังกฤษกลับมานิพนธ์ตำราประวัติศาสตร์ต่างๆ  แม้พงศาวดารก็ ชำระกันแล้วชำระกันอีก  อาจจะมีความตั้งใจดีที่จะทำให้ประวัติศาสตร์ "ดูดี" ขึ้นยในสายตาคนต่างชาติ  ก็ทำให้ข้อมูลสูญหาย  หรือถูก "เปลี่ยนแปลง" ไปในทำนองที่ต่างกันได้

โดยความรู้สึกแล้ว  คิดว่าพระยาจักรีมีความ "ไม่ถูกชะตา" กับพระเจ้าตาก  อาจจะมาเริ่มในปลายรัชกาล   เพราะแม้แต่พระอนุชาที่ทรงรักใคร่ใกล้ชิดกันมาก  ในปลายรัชกาล ร1 ก็ยังทรงระแวงจนบาดหมางกัน  เราต้องไม่ลืมว่า  พระราชวินิจฉัยของผู้ทรงอำนาจ  มิได้เป็นของพระองค์ท่านอย่างโดดเดี่ยว  เพราะเป็นธรรมดาของผู้มีอำนาจ  ย่อมมีบริวารหว่านล้อมเพ็ดทูล  ไปนานๆและเป็นเสียงเดียวกันเข้า  ก็อาจจะมีใจเอนเอียงไปทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ได้  เป็นแง่คิดจากด้านพฤติกรรมมนุษย์เท่านั้นหรอกนะคะ  ว่าเป็นความ "เป็นไปได้"  ไม่ใช่ว่าปักใจลงความไปแล้วอย่างนั้น


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 31 ม.ค. 01, 08:36
เรื่องนี้ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์เขียนไว้ในการเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีอย่างสมบูรณ์มากครับ ถ้าจะเล่า ผมว่าดีที่สุดก็เพียงสรุปความจากหนังสือเล่มนี้เท่านั้น หาอ่านได้จะดีที่สุดครับ
กรณีเรื่องการประหารชีวิตอย่างโหดร้ายนั้น ผมกลับไม่ได้มองว่าเป็นอะไรที่แสดงถึงจริตที่แปรปรวน ลองอ่านดูในพงศาวดารสมัน ร.๑ เมื่อขึ้นครองราชย์ใหม่ๆก็มีการประหาร(ใครผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว)โดยตัดข้อเท้า แล้วห้อยหัวไว้จนเลือดตกหัวตาย เรื่องนี้น่าจะสะท้อนถึงการใช้ความรุนแรงเพื่อความเด็ดขาดแบบทหารในยุคนั้นมากกว่าครับ
อีกประเด็นหนึ่งซึ่งอยากจะตั้งข้อสังเกตไว้คือ การที่พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้นำทัพออกรบเองเป็นเวลานานๆ ถ้าใช้ขุนพลเอกเพียงคนเดียว คงยากที่จะห้ามความรู้สึกที่ว่า "แผ่นดินนี้น่าจะเป็นของกู" ได้ยาก ซึ่งจะเห็นได้ว่าเกือบจะเกิดขึ้นอีกเมื่อกรมพระราชวังบวรฯประชวรหนักถึงสิ้นพระชนม์


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ม.ค. 01, 09:00
คุณ CrazyHOrse  พระเจ้าตากไม่ได้ใช้ทหารเอกเพียงคนเดียวคือเจ้าพระยาจักรีค่ะ  แม้แต่ในตอนปลายที่เกิดจลาจล  ก็ทรงแบ่งทหารเอกหลายๆคน แยกย้ายกันออกไปทำหน้าที่ตามเมืองต่างๆ เพราะศึกมีอยู่รอบด้าน
บุคคลที่ไว้วางพระทัย อย่างพระยาพิชัยดาบหัก  ก็มีหน้าที่ไปตีเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และตอนที่เกิดจลาจลก็ไปเป็นเจ้าเมืองพิชัย เป็นด่านคอยระวังศึกอยู่ที่นั่น
ส่วนพระราชโอรสคือกรมขุนอินทรพิทักษ์ ทรงตั้งให้ไปครองเขมร คอยระงับศึกทางฝ่ายนั้นไว้ไม่ให้ตั้งตัวมารุกรานไทย
คนที่อยู่ใกล้พระเจ้าตาก คือกรมขุนอนุรักษ์สงครามผู้เป็นหลาน  แต่เมื่อเกิดศึกในธนบุรี  กรมขุนอนุรักษ์อยู่ฝ่ายพระยาสรรค์   รบกับพระยาสุริยอภัยหลานเจ้าพระยาจักรีแล้วสู้ไม่ได้ จึงถูกจับเป็นเชลย

คุณพวงร้อยคะ
"...มองว่าการฆ่าฟันแก่งแย่งบัลลังก์กันเป็นเรื่องน่าละอาย เพราะฝรั่งมองว่าป่าเถื่อน โดยเฉพาะเจ้านายที่ไปรับการศึกษาอย่างผู้ดีอังกฤษกลับมานิพนธ์ตำราประวัติศาสตร์ต่างๆ แม้พงศาวดารก็ ชำระกันแล้วชำระกันอีก อาจจะมีความตั้งใจดีที่จะทำให้ประวัติศาสตร์ "ดูดี" ขึ้นยในสายตาคนต่างชาติ ก็ทำให้ข้อมูลสูญหาย หรือถูก "เปลี่ยนแปลง" ไปในทำนองที่ต่างกันได้..."
ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของความคิดนี้  แต่จะเป็นใครก็ตาม  ดิฉันถือว่ามันเป็นเพียงสมมุติฐาน (hypothesis) ที่หักล้างได้  
สมมุติฐานนั้นคือ  ผู้ชำระประวัติศาสตร์" อาจจะ"มีความตั้งใจดีที่จะทำให้ประวัติศาสตร์ "ดูดี" ขึ้นในสายตาคนต่างชาติ"
(คนที่ "ตั้งใจดี" ก็คือสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ นั่นแหละ เพราะในบรรดาผู้ชำระเรียบเรียงประวัติศาสตร์ก็มีพระองค์ท่านเป็นผู้นำ  ถึงจะมีเจ้านายอื่นๆเป็นกรรมการหอพระสมุดอยู่บ้าง กรมพระยาดำรงฯ ก็เป็นประธาน)
งั้นมามองว่า
๑ ประวัติศาสตร์ที่ทรงชำระ เปิดเผยออกมาให้เราได้อ่านอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าพระราชพงศาวดารเล่มไหน  เป็นการสร้างภาพให้ " ดูดี" จริงหรือเปล่า?
ถ้าจะให้ดูดีจริง  ก็ต้องสร้างความชอบธรรมให้เจ้าพระยาจักรีในการขึ้นครองราชย์ใช่ไหม  ว่าเป็นสิ่งสมควรแล้ว เพราะพระเจ้าตากไม่เหมาะจะครองราชย์ต่อไปอีก
นี่ข้อหนึ่งนะคะ

ข้อที่สอง  ถ้าให้ดูดีจริง  ก็ต้องละเว้น หรือกล่าวคลุมๆ
เครือๆ ไม่ระบุชัดเจนว่าร. ๑ ทรงทำอะไรที่ไม่ดีลงไปใช่ไหม

ถ้าใช่  มาพิจารณาดูจากหลักฐานในสมัยธนบุรีและรัชกาลที่ ๑ ก่อน
หลักฐานที่ว่าพระเจ้าตากเสียพระจริต   เป็นหลักฐานที่ยืนยันสอดคล้องกันทั้งบันทึกของไทยและบันทึกของบาทหลวงฝรั่ง    อย่างหลังนี้ก็แปลเป็นไทยในสมัยกรมพระยาดำรงฯทรงชำระนี่ละค่ะ  ไม่ใช่ว่ามาแปลกันทีหลัง
ขอโยงกลับไปสู่ประเด็นเดิมว่า เกิดอะไรขึ้นสมัยปลายกรุงธนบุรี  ถ้าได้เห็นภาพในตอนนั้น  อาจจะพอมองเห็นคำตอบเอง


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 31 ม.ค. 01, 11:15
แล้วถ้าพระเจ้าตากท่านทรงมีพระโอรส ถ้า เจ้าพระยาจักรี(เมื่อคิดว่าไม่มีตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก) ทำไมไม่จัดการให้เกิดความสงบแล้วเชิญบัลลังก์ ให้กับพระโอรสของพระเจ้าตากล่ะครับ
ถ้าไม่ใช่เรื่องของอำนาจ ตรงนี้ผมยังไม่ได้เห็นความคิดเห็นของคุณเทาชมพูเลย ถึงแม้จะทรงเสียจริตจริง ๆ แต่ พระโอรสก็ยังอยู่ ถ้าพระโอรสทรงพระเยาว์ เจ้าพระยาจักรี จะเป็นผุ้สำเร็จราชการก็น่าจะได้นะครับ ทหารเอกอย่างพระยาพิชัยดาบหัก ก็คงเต็มใจจะรับใช้ พระโอรสของพระเจ้าตากแน่นอน เพราะทรงซื่อสัตย์ขนาดตายตามได้
แล้วในช่วงที่เกิดการไม่สงบนี่ไม่ทราบว่า เจ้าพระยาสุรสีห์ ท่านไปอยู่ที่ไหนล่ะครับ แต่คงไม่แปลกที่จะเข้าข้างพี่ชายตัวเอง


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: แจ้ง ใบตอง ที่ 31 ม.ค. 01, 11:40
เพิ่งอ่านการเมืองไทยในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีของอาจารย์นิธิเพิ่งจบ  เห็นด้วยกับคุณ CrazyHOrse
ที่ว่าอาจารย์นิธิเขียนไว้ได้สมบูรณ์มาก แตกต่างจาก"ย่ำอดีต" ที่คุณเชาว์ รูปเทวินทร์เขียนไปตอนๆ
ลงหนังสือพิมพ์  ในย่ำอดีต ผมรู้สึกว่าจะเน้นหนักไปในด้านอภินิหารบรรพบุรุษ  บางตอนก็ถึง
กับถกเถียงกันว่าพระเจ้าตากที่แท้จริงเป็นจีนหรือไม่ บางคนรับไม่ได้ที่เห็นว่าพระเจ้าตากมีเชื้อจีน
ก็พยายามสร้างกระแสใหม่ว่าพระเจ้าตากเป็นโอรสลับของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (บางกระแสก็ว่าเป็น
โอรสของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ) กับนางนกเอี้ยง ก่อนพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต พระองค์
ก็พอทราบว่าจะมีการแย่งชิงอำนาจเกิดขึ้น เลยได้มอบนางนกเอี้ยงซึ่งมีพระเจ้าตากติดท้องให้กับ
เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาจักรีก็มอบให้กับนายหยง แซ่แต้ อีกต่อหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นผลให้เจ้าพระยา
จักรีสนับสนุนให้พระเจ้าตากเจริญในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสมเหตุ
สมผล ยิ่งเมื่อได้อ่านของอาจารย์นิธิด้วยแล้ว ก็ตัดสมมติฐานนี้ไปเป็นศูนย์ได้เลย...

การเมืองในสมัยกรุงธนบุรีนั้นค่อนข้างแปลก  ไม่เหมือนกับระบบราชการสมัยอยุธยาเสียเลยทีเดียว
เนื่องจาก เป็นการเมืองในลักษณะชุมนุม พระเจ้าตากได้สนับสนุนคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา (ตั้งแต่ครั้ง
ตีฝ่าหนีทหารพม่าออกจากรุง) ให้ได้ตำแหน่งหน้าที่ราชการใหญ่โต ซึ่งบุคคลเหล่านี้อาจจะเรียกได้ว่า
 "ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีน"บางคนเป็นจีน บางคนเป็นไพร่ เช่นนายทองดีฟันขาวก็เป็นเพียงไพร่ธรรมดา
ที่มีฝีมือในทางดาบและต่อยมวยตอนหลังก็ได้เลื่อนเป็นพระยาพิชัย  ส่วนที่เป็นข้าราชการยุคกรุงเก่ามีบ้าง
เช่นนายสุดจินดา(เจ้าพระยาสุรสีห์) เกือบทั้งหมดนี้พระเจ้าตากได้แต่งตั้งให้เป็นใหญ่เป็นโตไปควบคุมดูแล
ตามหัวเมืองที่สำคัญต่างๆและทรงให้ความสำคัญกับตำแหน่งในส่วนภูมิภาคมากกว่าในส่วนกลาง ข้าราชการ
ครั้งกรุงเก่าที่มาถวายตัวภายหลังมิได้แต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญๆ ก็ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจ
จนมองไปว่าการปกครองบ้านเมืองของพระยาตากที่ไม่ยึดขนบแบบแผนในสมัยอยุธยาเป็นการเสียพระจริต
จึงเริ่มเอาใจออกห่างไปอยู่ในสังกัดเจ้าพระยาจักรีซึ่งเป็นเชื้อสายผู้ดีมาแต่ครั้งกรุงเก่ามากขึ้น...  

ช่วงท้ายรัชกาล พระเจ้าตากอาจจะมีแนวคิดที่แปลกออกไปจนแลดูเหมือนเสียพระจริต สังเกตได้จากบันทึก
ของบาทหลวงฝรั่งเศส แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าจะทรงบริหารราชการมิได้  การยึดอำนาจพระเจ้าตากจึงน่า
จะมาจากการเมืองที่ครุกรุ่น พร้อมที่จะปฎิบัติการได้ทันทีที่เวลาและโอกาสเหมาะสมการกล่าวหาว่าพระเจ้าตาก
ทรงมีสติหรือสัญญาวิปลาส จึงเป็นข้อกล่าวอ้างให้การยึดอำนาจครั้งนั้นเป็นไปด้วยความชอบธรรม ยิ่งมีการ
ชำระพงศาวดารให้ถูกใจฝรั่ง (อย่างที่คุณพวงร้อยว่า)เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ก็จะถูกบิดเบือนมากขึ้น..


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พัดโบก ที่ 31 ม.ค. 01, 12:55
การวิเคราะห์ของคุณเทาชมพูน่าสนใจทีเดียว รออ่านต่อครับ

ผมมีโอกาสอ่านการเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีของ อ.นิธิ แล้ว แต่ยังไม่จบ หนาไม่เบาทีเดียว
แต่เห็นด้วยครับ ว่าสมบูรณ์มากจริงๆ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 31 ม.ค. 01, 12:58
คุณพระนายคะ  อาจารย์นิธิให้เหตุผลว่า  เจ้าพระยาสุรสีห์เป็น "ข้าหลวงเก่า" ของพระยาตากที่ใกล้ชิดกันมาก  พระจาจักรีนั้น  มาทีหลัง  
และไม่ได้อยู่ในกลุ่มข้าราชบริพาร "วงใน" นี่ก็เป็นจุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่ง  

มาตอบคุณเทาชมพู  ไปค้นกรุมาค่ะ  จากหนังสือ "กรุงแตก, พระเจ้าตาก และประวัติศาสตร์ไทย"  โดยสำนักพิมพ์มติชน  พิมพ์ครั้งที่ ๓  พศ ๒๔๔๐

เกี่ยวกับการ "ชำระ" พงศาวดาร  จากหน้า ๑๒๔
"นอกจากนี้ปัญหาความขัดแย้งกันทางศาสนานี้  ตามที่กล่าวในจดหมายเหตุโหร  ก็มิใช่เป็นสิ่งที่พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงก่อขึ้น  
หากเป็นข้อวิวาทของพระราชาคณะอยู่แล้ว  ความแตกร้าวในวงการคณะสงฆ์ในสมัยธนบุรีนั้น  มีรุนแรงพอสมควร  
และยังจะมีอยู่สืบมาในต้นรัชกาลที่ ๑ ด้วย  เหตุการณ์ข้อพิพาทและอธิกรณ์ของพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่  ซึ่งพระยาทิพากรได้จดไว้  
ตามกระราชพงศาวดารฉบับพิมพ์ของหมอบรัดเลย์นั้น  ได้ถูกสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ผู้ทรงชำระพระราชพงศาวดารตัดออกหมด"

ตัดตอนจาก "ปราบดาภิเษกน่าแสลงใจแก่ใคร" หน้า ๑๓๘-๑๔๒
"...น่าประปลาดที่ว่าพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเอง  และผู้นำไทยในต้นรัตนโกสินทร์จนถึงรัชกาลที่ ๓ อย่างน้อย  มิได้พยายามจะปิดบังเลยว่า
เจ้าพระยาจักรี "ชิงราชสมบัติ" จากพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งถูกเรียกในสมัยนั้นไว้หลายอย่างเช่น "ขุนหลวงตาก", "อีตาตาก", "เจ้าที่ล่วงไปแล้ว",
"พระยาตาก"  (แต่ไม่เคยพบที่ใดซึ่งเรียกพระองค์ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ว่า พระพุทธเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ)  
คำเรียกพระนามอันส่อความไม่เคารพเหล่านี้  แสดงให้เห็นว่า  มีเหตุผลอันสมควรที่เจ้าพระยาจักรี  จะต้องแย่งสมบัติจากพระเจ้ากรุงธนบุรี...."

"...การแย่งราชสมบัตินั้น เป็นกลไกสำคัญชิ้นหนึ่งที่มีอยู่ประจำในระบบการเมืองการปกครองของไทยแต่โบราณ  และเหมือนกับกลไกชิ้นอื่นๆ  
ย่อมมีหน้าที่ในอันที่จะจรรโลงให้ระบบนั้นตั้งอยู่และดำเนอนต่อไปได้  เพราะการชิงราชสมบัติคือ  การเลือกสรรตามธรรมชาติ  
ในหมู่ชนชั้นสูงของประเทศ  ในอันที่จะได้บุคคลที่เข้มแข็ง มีความสามารุ และได้รับการสนุบสนุนจากชนชั้นนำเป็นกลุ่มก้อน  
มาไว้เป็นผู้สืบทอดอำนาจทางการเมือง  ในระบบการเมืองการปกครอง  ที่ให้ความสำคัญแก่พระเจ้าแผ่นดิน  
ทั้งในฐานะผู้บริหารองค์กรที่มีอำนาตเด็ดขาด ....  นโยบายที่ไม่ได้ผล ที่ไม่เป็นธรรม กฎหมายที่กดขี่ การคลังที่ล้มเหลว ฯลฯ จะเปลี่ยนได้อย่างไร
หากพระเจ้าแผ่นดินไม่สวรรคต  หรือเชื้อสายของพระเจ้าแผ่นดิน  ไม่ถูกขจัดออกจากการกุมอำนาจ ..."

"...เป็นด้วยแนวคิดแบบฝรั่งศึ่งเคยชินกับกษัตริย์ที่ไม่ค่อยมีอำนาจรวมศูนย์ดังเช่นในสมัยกลางของยุโรปต่างหาก  ที่มองเห็นการแย่งชิงราชสมบัติว่า
ทำลายเสถียรภาพทางการเมือง  และเป็นอันตรายต่อรัฐ ..."

"...พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและพระราชโอรส - นัดดาซึ่งได้เป็นผู้นำไทยในต้นรัตนโกสินทร์  ไม่เคยพยายามปิดบังเลยว่า  พระราชวงศ์จักรี
ได้แย่างราชสมบัติมาจากพระเจ้ากรุงธนบุรี  แต่ประเด็นสำคัญที่บุคคลเหล่านี้ต้องการเน้น  อยู่ที่เหตุผลว่า  ทำไมจึงต้องแย่งราชสมบัติต่างหาก..."

"...ในฐานะนักประวัติศาสตร์  สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  อาจมีข้อบกพร่องบางอย่างศึ่งนักเรียนประวัติศาสตร์ในสมัยหลังจะต้องหลีกเลี่ยง  
ข้อบกพร่องเหล่านั้น  อาจจะเกิดจากพระภารกิจด้านอ่ืนของพระองค์  จากภาวะที่ขาดเครื่องมือาำหรับการศึกษาค้นคว้า  
และอาจเกิดขึ้นจากอคติส่วนพระองค์ของท่าน  (ตราบที่ยังเชื่อว่าท่านทรงเป็นมนุษย์  จะแปลกอะไรที่จะพูดว่า  ท่านทรงมีอคติเหมือนเราท่าน)  
แต่ความยิ่งใหญ่ในฐานะนักประวัติศาสตร์ของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้น  มิได้ถดถอยลงเพียงเพราะข้อบกพร่ืองเหล่านี้  
และความยิ่งใหญ่นี้มีรากฐานมาจากการที่ทรงยอมรับว่า  พระองค์อาจผิดพลาดได้  ทั้งยังทรงเชื้อเชิญให้นักศึกษาคนอื่น  
วิพากษ์วิจารณ์และปรับปรุงพระมติของพระองค์ท่าน..."

เอาพอเป็นเลาๆเท่านี้ก่อนนะคะ  พิมพ์ไม่หวายแล้วค่ะ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ม.ค. 01, 13:26
ขอต่อถึงเหตุการณ์สมัยธนบุรีนะคะ

ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าตากกับบาทหลวงนิกายโรมันคาธอลิก ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะรู้ เพื่อเอามาพิจารณาด้วยเช่นกัน
เมื่อบาทหลวงไปเผยแพร่ศาสนาไม่ว่าส่วนไหนของโลก  เขามีหน้าที่จะต้องเขียนบันทึกเล่าถึงการปฏิบัติงาน  ส่งไปให้ประมุขของพวกเขาคือสันตปาปาที่กรุงโรม     เอกสารถูกเก็บไว้ที่วาติกัน
นอกจากนี้ก็มีจดหมายเหตุ หรือบันทึกส่วนตัวของพวกเขาด้วย
เรื่องราวที่เขาบันทึกก็แน่นอนว่าเป็นเรื่องในสังคมที่เขาประสบ เท่ากับเราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของยุคนั้นไปด้วย  
แม้เป็นเอกสารที่อาจจะเจือปนด้วยอคติบางอย่างของมนุษย์ เช่นอคติทางศาสนา  แต่แน่นอนคือเอกสารเหล่านี้ไม่ได้ถูกเซนเซอร์จากทางการบ้านเมืองที่บาทหลวงพวกนั้นอยู่   เพราะเขียนเป็นภาษาละตินซึ่งเป็นภาษาของพวกพระ (หรืออาจจะภาษาอื่นแล้วแต่ว่าบาหลวงนั้นถือสัญชาติอะไร) เพราะฉะนั้นเรื่องที่เล่า ก็แน่ใจได้ว่าเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง  ไม่ยกเมฆขึ้นมา

บาทหลวงคาธอลิคหลบหนีภัยสงครามตอนกรุงแตกไปอาศัยอยู่ในประเทศใกล้เคียงทยอยกันกลับมาเมื่อสถาปนากรุงธนบุรีได้   ทุกคนต่างได้รับการต้อนรับอย่างดีจากพระเจ้าตากสิน   บาทหลวงหลายคนบันทึกไว้ตรงกันว่าพระเจ้าตากมิได้รังเกียจศาสนาคริสต์  ทรงผูกไมตรีด้วยดีขนาดเสด็จไปเยือนบาทหลวงถึงบ้าน  ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ไหนทำมาก่อน

บาทหลวงคอล์บันทึกไว้ว่า

" เมื่อวันที่ ๒๕ เดือนพฤศจิกายน ปีนี้ พระเจ้ากรุงสยามเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้าด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นการไม่เคยมีตัวอย่างมาเลย  พวกขุนนางผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าจะมาสนทนากับพระสังฆราชที่บ้านบาทหลวง   พระเจ้ากรุงสยามเสด็จมาในครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นว่าที่เราคับแคบมาก  จึงมีรับสั่งให้รื้อศาลาซึ่งอยู่ในที่ของเราลงหลังหนึ่ง  และรับสั่งให้ขุดคูเอาดินมาถมที่ และให้ก่อผนังโบสถ์ซึ่งเปิดอยู่ทุกด้าน
และได้รับสั่งสรรเสริญชมเชยพวกเข้ารีตเป็นอันมาก  คือรับสั่งว่าพวกเข้ารีตลักขโมยปล้นสะดมไม่เป็น  และเป็นคนที่ซื่อสัตย์และกล้าหาญดี  ทั้งศาสนาคริสเตียนก็เป็นศาสนาเก่าแก่ที่สุดในโลกนี้
…………………..
ระหว่างที่ข้าพเจ้ากราบทูลอยู่นั้นทรงพลิกหนังสือทอดพระเนตรอยู่  แล้วจึงรับสั่งว่า ศาสนาคริสเตียนจะไม่ดีได้อย่างไร  อะไรของเขาดีไปหมด  จนกระดาษที่เขาใช้ก็ดี

ฟังๆบาทหลวงก็ปลื้มพระเจ้าตากเอามาก   ก็น่าจะให้ปลื้ม เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเป็นที่รังเกียจของราชวงศ์บ้านพลูหลวงมาตลอดนับแต่สิ้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์   แม้แต่การเผยแพร่ศาสนาก็ถูกสั่งห้าม  ก่อนกรุงแตก ถึงกับมีพระบรมราชโองการ ประกาศมิให้ชาวไทยฟังคำสั่งสอนของพวกบาทหลวงอีก

แต่พระเจ้าตากทรงดำเนินนโยบายตรงข้ามกับพระเจ้าแผ่นดินก่อนๆนี้ทั้งหมด   หลังจากครั้งนี้ก็โปรดฯให้บาทหลวงได้เข้าเฝ้า   ได้สนทนาธรรม(ของคริสต์)ด้วยเป็นอย่างดี  เป็นกันเองขนาดประทับนั่งบนเสื่อธรรมดากับบาทหลวง   ตั้งพระทัยฟัง  แม้ทรงคัดค้านบ้างในความเชื่อบางข้อก็ไม่ใช่เรื่องขัดแย้งกัน

เมื่อมีไมตรีกันด้วยดี  พระเจ้าตากก็โปรดว่าพวกคนไทยที่เข้ารีตจะปฏิบัติตัวดี   ซื่อสัตย์ ไม่ลักขโมย ไม่ทำบาป   ก็ทรงยอมให้ทหารขุนนางไทยเข้ารีต ไม่ห้ามปราม เพื่อผลดีของสังคมจะได้สงบราบรื่นด้วย และทรงไว้วางพระทัยถึงกับให้พวกเข้ารีตเป็นทหารรักษาพระองค์
พวกนี้แหละค่ะที่ต่อสู้ปกป้องพระเจ้าตากจนถึงที่สุด เมื่อเกิดกบฎพระยาสรรค์

กลับเข้าเรื่อง

บาทหลวงเผยแพร่ศาสนามาได้เรื่อยอีกหลายปี  จนเกิดเรื่องขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๙
เรื่องนั้นก็คือพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา  ข้าราชการทุกคนต้องเข้าร่วมดื่มน้ำสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน
ส่วนหนึ่งของพิธี ต้องมีพิธีพุทธและพราหมณ์ปะปนด้วย  บาทหลวงผู้ยึดมั่นว่าชาวคริสต์จะมีพระเจ้าได้องค์เดียว  ไม่เคารพรูปบูชาอื่นๆ ก็ไม่ยอมอนุญาต  ขุนนาง ๓ คนก็คล้อยตามบาทหลวง ไม่ยอมดื่มน้ำสาบาน

การไม่ยอมถือสัตย์กลายเป็นเรื่องใหญ่  เพราะไม่ได้หมายความว่าไม่ยอมรับพิธีพุทธหรือพราหมณ์  แต่กลายเป็นว่าไม่ยอมรับพระเจ้าแผ่นดิน  ละเมิดหลัก loyalty ที่ดิฉันเคยพูดมาก่อนหน้านี้ว่าเป็นคุณธรรมซึ่งถือกันว่าสูงมากในระบบ" เจ้ากับข้า"

ผลก็คือขุนนาง ๓ คนกับบาทหลวงอีก ๓ ก็ถูกจับตัว แล้วเอาตัวมาเฆี่ยนหลังเสียตามความผิด  สังฆราชเลอบองซึ่งเป็นหนึ่งในสาม บันทึกไว้ละเอียดว่า ในตอนแรก ทรงให้เฆี่ยนแต่ขุนนางทั้ง ๓ แต่เว้นบาทหลวงไว้ทั้งหมดเพียงแต่ถูกจับมัดกับหลักเฉยๆ  เหมือนจะโดนเฆี่ยนด้วย  เอาเข้าจริงก็เฆี่ยนแต่คนไทย เฆี่ยนเสร็จก็เอาไปจองจำไว้

ดิฉันคิดว่าทรงจับบาทหลวงมา " เชือดไก่ให้ลิงดู" ให้ตกใจจะได้หวาดกลัวเข็ดหลาบไม่กล้ามายุ่งกับพิธีของบ้านเมืองอีก
แต่เมื่อนำตัวออกจากห้องขังมาในวันรุ่งขึ้นเพื่อสอบสวน   บาทหลวงเหล่านี้ก็ยืนกรานไม่ยอมรับให้พวกนับถือคริสต์ทำพิธีถือน้ำแบบในวังอีก  คราวนี้พระเจ้าตากกริ้วจริง เลยสั่งเฆี่ยนสังฆราชและบาทหลวง แล้วจองจำไว้  แต่ก็ไม่มีความคิดจะลงโทษหนักกว่านั้น  เพียงแต่ดำริว่าจะจับตัวส่งลงเรือเนรเทศออกจากพระราชอาณาจักรไป

ขุนนางไทยมาติดต่อให้บาทหลวงเหล่านี้กล่าวขอโทษ และจะไม่ก้าวก่ายกับพิธีทางการของไทย  แต่บาทหลวงก็ยืนกรานไม่ยอมท่าเดียว

ในที่สุด ๑ ปีต่อมาก็หายกริ้ว  ทรงปล่อยบาทหลวงเป็นอิสระ   ไม่อยากจะให้มีเรื่องราวลุกลามไปถึงฝรั่งเศสที่บาทหลวงเหล่านี้ถือสัญชาติอยู่   เพราะทรงเกรงว่าจะมีปัญหาเรื่องคุกคามจากมหาอำนาจเหมือนอย่างสมัยพระนารายณ์
แล้วก็ทรงต้อนรับบาทหลวงด้วยดี  พระราชทานของเสวยให้  ประทับนั่งสนทนาด้วยเหมือนเดิม

มีตอนหนึ่งในบันทึกของบาทหลวงคูแด เล่าเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๒ ( ๓ ปีก่อนสิ้นรัชกาล) เรื่องพระเจ้าตากหายกริ้วและทรงต้อนรับบาทหลวงด้วยดี  ต่อจากนั้นมีข้อความวิจารณ์พระเจ้าตากที่น่าสนใจ ขอลอกมาให้อ่านกันค่ะ

"พระเจ้าตากรับสั่งอยู่เสมอว่าทรงเหาะเหินเดินอากาศได้   พระเจ้าตากเป็นคนที่มีความคิดพลิกแพลงอยู่เสมอ  เพราะฉะนั้นจึงได้ทรงมีพระราชดำริจะเป็นพระพุทธเจ้า   ในเรื่องนี้ได้มีรับสั่งว่า มีพระราชประสงค์จะเป็นพระพุทธเจ้า  และก็มีคนเรียกพระองค์ว่า พระพุทธเจ้าแล้วก็มี    เพราะในเมืองนี้ไม่มีเลยที่ใครจะไม่ทำให้ถูกพระทัยตามวิธีดำเนินการที่ทรงมีพระราชดำริไว้นั้น

ในชั้นต้นจะได้ทรงเหาะขึ้นไปตามอากาศก่อน  และเพื่อจะเตรียมการที่จะทรงเหาะนี้ ได้ทรงทำพิธีต่างๆในวัดและในวังมาสองปีแล้ว  เพราะฉะนั้นในเวลานี้จะต้องถือว่าพระเจ้าตากไม่ใช่มนุษย์  ไม่ใช่เป็นมนุษย์ในโลกนี้แล้ว  ถ้าเรื่องนี้ใครไปทูลขัดคอหรือในเวลาที่ทรงเข้าพิธี   ใครเข้าไปเฝ้าแล้วคนนั้นก็ถูกเคราะห์ร้าย   เราจึงได้ทูลอยู่เสมอว่าเป็นการที่เป็นไปไม่ได้
เราได้ทูลบ่อยเข้าถึงกับทรงเบื่อไม่อยากฟังเราแล้ว   เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้รับสั่งให้เราไปเฝ้ามาได้ปีหนึ่งแล้ว"

ในที่สุดสถานการณ์ระหว่างบาทหลวงกับพระเจ้าตากก็ตึงเครียดขึ้นเป็นลำดับ  เพราะต่อมาพวกเข้ารีตหลายคนก็ไม่ยอมเข้าพิธีหลวงอื่นๆอีกด้วยเหตุผลเดียวกัน   จะบังคับยังไงก็ไม่ได้ผล

พระเจ้าตากก็ตัดสินพระทัยเนรเทศบาทหลวงออกจากแผ่นดินไทยในที่สุด  แต่มิได้ทรงทำร้ายพวกนี้

บาทหลวงคูเดได้เข้าเฝ้าเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ที่พวกเขาเรียกว่าพระมหาอุปราช  บันทึกการโต้ตอบกันไว้ว่า

" เรา(หมายถึงบาทหลวง)ได้เข้ามาอยู่เมืองไทยแล้ว  และพระเจ้าแผ่นดินก็หาได้ทรงขัดขวางอย่างใดไม่  กลับสร้างวัดพระราชทานเราเสียอีก  พระมหาอุปราชจึงได้รับสั่งว่า ข้อนั้นก็จริงอยู่  แต่พระบิดาของเราได้เปลี่ยนพระอัธยาศัยแล้ว   สังเกตดูพระมหาอุปราชก็ทรงพระกรุณาต่อพวกเราอยู่บ้าง  แต่จะไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินอย่างไรๆก็หาสำเร็จไม่"

ผลก็คือพวกบาทหลวงก็เดินทางออกนอกไทยไป   จบสิ้นสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าตากสินไว้เพียงแค่นี้


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ม.ค. 01, 13:54
คุณพวงร้อยคะ ในหนังสือที่คุณยกมา  ดิฉันขอเรียบเรียงด้วยภาษาของดิฉันเอง โดยไม่เปลี่ยนแปลงเนื้อความตามที่ผู้เขียนได้บอกไว้
เพื่อแสดงให้เห็นว่าวิธีการเขียนคนละอย่าง ในเรื่องเดียวกัน  ก่อผลแตกต่างกันได้ค่ะ

"พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเอง และผู้นำไทยในต้นรัตนโกสินทร์จนถึงรัชกาลที่ ๓ มิได้พยายามจะปิดบังเลยว่า เจ้าพระยาจักรีได้ขึ้นครองราชย์ด้วยการได้ราชบัลลังก์มาจากการยึดอำนาจผลัดเปลี่ยนราชบัลลังก์จากพระเจ้ากรุงธนบุรี  
ซึ่งถูกเรียกในสมัยนั้นไว้หลายอย่างเช่น "ขุนหลวงตาก", "อีตาตาก", "เจ้าที่ล่วงไปแล้ว",
"พระยาตาก" (แต่ไม่เคยพบที่ใดซึ่งเรียกพระองค์ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ว่า พระพุทธเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ)
คำเรียกพระนามเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า  พระเจ้าตากมิได้เป็นที่เคารพของราชวงศ์จักรี "

ต่อไปนี้คือข้อความเพิ่มเติม ของดิฉันค่ะ

คำว่าพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ใช้กันตอนปลายอยุธยา หมายถึงพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อนที่ล่วงไปแล้ว  และการล่วงไปนั้นก็เป็นการสวรรคตตามปกติ  มีการถวายพระเพลิงและเก็บพระบรมอิฐิไว้ในพระโกศ   หรือแม้แต่ยังไม่ได้ถวายพระเพลิง ก็จะอยู่ในพระบรมโกศ
แผ่นดินใหม่นั้นก็คือแผ่นดินของลูกหลานขององค์ที่อยู่ในโกศนั่นละค่ะ
บุคคลที่ชาวบ้านสมัยรัตนโกสินทร์เรียกกันติดปาก คือพระเจ้าบรมโกศ  ด้วยเหตุผลนี้ เพราะว่าเสด็จลงโกศไปจริงๆ และแผ่นดินต่อมาทั้ง ๒ แผ่นดินก็เป็นพระราชโอรส  ไม่ใช่ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่
แต่พระนามในพระสุพรรณบัตรของพระเจ้าบรมโกศ ไม่ใช่ชื่อนี้  สมัยของพระองค์ท่านดิฉันก็เชื่อว่าไม่มีราษฎรหรือขุนนางเรียกว่าพระเจ้าบรมโกศ
เพราะฉะนั้น การไม่เรียกพระเจ้าตากในที่ใดว่าพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ก็ถูกต้อง  แต่ไม่ใช่ถูกต้องเพราะเหยียดหยามดูถูก  แต่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริง

อีกเรื่องคือ คำเรียกพระเจ้าตากนั้นก็ไม่ใช่ว่ามีแต่เรียก "อีตาตาก "
ขอสารภาพว่าไม่เคยได้ยินคำนี้  ได้ยินแต่คำว่า "เจ้าตาก"
และเจ้านายในราชวงศ์จักรี ที่บันทึกเรื่องราวสมัยปลายธนบุรี โดยมิได้ลบหลู่ด้วยพระนามต่างๆ  ยังคงกล่าวถึงด้วยราชาศัพท์ ในฐานะท่านทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็มี
ขอยกจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีขึ้นมาอีกครั้ง

" เหตุผลกรรมของสัตว์  พื้นแผ่นดินร้อน  ราษฎรเหมือนผลไม้  เมื่อต้นแผ่นดินเย็นด้วยพระบารมีชุ่มพื้นชื่นผลจนมีแก่น   ปลายแผ่นดินแสนร้อนรุม สุมรากโคนโค่นล้มถมแผ่นดิน   ด้วยสิ้นพระบารมีแต่เพียงนั้น"

ถ้าใครคนหนึ่งใช้คำว่า "ชิง " และ "แย่ง" เสียแล้ว  ดิฉันถือว่านี่คือสมมุติฐานของเขา   ดังนั้นการให้เหตุผลต่างๆก็คือการพิสูจน์ว่า เป็นการ "ชิง " และ "แย่ง" จริง

แต่สำหรับดิฉัน จะมองในแนวว่า...เกิดอะไรขึ้นที่เป็นมูลเหตุ
แล้วมันนำไปสู่ผลอย่างไร
ส่วนผลที่ออกมาเมื่อเป็นอย่างไรแล้ว  ก็แล้วแต่มุมมองของคนอ่าน ว่าเขาจะประเมินอีกทีว่าเป็นอย่างไรค่ะ

การชำระพงศาวดารของกรมพระยาดำรงฯ ที่แตกต่างจากพงศาวดารของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ มีหลายแห่งค่ะ  
ทรงชำระไว้จากหลักฐานหลายๆแห่งแล้วทรงเลือกแห่งที่เห็นว่ามีหลักฐานมากที่สุด  เพราะบางครั้งหลักฐานก็แตกต่างกัน

สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงรวบรวมและเรียบเรียงตามหลักฐานที่มี และทรงวินิจฉัยตามพระปรีชา  เพราะฉะนั้นก็ไม่ทรงผูกขาดว่าพระองค์ท่านจะต้องถูกต้องอยู่ฝ่ายเดียว
ถ้ามีหลักฐานในชั้นหลังเพิ่มเติมมา  คำวินิจฉัยก็เปลี่ยนแปลงได้

แต่เท่าที่ดิฉันเห็น หลักฐานเพิ่มเติมขึ้นใหม่มีน้อยมาก  นอกจากบางเรื่องที่เราได้มาจากฝรั่ง อย่างอ.เทพมนตรีเคยเอ่ยไว้    
นักประวัติศาสตร์ไทยทำกันมากก็คือไปหยิบฉบับที่ทรงอ่านแล้ว แต่ไม่ได้ทรงตัดสินว่าเป็นฉบับหลัก  เอาขึ้นมาใหม่  แล้วยึดฉบับนั้นแหละว่าเป็นหลัก แทน
ดิฉันถือว่าเป็น "การตีความ" ที่แตกต่างกัน ค่ะ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: ลุงแก่ ที่ 31 ม.ค. 01, 16:51
ยังเชื่อว่าพระเจ้าตากถูกปฏิวัติโดยเจ้าพระยาจักรี เป็นเรื่องธรรมดาของระบบในสมัยนั้น อย่าคิดมาก


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: ศิษย์โง่ ที่ 31 ม.ค. 01, 21:16
เห็นด้วยกับคุณลุงแก่
และเรื่องมูลเหตุที่พยายามหาเพื่อนำมาซึ่ง ผล บางครั้ง มูลเหตุ เองก็ถูก ปั้น ขึ้นได้เช่นกัน


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ม.ค. 01, 21:38
ไม่ได้คิดมากหรอกค่ะคุณลุงแก่  แต่มันเป็นวิธีการคุยของคนที่สนใจประวัติศาสตร์   ถ้าทุกอย่างมันธรรมดาไปหมด  ไม่ต้องคิดมาก   เราก็ไม่รู้จะแลกเปลี่ยนความเห็นกันไปทำไมนะคะ
เราก็กำลังเศึกษาประวัติศาสตร์นอกห้องเรียนกันโดยไม่ใช่จำกัดเอาไว้เพียงท่องจำ  แต่เรียนเพื่อคิดค่ะ

ึคุณศิษย์โง่  การศึกษาในหลายๆกรณีเรื่องมูลเหตุ  จะนำไปสู่ผล จนมองได้เองว่ามูลเหตุถูกปั้นขึ้นมาหรือว่าจริง


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 01 ก.พ. 01, 01:12
การทีี่จะค้นหา "ความจริง" อย่างถึงที่สุดนั้น  จะทำไม่ได้หากผู้ค้นมีจิตผูกพัน  มีความผูกพันทางอารมณ์ส่วนตัวกับ subject ที่จะศึกษานั้น  นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ยากสำหรับคนไทยที่มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีอย่างหาใดเปรียบได้ยาก  แต่ความจริงไม่เคยเป็นสิ่งเสียหายต่อใคร  โดยเฉพาะถ้าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นมานานแล้ว

ดูคุณเทาชมพูจะรับไม่ได้กับคำว่า "ชิง" หรือ "แย่ง"  ดิฉันก็ไม่ได้ปลงใจอะไรลงไปแต่อย่างใดเช่นนั้น  แต่เราเคยได้ยินแต่การเทิดทูนราชวงศ์จักรีมาในหนังสือเรียน  หาผู้ที่นำเสนอมุมมองต่างจากน้ันไปได้ยาก  ใครเสนอมุมต่างขึ้น  ก็หมิ่นเหม่ต่อข้อหาว่า "ลบหลู่" ไป  ดิฉันว่านะคะ  อจ นิธิ ไม่ได้ใช้คำๆนั้นเพื่อลบหลู่  เพียงเป็นคำบรรยายสภาวะที่ท่านดูจากหลักฐานของท่าน  แล้ว ตั้ง hypothesis อย่างนั้น (ดิฉันไม่ใช้่คำว่า ข้อสรุป เพราะมันไม่เหมือนกัน)  ในเมื่อหากเป็นกษัตริย์สมัยอยุธยา  เราก็บรรยายแบบนั้นได้โดยไม่ติดใจ  ก็ควรใช้บรรทัดฐานอันเดียวกันมาใช้กับเรื่องราวในสมัยอื่นด้วย

ถ้ายังรู้สึกตะขิดตะขวงกับการมองอย่าง "ภววิสัย" อย่างนี้ กับราชวงศ์อันเป็นที่รักและเคารพเทิดทูน  ก็คงต้องรอไปนานๆกว่าเราจะมา "ศึกษา" ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ได้อย่างใจเป็นกลางมังคะ

ดิฉันเผอิญไม่เคยเชื่อเรื่องผีเรื่องสาง  เลยพลอยไม่เชื่อเรือ่งเทวดาไปด้วยน่ะค่ะ  ถ้าทำให้ใครรู้สึกไม่สบายใจ  ด้วยการคัดหนังสือของอาจารย์นิธิ มาลงไว้ในที่นี้  ก็ขออภัยด้วย  เพราะการ "ศึกษา" ของดิฉัน  มักต้องอาศัยวิธี "ชำแหละ" subject นั้นๆ  เพื่อหาความจริง  ไม่ได้มีจิตใจลบหลู่แต่อย่างใดค่ะ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พัดโบก ที่ 01 ก.พ. 01, 01:30
ขออภัยครับ ที่ความรู้น้อย
หนังสืออะไรจะอ้างอิงก็ไม่มี

เคยอ่านที่ อ. นิธิ เขียนเกี่ยวกับการศึกษาประวัติศาสตร์ว่า เราศึกษาเพื่อฝึกฝนกระบวนการคิด หาข้อสรุป เพื่อให้สอดคล้องกับหลักฐานต่างๆที่มีอยู่ให้มากที่สุด
สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ผลลัพธ์ แต่กระบวนการคิดครับ

ขอตามอ่านของคุณเทาชมพูก่อนนะครับ
ถ้ามีความเห็นเพิ่มเติม หรือ คำถามแล้วจะแจมครับ

ปล. นิดนึง อยากบอกความรู้สึกส่วนตัวหน่อยครับ
ผมชอบการใช้ภาษาไทยของหลายๆคนที่นี่ครับ โดยเฉพาะคุณเทาชมพู คุณพวงร้อย คุณนกข.
รู้สึกว่าใช้คำพูดได้เหมาะสมและตรงกับสิ่งที่ตนจะสื่ออย่างแท้จริง


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 01 ก.พ. 01, 03:04
ผมถามอีกสักครั้งครับ ถ้าไม่ใช่การชิงอำนาจ หรือแย่งอำนาจ ทำไม จึงไม่มีการผ่านบัลลังให้กับกรมขุนอินทรพิทักษ์ ที่เป็นพระโอรสครับ คุณเทาชมพู พยายามให้หลักฐานในทางว่า พระเจ้าตาก ท่านทรงเสียพระจริต เอาล่ะ ถ้าท่านทรงเสียพระจริตจริง ๆ พระยาสรรก่อการจริง หลังจากปราบกบฎพระยาสรรแล้ว ทำไม ราชสมบัติไม่ผ่านไปยังพระโอรส แต่กลับผ่านไปยังราชวงศ์ใหม่ ถึงแม้จะไม่ได้มีการกำจัดพระญาติ เช่นพระโอรส ไปเสีย แต่ก็ไม่ได้ให้ขึ้นครองราชย์ตามประเพณี ว่าราชสมบัติควรจะถ่ายสืบต่อไปให้ลูก แต่การนี้ เป็นการส่งผ่านอำนาจ จากพระเจ้าตาก ไปสู้ผู้มีอำนาจกว่าอีกผู้หนึ่งไม่ใช่เหรอครับ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 01, 09:34
คุณพวงร้อยคะ   คุณเข้าใจดิฉันผิด  จะเป็นเพราะวิธีการเขียนของดิฉันทำให้คุณเข้าใจไปตามนั้น  หรือเป็นเพราะประการอื่นใดเกี่ยวกับตัวดิฉันก็ตาม
ดิฉันขอชี้แจง ด้วยการยกประโยคของคุณมาเรียบเรียงใหม่  เพราะภาษาของคุณ คงจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายกว่าภาษาของดิฉัน

"การที่จะค้นหา "ความจริง"  จะทำได้หากผู้ค้นมีจุดประสงค์แถลงข้อมูลที่ตนเองได้ศึกษามาก่อนให้มากที่สุด เท่าที่จะค้นได้    โดยปล่อยวางความผูกพันทางอารมณ์ส่วนตัวกับ subject ที่จะศึกษานั้น
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากสำหรับคนไทยที่มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรี  โดยยอมรับความเป็นมนุษย์ปุปถุชนมากกว่าสมมุติเทพ   ถือว่าความจริงก็คือความจริง    และไม่เอามาตรฐานและอารมณ์ในปัจจุบันไปวัดสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้ว "

ต่อไปเป็นถ้อยคำของดิฉันเอง

"แต่การกระทำนั้น เกิดด้วยมูลเหตุใด และมีผลต่อเนื่องมาอย่างใด  เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาด้วยเช่นกัน  เพื่อเราจะได้มองในมุมที่กว้างขวางออกไป   ไม่มองเฉพาะเหตุการณ์หนึ่ง โดยไม่สัมพันธ์กับอีกเหตุการณ์หนึ่ง ทั้งที่เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์มีผลกระทบต่อเนื่องยาวนานในภายหลัง"

ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นะคะคุณพวงร้อย  มันไม่ได้มีอย่างเดียวอย่างในบทเรียนชั้นมัธยมเขาวางเอาไว้หรอกค่ะ    นั่นเขาสำหรับเยาวชนที่อาจจะยังไม่มีวุฒิภาวะพอจะวิเคราะห์ใคร่ครวญมากนัก  ขาดข้อมูล ขาดวิธีการประเมินในเชิงลึกหลายๆอย่าง  ผู้วางหลักสูตรเขาก็ปูพื้นในด้านนี้เอาไว้  จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย มาศึกษากัน ก็จะเริ่มกระบวนความคิดแบบใหม่    ถ้าศึกษาต่อไปเรื่อยๆก็จะสร้างความคิดของตนเองขึ้นมาได้
ดิฉันเป็นคนศึกษาประวัติศาสตร์ทั้งจากตำราและจากประสบการณ์   พบอย่างหนึ่งว่าความรักและความผูกพันทางอารมณ์มีหลายแบบ  รักแบบเทิดทูนบูชาใครมาแตะไม่ได้ก็มี     รักแบบยอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียเหมือนเรารักพ่อแม่ทั้งที่รู้ว่าท่านไม่สมบูรณ์แบบชนิดหาที่ติไม่ได้ ก็มี เพราะความเป็นพ่อแม่นั้น  แค่เลี้ยงดูเราจนเป็นตัวเป็นตนมาทุกวันนี้ก็เป็นพระคุณสูงสุดแล้ว
เรื่องของอ. นิธิ  ถ้าย้อนกลับไปอ่านข้อความที่ ๑   ของดิฉันอีกครั้ง   ดิฉันเห็นว่าท่านมองในข้อที่ ๓  
ส่วนดิฉันมองในข้อที่ ๒ ค่ะ

คุณพระนายคะ  ดิฉันค้นคำตอบในเรื่องการไม่ได้ผ่านบัลลังค์ให้พระราชโอรสพระเจ้ากรุงธนมาแล้วค่ะ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ตอนปลายกรุงธนบุรี  
ขอเวลาพิมพ์ให้เสร็จก่อนค่ะ  ยาวจริงๆ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 01 ก.พ. 01, 09:57
เจ้าพระยาจักรีเป็นผู้ที่มีโอกาสได้รับราชการศึกบ่อยครั้งที่สุดในช่วงปลายรัชกาลพระเจ้าตาก เนื่องจากขุนศึกอื่นๆเสียกำลังไปจากศึกอะแซหวุ่นกี้ บวกกับการบริหารแบบกระจายอำนาจ ทำให้เป็นโอกาสที่จะได้สะสมกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งในช่วง 5-6 ปี ปลายรัชกาล พระเจ้าตากไม่ได้ทรงนำทัพออกรบด้วยพระองค์เองเลย ซึ่งทำให้เสียโอกาสในการสะสมกำลังด้วยเช่นกัน
มีอยู่ประเด็นหนึ่ง (เป็นความเห็นส่วนตัวของผม) กรณีที่เกิดขึ้นคือ ช่วงปลายรัชกาล ผลงานด้านการศึกโดยมากจะเป็นของเจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับคนที่พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้ทำผลงานมาโดยตลอด และมีโอกาส (มีกำลังในมือ) และอาจรวมถึงการมีปัญหากระทบกระทั่งกันเป็นส่วนตัว (การถูกลงอาญากรณีเจ้าหญิงลาว) จะทำให้มีความคิดที่จะปฏิวัติ ที่เหลือก็คือการรอโอกาสเท่านั้น เหตุการณ์คล้ายกันที่เกิดขึ้นคือในสมัยรัชกาลที่๑ กรมพระราชวังบวรฯเป็นผู้นำทัพออกศึกแต่ผู้เดียวตลอดหลังจาก ๖-๗ ปีแรก หลังจากนั้นเมื่อกรมพระราชวังบวรฯทรงประชวร รวมถึงการกระทบกระทั่งเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นหลายครั้ง (ดูพงศาวดาร ร.๑) ทำให้รู้สึกน้อยพระทัยและกล่าวแนะให้พระเจ้าลูกเธอทำปฏิวัติ ซึ่งก็เตรียมกระทำกันจริงๆในวันพระราชทานเพลิง แต่ไม่สำเร็จ (อาจจะ
เพราะว่าขาดปัจจัยเรื่องกำลัง เพราะระบบการปกครองได้ปรับไปจนมีเสถียรภาพมากกว่าในยุคพระเจ้าตากไปมากแล้ว)
ส่วนเรื่องพระราชโอรส-ธิดาในพระเจ้าตากนั้นได้ถูกประหารไปเกือบทั้งสิ้นในช่วงเปลี่ยนราชวงศ์ เหลือไว้เพียงที่เกิดแต่หม่อมฉิมใหญ่ซึ่งเป็นธิดาของเจ้าพระยาจักรี และ หม่อม(จำชื่อไม่ได้)ซึ่งเป็นธิดาของพี่สาวเจ้าพระยาจักรี (เข้าใจว่าคือกรมหลวงนเรนทรฯในภายหลัง) ทั้งนี้ในพงศาวดาร ร.๑ ได้ระบุว่ากรมพระราชวังบวรฯแนะให้ประหารให้หมด แต่ร.๑ ทรงขอไว้
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะแสดงความเห็นไว้ตรงนี้คือ อย่าเอาเรื่องจริยธรรมมาวัดกับเรื่องนี้ บ่อยครั้งที่ความถูกต้องกับประสิทธิภาพเดินสวนทางกัน ระบบราชาธิปไตยนั้นมีจุดอ่อนอยู่ที่การสืบราชสมบัติโดยสายเลือด กลไกการชิงบัลลังก์เป็นกลไกที่ช่วยเข้ามาแก้จุดอ่อนในกรณีที่ได้กษัตริย์อ่อนแอ กรณีศึกษาคือแผ่นดินจีนช่วงท้ายยุคตงฮั่น กษัตริย์อ่อนแอ ขุนนางเข้าครอบกษัตริย์ แผ่นดินแตกแยกเป็นเสี่ยง ในที่สุดก็เกิดยุคสามก๊กขึ้นมา ตัวอย่างใกล้ตัวกว่านี้ก็มี แต่มีบังอาจกล่าวถึงครับ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 01 ก.พ. 01, 12:19
ขอเชิญคุณเขียนตามคำของคุณ ดิฉันเขียนแบบดิฉันดีกว่าค่ะ  คุณเทาชมพู  คุณเอามาเขียนใหม่แล้วดิฉันงง  
เพราะต้องคลิกกลับไปกลับมาดูว่ามันต่างกันที่ตรงไหนน่ะค่ะ  อาจจะเข้าใจผิดก็เพราะรู้สึกว่าคุณไม่ชอบคำว่า "ชิง" และ "แย่ง" ของอาจารย์นิธิ  
เลยเหมาเอาด้วย "อัตวิสัย" ของดิฉันเองว่า  อาจจะเป็นเพราะ  คำนี้ดูมันเป็นการกระทำที่ "หยาบ" ไม่สมกับความรู้สึกของเราที่มีต่อพระองค์ท่าน  
หากคุณเทาบอกว่า  มีความรู้สึกต่อท่านเหมือนพ่อแม่  ที่ยังเข้าใจและมองเห็นในความบกพร่องของพ่อแม่ได้  แต่ในความคิดของดิฉัน  
นั่นก็ยังมีขีดจำกัดค่ะ   หากจะวิเคราะห์อะไรไปตาม "การมอง" ของดิฉันเองแล้ว  จะแยกความรู้สึกออกอย่างเด็ดขาดจากบุคคลในประวัติศาสตร์  
ไม่เหลือความผูกพันอะไร  มองว่าเป็นมนุษย์สามัญธรรมดาคนหนึ่ง  ที่มี รัก โลภ โกรธ หลงได้  หากมีเค้ามูลหลักฐานส่อให้เห็นไปในทางนั้น  
ความผูกพันเทอดทูนที่ดิฉันกล่าวถึงในความรู้สึกที่พอจะจับจากการแสดงออกจองคุณเทาชมพูได้  ก็คือความผูกพันอันนี้แหละค่ะ  
ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นคุณว่า immature หรืออย่างไร  หรือตีความว่าคุณเป็นอย่างไรด้วยเลยค่ะ   ถ้าทำให้รู้สึิกอย่างนั้นต้องขออภัยด้วยจริงๆ  
อันนี้ปิดไม่มิดว่าดิฉันมาใช้วิธีถกอย่างฝรั่งนานแล้ว  ห่างเหินกับสังคมไทยไปมาก  บางทีอาจล่วงลำ้ความรู้สึกไปโดยไม่เจตนา  ไม่สบายใจจริงๆนะคะ
 
กลับมาที่ประเด็นเรื่องพระเจ้าตากดีกว่านะคะ  คือคำว่า  ชิง หรือ แย่ง  นี่  ดิฉันไม่เห็นว่ามันบอกอะไรเลยว่า  อจ นิธิ
ตั้งข้อสรุปไว้แล้วไปหาข้อมูลมายัน assumption อันนั้น  ไม่ทราบว่าคุณเทาได้อ่านหนังสือที่ว่าแล้วยัง  เพราะข้างหลังก็มีอ้างอิงยุ่บยั่บไปหมด  
เนื้อความที่ดิฉันคัดมา  ก็มีตัวเลขโยงใยไปที่อ้างอิงนั้น  ไม่ได้อ่านจากพงศาวดารฉบับเดียว  แล้วเอามายันกรมพระดำรงฯ   เมื่อคุณเทาว่าอย่างนั้น
ดิฉันจึงประเมินเอาว่า  คงเป็นเพราะคุณไม่ชอบให้ใครมาใช้คำอย่างนี้กับ ร๑  เลยตั้งสมมติฐานไปแบบนั้น  ซึ่งคุณเองก็บอกแล้วว่า  
มองท่านเหมือนพ่อเหมือนแม่  อย่างนี้ในการวิเคราะห์ข้อมูลก็มี bias แล้วค่ะ  อย่างที่ดิฉันว่าคุณมีอารมณ์ผูกพันกับ subject  
อย่าถือว่าเป็นการดูหมิ่นสติปัญญาอะไรเลยนะคะ  แม้แต่นักสังคมวิทยาชื่อดังระดับโลก อย่างนาย Leaky หรืออะไรนั่น  เวลาไปคลุกคลีกับ subject
ที่ตัวไปศึกษาอยู่  บางครั้งก็ยังมีหลวมตัวไปเกิดความผูกพันทางอารมณ์ได้  เราเป็นมนุษย์นี่คะ  ก็ต้องมีความรักความผูกพันบ้าง  
เป็นเพราะดิฉันออกห่างมาจากสังคมไทยนานแล้วน่ะค่ะ  อิทธิพลต่อความรู้สึกอย่างนี้จึงซาลงไปบ้าง  จึงคงจะมองด้วยมุมที่ต่างกันไปบ้าง

ดิฉันต้องตัดแปะภาษาไทยด้วยความยุ่งยากมาก  ที่แป้นพิมพ์ก็เป็นตัวฝรั่งหมด  ไม่สะดวกที่จะกลับไปกลับมา  เลยไม่อาจพิมพ์ได้มาก

แต่อีกประเด็นหนึ่งที่คุณเทายกมา  ที่เป็นบันทึกของกรมฯ(ขออภัยค่ะเปลี่ยนจอไม่ถนัด  ว่าจากความจำเอาแล้วกันนะคะ)  ดิฉันก็ยังเห็นว่า  
แม้จะใช้ถ้อยคำสุภาพ  แต่ก็ยังเป็นการยืนยันความชอบธรรมที่ ร ๑ "ต้อง" ปราบดาภิเษก" เท่านั้น  ก็อาจมองไปในทำนองว่า  
ข้าราชบริพารต่างคนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ  สร้างเสริมความ "ชอบธรรม" ที่จะต้อง กำจัด พระเจ้าตาก  เพราะพระองค์ท่าน "สิ้นบุญ" เสียแล้ว  
ดิฉันก็ยังไม่เห็นว่าเป็นหลักฐานที่แข็งแรงพอที่จะยืนยันว่า  ร๑ กับพระเจ้าตากมิได้บาดหมางกันเลย

อีกหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ร๑ "ไม่ถูกกับ" พระเจ้าตากก็คือ  ก่อนถูกนำองค์ไปประหาร  พระเจ้าตากขอเข้าเฝ้า ร๑ เป็นครั้งสุดท้าย  แต่ ร๑
ทรงโบกพระหัตถ์ให้คนนำพระองค์ไปประหาร  อจ นิธิเอง  ก็พูดในทำนองเข้าใจความรู้สึกของ ร๑ อยู่  แต่ในความเห็นของดิฉันแล้วคิดว่า  
นี่กระไรจะให้ดูหน้าดูใจก่อนตายก็ยังไม่ยอม  คงต้องมีความขุ่นเคืองใจกันถึงขนาดล่ะค่ะ  เป็นการแปลความหมายของดิฉันเองนะคะ  ผิดถูกอย่างไร
อจ นิธิ ก็ไม่มีเอี่ยวด้วยแล้วค่ะ   แล้วยังเอานางในของพระเจ้าตากไปโบย ฐานที่มาร้องห่มร้องไห้อาลัยพระองค์ท่านในงานเผา

แต่นั่นก็เป็นข้อคิดที่เกิดจากที่ได้เห็นข้อมูลเหล่านี้เท่านั้น  ดิฉันไม่มีโอกาสไปค้นหาหลักฐานมายืนยัน  สมมติฐานนี้อาจจะผิดไปก็ได้  
ก็ว่าไปตามเนื้อผ้าเท่าที่มี  เพียงแต่ยกขึ้นมาเป็นข้อคิดเพ่ือค้นคว้ากันต่อเท่านั้นเองค่ะ

บอกได้จากใจจริงว่าดิฉันมีความนับถือ  และชื่นชมในตัวคุณเทาชมพูมาตลอด  มิได้มีเจตนาล่วงเกินอะไร  ดิฉันมาอยู่อเมริกานานมากแล้ว  
ไม่เคยไปสุงสิงกับคนไทยมากเท่าไหร่  อาจจะติดนิสัยพูดอะไรไม่คำนึงถึง "ความรู้สึก" กันเท่าไหร่  อาศัยแต่การ "วิเคราะห์ข้อมูล" เป็นสำคัญ  
จริงๆแล้วนิสัยอย่างนี้เป็นมาแต่เกิด  แต่ความที่ไม่ต้องหนีบมานานๆ  เลยลืมอยู่เรื่อยค่ะ  ถ้าได้ล่วงเกินความรู้สึกก็เสียใจมากค่ะ  ดิฉันยั้งปาก  
จนกระทั่งรามือ ไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับคนไทยมานานแล้วก็เพราะเหตุที่เกรงว่า  จะไปทำให้คนโกรธโดยไม่ตั้งใจน่ะค่ะ  
เป็นอย่างนั้นไปแล้วก็เสียใจทุกครั้ง  แต่ดิฉันอยู่ในวงการที่ต้องเถียงเป็นทางทำมาหากินมาจนเคย   ถ้าจะให้ถกกันจนกระจ่าง  
ดิฉันก็คงจะยั้งไม่ไหวหรอกค่ะ  เป็นแต่แบบนี้ไม่รู้จำทำอย่างไร   ดิฉันจะไม่เข้ามา เรือนไทย อีกแล้วค่ะ  ถ้าทำให้คุณไม่สบายใจ  
หรืออย่างน้อยๆก็จะไม่มาคุยเรื่องนี้แล้วค่ะ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 01 ก.พ. 01, 12:47
คุณพวงร้อย ผมไม่คิดว่าการแสดงความคิดเห็น ของคุณ จะไปกระทบความรู้สึกของใครจนเกินไปหรอกครับ หรือถึงมีบ้างก็ไม่ถึงกับต้องไม่เข้ามาเรือนไทยอีกเลย คงน่าเสียดายที่จะเสียสมาชิกที่มีความรู้ดี ๆ ไปซะหนึ่งคน ก็พุดเพราะถือว่าเป็นแขกประจำที่ทางเรืนไทยได้มีน้ำใจให้มาอาศัย ไปมาหาสู่อยุ่นาน ก็เห็นทุก ๆ คนเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกัน ทั้งนั้น หนักนิดเบาหน่อยก็ไม่มีอะไรกัน
กลับมาหัวข้อกระทู้ มีข้อแย้งคุณพวงร้อยว่า ผมไม่คิดว่า การที่ ร.1 ท่านไม่ทรงยอมให้พระเจ้าตากเข้าพบ ก่อนจะถูกนำไปสำเร็จโทษนั้น เป็นเพราะความไม่ถูกกันหรอกครับ คุณพวงร้อยน่าจะมองในมุมกลับว่า ผมว่า ร. 1 ท่านอาจจะทรงไม่อยากพบและไม่สะดวกใจที่จะต้องพบกับพระเจ้าตาก ซึ่งทรงเป็นทั้งเพื่อน และนาย มาก่อน ก่อนที่จะให้คนนำตัวไปสำเร็จโทษหรอกครับ มันไม่สะดวกใจด้วยประการทั้งปวง แต่ครั้นจะไม่ทำก็คงไม่ได้
ผมไม่คิดว่าร. 1 ท่านจะขุ่นเคืองใจหรอกครับ แต่เป็นว่า เพราะไม่มีข้อขุ่นเคืองใจ ต่างหาก จึงไม่สะดวกที่จะให้เข้าพบ เพราะถ้าต้องพบกันต้องคุยกัน ร. 1  ท่านก็อาจจะยิ่งไม่สะดวกใจ ในการจะทำอะไรอีกหลาย ๆ ประการต่อมาจากนั้น สุ้ไม่พบ สำเร็จโทษไปเลยง่ายกว่า


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พัดโบก ที่ 01 ก.พ. 01, 12:57
ผมไม่รู้สึกว่า คำพูดของคุณพวงร้อยจะล่วงเกินอะไรคุณเทาชมพูนะครับ เพียงแต่แสดงความเห็นของตัวเองอย่างชัดเจนเท่านั้นเอง
เช่นเดียวกัน ผมคิดว่า คุณเทาชมพูก็ไม่ได้รู้สึก ไม่พอใจอะไร เพียงแต่แสดงความเห็นของตนอย่างตรงไปตรงมาในลักษณะเดียวกัน
 
ต่างฝ่ายต่างใช้เหตุผลคุยกัน ถกกัน ความเห็นไม่ตรงกันบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่อยากให้ฝ่ายใดรู้สึกไม่สบายใจเลยครับ

ไม่อยากเห็นคุณพวงร้อยไปจากเรือนไทยครับ ชื่นชมคุณพวงร้อยมาตั้งแต่ที่หว้ากอ ไกลบ้าน แล้ว

ตามอ่านอย่างตั้งใจครับ คุณเทาชมพู
แหม รู้สึกเหมือนผมเอาเปรียบยังไงชอบกล ให้คุณเทาฯพิมพ์อยู่คนเดียว
เหะๆ มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะครับ...


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 01 ก.พ. 01, 13:35
ไม่ค่อยเกี่ยวกันเนื้อเรื่องเท่าใดนัก

จากความเห็นที่๒๒ ผมว่า คุณพวงร้อยอาจวิตกมากไปเองหรือเปล่าครับ

เท่าที่อ่านมาก็ไม่เห็นว่า คุณเทาชมพูจะ "โกรธ" หรือ "ไม่สบายใจ" อย่างไร

คุณเทาชมพูก็พยายามอธิบายความเห็นของเธอเท่านั้น



การอธิบายอาจมีการใส่อารมณ์เพื่อให้คนคล้อยตาม การขัดเเย้งก็ไม่ได้หมายความว่าจะทําให้อารมณ์เสีย



การวิเคราะห์บางทีก็ต้องใช้ความรู้สึกเข้าประกอบด้วย โดยเฉพาะเรื่องการกระทําของคน

แม้แต่การวิเคราะห์หมากรุกยังต้องดูสภาพและอารมณ์ของผู้เดินเลย



เรื่องนี้ผมก็ไม่มีความรู้ความสามารถพอที่จะเสนอความเห็นได้

กําลังค่อยอ่านต่ออยู่ครับ คุณพวงร้อยอย่าไปไหนเสียละครับ

และก็กําลังรอที่คุณเทาชมพูกําลังพิมพ์ด้วย



นอกเรื่อง

ผมทําแผนผังคีย์บอร์ดไทยไว้ คุณพวงร้อยลองพิมพ์ออกมาใส่สติกเกอร์แปะที่คีย์บอร์ดสิครับ

อาจช่วยให้พิมพ์สะดวกขึ้น ผมก็ใช้อยู่เหมือนกัน

http://www.geocities.com/pmland28/keybaoade.html


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 01, 14:13
คุณพวงร้อยอย่าไปจากเรือนไทยด้วยความรู้สึกว่าได้ก่อความไม่สบายใจอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ดิฉันหรือใครก็ตามเลยค่ะ    ดิฉันว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่สมควรจริงๆนะคะ
ถ้าคุณจะไปจากที่นี่ ก็ขอด้วยเหตุผลเดียวคือคุณไม่มีเวลามาคุยที่นี่อีก  เพราะติดภารกิจอย่างอื่นหรือด้วยสุขภาพไม่อำนวย เท่านั้นดีกว่า
ดิฉันไม่เคยคิดขุ่นเคือง หรือแม้แต่โน้มน้าวคุณมาให้เห็นอย่างดิฉัน    แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยอมรับว่าดิฉันไม่ได้คิดอย่างคุณ
ถ้าดิฉันเทียบราชวงศ์จักรีว่าเหมือนพ่อแม่ดิฉัน ก็เพราะโดยส่วนตัวดิฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ   ดิฉันถือว่าบรรพบุรุษฝ่ายพ่อมาจากเมืองจีนตั้งแต่รัชกาลที่ ๓  มาตั้งถิ่นฐานในเมืองไทยได้ร่มเย็นเป็นสุข  มีลูกหลานสืบกันมาก็ได้มีโอกาสอาศัยที่อยู่ที่กิน กันมาทุกชั่วคน   ก็เป็นธรรมดาที่ดิฉันจะยกย่องเจ้าของบ้านว่าเป็นผู้มีพระคุณ  จนทุกวันนี้ดิฉันก็ยังอาศัยพระคุณนั้นอยู่
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเข้าข้างไปหมด จนกลายเป็นผู้วิเศษ แตะต้องไม่ได้

แต่ถ้าคุณพวงร้อยมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากดิฉัน    ก็ไม่แปลกอะไรที่ความคิดเห็นคุณจะเป็นอย่างอื่น
ดิฉันคิดว่าตั้งแต่มีมนุษย์คนที่สองเกิดมาในโลก  ความคิดอย่างที่สองก็เกิดขึ้นมาแล้วละค่ะ   ถ้ามีความคิดเดียว ก็ต้องมีมนุษย์อยู่คนเดียว  
สาขาวิชาที่ดิฉันเรียนมาสอนให้เราอยู่กับความแตกต่างได้ โดยไม่ต้องล้มล้างหรือถอนตัวจากกัน  
 เรื่องการถกเถียงก็เป็นวงการที่ดิฉันอยู่มาตลอด    ดุเดือดเลือดพล่านขนาดไหนก็มีกันทั้งนั้น   เพราะอาชีพพวกเราอยู่ที่การพูด และpresent ผลงาน
ยิ่งการประชุมที่มีระดับจอมยุทธสำเร็จเคล็ดวิชาสูงสุดจากสำนักอเมริกา  อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส มาพร้อมหน้ากันเมื่อไรละก็  เหมือนจะฆ่ากันตายทุกครั้ง
แต่พอลุกจากเวทีหรือโต๊ะประชุม  เราก็ลงไปคุย นัดกินข้าวกันตามปกติ  วางทุกอย่างเอาไว้บนโต๊ะนั่นแหละไม่แบกลงไปด้วย
พูดจริงๆแล้วดิฉันจะเพลิดเพลินด้วยซ้ำที่เจอคนมีความเห็นแตกต่าง   ทำให้มีโอกาสได้ฝึกสมองตัวเองให้ค้น  คิด หาคำตอบ  แสวงหาข้อมูลและประมวลความคิด   บางทีเราก็มองเห็นอะไรใหม่ๆขึ้น  มากกว่าที่เราจะอ่านหนังสืออยู่คนเดียวแล้วได้คำตอบอยู่คนเดียว หรือเจอแต่คนที่คิดเหมือนเราไปหมดทุกเรื่อง จนเราไม่พบอะไรใหม่
ดิฉันว่าคำตอบใหม่นี่ละสำคัญที่สุด   ไม่ว่ามันจะตรงกับสมมุติฐานที่เรามีมากแต่เดิมหรือไม่ก็ไม่เป็นไร   มันช่วยขยายโลกทัศน์ของเรา
การล้างมือจากอ่างทองคำไปด้วยความรู้สึกว่า เกรงอีกฝ่ายไม่สบายใจเสียอีก  คุณพวงร้อยจะตัดโอกาสตัวเองจากการได้ลับสมอง  ได้เพื่อนใหม่อีกสักคนหรือมากกว่านั้น
คุณเองก็อยู่อเมริกามานาน   คงทราบดีว่าพวกอเมริกันเขาถือว่า discussion หรือ debate เป็นเรื่องธรรมดา   คนแต่ละคนมีจุดยืนของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคารพจุดยืนของคนอื่น

ดิฉันขอย้อนไปอีกทีนะคะว่า  สืบเนื่องจากความคิดเห็นที่ ๑  ดิฉันกำลังทำข้อที่ ๒   และไม่อยากจะให้เรื่องที่เราพูดกันกลายเป็น คน vs คน
ขออนุญาตออกความเห็นต่อคุณพวงร้อยสักนิดว่า คุณลืมไปแล้วหรือว่าเรากำลังพูดถึงพระเจ้าตากและร. ๑ ไม่ใช่พูดถึงคุณและดิฉัน
เพราะฉะนั้น อยากให้คุณกลับมาสู่ความสำคัญถึงเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่   แล้วอย่าตัดรอนตัวดิฉันออกไป  เพราะคนที่อยากเป็นเพื่อนคุยกับคุณนั้น มีดิฉันรวมอยู่ด้วย


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พัดโบก ที่ 01 ก.พ. 01, 14:26
นั่นสิครับ กำลังกลัวๆอยู่ว่าจะกลายเป็น คุณเทา กับ คุณพวง แทนที่จะเป็น พระเจ้าตาก กับ ร.1..หุหุ

คุณพวงร้อยครับ กลับเมืองไทยไปคราวที่แล้ว ผมซื้อสติ๊กเกอร์แปะคีย์บอร์ดไว้หลายใบ ตั้งใจว่าจะเอามาแจกเพื่อน แจกไปแล้วก็ยังเหลืออยู่อีกหลายใบ
ถ้ามีปัญหาเรื่องแป้นภาษาไทย ยินดีเมล์ไปให้ด้วยความเต็มใจครับ ผมอยู่ Alhambra เข้าใจว่าไม่ไกลจากคุณพวงร้อยเท่าไหร่

apichatch@hotmail.com


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 01 ก.พ. 01, 16:23
ชื่นใจในนำ้ใจไมตรีเป็นอย่างยิ่งค่ะ  โดยเฉพาะจากคุณเทาชมพู  เดี๋ยวนี้ชักผวาหน่อยๆค่ะ  เกรงว่าจะไปทำให้คนโกรธ  
เลยคิดว่าหากเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสีย  แล้วไปหัดพูดให้เข้าหูคนกว่านี้หน่อยเอาเองดีกว่า  บางทีก็ประเมินไม่ค่อยถูกเหมือนกันค่ะ  
เพราะเป็นคนตรงไปตรงมา   แรกๆก็ไม่ค่อยคิดอะไรค่ะ  แต่ไปเจอประสบการณ์ที่ไม่อยากเจอเข้า  ก็เกรงอยู่เสมอมาว่าจะไปทำให้ใครโกรธอีก    
ในนี้ก็คุยกันแต่เรื่อง ร๑ กับพระเจ้าตากกันต่อก็แล้วกันนะคะ  เรื่องของพวงร้อยกับคุณเทาชมพูไว้จะมาเม้ากันเองทางเมล์ก็แล้วกันค่ะ  อิอิ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: Linmou ที่ 01 ก.พ. 01, 17:24
จากที่ปะติดปะต่อเอาเองจากที่ปราชญ์ทั้งหลายพิมพ์มาให้เป็นวิทยาทาน โดยเฉพาะจากคุณเทาชมพูและคุณพวงร้อย ดูเหมือนจะได้ข้อสังเกตอยู่สองข้อนะค่ะว่า
๑. พระเจ้าตากพระนิสัยเปลี่ยนไป
๒. ร.๑ ไม่ค่อยกลมเกลียวกับพระเจ้าตากนัก(เพราะจากที่คุณพวงร้อยสันนิษฐาน ทั้งไม่ให้พบหน้าครั้งสุดท้ายก่อนประหาร และโบยบรรดาสนมเก่าของพระเจ้าตากที่ร่ำไห้อาลัยอาวรณ์พระเจ้าตากอีกด้วย ซึ่งประเด็นหลังน่าจะเป็นการยืนยันว่าน่าจะไม่ใช่แค่ "ไม่สะดวกใจจะพบหน้าเพราะไม่สะดวกใจ" อย่างที่คุณพระนายว่านะคะ)


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 01, 19:40
ุหลักฐานที่แสดงถึงพฤติกรรมของพระเจ้าตากที่เปลี่ยนแปลงไปจากต้นรัชกาล  ในช่วง ๕ ปีสุดท้ายก่อนสิ้นรัชกาล มีอีกหลายอย่าง

หลังจากสิ้นหม่อมอุบลและหม่อมฉิมไม่นาน   เจ้าจอมคนหนึ่งในวังก็ตั้งครรภ์ขึ้นมา   เมื่อพระเจ้าตากทรงทราบ   ก็เกิดความคลางแคลงใจว่าเคยเรียกเข้ามาปรนนิบัติเพียงครั้งเดียว  ทำไมถึงท้องขึ้นมาได้   ก็ทรงสั่งให้มีการไต่สวนเรื่องนี้
ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเจ้าจอมคนนั้นไปทำอะไรชวนให้สงสัยในทางอื่นนอกเหนือจาก "ครั้งเดียว" อย่างที่ว่า   เมื่อถูกไต่สวนว่าท้องกับใคร     จะด้วยอะไรก็ไม่ทราบ แทนที่จะยืนยันว่ามีพระองค์เจ้าอยู่ทั้งองค์ในครรภ์   เธอก็ตอบว่า
"ท้องกับเจ๊ก"
คำว่า "ท้องกับเจ๊ก" นี้นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังตีความได้ ๒ แบบ คือ   ๑) สารภาพว่าพ่อของเด็กเป็นคนอื่น จะเป็นคนจีนที่ไหนก็ไม่ทราบ  และ ๒) ประชดไปถึงพระเจ้าตาก เพราะทรงเป็นลูกจีน
ที่ค่อนข้างจะเชื่อกันว่าเป็นประการที่ ๒ เพราะถ้าหากว่าเป็นข้อ ๑  ชู้ก็ต้องถูกจับตัวมาไต่สวนลงโทษประหารไปแล้วแน่นอน    ไม่มีทางว่าจะลอยนวลอยู่ได้  ถึงจะหนีหายไปไหนก็ต้องมีบันทึกเอาไว้ว่าเป็นใครที่บังอาจถึงขนาดนั้น  แต่ไม่เห็นมีหลักฐานว่าไต่สวนถึงคนอื่นที่เกี่ยวข้อง  
ผลมีเพียงว่าเจ้าจอมคนนั้นก็ถูกโบยจนตาย  ส่วนลูกคลอดออกมาก่อน ชื่อว่าเจ้าเล็ก
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯหรือเจ้าพระยาจักรีรับเจ้าเล็กไปอุปการะไว้  จนเวลาล่วงมา ๒ ปี พระเจ้าตากก็รับสั่งว่า
" ลูกมันหาเอาไปกับแม่มันไม่   ยังจะทำพันธ์ไว้อีก"
เจ้าเล็กก็เลยถูกฆ่าตาย ตามแม่ไป  จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าเล็กเป็นลูกใครกันแน่
แต่การที่พระพุทธยอดฟ้าทรงรับเจ้าเล็กไปเลี้ยงไว้ ทำให้ดิฉันคิดว่าเจ้าเล็กคงไม่ใช่ลูกชู้  เพราะถ้าเป็นลูกชู้ ขุนนางแม้ระดับ "บิ๊ก" ย่อมไม่กล้าจะเอาไปเลี้ยงไว้  เสี่ยงเป็นภัยกับตัวเองเปล่าๆ   ดีไม่ดีถูกเข้าใจว่าเป็นญาติโยมกับชู้หรือเป็นตัวชู้เสียเองจะยิ่งเคราะห์ร้ายหนักขึ้น  เพราะตอนนั้นพระราชอำนาจก็อยู่ที่พระเจ้าตาก จะสั่งปลดสั่งประหารขุนนางคนไหนก็ทำได้ทั้งสิ้น  โทษที่ขุนนางพึงได้รับถ้าละเมิดนางในก็มีแต่ตายลูกเดียวอยู่แล้ว

- เรื่องต่อมาคือพระเจ้าตากทรงมีพระบรมวินิจฉัยเรื่องการฟ้องร้องกันในพระราชอาณาจักร  โดยกำหนดว่าถ้าราษฎรหรือขุนนางคอรัปชั่นไม่ส่งเงินเข้าคลังหลวงตามหน้าที่   ใครรู้เข้าขอให้ฟ้องร้องแล้วจะพระราชทานรางวัลให้ ก็คงคล้ายๆสินบนนำจับ
แต่จะด้วยความบกพร่องช่องโหว่ของการดำเนินการยังไงก็ไม่ทราบ  ก็กลายเป็นว่ามีคนหัวใสมองเห็นช่องทางหาเงิน  ตั้งตัวเป็นโจทก์ฟ้องใครต่อใครกันยกใหญ่   ถึง ๓๐๐ คน
มีหัวหน้าใหญ่ ๒ คนชื่อพันศรีกับพันลา  เป็นโจทก์ฟ้องไม่เลือกหน้า  แล้ววิธีการรีดเงินจากประชาชนก็สาหัสเอาการ คือเฆี่ยนจนกระทั่งได้เงินตามต้องการ จนเดือดร้อนกันไปทั้งเมือง
กรมหลวงนรินทรเทวี บันทึกไว้ว่า
" กรุงธนบุรีเกิดโกลี  พันศรีพันลายื่นฟ้องว่าขุนนางและราษฎรขายข้าวเกลือลงสำเภา  โยธาบดีผู้รับฟ้องกราบทูล  รับสั่งให้เร่งเงินที่ขุนนางราษฎรขายข้าวเกลือ ให้เฆี่ยนเร่งเงินเข้าท้องพระคลัง  ร้อนทุกเส้นหญ้า  สัมมนาประชาราษฎรไม่มีสุขทุกข์เข็ญเป็นที่สุดในปลายแผ่นดิน"
ขุนนางที่โดนหนักที่สุดคนหนึ่งชื่อหลวงประชาชีพ   มีโจทก์ฟ้องเรื่องขายข้าว  ก็ถูกตัดศีรษะแล้วมีรับสั่งให้หิ้วหัวเข้ามาให้ทอดพระเนตรถึงในพระราชวัง

นอกจากนี้ ทรงบันทึกไว้ว่า
"เงินในคลังในหาย ๒๐๐๐ เหรียญ…แพรเหลือง ๒๐ ม้วน  รับสั่งเรียกหาไม่ได้  ชาวคลังต้องเฆี่ยน  ใส่ไฟย่างแสนสาหัส"

คือเจ้าหน้าที่ฝ่ายการคลังถ้าทำเงินในความรับผิดชอบหายไป โทษโดนเฆี่ยนนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ถือว่าเป็นอย่างเบาที่สุด   เพราะหายขนาดนี้คนนอกไม่น่าจะลอยนวลมาเอาไปได้ ก็คงพวกเดียวกันนั่นแหละ   แต่ดิฉันก็สงสัยว่า ทำไมถึง " ใส่ไฟย่างแสนสาหัส"   (แปลว่าย่างทั้งเป็นจนตายค่ะ  ไม่ใช่ย่างพอหนังเกรียมๆ แล้วก็ปล่อย) เพราะการลงโทษแบบนี้ไม่พบมาก่อนสมัยอยุธยา
เรื่องเงินหายนี่กลายเป็นเรื่องใหญ่  เพราะพระเจ้าตากทรงสงสัยว่าบรรดาเจ้านายฝ่ายในนั่นแหละเป็นผู้ขโมยไป   หลักฐานทรงได้จากไหนไม่ปรากฏ  แต่ผลก็คือเจ้านาย ขนาดพระมาตุฉา  พระพี่นาง ซึ่งเป็นระดับใหญ่มาก โดนเป็นแถว   แต่รอดตัวไปไม่ถูกลงโทษ ให้ลูกชายลูกสาวโดนแทน   โดนเรื่อยไปจนถึงนางกำนัล  เฆี่ยนคนละ ๑๐๐ ทีบ้าง ๑๕๐ ทีบ้าง  บางคนตัวเองรอดไปแต่เอาพ่อแม่พี่น้องไปจนกระทั่งทาสมาเฆี่ยนแทนก็มี
มีเรื่องเล่าว่าถึงสมัยรัตนโกสินทร์  เจ้านายสตรีในราชวงศ์จักรีที่เคยเป็นนางในวังธนบุรี ยังมีริ้วรอยหวายเต็มหลังให้เห็น ตอนเวลาล่วงมาจนถึงรัชกาลที่สองที่สาม

เรื่องที่ถือกันว่าใหญ่ที่สุด คือเรื่องที่พระเจ้าตากทรงตั้งปัญหาถามที่ประชุมพระราชาคณะ ว่า พระสงฆ์(ที่ยังไม่ได้บรรลุโสดาบัน) จะกราบคฤหัสถ์ที่บรรลุโสดาบันได้หรือไม่
พูดอีกทีว่าไม่ได้เอาผ้าเหลืองวัดกัน แต่วัดกันด้วยการบรรลุธรรม
พระสงฆ์จำนวนมากตอบว่าได้   มี ๓ องค์เท่านั้นตอบว่าไม่ได้ คือสมเด็จพระสังฆราชวัดบางหว้าใหญ่(วัดระฆัง)  พระพิมลธรรมวัดโพธาราม( วัดพระเชตุพน) และพระพุฒาจารย์วัดบางหว้าน้อย(วัดอมรินทร์)
ดิฉันก็ไม่เคยบวช   เลยตอบไม่ได้ว่าหลักการนี้ใครถูกใครผิด  แต่ใจเชื่อว่าพระชั้นผู้ใหญ่ ๓ องค์นั้นน่าจะถูกต้อง เพราะทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับพระวินัย  พระพุทธเจ้าทรงยึดหลักง่ายๆคือจากสิ่งที่มองเห็นและจับต้องได้ เช่นเรื่องอาวุโสของพระ     พระสงฆ์ที่บวชทีหลังก็ต้องเคารพ นั่งหรือเดินตามหลังพระที่บวชก่อน   ไม่ว่าบรรลุธรรมมากกว่ายังไงก็ตาม   เพราะการบรรลุเป็นสิ่งที่มองเห็นกันยาก  วัดกันยาก  แต่ทำให้โต้เถียงกันง่าย  ผิดกับการบวชก่อนบวชหลังนี่เห็นชัดกว่า เถียงกันไม่ได้     พระวินัยจึงมุ่งการจัดระเบียบ  ไม่งั้นจะยุ่งกันใหญ่ว่าใครใหญ่ใครเล็ก
ส่วนเรื่องพระกับชาวบ้านก็แน่อยู่แล้วว่าเราถือว่าพระสงฆ์เหนือกว่าคฤหัสน์   แม้แต่กับเจ้านาย พระสงฆ์ก็จะไม่แสดงความเคารพก่อน และไม่นั่งต่ำกว่า
แต่ผลของคำตอบก็คือพระชั้นผู้ใหญ่ทั้ง ๓ องค์ กับลูกศิษย์ลูกหาถูกเอาตัวไปเฆี่ยนหลังลายกันหมด

เรื่องการเฆี่ยนพระสงฆ์นี้มีผู้ตีความไปทางอื่นแต่ดิฉันจำไม่ได้แล้วว่าตีความว่ายังไง   ใครจำได้ช่วยบอกด้วยค่ะ

เรื่องขององเชียงชุน  เจ้าญวนองค์นี้หนีร้อนมาพึ่งเย็นอยู่ในธนบุรี  วันหนึ่งพระเจ้าตากทรงนั่งวิปัสสนา เห็นว่าเจ้าญวนขโมยเพชรเม็ดใหญ่ของพระองค์ไปแล้วแอบกลืนเพชรเข้าไปในท้อง   จึงทรงเอาตัวมาไต่สวน เจ้าญวนก็ปฏิเสธ   จึงถูกจับพิสูจน์ว่าทำผิดจริงหรือไม่ด้วยการผ่าท้องออกมาดู  
 องเชียงชุนจะเอาเพชรไปจริงหรือไม่ ไม่ทราบ  แต่ไม่มีเพชรอยู่ในท้อง  ก็เป็นอันว่าแกก็ตายไป ส่วนเพชรนั้นหายไปจริงหรือไปเจอที่ไหน  ไม่ทราบ  แม้แต่แกกลืนเข้าไปทำไม หาที่ซ่อนดีกว่านั้นไม่ได้แล้วหรือ ก็ไม่มีคำไขให้กระจ่าง
ต่อไปคือการจลาจลปลายกรุงธนบุรี  ที่พระยาสรรค์มีบทบาทสำคัญค่ะ
ขอตัวไปพิมพ์อีกที


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: B ที่ 01 ก.พ. 01, 21:12
Dear Khun พัดโบก ka, I just found out that you are in Alhambra, I am in Claremont ka.  
I also have the problem of Thai font. Thus, can I e-mail you?


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 01 ก.พ. 01, 23:33
อืม หลักฐานจากทางคุณเทาชมพู มีในชัดเจน ว่า พระเจ้าตากท่านมีอาการเปลี่ยนแปลงไปมาก ดูจากตอนนี้ก็เห็นชัดว่า อาจจะถึงขั้น ทรงมีจิตใจไม่ปกติ ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าเป็นไปได้ ถ้าเชื่อตามหลักฐานประวัติศาสตร์ อันนี้ ซึ่งผมไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น
ต่อมาก็คือ การเปลี่ยนอำนาจ จากราชวงศ์ธนบุรี ไปยัง ราชวงศ์จักรี ที่ผมยังสงสัยอยู่ และผมก็มีแนวโน้มเชื่อว่า เนื่องจาก เจ้าพระยาจักรี ท่านเป็นทหารเอก มีตำแหน่งและมีบารมีสูงมาก คงมีขุนนางอยู่ในอำนาจเป็นอันมาก เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนี้ ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดตอนเกิดเรื่อง ท่านจะไม่ได้อยู่ในกรุงธนบุรี แต่ไปตีเมือง ลาวหรือเขมรอยู่ด้วยซ้ำ  เมื่อเกิดเรื่องท่านจึงกลับมา ใช่ไหมครับ แล้วท่านก็ชำระความทุกอย่างเรียบร้อย แล้วก็เป็นอันจบราชวงศ์ธนบุรี แบบนี้เรียกว่าเป็นการยึดอำนาจโดยละม่อมหรือเปล่าครับเนี่ย


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 02 ก.พ. 01, 00:34
สำนักความคิดทางสายอาจารย์นิธิ ไม่แน่ใจว่าเป็นตัวอาจารย์เองนะครับ ให้ภาพว่าเป็นทำนองการต่อสู้ทางอุดมการณ์ทางการเมืองเอาด้วยซ้ำ ระหว่างกลุ่มใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะใหม่ นำโดยพระเจ้าตาก กับกลุ่มที่ต้องการฟื้นระบบเดิมสมัยกรุงศรีอยุธยา "แต่ครั้งบ้านดีเมืองดี"  ขึ้นมาเป็นกรุงเทพฯ และเห็นว่า นอกจากระยะหลังๆ พระเจ้าตากสินโดยเฉพาะส่วนพระองค์เอง จะมีพระอาการแปลกๆ (จนทำให้เกิดความระส่ำระสาย) ไปแล้ว ระบอบของพระองค์ทั้งหมดยังเป็นตัวแทนอุดมการณ์การเมืองคนละอย่างกับสมัยอยุธยาด้วย และฝ่ายหลังนี่ต้องการกู้ระบบเดิมขึ้นมาใหม่ สร้างกรุงกันใหม่ รื้อระบบบูรณะใหม่ให้ "ดีเหมือนเดิม"

ผมว่าถ้าพิจารณาอย่างนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาของประวัติศาสตร์ หรือของการเมืองครับ ในสมัยยุคใกล้ ตอนนี้เกาหลีชักจะดีกันแล้ว แต่ลองนึกย้อนไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นถูกปลดอาวุธไล่ออกไปจากเกาหลี ทางคิมอิลซุงก็อ้างว่าเขาเป็นวีรบุรุษผู้กู้ชาติ (คนหนึ่ง) แต่เกาหลีใต้ก็ยังทะเลาะกับเกาหลีเหนืออยู่ดี เรื่องกู้ชาติก็เอาเถอะ ถือว่าช่วยกันกู้ แต่กู้แล้วจะพาชาติไปทางไหนต่อ อุดมการณ์ไม่ตรงกันครับ ก็ขัดแย้งกันได้ครับ (เป็นแต่ว่าพวกใต้ไม่เคยอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลทางเหนือเท่านั้น)
ถ้าสถานการณ์เฉพาะหน้ามันวุ่นวายมากๆ หนึ่ง (เพราะการที่เจ้าแผ่นดินทรงมีพระอาการแปลกๆ) แล้วก็ underlying cause (s) มีความคิดอยู่ว่า ระบบพระเจ้าตากนี้จะพาเมืองไทยไปทางไหน จะต้องหยุดระบบไว้แล้วนำเมืองไทยกลับมาทางที่ "ถูกต้อง" ตามความเห็นของฝ่ายขุนนางเก่ากรุงศรีฯ ก็เป็นเหตุผลที่พอให้ฝ่ายก่อการกระทำการได้ครับ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พัดโบก ที่ 02 ก.พ. 01, 01:58
ผมเมล์ไปแล้วนะครับ คุณบี

เอ..คุณนกข. เท่าที่ผมอ่าน อ. นิธิ เหมือนท่านพูดทำนองว่า ในช่วงปลายรัชกาลของพระเจ้าตาก
น่าจะมีการสร้างข่าวลือเรื่องวิกลจริจขึ้นมามากกว่า
เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการขจัดพระมหากษัตริย์ที่ชาวบ้านมองว่า มีบุญญาภินิหาร
หลังจากสำเร็จโทษได้แล้ว ในรัชสมัยของ ร. 1 จึงยกเหตุผลเรื่องอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกันขึ้นมาแทน เพราะเรื่องเสียพระสติ เป็นเรื่องที่ทราบกันอยู่ทั่วไปว่าไม่จริง

ผมสงสัยอีกอย่างครับ ว่า เมื่อครั้งที่สำเร็จโทษพระเจ้าตากนั้น ทหารฝ่ายพระเจ้าตายนั้นร.1 ตัดสินประหารชีวิตไปหลายนาย ทำไมหนึ่งในจำนวนนี้ ไม่มีพระยาพิชัย
ทั้งที่เป็นขุนพลเอกคนสนิท ร.1 ถึงกับทรงตั้งใจจะชุบเลี้ยงไว้ด้วยซ้ำ แต่พระยาพิชัยกลับยอมตายเอง


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 02 ก.พ. 01, 06:24
ไม่ทราบคุณเทาได้อ่านหนังสือของ อจ นิธิหรือยังคะ  นอกจากเล่มที่ดิฉันคัดข้างบนแล้ว (ซึ่งบางหน่อย) ก็ยังมีเล่มหนาปึ้กที่คุณพัดโบกว่า   เพราะที่คุณเทาฯคัดมานั่น  ดิฉันก็ได้อ่านและเชื่อมาก่อน  จนเมื่อมาอ่านของ อจ นิธิ นั่นแหละค่ะ  ถึงได้สะดุดใจ  ดิฉันไม่ใช่จะเชื่อใครง่ายๆ  แต่รูปแบบการนำเสนอของอาจารย์น่าเชื่อถือมาก  แต่ถ้าไม่ได้อ่านโดยตลอด  คัดเป็นท่อนๆอย่างที่ดิฉันนำมานี่ทำให้ไม่เห็นถึงขั้นตอนการวิเคราะห์  และข้อมูลไม่ต่อเนื่อง  ทำให้ทำใจรับได้ยากสักหน่อย  จำได้ว่าเมื่ออ่านครั้งแรกก็กระตุกๆอยู่เหมือนกันค่ะ  แต่เท่าที่พอจะย่อๆมาคือ

การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากพระเจ้าตากมาเป็น ร1 นั้น  เป็นไปตามความต้องการทางสังคมในยุคนั้น  ที่ต้องการผู้ปกครองที่เข้มแข็งที่สุด  ใครอ่อนแอก็ถูกเปลี่ยนไป  psychology ของคนตอนนั้น  กำลังเครียดกับการศึกไม่เว้นแผ่นดิน  การสับเปลี่ยนแผ่นดินต้องมาจากเหตุผลที่ ความมั่นคงของชาติ เป็นสิ่งแรก   เพราะประเทศของเรา  ต้องอาศัยยืนอยู่ด้วยตัวเอง  ไม่ได้มีองค์กรที่อำนาจเหนือกษัตริย์ต่างๆในแว่นแคว้นนี้มาช่วยไกล่เกลี่ย  ดังเช่นในยุโรปสมัยกลาง  ดังนั้น การ "ปราบดาภิเษก" ของเรา  จึงเป็นเงื่อนไขทางสังคมที่ยอมรับกันได้ตามสภาพสังคมของเรา  แต่เมื่อเรายอมรับว่าวัฒนธรรมฝรั่งมีความเจริญกว่าของเรา  เราต้องไปเลียนแบบเขาบางอย่าง  เพื่อความอยู่รอดของเราเองไม่ให้ถูกลัทธิล่าอาณานิคมกลืนชาติไป  จึงทำให้มี motive ที่จะไปตบแต่งให้ประวัติศาสตร์ของเรา "ดูดี" ขึ้นในสายตาฝรั่ง  

อจ นิธิ ไม่ได้บอกว่า  การปราบดาภิเษกนี้ ไม่เป็นการชอบธรรม  ท่านเห็นว่ามีความชอบธรรมตามยุคตามสมัยโดยควรแล้ว  แต่คนสมัยหลังมาเสริมแต่งให้ดู "ชอบธรรม" ไปมากยิ่งขึ้น  อันนี้ก็เป็นความรู้สึกของดิฉันเองด้วยนะคะ  ไม่แน่ใจว่าตีความ อจ นิธิผิดไปหรือเปล่า

เรื่องการลงโทษโหดเหี้ยมอะไรนั่น  ดิฉันว่าน่าจะมีกันทั้งนั้น  จะน้อยจะมากต่างกันบ้าง  แต่เราไม่ได้ยินกัน  อย่างการสับศพนักโทษเป็นท่อนปล่อยให้แร้งกากิน  ว่ากันว่า  ที่วัดพระเมรุสมัยก่อนเป็นที่ประหาร  ก็มีแร้งอยู่เป็นจำนวนมาก  จนมาเลิกไปเมื่อมีฝรั่งเข้ามานี่เอง

ฝรั่งเองก็มีความโหดไม่แพ้กันหรอกค่ะ  ที่มาดัดจริตทำเป็นศิวิไลซ์ก็สมัยที่ไปดูดทรัพยากรจากเมืองขึ้นมาเลี้ยงตัว  จนไม่ต้องแย่งกันกินเหมือนก่อน  แล้วค่อยเอาความศิวิไลซ์นั้นมาเป็นข้ออ้าง  ที่จะไปหาเหยื่อรายใหม่มาดูดทรัพยากรต่อเท่านั้นเอง  มันก็เข้าปลาใหญ่กินปลาเล็ก  ในตอนนั้นเราเป็นปลาเล็ก  ก็ต้องจำยอมหาทางเอาตัวรอดไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นเขาก่อน  จึงอาจทำให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเราตกหายไปได้

แต่เดี๋ยวนี้  เราไม่มีเหตุผลกดดัน "ความจริง" ขนาดนั้น  ก็น่าจะเป็นเหตุผลอันดี  ที่จะมารื้อฟื้นดูว่า  ประวัติศาสตร์ของเราขาดหาย หรือมีมาที่อื่นอีกอย่างใด  การได้ข้อมูลให้ครบทุกด้าน  ก็เพื่อเข้าใจตัวของเราเอง  เราจะเข้าใจตัวเองได้ยาก  หากไม่รู้รากของตัวเองทั้งหมด

คุยกันเรื่องนี้ก็ลำบากใจเหมือนกัน  เพราะถ้าพูดไม่หมด  ก็อาจจะเข้าข่ายได้เหมือนกัน  จะให้พูดทีเดียวให้หมดก็พิมพ์ไม่ไหวน่ะค่ะ  ตอนนี้ขอคุยเท่านี้ก่อนนะคะ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 02 ก.พ. 01, 06:40
ขอนอกเรื่องหน่อยนะคะ



คุณภูมิคะ  ขอบคุณมากค่ะ  ดิฉันใช้ผังแบบนั้นมานานแล้วค่ะ  ถึงค่อยพอพิมพ์ได้  อาศัยพิมพ์ผังออกมาวางไว้ใกล้ๆ  แรกๆก็ดูผังที หันมาจิ้มแป้นที  บทความแรกที่ดิฉันเขียน  ใช้เวลาสองเดือนกว่า  เพราะพิมพ์แล้วก็อ่านได้แต่บนจอเท่านั้น  พิมพ์ออกมาตรวจทานแก้ไขไม่ได้  บทความยาวเกินจอก็ต้องอาศัยจำเอาว่าเขียนไปแล้วอย่างไรบ้าง  ทำให้ออกมาดูไม่กลมกลืนกันดีเลยค่ะ  เพิ่งมาสองปีนี้เองที่พิมพ์ได้  แต่ก็ตีลังกาทุลักทุเลหลายตลบค่ะ  



นอกเรื่องเรื่องที่สองนะคะ  เรื่องความมีอารยธรรมไม่มีอารยธรรมนี่  ดิฉันไม่เห็นเป็นเรื่องทำให้ใครเหนือกว่าใคร  ถือว่า พฤติกรรมมนุษย์ ถูกกำหนดโดยเงื่อนไขทางสังคม  โดยเฉพาะเงื่อนไขทางวัตถุปัจจัย  เอาชนชาติฝรั่งมาอยู่แถบนี้  มีเงื่อนไขอย่างเดียวกัน  ก็คงไม่ได้พัฒนาแตกต่างกันไปเท่าไหร่หรอกค่ะ  ดิฉันไม่เคยยอมรับว่าใครเหนือกว่าใคร  จะชาติไหนก็เหอะ  เคยมีเพื่อนฝร่ังอเมริกันมาหัวเราะล้อเลียนดิฉันเรื่องกินอะไรที่เค้าไม่กินกัน  อย่างเช่นตับ หรือเครื่องใน  ดิฉันก็บอกไปว่า  



"American culinary culture is the only one in the world that hasn't been shaped by famine.  Therefore your culinary potential hasn't blossomed to its fullest from lack of motives to explore diversity in methods of cooking and ingredients.  Such lack of use of intellegence to refine your culinary skills results in rather primitive culture in this aspect."  



ก็ทำเอาฝร่ังเลิกทำหน้ายี้ใส่มาหลายแล้วค่ะ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 02 ก.พ. 01, 08:22
แล้วจะอธิบายความในพระราชพงศาวดาร ร.๑ ว่าอย่างไรครับ ในเรื่องที่มีข้าฝ่ายในจำนวนมากร้องไห้อาลัยพระเจ้าตากในวันพระราชทานเพลิงแล้วถูกโทษเฆี่ยนกันทุกคน พงศาวดารฉบับที่ว่านี้ผ่านการชำระในสมัยร.๔แล้วด้วย แต่ความตรงนี้ก็ไม่ถูกตัดทอนไป ถ้าจะให้ดีลองอ่านเทียบฉบับพระยาทิพากรวงศ์กับฉบับพระราชหัตถเลขาดูได้ครับ แล้วลองประเมินเอา บางครั้งการอ่านบทสรุป(ซึ่งอาจจะแฝง bias ของผู้เขียน) อาจจะไม่ใช่วิธีศึกษาประวัติศาสตร์ที่ดีนักนะครับ
อีกอย่างฝากคุณพัดโบกด้วย พระยาพิชัยดาบหักถูกประหารชีวิตในช่วงผลัดแผ่นดินครับ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.พ. 01, 08:41
ดิฉันอ่านหนังสือของอ.นิธิ เรื่องการเมืองสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีค่ะ   ความจริงก็อ่านของท่านเกือบทุกเล่มละค่ะ ใครสนใจประวัติศาสตร์ไทยแล้วไม่อ่านของอ.นิธิก็่น่าเสียดาย
แต่อ่านแล้วไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป
ตามความเข้าใจของดิฉัน  อ.นิธิไม่ได้บอกว่า สมัยปลายธนบุรี เรื่องเหตุการณ์ต่างๆที่ดิฉันยกมานั้นเป็นเรื่องกุขึ้นมาโดยชนรุ่นหลัง   มันมี " อะไร" เกิดขึ้นจริงๆ  แต่ " อะไร" นั้นอ.นิธิไม่ได้ปลงใจเชื่อว่าเป็นการวิกลจริต

เหตุการณ์บางอย่าง อ.นิธิก็ถือว่าเป็นการลงโทษตามอำนาจการปกครอง   ไม่เกี่ยวกับวิกลจริตหรือไม่  พูดอีกทีว่าแม้พระเจ้าแผ่นดินที่ปกติดี ก็อาจปกครองได้ในลักษณะเดียวกัน
และอีกเรื่องหนึ่งที่อ.นิธิพูดไว้ คืออาการของพระเจ้าตาก อาจไม่ใช่วิกลจริต เป็นเพียงอาการเครียด  
วิกลจริต หรือเป็นบ้า คือโรคจิต แต่อาการเครียดเป็นโรคประสาท คนละโรคกัน
อย่างหลังนี่บางคนก็มีได้ แต่ก็อยู่ในสังคมได้

แต่ดิฉันไม่เห็นด้วยกับอ. นิธิ   ตรงที่ว่า ตราบใดเราไม่สามารถจะนั่งยานเวลาพาหมอไปตรวจอาการท่านเองได้  ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าท่านเป็นโรคอะไรกันแน่
การที่พงศาวดารบอกว่าท่านเสียสติ น้ำหนักก็พอๆกับอ.นิธิว่าท่านเป็นโรค paranoid คือมีอาการหวาดระแวงและหลงผิดในบางเรื่อง
ดิฉันถือว่าเป็นมุมมองของอ. นิธิ เท่านั้น

สิ่งที่ดิฉันพิมพ์มาให้อ่านกัน   คือสิ่งที่บันทึกไว้ในพงศาวดาร  ถ้านักวิชาการคนหนึ่ง ไม่ว่าใคร บอกว่าเป็นเรื่องสร้างขึ้น   เขาก็จะนำหลักฐานมายืนยันว่า อะไรที่พิสูจน์ว่าสร้างขึ้น   ไม่ใช่กล่าวลอยๆ
ส่วนดิฉันเอง เชื่อว่าหลักฐานบางส่วนไม่ได้สร้างขึ้น จึงนำส่วนนั้นมาลงไว้ คือบันทึกของบาทหลวง ที่ไม่อยู่ในอำนาจของราชวงศ์จักรี
ส่วนเรื่องอื่นอย่างการประหารเจ้าจอมที่ "ท้องกับเจ๊ก" องเชียงชุน  การเฆี่ยนหลังนางใน  เรื่องพันศรีพันลา ยังมองไม่เห็นหลักฐานลบล้างว่ามันไม่จริง

ถ้ายังงั้นนักวิชาการเขาทำงานกันยังไง
เปรียบเทียบอย่างนี้ดีกว่า  คุณคงเคยได้ยินคำว่า "นักวิทยาศาสตร์บอกว่าผีไม่มีจริง  เพราะไม่เคยพิสูจน์ได้ว่าผีมีจริง"
แต่...
ลองพิจารณาข้อความนี้บ้าง
" นักวิทยาศาสตร์บอกไม่ได้ว่าผีไม่มีจริง  เพราะไม่เคยพิสูจน์ได้เลยว่าผีไม่มีจริง"
คุณว่าอย่างไหนถูก หรือว่าถูกทั้งสองข้อ?

คุณ CrazyHOrse ดิฉันจะเล่าถึงการปราบดาภิเษกทีหลังค่ะ ตอนนี้ยังไม่ถึงฉากพระยาสรรค์เลย


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 02 ก.พ. 01, 13:07
อยากให้คุณเทาชมพูช่วย refer หน่อยได้ไหมครับ ว่าเรื่องที่เล่ามีที่มาอย่างไร หนังสือเล่มไหน เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ต้องการจะศึกษาเพิ่มเติมครับ ขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับ



สำหรับผู้สนใจ ผมเจอบทความของคุณปรีดา ศรีชลาศัย ที่เคยลงตีพิมพ์ในศิลปวัฒนธรรม มีผู้นำมาใส่ไว้ใน website siamcollection.com ลองดูไว้เป็นข้อมูลหนึ่งนะครับ ตาม link ข้างล่างนี่ครับ

http://siamcollection.com/kingtaksin04.html

อนึ่ง ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า ผู้เขียนบทความนี้อาจจะมี bias อยู่บ้าง แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฎในบทความนี้ หลายๆอย่างก็น่าสนใจมาก มุมมองที่ต่างกันสามารถอ่านได้ในพงศาวดารครับ ลองเปรียบเทียบดูว่าอันไหนน่าเชื่อถือ มีเหตุผลสอดคล้อง มีน้ำหนักมากกว่ากันนะครับ

++++++  กาลามสูตร ++++++


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 02 ก.พ. 01, 13:40
อืม เห็นด้วยกับคุณเทาชมพูครับว่าเราพิสูจน์ไม่ได้ว่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่บอกว่าพระเจ้าตาก ท่านทรงเสียจริต กับที อ. นิธิ บอกว่าไม่ได้เสียจริตนั้น หักล้างกันไม่ได้ แต่ผมว่า หลักฐานชิ้นสำคัญเลยนะครับ ก็คือ พระเจ้าตาก ถูกจับสำเร็จโทษ แล้วแทนที่ราชบัลลังกิ์ จะสืบต่อให้พระโอรส หรือพระญาติ เพื่อสืบราชวงศ์ธนบุรี แต่กลับไม่ใช่ แต่เป็นการเปลี่ยนราชวงศ์ แล้วก็มีการจัดการกับเชื้อพระวงศ์ พระญาติของพระเจ้าตากและคนใกล้ชิด ไปหลายคน นี่เป็นหลักฐานของการยึดอำนาจที่ชัดเจนมั้งครับ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.พ. 01, 14:26
คุณ CrazyHOrse คะ ดิฉันตั้งใจว่าเมื่อกระทู้นี้จบลงดิฉันจะเขียนรายชื่อหนังสืออ้างอิงเอาไว้เป็นบรรณานุกรม เผื่อสนใจจะตามอ่านกันค่ะ  รวมไว้ในความเห็นเดียว

คุณพระนายคะ  ใช่ค่ะเป็นการเปลี่ยนราชวงศ์เลยไม่มีการสืบต่อเชื้อสายราชวงศ์ธนบุรี  เป็นการล้มล้างอำนาจราชวงศ์เดิม
แต่มีเว้นบางองค์ไว้

คืนนี้จะฉายหนังต่อค่ะ  นำแสดงโดยพระยาสรรค์  ยาววววอีกเหมือนกัน


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.พ. 01, 23:20
เสียใจค่ะคืนนี้พิมพ์ไม่เสร็จ    จะกลับมาฉายหนังวันอังคารนะคะ  วีคเอนด์นี้ไม่อยู่ค่ะ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 10 ก.ย. 09, 00:14
เพียงส่งข่าวว่า...จะเล่าให้ฟัง..(จดมาให้อ่าน)...ในอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งอยู่คนละขั้วโลกของยักประวัติศาสตร์...แต่น่าสนใจมาก..และเป็นที่ฮือฮาในหมู่ผู้ปฎิบัติธรรม โดยเฉพาะสายหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ- วัดท่าซุง และหลวงพ่อจรัล-วัดอัมพวัน สิงห์บุรี คงไม่เสียหลายที่จะประดับความรู้อีกแง่มุม....พรุ่งนี้ครับ..


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: perceval ที่ 11 ก.ย. 09, 11:54
เรียนทุกท่านที่สนทนากันในกระทู้นี้

ดิฉันเป็นสมาชิกใหม่ที่เข้ามาในเรือนไทยเพื่ออ่านเรื่องเก่า ๆ ซึ่งหลายเรื่องมีความเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษของดิฉัน ในวันนี้ ขอแสดงความรู้สึกสักเล็กน้อย เนื่องจากกระทู้นี้เป็นการพาดพิงถึงบรรพบุรุษของดิฉันทั้งสองท่าน ขอเรียนว่าสายสกุลทางคุณตาของดิฉัน เป็นสกุลสายตรงของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คือเป็นสายของสมเด็จพระมหาอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ โดยคุณตาของดิฉันคือพลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการสมัยรัชกาลที่แปด  ส่วนสกุลทางฝ่ายคุณปู่ของดิฉัน สืบสกุลสายรองมาจากรัชกาลที่หนึ่ง คือจากสายของพระอนุชาของรัชกาลที่สอง ซึ่งได้แก่กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ดิฉันจะไม่ไล่ลำดับสกุลให้ฟังเพื่อยืนยันตัวตนของดิฉันหรอกนะคะ แต่จะขอแค่แสดงความรู้สึกเมื่อได้อ่านกระทู้นี้เท่านั้น

ดิฉันคิดว่าทุกท่านคงไม่ได้หมายจะพูดคุยเพื่อเอาชนะคะคานกันว่าพระเจ้าตากเสียพระจริตจริงไหม สมควรถูกปราบดาภิเษกจริงหรือเปล่า หรือรัชกาลที่หนึ่งทำไปโดยบริสุทธิ์ใจเพื่อรักษาบ้านเมือง หรือจริง ๆ ก็แค่อยากมีอำนาจบ้าง ซึ่งดิฉันเองไม่แม้แต่จะกล้าคิดตามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น จริง ๆ แล้วเป็นอย่างไร ใครถูกใครผิด เพราะไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร สติดีหรือไม่ดี กระหายอำนาจหรือไม่ สายเลือดของทั้งสองท่านนั้น ก็มีอยู่ในตัวดิฉันพอ ๆ กัน รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านั้น เป็นเพียงเกร็ดประวัติศาสตร์ วิเคราะห์วิจารณ์ไปก็เท่านั้น ไม่มีใครจะบอกได้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร เพราะมันนานมาแล้ว ในวงศ์ตระกูลของดิฉันเอง ก็ยังไม่มีใครทราบอะไรมากไปกว่าที่ได้ยินได้ฟังกันมาแบบพวกคุณทุกคน สิ่งที่สำคัญคือ ท่านหนึ่ง ได้กอบกู้เอกราชของประเทศมาในยามที่บ้านเมืองไม่มีใครที่จะสามารถทำได้ ส่วนอีกผู้หนึ่ง ก็ได้ช่วยเหลือในการกอบกู้บ้านเมืองมาไม่ใช่น้อย แม้ในการขึ้นครองราชย์ จะก่อให้เกิดคำถามในความชอบธรรมบ้าง แต่มันจะสำคัญอะไรละคะ ทำไมไม่มองที่คุณูปการที่ท่านได้ทำให้แก่บ้านเมืองในเวลาต่อ ๆ มา หรือพระเจ้าตากเอง หากท่านเสียพระสติไปจริงในปลายรัชกาล แต่ก่อนหน้านั้น ท่านก็ได้เสียสละเพื่อประเทศนี้มาขนาดไหน ใครสามารถบอกได้ว่า หากต้องผ่านชีวิตแบบท่านมาตลอด ทั้งกรำศึกสงคราม กู้บ้านกู้เมือง ฯลฯ เราจะยังครองสติเอาไว้ได้ ดังนั้น กระทู้นี้ พวกท่านไม่มีทางหาคำตอบได้ แถมคุย ๆ กันไปก็ชักตึงเครียดขึ้นมาเสียอีก ดิฉันขอให้พวกท่านอย่าคิดมากเลยค่ะ เพราะดิฉันเอง ควรจะคิดมากกว่าพวกท่านเสียอีก

มีข้อคิดส่วนตัวค่ะ เอกสารทางประวัติศาสตร์นั้น ก็ต้องฟังหูไว้หูเหมือนกันค่ะ บางครั้งผู้บันทึกเอง ไม่ว่าจะไทยจะเทศ ก็เป็นแค่ผู้บันทึก ที่เห็นเหตุการณ์จากภายนอก สายสนกลในเรื่องลึก ๆ บางอย่าง ก้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องป่าวประกาศให้รู้กันทั่วไป ดังนั้น ในสายตาคนที่มอง เห็นแบบนี้แล้วบันทึกแบบนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องมันจะต้องเป็นแบบนั้นเสมอไปหรอกค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่แสดงความคิดเห็นกันอย่างจริงจังค่ะ

ด้วยความเคารพทุกท่าน


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ก.ย. 09, 13:20
กระทู้นี้เลิกคุยกันมาตั้งแต่ปี 2001  คุณศรีสยามไปขุดขึ้นมาอีกครั้ง โดยยังไม่ทันจะต่ออะไร แค่เกริ่นไว้
ดิฉันเห็นด้วยกับคุณ perceval ค่ะ     
ผ่านมา 8 ปีแล้ว  ก็ขอหยุดไว้แค่นี้ค่ะ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 11 ก.ย. 09, 18:23
น้อมรับคำวินิจฉัยของอ.เทาชมพูด้วยความเคารพ...ก็เพียงอยากแนะนำให้อ่านหนังสือธรรมนิยายประวัติ ของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม พระธรรมสิงห์บุราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ลูกศิษย์คนสุดท้ายของหลวงพ่อเดิม ในหนังสือชื่อ"ความหลงในสงสาร" โดยสุทัสสา อ่อนค้อม หรือรองศจ. ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม แห่งคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี ซึ่งในหนังสือเอ่ยถึงว่าพระเจ้าตากมาเล่าให้หลวงพ่อฟังด้วยองค์ท่านเอง ไขข้อข้องใจในประเด็นต่างๆ รวมถึงชาติกำเนิดของพระองค์ท่าน...และอีกแหล่งคือ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำใน เว็บไซด์ของวัดท่าซุง  ซึ่งทั้งสองแห่งมีความพ้องกันอยู่ หากได้อ่านจาก 2 ที่นี้ ก็เท่ากับได้รับรู้อีกด้านของเหรียญ จึงจะเป็นการถวายคืนความยุติธรรมให้กับพระองค์ท่าน  หากสงสัยข้องใจ ว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ก็ขอให้รีบศึกษาประวัติและวัตรปฎิบัติของหลวงพ่อทั้งสององค์ดังกล่าวโดยด่วน....กราบขออภัยคุณpercevalจากใจจริง..........ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นที่ยิ่ง


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 12 ก.ย. 09, 08:16
หาง่ายขึ้น..ที่  http://praruttanatri.com   หนังสืออ่านเล่น เล่ม 16 เรื่องพระเจ้าอยู่หัว 2 พระองค์   (พระเจ้าตากคุยกับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 12 ก.ย. 09, 10:28
ช่วงเวลาที่คุยเรื่องนี้ การเมืองในบ้านเราไม่ได้เป็นอย่างในปัจจุบัน

หลายปีมานี้ โดยส่วนตัวผมเอง มีความเห็นเปลี่ยนไปบ้าง เพราะได้อ่านข้อมูลใหม่ๆบางแง่มุมที่ อ.นิธิ ไม่ได้ใช้ แต่ก็เบื่อที่จะคุยเรื่องนี้ เพราะรำคาญพวกที่พยายามจะฉกฉวยเอาทุกอย่างไปใช้สนับสนุนความคิดทางการเมืองของตัวเองอย่างขาดสติ

คิดว่าเมื่อสถานการณ์การเมืองดีขึ้น เอาคนร้ายมาลงโทษตามกติกาบ้านเมืองได้ และกลุ่มล้มเจ้าตั้งสติได้ว่าเราอยู่ในยุคประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จบยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเกือบแปดสิบปีแล้ว เมื่อนั้นน่าจะกลับมาคุยกันได้อย่างสบายใจขึ้นครับ

ทั้งนี้คุยเรื่องประวัติศาสตร์ก็ขอให้อยู่ในเรื่องประวัติศาสตร์ อย่าเอาเรื่องที่ไม่มีใครพิสูจน์หรือจับต้องได้เข้ามาร่วมด้วยเลย เสียบรรยากาศทางวิชาการเปล่าๆครับ


กระทู้: ชวนคุยเรื่องพระเจ้าตาก
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 21 ต.ค. 09, 12:00
1. เฮ้อ เสียดายจริงๆครับ
2. พี่ชายส่งเรื่องกบฏพระยา....มาให้นานแล้ว ยังไม่ได้อ่าน เดี๋ยวจะเข้าไปอ่านละครับ
3. กรุณาเขียนต่อนะครับ เมื่อสภาวะแวดล้อมที่ท่านคิดว่าเหมาะสมมาถึง ครับผม
มานิต