วัฒนธรรมหมากต้องถดถอยหลีกทางให้วัฒนธรรมตะวันตกที่ไหลบ่าเข้ามาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๕ จนรัชกาลที่ ๗
แต่ก็เป็นผลที่เห็นในบรรดาคนชั้นสูง มากกว่าชั้นกลางหรือระดับล่าง
พูดอีกทีว่าชาวบ้านร้านถิ่นยังกินหมากกันอยู่ทั่วไป มาจนกระทั่งรัชกาลที่ ๘
ก็เกิดการ "ปฏิวัติล้มล้างหมาก" ขึ้นมาในพ.ศ. ๒๔๘๒
ขอเชิญอ่านบทความ "ยุคไม่ขำ" ด้วยค่ะ
http://vcharkarn.com/reurnthai/no_joking.phpรัฐได้ประกาศตนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับวัฒนธรรมการกินหมาก เริ่มด้วยการชักชวนให้ทหารเลิกกินหมาก เป็นกลุ่มแรก ขอลอกมาให้อ่านกันนะคะ
เรื่อง ชักชวนให้เลิกการรับประทานหมาก
ด้วยกระทรวงกลาโหมได้พิจารณาเห็นว่า การรับประทานหมากนั้น นอกจากไม่มีประโยชน์ในทางอนามัยแล้วยังทำความเปื้อนเปรอะสกปรกตามสถานที่โดยไม่สมควร
และยิ่งในสมัยนี้ด้วยแล้ว ชนชาติไทยสมควรจะทำตนให้เป็นประชาชาติที่ถึงแล้วซึ่งวัฒนธรรมเท่าเทียมกับอริยชนชาติที่เจริญแล้ว
จึงเป็นการสมควรที่จะเลิกรับประทานหมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับข้าราชการกลาโหม ควรจะเลิกอย่างเด็ดขาดเพื่อเป็นตัวอย่างอันดีแก่ประชาชนทั่วไป
เพราะฉะนั้น จึงขอชักชวนให้บรรดาข้าราชการกลาโหมทั้งหลายงดเว้นการรับประทานหมากเสียตั้งแต่บัดนี้
(ลงนาม) พิบูลสงคราม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ศาลาว่าการกลาโหม พระนคร
๓๑ ส.ค. ๘๒
การที่รัฐบาลเลือกกลาโหมเป็นแกนนำในการเลิกกินหมาก ก็เห็นเหตุผลชัดๆ คือทหารมีระเบียบวินัยมากกว่าพลเรือน คำสั่งแบบนี้ทำให้ผู้บังคับบัญชาสั่งการได้ทันที
พอคำสั่งออกมา หมากก็ย่อมหายวับไปจากปากทหารทุกระดับ
ถึงแม้ใช้คำว่า "ชักชวน" ก็เป็นเพียงเปล่งเสียงอย่างนิ่มนวลเท่านั้นเองละค่ะ เพราะมีคำว่า "ควรจะเลิกอย่างเด็ดขาด" กำกับอยู่แล้ว ให้รู้ว่านี่คือคำสั่ง
หมากพ่ายแพ้ยับเยินในสมรภูมิแรก- กระทรวงกลาโหม ในปี ๒๔๘๒