ไปเจอศิลปวัฒนธรรมออนไลน์ รายงานเรื่องพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1294815134&grpid=&catid=08&subcatid=0804"พระปิ่นเกล้า" The Second King แห่งรัชกาลที่ 4 กษัตริย์ผู้ทรงมีอัจฉริยภาพที่มากคน"ไม่รู้จัก"
วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 14:29:39 น.
โดย...ปรีชยา ซิงห์
เป็นที่รับรู้กันไม่ลงลึกนักว่า ในสมัยรัชกาลที่ 4 หรือเมื่อกว่า 160 ปีที่ผ่านมา สยามประเทศ มีพระมหากษัตริย์ปกครองบ้านเมืองด้วยกันถึง 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่ง ทั้งสองพระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดินคู่พี่น้องสายเลือดเดียวกันที่ทรงเปี่ยมไป ด้วยพระปรีชาความสามารถรอบด้าน โดยเฉพาะกิจการด้านการต่างประเทศ
และเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา กรมศิลปากร ได้จัดงาน "เปิดวังหน้า รำลึกพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว" ในวาระคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ พร้อมกับมีการเสวนาเรื่อง พระปิ่นเกล้า อ่าน เขียน เรียน "ฝรั่ง" รู้เท่าทันตะวันตก ด้วย The Second King ตามที่ชาติฝรั่งเรียกนี้ ทรงมีชื่อเสียงโด่งดังกับราชทูตประเทศอังกฤษมาก กระทั่งกระฉ่อนไปไกลถึงสหรัฐอเมริกา ถึงขนาดที่ นายแฟรงกลิน เพียร์ซ ประธานาธิบดีคนที่ 14 ของสหรัฐฯ ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมากมายมาถวาย กษัตริย์ทั้ง2 ถึงเมืองสยาม
เอกสุดา สิงห์ลำพอง อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เปิดเผยเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่พบว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ทรงชื่นชอบสนับสนุนชาติ "อเมริกา" มากถึงขั้นพระราชทานนามพระโอรสองค์โตของพระองค์ ในเจ้าจอมมารดาเอมว่า "ยอร์ช วอชิงตัน" (พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ หรือ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ) ตามชื่อประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา
โดยเครื่องบรรณาการที่นายทาวน์เซนด์ ทูตของสหรัฐนำมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีภาพวาดเหมือนนายจอร์จ วอชิงตัน ขนาดเท่าตัวจริงเป็นหนึ่งในรายการที่นำมามอบให้ ซึ่งน่าจะถูกพระทัยพระองค์เป็นที่สุด
ภาพเหมือนประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน ที่อเมริกา นำมาทูลเกล้าฯ ถวายให้กษัตริย์พระองค์ที่ 2 แห่งกรุงสยามในสมัยนั้น เป็นฝีมือการวาดของ เรมบรันต์ พีล (Rembrandt Peale) ศิลปินชื่อดังชาวอเมริกัน ปัจจุบันแขวนอยู่ที่พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ส่วนอีกรูปหนึ่งนายทาวน์เซนด์นำมาถวายรัชกาลที่ 4 ในคราวเดียวกัน แต่ปัจจุบันไม่ทราบไปอยู่ที่แห่งใด ด้วยไม่มีใครเคยพบเห็นอีกเลย
ด้าน นายไกรฤกษ์ นานา นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และคอลัมนิสต์ประจำนิตยสารศิลปวัฒนธรรม สำนักพิมพ์มติชน ได้โชว์หนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ที่เผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเป็นจดหมายที่ เซอร์ จอห์น บาวริ่ง ราชทูตอังกฤษสมัยนั้น เขียนชื่นชม The Second King ของไทย ที่ทรงมีสายพระเนตรกว้างไกลใน ด้านการทหาร การต่างประเทศ ทรงรอบรู้ข่าวสารต่างๆในการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างชาติ ทั้งยังชื่นชมการพูด การเขียน การอ่านภาษาอังกฤษของพระองค์ที่มีความแตกฉานอย่างคล่องแคล่วและสละสลวย โดยเฉพาะลายพระหัตถ์ที่สวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ชื่อดัง กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นกษัตริย์ที่ชาติยุโรปให้การยอมรับมาก นอกเหนือจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรง ปรีชาทางด้านการทหารมาก ด้วยทรงเป็นทหารเรือ มาตั้งแต่ สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แล้วโดยทรงดูแลเรื่องกรมทหาร ทรงสนใจเกี่ยวกับอาวุธยุทธภัณฑ์เป็นพิเศษ วิชาการช่างกล และวิชาการปืนใหญ่ ทั้งยังมีความรู้ในวิชาการต่อเรืออย่างดี ทรงต่อเรือรบกลไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งตำแหน่งสูงสุด คือทรงบังคับบัญชาการทหารเรือ วังหน้า (กรมพระราชวังบวรสถานมงคล) ดังจะเห็นได้ว่า โปรดทรงเครื่องแบบทหารเรือมากที่สุด
นายไกรฤกษ์ ระบุต่อว่า เมื่อมีผู้อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงทรงให้อัญเชิญ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระอนุชาขึ้นครองราชย์พร้อมกันไปด้วย พร้อมทั้งทำพิธีพระบวรราชาภิเษกเสมอด้วยเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 เนื่องจากพระปิ่นเกล้าทรงมีกำลังทหารมาก และมีพระชะตาแรงสมควรได้เป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง เสมือนอเมริกาที่มีประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม ชาติฝรั่ง ระบุลงในบันทึกว่า อำนาจบริหารประเทศอยู่ที่พระจอมเกล้า 80 % ขณะที่พระปิ่นเกล้าอยู่ที่ 20 %
ปิดท้ายที่ รศ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดคำถามขึ้นต้นว่า "ทำไมสยามต้องสนใจตะวันตก?" พร้อมอธิบายว่า ประเทศสยามเริ่มเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการต่างๆ โดยรับอิทธิพลจากชาติตะวันตกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ที่ผู้นำสยามมีความสัมพันธ์อันดีกับชาติอเมริกัน ซึ่งมีผลลึกซึ้งเป็นอย่างมาก ผู้ที่นำเข้าวัฒนธรรมต่างๆ นั้นล้วนมาจากหมอสอนศาสนาหรือมิชชันนารี
ซึ่งจากการศึกษาแล้วมิชชันนารีเหล่านั้นแม้จะเป็นผู้ที่มีความเชื่อเรื่อง ศาสนามาก แต่ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะเข้ามาเผยแผ่คริสตศาสนาในสยาม เพียงแต่แวะเข้ามายังดินแดนแหลมทองเพื่อรอเปลี่ยนผ่านไปยังประเทศอื่นๆ ในแถบภูมิภาค แม้สุดท้ายมิชชันนารีหลายคนก็ปักหลักสร้างครอบครัวในสยามไปเลย
อาจารย์ธเนศกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ค่อนข้างโปรดมิชชันนารีเหล่านี้มาก นั่นเพราะบุคคลเหล่านี้ทำให้เกิดการเรียนรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันระหว่าง ชาวสยามและชาวอเมริกัน กระทั่งหมอบรัดเลย์ หรือ แดน บีช แบรดลีย์ (Dan Beach Bradley, M.D.) ชาวอเมริกัน ถึงขนาดถ่ายทอดเป็นองค์ความรู้ เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับชาติตะวันตกเป็นฉบับภาษาไทยกันเลยทีเดียว ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา ที่พระมหากษัตริย์ไทยเอาความรู้ต่างๆมาใช้จากการเรียนศาสนามาตีความ ขณะที่ คนสยามเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนับถือพระเจ้าตามแบบตะวันตกมากนัก
"การเรียนรู้ วิวัฒนาการชาติตะวันตกของผู้นำสยาม โดยผ่านภาษาไทย เป็นปรีชาญาณความสามารถที่ได้เปรียบของรัชกาลที่ 4 เพราะการถ่ายทอดวัฒนธรรมตะวันตกโดยสร้างผ่านภาษาไทยพร้อมกับมีการพิมพ์เป็นตัวอักษรในช่วงเปลี่ยนผ่ายสยามเป็นเรื่องที่ใหม่ในยุคสมัยนั้น กลายเป็นเงื่อนไขที่เปิดโอกาสให้สยามได้รับรู้โลกภายนอกได้มากขึ้น และเชื่อว่า การที่สยามรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นในการล่าอาณานิคมในยุคนั้นก็ด้วยเพราะ พระจอมเกล้าและพระปิ่นเกล้าทรงผ่อนปรนและเป็นมิตรกับชาติมหาอำนาจจนเราได้ รับเอกราชถึงทุกวันนี้" รศ.ธเนศ กล่าว