เรือนไทย

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs159.ash2/41265_142603842440322_100000721218208_231458_326211_n.jpg)

รถมาถึงสถานีเด่นชัยเอาตอนสายๆ
ฟ้าหลังฝนที่นี่สดใสปราศจากมลพิษ
ลมอ่อนๆในยามเช้ายังมีไอชื้นนิดๆให้ได้รู้สึกอยู่
ว่าฝนเพิ่งหยุดตกไปได้ไม่นาน

ความจอแจเล็กๆ แบบชนบทที่หน้าสถานี
ส่งเสียงทักทาย ต้อนรับนักเดินทางที่มาถึง
คุณลุง คุณน้า คนขับรถสองแถวต่างก็พยายามหาผู้โดยสาร
ส่วน คุณป้า คุณยาย ที่ขายอาหารต่างๆก็เรียนคนเดินผ่านให้เป็นลูกค้า

แต่ว่า... ผมมีรถมารอรับแล้ว


(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs299.snc4/41265_142603845773655_100000721218208_231459_2789606_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs149.ash2/40783_142607995773240_100000721218208_231474_7760165_n.jpg)



จุดหมายปลายทางแรกของพวกเราอยู่ที่
'วัดพระหลวง' เมืองแพร่ครับ
ที่นี่มีสถาปัตยกรรม เก่าๆ งามๆ ให้เราดูกันหลายอย่าง
เช่น หอไตรหลังนี้ที่หน้าบันงามหนักหนา




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs149.ash2/40783_142607999106573_100000721218208_231475_5498698_n.jpg)





ลายประดับแม้จะไม่เลื้อยลดเป็นช่อกนกไปเสียหมด
แต่ก็งามตามแบบเรียบง่ายอย่างพื้นบ้านมาก
เส้นสายที่คดโค้งก็ลงตัวรับกันกับกระจกสีที่ประดับไว้
ทำให้น่าตื่นตาแก่ผู้มาพบเห็นอยู่ไม่น้อย

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs289.snc4/40783_142608005773239_100000721218208_231477_4657835_n.jpg)



หอระฆังหลังนี้แม้จะไม่เก่ามาก
แต่ลายฉลุไม้ที่ประดับไว้ก็น่าประทับใจเหลือเกิน
เสียดายว่าทางวัดมามัวแต่สร้างกุฏิหลังคาแดงไว้ทำไมไม่รู้
ดูขัดหูขัดตากับความงามแบบดั้งเดิมอย่างบอกไม่ถูก




หงุหงิตุ๊เจ้าหลังคาแดง เฮอะ!!! ไปดูธาตุประจำวัดกันดีกว่า
พระเจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอดแบบล้านนา
ด้วยส่วนสัดสูงชลูดตูดปอด ยอดเป็นเหลี่ยมแบบนี้
ก็ชวนให้เข้าใจว่าอายุคงอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 23 แล้ว
(ไม่เก่าไปว่า 300 - 400 ปี ครับ)


ที่ผมทึกทักเอาเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านั้น
ยังเป็นยุคที่ไม่นิยมทั้งความเหลี่ยม และความสูง
ทรวดทรงองค์เอวของพระเจดีย์งามๆในยุคจึงยังไม่ยืดชลูด
เป็นนายแบบ 'อีหลี (Elle) แฟชั่นวีค' แบบพระธาตุองค์นี้ครับ




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs309.snc4/40783_142608002439906_100000721218208_231476_2988210_n.jpg)

เราแวะไปกราบพระประธานในวัดกันต่อ ซึ่งก็งามมากเช่นกัน
เนื่องจากหลวงพ่อองค์นี้ มี 'พุทธลักษณะ'(หน้าตา) บ้านๆพอสมควร
จึงเป็นตัวอย่างที่ดีในการศึกษาพระพุทธรูปในสกุลช่างเมืองแพร่ได้เป็นอย่างดี
ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย คือ ชายสังฆาฏิที่ตกลงด้านหน้าเหนือพระถันซ้าย
มีลายดอกไม้ประดับไว้เป็นแถว (เสียดายว่าโดนผ้าห่มอยู่อีกแล้ว!!!)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs132.ash2/39937_142612075772832_100000721218208_231481_6596060_n.jpg)






ตี 1 แล้ว เห็นทีว่าคืนนี้ผมจะต้องขอตัวก่อนล่ะครับ

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs132.ash2/39937_142612079106165_100000721218208_231482_8033958_n.jpg)


เราบอกลาธรรมาสน์องค์งามในพระอุโบสถ
เพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางถัดไป
ที่ 'วัดพระธาตุช่อแฮ' ซึ่งเป็นพระธาตุสำคัญประจำเมืองแพร่
และจุดหมายปลายทางแห่งที่ 2 ในทริปนี้

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs132.ash2/39937_142612089106164_100000721218208_231485_236219_n.jpg)



เนื่องจากพระธาตุช่อแฮ เป็นพระธาตุสำคัญ
จึงได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด
โบราณวัตถุ-สถานในวัดจึงกอปรขึ้นจากศิลปะในหลากยุคหลายสมัย
ซึ่งมีที่มาในแรงบันดาลใจแตกต่างกันไปอีกหลายแหล่ง




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs003.ash2/33510_142618432438863_100000721218208_231548_5072663_n.jpg)



พระเจดีย์บางองค์ เช่น องค์ในภาพ
เป็นพุทธศิลป์พม่าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากตะวันตก
หลังยุคการเข้ามาของชาติจักรวรรดินิยมอย่างเข้มข้น
แต่ก็ยังรักษาคติต่างๆที่สืบมาจากอินเดียไว้ได้เป็นอย่างดี
สำหรับผม จึงเป็นงานออกแบบที่ลงตัวและน่าชมเชยมากครับ

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs023.snc4/33510_142618442438862_100000721218208_231551_6231922_n.jpg)



หรือพระพุทธรูปองค์นี้ ที่มีพุทธลักษณะแบบพื้นบ้าน
แต่ก็ถูกปรุงแต่งด้วยเรือนแก้วแบบพระพุทธชินราชเข้าไป
ทำให้ดูเผินๆ เหมือนพระพุทธรูปในศิลปะภาคกลางของไทย
มากกว่าพระพุทธรูปแบบพื้นเมืองที่ควรจะเป็น


ในขณะที่พระพุทธรูปอีก 2 องค์ บนฐานชุกชี
กลับเป็นพระพุทธรูปแบบพม่าในยุคปลายราชวงศ์คองบอง
ที่นิยมการสร้างพระที่มีพุทธลักษณะเหมือนคนจริงๆ องค์นี้




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs003.ash2/33510_142618445772195_100000721218208_231552_5240207_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs319.snc4/41293_142626012438105_100000721218208_231591_3223023_n.jpg)



ธรรมาสน์องค์นี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกชิ้นที่ช่วยยืนยันว่า
ที่จริงแล้วศิลปะในภาคกลางมีบทบาทกับช่างที่นี่ไม่น้อย
เพราะถ้าลองเทียบกันดู จะเห็นว่าเป็นงานจำลองแบบมาจาก
ธรรมาสน์ทรงบุษบกของวัดมหาธาตุ พิษณุโลกครับ




เอาเถอะ... ดูอะไรกันพอหอมปากหอมคอแล้ว
ขออนุญาตพาไปชมองค์พระธาตุด้านนอกกันดีกว่า



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs319.snc4/41293_142626022438104_100000721218208_231594_921140_n.jpg)

เนื่องจากพระธาตุองค์นี้เป็นพระธาตุประจำปีขาล
จึงมีผู้ที่เกิดในปีขาลมาทำบุญกันมากมาย
ทางวัดก็จัดชุดทำบุญแบบต่างๆเอาไว้ให้เลือกกัน
ทั้งชุด 'สังฆทาน' ในกระติกน้ำเย็นสีต่างๆ
หรือชุดไหว้สาพระธาตุ ที่มี 'ตุ๊กตาเสือ' อยู่ในชุดด้วยแบบนี้



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs003.snc4/33510_142618435772196_100000721218208_231549_8163075_n.jpg)




จำเนียรกาลผ่านไป ของทำบุญก็มากขึ้นๆทุกที
ทุกวันนี้วัดจึงเต็มไปด้วยบริขารพระธาตุ ที่ชาวบ้านนำมาถวายไว้
ทั้งเก่า-ใหม่ ไปต่างๆนานา ซึ่งเมื่อถึงเวลาอันควรแล้ว
ของเหล่านี้ก็ถูกเก็บไปจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ของวัด
เหมือนบริขารชุดนี้ ที่ 'คุณนายคำตุ้ย' นำมาถวาย




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs319.snc4/41293_142626025771437_100000721218208_231595_526860_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs132.ash2/39935_142631289104244_100000721218208_231600_3950681_n.jpg)



เมื่อแวะดูสิ่งต่างๆจนอิ่มตา อิ่มใจแล้ว
พวกเราก็บอกลาองค์พระธาตุมา
หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล

เราแวะกันเพื่อชิม 'ข้าวพัน' รสเค็มปะแล้ม (แกล้มขี้มือแม่ค้า)


(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs132.ash2/39935_142631295770910_100000721218208_231602_4352327_n.jpg)




แล้วมุ่งหน้าสู่ 'วัดพรธาตุจอมแจ้ง' ปลายทางแห่งถัดไป!!!





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs132.ash2/39935_142631299104243_100000721218208_231603_6382423_n.jpg)

เป็นเมืองที่ไม่เคยไปส้ักที แพร่กับน่านนี่

 No 'LIKE' botton here..

So I give you.. :-*

สวยคับ

 :-X Oh my god!!!

หลังวัดพระธาตุจอมแจ้ง มีกู่เก่าอยู่องค์หนึ่ง
เป็นกู่ที่สร้างมาแต่ยุคโบร่ำโบราณ
อาจจะถึงสมัยอาณาจักรล้านนายังรุ่งเรือง
หรืออ่อนลงมาถึงสมัยพม่าปกครองแล้วก็อาจเป็นได้

แต่ทางวัดเขาเชื่อกันว่า... 'พระยาลิไททรงสร้าง'

เอาเถอะ... เราปล่อยให้ตำนานเป็นเรื่องราวของท้องถิ่นดีกว่า
ยุคนี้สมัยนี้สังคมไทยคงยังรับกับอะไรๆไม่ได้เท่าที่ควรจะเป็น



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs131.ash2/39896_142711192429587_100000721218208_232160_1766254_n.jpg)




เราลองมาดูสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆในวัดกันดีกว่า
เนื่องจากวัดพระธาตุจอมแจ้งเป็นวัดเก่า
ที่อาจจะคุ้นเคยกับความคิดอย่างพม่า-มอญ อยู่บ้าง
ที่นี่ก็เลยมีตุ๊กตาแบบที่ชาวพม่าชอบทำไว้ตามวัดประดับอยู่เต็มไปหมด
จนกระทั่งหนังสือนำเที่ยวเล่มไหนๆเมื่อพูดถึงวัดแห่งนี้
ก็ต้องกล่าวถึง 'นรก' ในวัด ไว้ให้นักท่องเที่ยว (อย่างผม) มาดู
แหม่.... ก็ท่าเขา xxx ซะ หิหิ



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs131.ash2/39896_142711195762920_100000721218208_232161_1169455_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs251.snc4/39896_142711199096253_100000721218208_232162_3687554_n.jpg)



โดยเฉพาะเจ๊คนนี้....
ผมล่ะอยากรู้จัง...ว่าครูช่างท่านไปหาแรงบันดาลใจมาจากไหน!!!



นอกจากนรกสวรรค์แล้ว ที่นี่ยังมีรูปปั้นอื่นๆให้ดูอีกมาก
เช่น เจ้าแม่กวนอิมศิลปะล้านนาองค์นี้...
ที่ดูแล้วเหมือนเทพเจ้าพม่ามากกว่า หรือเปล่าว๊า... ?



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs131.ash2/39896_142711202429586_100000721218208_232163_6769110_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs271.snc4/39896_142711205762919_100000721218208_232164_7914387_n.jpg)



หรือพระเจ้าองค์นี้ที่มัวแต่ทรงนอนหลับปุ๋ย...
พระแม่ธรณีเลยหนีไปบีบน้ำลงสระแทน...
อ่อ ขออนุญาตลงภาพนางธรณีแต่ด้านหลังนะครับ
เกรงว่าลงภาพเต็มๆแล้วผมจะไปเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองเข้า!!!



แล้วก็ถึงเวลาออกจากวัดพระธาตุจอมแจ้ง...
เราแวะกินอาหารกลางวันกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวโบราณแห่งหนึ่ง
ที่นี่บรรยากาศดี... และดูจะ 'โบราณ' ได้สมกับอาหารที่ขาย
มุมนั่งเล่นมุมนี้ก็ดูน่ารักไม่น้อย



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs362.snc4/44494_142728299094543_100000721218208_232262_7367593_n.jpg)

ตกบ่าย พวกเราเดินทางต่อไปยัง 'วัดจอมสวรรค์'
แต่น่าเสียดายว่าฟ้าปิดค่อนข้างมาก
ภาพสถาปัตยกรรมที่ถ่ายได้เลยไม่ได้สวยอย่างที่ใจหวังไว้



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs382.snc4/44494_142728312427875_100000721218208_232266_6456312_n.jpg)




ช่างเถอะ ถึงอย่างไรมัณฑนศิลป์ที่นี่ก็สวยถูกใจอยู่แล้ว
โดยเฉพาะเมื่อถูกปัดฝุ่นทาสีใหม่ ก็ยิ่งงามมะลังเมลืองขึ้นอีกมาก
(ถ้ามองข้ามอะไรๆที่กรมศิลปากรเขาเปลี่ยนไปได้... ที่นี่ก็ยังงามอยู่มากอยู่)
อ่อ... แต่เมื่อก่อนวัดแห่งนี้ 'สีขาว' ทั้งหลัง นะครับ!!!





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs306.snc4/40618_142734422427264_100000721218208_232281_5710421_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs286.snc4/40618_142734425760597_100000721218208_232282_826715_n.jpg)


งานประดับภายในของวัดแห่งนี้
ผสมผสานกันขึ้นจากศิลปะหลายแขนงได้อย่างลงตัว
ทั้งจากไม้สลัก สังกะสีฉลุ ปิดทองประดับกระจก
และประดับ 'ลูกบอลสังกะสี' ที่เอาไว้แต่งต้นคริสต์มาสด้วย



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs146.ash2/40618_142734429093930_100000721218208_232283_4987170_n.jpg)



ดูยังไงความงามตามยุคตามสมัยก็ชนะเลิศ
ฉากหนังสวยๆของหม่อมน้อยใน 'ชั่วฟ้าดินสลาย' เทียบไม่ติดสักนิด
ทั้งในความลงตัวของสถาปัตยกรรม หรือการจัดการแสง

ที่จริงถ้าใครพอจะคุ้นกับโบสถ์ (เต่ง) ในศิลปะพม่าอยู่บ้าง
อาจจะนึกได้ว่าที่นี่เหมือนวัดพม่า และวัดไทยใหญ่ แทบไม่ผิดเพี้ยน

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs023.snc4/33507_142847439082629_100000721218208_232887_7363476_n.jpg)




การจัดการแสงที่นี่ประณีตมาก
จนทำให้ดูว่าบรรยากาศภายในของวัดไม่ดูน่าขัดหูขัดตา
เหมือนศาลาการเปรียญไม้หลายๆหลังในภาคกลางของเรา
ที่พยายามจะแสดงความเป็นไม้มากจนน่าอึดอัด

แต่เมื่อคิดว่าทุกวันนี้แสงภายในของวัดค่อนข้างน้อย
ทำให้ดูมืดไปนิด... ก็เลยพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมวัดแห่งนี้จึงเคยเป็นสีขาวทั้งหลัง

แต่ขาวก็อาจจะไม่ใช่ของที่ 'เก่าที่สุด' ที่วัดเคยเป็น
เพราะวัดหน้าตาเช่นนี้ในพม่ามักมีสีน้ำตาลของเนื้อไม้
มากกว่าสีสว่างไสวที่ถูกเติมเข้ามาให้เช่น 'สีขาว'

เอาเถอะ ปล่อยให้สีเป็นเรื่องของนักวิชาการดีกว่า
เรามาชื่นชมวัดกันเพื่อเสพความงาม ก็น่าจะได้ชื่นชมให้อิ่มตา
ไม่ใช่มาฟังเขาโต้อะไรกันให้รกสมอง!!!





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs023.snc4/33507_142847439082629_100000721218208_232887_7363476_n.jpghttp://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs311.snc4/40912_142850565748983_100000721218208_232914_4309868_n.jpg)




ด้านนอกวัดมีหมู่พระเจดีย์อีกหมู่หนึ่ง
เป็นพระเจดีย์ในศิลปะพม่า-มอญ
ซึ่งอาจจะผ่านมาจากทางไทยใหญ่อีกทอดหนึ่ง
แต่ผมก็ไม่ได้แน่ใจอะไร เพราะโดยส่วนตัวไม่สันทัดกับเรื่องแบบนี้
ขอวานผู้รู้มาให้ความกระจ่างน่าจะดีกว่าครับ

ขอเรียนถามท่านผู้รู้ว่า วัดจอมสวรรค์นี้เป็นวัดที่อยู่นอกกำแพงเมืองแพร่ใช่หรือไม่ครับ  พยายามตามรอยเส้นทางที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เสด็จเมืองแพร่  ได้ความจากสมุดจดหมายเหตุรายวันส่วนพระองค์และพระราชนิพนธิลิลิตพายัพว่า  ประทับพักร้อนที่วัดเงี้ยว  เปลี่ยนเครื่องทรงแล้วทรงม้าพระที่นั่งเสด็จเข้าเมืองแพร่  วัดเงร้ยวที่ว่านั้นจะเป็นวัดจอมสวรรค์หรือไม่  วานผู้รู้ช่วยวิเคราะห์ด้วยครับ

ต้องขอโทษคุณ V_Mee ด้วยครับ ที่ผมเองก็ไม่ได้ทราบรายละเอียดอะไรกับพระประวัติในช่วงนั้น ถ้าหากมีผู้รู้ท่านใดทราบ ขอความช่วยเหลือด้วยนะครับ

สวยเนอะ อยากไปเที่ยวจริง

ก็คุณ han_bing ไม่ว่างไปด้วยกันนี่ครับ  ;D

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs291.snc4/40912_142850579082315_100000721218208_232918_2881525_n.jpg)



ในที่สุด ก็ถึงเวลาต้องจากลา
พวกเราบอกลาวัดจอมสวรรค์มา
เพื่อเดินทางต่อไปยังจุดมุ่งหมายแห่งถัดไป
'วัดสระบ่อแก้ว' ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกันนัก




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs145.ash2/40603_142859575748082_100000721218208_232988_4764160_n.jpg)




จะว่าไปแล้ววัดแห่งนี้อาจจะเข้าข่าย 'น่าสงสาร' อยู่หน่อยๆก็ได้
เพราะดูเหมือนตุ๊เจ้าในวัดท่านจะมัก 'สีชมพู' มากไปนิด
อะไรๆในวัดก็เลยมีสีชมพูแต่งๆ แต้มๆ อยู่ดาดไปเสียหมด
เช่น อ่างบัว หรือกระถางต้นไม้ ในภาพด้านบนที่ผมแปะไว้

แต่คงไม่มีอะไรในวัดที่จะน่าสงสารเท่า
'เจดีย์' ที่มีรัดอก 'สีชมพู' ใน 'สวนสีชมพู' องค์นี้
เพราะนอกจากจะต้องมีสีชมพูดื่นไปหมดแล้ว
ยังต้องมามีฉากหลังเป็นเสาอากาศยักษ์นี่อีก...
เห็นแล้วปวดตับยังไงพิกลไม่รู้แฮะ




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs285.snc4/40603_142859585748081_100000721218208_232989_5060969_n.jpg)



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs305.snc4/40603_142859589081414_100000721218208_232990_2854013_n.jpg)




เอาเถอะ... เราออกจากวัดกันดีกว่า
พวกเราออกจากเขตเมืองแพร่ตอนบ่ายคล้อย
แวะถ่ายภาพคูเมืองกันนิดหน่อยพอหอมปากหอมคอ
แล้วก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางถัดไป

สถานที่ถัดไปในโปรแกรมของพวกเรา
อยู่ที่ 'วัดหัวข่วง' ซึ่งยังมีทรากเจดีย์โบราณ
ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรล้านนาเรืองอำนาจอยู่องค์นี้




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs285.snc4/40603_142859592414747_100000721218208_232991_905908_n.jpg)





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs145.ash2/40603_142859595748080_100000721218208_232992_3613173_n.jpg)




แล้วไหว้สาพระเจ้าลุกยืน ซึ่งเป็นประธานในโบสถ์วัดศรีชุม
ที่ฃเห็นแล้วก็ชวนให้นึกถึงพระเจ้าลุกยืนอีกหลายองค์
ซึ่งสร้างขึ้นในราว 500 กว่าปีที่แล้ว เช่น พระเจ้าลุกยืนที่วัดตะพานหิน เมืองสุโขทัย
หรือพระศรีสรรเพชญ์ ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นต้น

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs187.ash2/45005_142866462414060_100000721218208_233033_35415_n.jpg)




ในวัดศรีชุมยังมีโบราณวัตถุ-สถานสำคัญอีก 2 อย่าง
ได้แก่ หอไตรหลังงามหลังนี้ และกู่องค์ใหญ่สมัยล้านนา
ที่ทุกวันนี้ก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากกู่องค์อื่นๆที่ทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs367.snc4/45005_142866465747393_100000721218208_233034_7422473_n.jpg)

วัดถัดไปที่พวกเราเดินทางไป คือ 'วัดพระบาทมิ่งเมือง'
ซึ่งเกิดจากการรวมเอา 'วัดพระบาท' และ 'วัดมิ่งเมือง' เข้าด้วยกัน
วัดทั้ง 2 แห่งจึงกลายเป็นวัดในรั้วเดียวกัน
แต่แยกกลุ่มอาคารออกจากกันเป็น 2 กลุ่ม

ได้แก่ กลุ่มแรกที่มีเจดีย์องค์นี้




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs387.snc4/45005_142866469080726_100000721218208_233035_1783012_n.jpg)





กับหอไตรหลังในภาพ ซึ่งถูกโรงเรียนล้อมเอาไว้






(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs367.snc4/45005_142866472414059_100000721218208_233036_2844284_n.jpg)

ส่วนระฆังแบบพม่าใบงามใบนี้
ตั้งอยู่หน้าอาคารอีกกลุ่มหนึ่งของวัด



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs367.snc4/45005_142866475747392_100000721218208_233037_7185914_n.jpg)




วันนี้หมดเวลาสำหรับวัดในเมืองแพร่แล้ว
พวกเราจึงจำเป็นต้องออกจากเมือง
เพื่อเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายต่อไป
แล้วเข้าที่พักที่ จ. พะเยา ในตอนค่ำ

สถานที่แห่งสุดท้ายที่พวกเราแวะชม
ก่อนออกจากเมืองแพร่ คือ 'คุ้มเจ้าเมืองแพร่'
ที่นี่เป็นอาคารเก่าอายุรุ่นราว 100 ปี
ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสิ่งของต่างๆ
และโบราณวัตถุที่มีผู้มอบให้กับคุ้ม



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs192.ash2/45554_142869789080394_100000721218208_233049_3118736_n.jpg)




คุ้มแห่งนึ้จึงสิ่งต่างๆที่น่าชมรวบรวมไว้ไม่น้อย
ที่ผมชอบที่สุด คือ โคมไฟหลายแบบ
ซึ่งสั่งเข้ามาจากต่างประเทศเมื่อนานมาแล้ว
มีทั้งแบบเรียบๆ



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs392.snc4/45554_142869792413727_100000721218208_233050_147388_n.jpg)

แบบหรูหรา




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs392.snc4/45554_142869799080393_100000721218208_233052_1658166_n.jpg)




หรือแบบอลังการ





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs392.snc4/45554_142869795747060_100000721218208_233051_7938797_n.jpg)





ซึ่งถูกเลือกตกแต่งให้แตกต่างกันไปในแต่ละห้อง

แต่ก็ยังมีของบางอย่างที่ไม่ชวนให้มองนัก...
เช่น ผ้าปูเตียงผืนนี้ ที่ถูกตำหนิจากหลายฝ่าย
(ไม่แน่ใจว่าพิพิธภัณฑ์เอาออกไปหรือยัง ?)



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs392.snc4/45554_142869802413726_100000721218208_233053_2782530_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs297.snc4/41206_142916412409065_100000721218208_233423_6663382_n.jpg)




หลังออกจากเมืองแพร่ พวกเราแวะกันที่พระธาตุองค์หนึ่ง
เป็นพระธาตุอยู่บนชะโงกเขาซึ่งสามารถมองเห็นได้จากที่ไกล
ปัจจุบันเชื่อกันว่าเป็นพระธาตุของ 'พระลอ' ซึ่งไม่รู้ได้ว่าจริงหรือไม่



ทัศนียภาพจากวัดแห่งนี้เมื่อมองลงไปด้านล่าง
ซึ่งเป็นพื้นที่ราบลุ่มกว้างออกไป
ในเวลาที่ผมเดินทางไป (กลางเดือนสิงหาคม)
กำลังเป็นช่วงเวลาที่ชาวนาเริ่มดำนากันอยู่
เห็นนาที่กำลังงอกเป็นหยอมสีอ่อนแก่ต่างๆกันไกลออกไปลิบๆ




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs297.snc4/41206_142916415742398_100000721218208_233424_6459962_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs297.snc4/41206_142916419075731_100000721218208_233425_2180293_n.jpg)



เนื่องจากอากาศในบ่ายวันนี้ค่อนข้างชื้นและอ้าว
และเห็นแมลงปอจำนวนมากเกาะพักปีกอยู่ตามที่ต่างๆ
เลยชวนให้เข้าใจได้ว่าฝนอาจจะตกในเวลาไม่นาน
เราเลยต้องรีบออกเดินทางกันต่อไป...

ให้เจ้าแมลงปอปีกใสๆตัวนี้เขาชื่นชมทัศนียภาพงามๆตรงหน้าแทนเราก่อนดีกว่า... เนาะ

เข้ามาชมความคืบหน้าของเมืองลาวกาวครับ เดี๋ยววันนี้จะไปศรียโศธรปุระแ้ล้ว น่าจะได้ภาพสวยๆมาโพสท์เล่นกันนะครับ

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs297.snc4/41206_142916422409064_100000721218208_233426_6403789_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs157.ash2/41206_142916425742397_100000721218208_233427_2031565_n.jpg)





เรามาถึงกว้านพะเยากันตอนตะวันใกล้ลับฟ้า
หย่อมเมฆสีเทาเล็กๆดาดฟ้าไปทั่วตัดกับแสงสุดท้ายของวัน
รถจักรยานน้ำที่ใช้ดูกว้านถูกจอดรายเรียงไว้ตามริมฝั่ง หลังหมดเวลาให้บริการแล้ว
เป็นอันว่าจบเรื่องของวันแรกในการเดินทาง คือ วันที่ 12 สิงหาคม ครับผม...

ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่เอาภาพสวย ๆ มาให้ได้ชมกัน
ดิฉันเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบเที่ยววัดและดูโบราณสถานแบบนี้
และชอบมาก ๆ กับศิลปะล้านนาค่ะ

อาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดมได้บอกไว้ในหนังสือ "ล้านนาประเทศ" ว่า
ได้พบโบราณวัตถุมากมายแถบพะเยา ลำปาง อุตรดิตถ์
แต่ไม่มีงบประมาณ ไม่มีการช่วยเหลือจากภาครัฐ จึงไม่สามารถสำรวจต่อได้
สันนิษฐานว่า มีชนเผ่ามากมายเคยใช้ช่องทางนี้เดินทางข้ามไปมา
ระหว่าง ไทย ลาว เวียตนาม และจีน เพื่อค้าขายในอดีต

ศิลปะแถวนี้ จึงมีอะไรที่ปะปน กลมกลืน ๆ กันอยู่มาก
อย่างรูปเจ้าแม่กวนอิม ก็มีพระพักตรแบบไทยได้

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs251.snc4/39886_143241099043263_100000721218208_235029_490490_n.jpg)




เช้าวันรุ่งขึ้น เมฆยังเกลื่อนฟ้าเหนือกว้านพะเยาอยู่ไม่ต่างจากค่ำวันก่อน
พวกเราแวะถ่ายรูปกันเล็กน้อย ตอนพี่คนขับรถตรวจสภาพรถอยู่
เมื่อเสร็จแล้วจึงได้ออกเดินทางไป 'วัดศรีโคมคำ' ซึ่งเป็นจุดหมายแรกของวัน




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs271.snc4/39886_143241112376595_100000721218208_235033_4536777_n.jpg)




แม้จะมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ให้ดูไม่ทรุดโทรมไปบ้างแล้วในหลายจุด
แต่ก็เป็นที่น่าชมว่าวัดแห่งนี้ยังมีการรักษาแบบแผนประเพณีไว้หลายอย่าง
เช่น การไม่ทำนาคสะดุ้งที่หน้าบรรพ์ เพราะถือเป็นศักดิ์ของอาคาร
ซึ่งหายไปจากวิถีคิดของคนในภาคกลาง เช่น ศิลปะอยุธยาและรัตนโกสินทร์ไปแล้ว เป็นต้น

นอกจากนั้น วัดแห่งนี้ยังรวบรวมโบราณวัตถุ-ศิลปวัตถุต่างๆไว้อีกเป็นจำนวนมาก
เช่น รอยพระพุทธบาทศิลาทรายจำหลัก ศิลปะล้านนาสกุลช่างพะเยาองค์นี้
ซึ่งเมื่อพิจารณาลายเส้นจารบนรอยพระพุทธบาทแล้ว
เชื่อได้ว่าสัมพันธ์กับลายเส้นจารในศิลปะสุโขทัย




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs193.ash2/45572_143359359031437_100000721218208_235463_2086813_n.jpg)




ตามประวัติ ที่สำนักพิมพ์มติชนได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นให้กับทางวัดกล่าวว่า
รอยพระพุทธบาทองค์นี้เดิมประดิษฐานอยู่ในเจดีย์องค์หนึ่ง
เมื่อมีการรื้อพระเจดีย์องค์นั้นลงแล้ว จึงได้พบรอยพระพุทธบาทองค์นี้
และพระครูบาศรีวิชัยจึงได้นำมาประดิษฐานไว้ยังวัดแห่งนี้
เพราะเป็นวัดขนาดใหญ่ และมีผู้คนเคารพบูชาเป็นจำนวนมาก

เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญของเมืองพะเยา
คือ 'พระเจ้าตนหลวง' องค์นี้




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs373.snc4/45572_143359365698103_100000721218208_235465_712057_n.jpg)

จากวิหารพระเจ้าตนหลวง พวกเราเดินต่อไปตามทางเดิน
ผ่านพระอุโบสถหลังใหม่ที่สร้างไว้กลางน้ำ
และมีจิตรกรรมฝีมือลุงอังคารอยู่ด้านใน
เพื่อไปยัง 'หอวัฒนธรรมนิทัศน์' ของวัดศรีโคมคำ




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs193.ash2/45572_143359369031436_100000721218208_235466_3820733_n.jpg)





ที่นี่มีโบราณวัตถุต่างๆจัดแสดงไว้มากมาย
โดยมากเป็นของที่พบในบริเวณภาคเหนือตอนล่าง และจังหวัดพะเยา
หรือของที่ท่านเจ้าคุณวัดศรีโคมคำท่านได้รวบรวมไว้
เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้มีโอกาสศึกษาในความเป็นมาของบ้านเกิดเมืองนอน





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs196.ash2/45875_143868798980493_100000721218208_237674_6197622_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs396.snc4/45875_143868792313827_100000721218208_237673_5571027_n.jpg)




เราเสียเวลาไปกับถ่ายภาพกันซักพักใหญ่ๆ
เพราะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย
และอนุญาตให้เราสามารถถ่ายภาพได้ตามต้องการ




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs396.snc4/45875_143868812313825_100000721218208_237677_8033302_n.jpg)






แล้วก็ออกเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ 'วัดป่าแดงบุญนาค'

วัดป่าแดงบุญนาคมีทรากโบราณสถาน 2 กลุ่ม
คือ กลุ่มที่เป็นวัดร้าง ได้แก่ เจดีย์องค์นี้



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs182.ash2/44567_143893185644721_100000721218208_237765_5510342_n.jpg)



กับฐานวิหารทางด้านหน้า ที่ลาดพื้นด้วยหินทรายทั้งวิหาร




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs382.snc4/44567_143893188978054_100000721218208_237766_1878279_n.jpg)

กับอาคารกลุ่มที่ 2 ที่มีการเข้าใช้พื้นที่ในปัจจุบัน
คือ วิหารหลังนี้




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs362.snc4/44567_143893195644720_100000721218208_237768_6237298_n.jpg)




ซึ่งมีกู่ทรงปราสาทยอดที่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่อยู่ท้ายวิหาร





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs362.snc4/44567_143893192311387_100000721218208_237767_1645791_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs394.snc4/45744_143898542310852_100000721218208_237845_14101_n.jpg)




จากวัดศรีโคมคำ พวกเราเดินทางต่อไป 'วัดลี'
ซึ่งเป็นวัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งในเมืองพะเยา
และอยู่นอกเขตพื้นที่น้ำท่วม
ที่ทำเขื่อนกั้น 'กว้านพะเยา' ให้เป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่

ที่นี่ก็มีพิพิธภัณฑ์ประจำวัดขนาดเล็กๆ
ซึ่งแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่เท่าที่วัดศรีโคมคำ
แต่วัตถุจัดแสดงต่างๆก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs394.snc4/45744_143898545644185_100000721218208_237846_3103668_n.jpg)

คุณติบอคะ รูปสุดท้ายนี้ เป็นภาชนะหรือ เป็นอะไรคะ พอจะทราบประวัติที่มาของวัตถุชิ้นนี้ไหมคะ
น่าสนใจมาก จะเกี่ยวกับศาสนาพราหม์ไหมคะ

เรียนคุณ Ruamrudee ครับ

ประติมากรรมในภาพเป็นชิ้นส่วนสถูปองค์น้อย
ที่มีสัตว์ (คิดว่าเป็นสิงห์) แบกทั้ง 4 ด้าน
เป็นสถูปแบบที่พบมากในศิลปสกุลช่างพะเยาครับ

ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคนโบราณท่านทำสถูปแบบนี้ไว้ทำอะไรเหมือนกัน
จนปัญญาอยู่ เพราะไม่เห็นของที่หลงเหลือมาให้เปรียบเทียบ
องค์นี้ยังไม่ถือว่างามเท่าไหร่ ทางวัดเลยจัดแสดงไว้ด้านนอก
ส่วนองค์งามนั้นอยู่ที่หอวัฒนธรรมนิทัศน์วัดศรีโคมคำครับ

'วัดลี' เป็นวัดสุดท้ายในเมืองพะเยาที่พวกเราแวะชมกัน
ก่อนจะออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางถัดไปใน 'อำเภอปัว'
พวกเราแวะชมวัดแห่งหนึ่ง คือ 'วัดแสนเมืองมา' ที่ระหว่างทาง




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs374.snc4/45744_143898552310851_100000721218208_237848_5167881_n.jpg)




ที่นี่ถูกบูรณะไปมาก แต่ก็ยังงดงามอยู่ไม่น้อย
ลายคำพวกนี้ยังหลงเหลือเอกลัษณ์ความเป็นพื้นเมืองมาให้ได้ดูกันอยู่
แม้จะ 'ใหม่เอี่ยม' ไปแล้วในสายตาคนหลายๆคนที่ไม่นิยมของใหม่





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs394.snc4/45744_143898555644184_100000721218208_237849_4050514_n.jpg)

แม้แสงด้านนอกจะไม่เป็นใจให้เรา
สำหรับการถ่ายรูปสถาปัตยกรรมนัก
แต่งานประดับภายในก็งดงามอยู่ไม่น้อย




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs381.snc4/44387_143900522310654_100000721218208_237858_6781470_n.jpg)




มกรตัวนี้ เป็นของเก่าที่ใช้เขากวางจริงเป็นเขามกร

ส่วนเสาร่วมในภายในพระอุโบสถ ที่ใช้ 'ค้ำยันหูช้าง'
เหนือบัวหัวเสารับคานนั้น ผมไม่เคยพบลักษณะเช่นนี้เลยในศิลปะภาคกลาง




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs181.ash2/44387_143900525643987_100000721218208_237859_8337415_n.jpg)

เป็นคำถาม ที่จะถามเหมือนกัน ขอบคุณคะ

..ตามอ่านอยู่นะจ๊ะ..

รับทราบจ๊ะ

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs361.snc4/44387_143900528977320_100000721218208_237860_2719052_n.jpg)



พวกเรากราบลาพระประธานแบบ 'ไทลื้อ' ในพระอุโบสถ
และบอกลาวัดที่น่ารักแห่งนี้มา เพื่อเดินทางไปยังวัดแห่งถัดไป
'วัดนันตาราม' วัดแบบไทยใหญ่ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองนี้




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs187.ash2/45043_145083532192353_100000721218208_244243_7858520_n.jpg)

คุณติบอค่ะ ภาพสวย ๆ ที่ถ่ายในร่ม โดยเฉพาะในพระอุโบสถ
เข้าใจว่าจะใช้กล้องที่มีค่าไวแสงมากใช่ไหมคะ
เพราะดูเหมือนไม่ได้ใช้ Flash สีสดสวยราวกับตาเห็น

ไม่ทราบว่า ได้ไปที่วัดพระเจ้านั่งดินหรือยังคะ ที่พะเยาค่ะ
แปลกนะคะ ทางเหนือมีพระที่กล่าวกันว่า ผุดขึ้นจากดินแบบนี้ เท่าที่รู้ 2 แห่งแล้ว
อีกแห่งที่วัดพระธาตุผาเงา เชียงราย อยู่ไม่ไกลจากพะเยา
ในอดีต คงจะมีอุทกภัยใหญ่ในแถบลุ่มน้ำโขงแน่ ๆ หรือไม่ก็มีแผ่นดินไหว......

มีเวลาเมื่อไร ขอความกรุณาแบ่งปันความรู้เรื่องอารยะธรรมของล้่านนา
ที่เกี่ยวพันมาถีง สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์บ้างนะคะ

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs367.snc4/45043_145083542192352_100000721218208_244246_1551419_n.jpg)




งานประดับภายในของวัดนันตารามแห่งนี้งดงาม
แม้จะไม่วิจิตรเท่ากับวัดจอมสวรรค์ที่ผ่านมา
แต่ก็ยังดูเป็น 'แบบเดิมๆ' มากกว่า
ทั้งสีไม้ ลายทอง และงานประดับกระจก





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs360.snc4/44353_145705895463450_100000721218208_246339_670657_n.jpg)




การพระพุทธรูปประธานก็งดงามและลงตัวกับจองมาก
ดูไม่ขัดหูขัดตากับช่องว่างอากาศที่เหลือโหว่ว่างเหนือองค์พระ
เหมือนที่มักเป็นในวัดพม่า หรือไทยใหญ่ทั่วๆไป และวัดจอมสวรรค์ด้วย




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs360.snc4/44353_145705902130116_100000721218208_246340_3657236_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs360.snc4/44353_145705905463449_100000721218208_246341_161302_n.jpg)




ผมยังอดใจระรัวชัตเตอร์ใส่ลายประดับพวกนี้ไม่ได้อีกเช่นเคย
และรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีนัก ที่เกิดมาในยุคที่กล้องถ่ายรูปพัฒนาไปมากแล้ว
ถ้ายังต้องถ่ายภาพด้วยเนกาตีฟกระจก ขาว-ดำ
สีสันเลื่อมพรายลายตาที่น่ามองของลายพวกนี้คงจืดลงอีกโข





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs215.ash2/47775_145710142129692_100000721218208_246344_4701393_n.jpg)





หากจะเปรียบเทียบพัฒนาการของศิลปะแล้ว
'เวลา' หรือสิ่งที่สมเด็จครูมักทรงตรัสเรียกว่า 'แฟแช่น'
ในศิลปะล้านนา และพม่า นั้นเดินช้ากว่าภาคกลางอยู่มาก
การจัดเรียงดาวเพดานในตารางลักษณะนี้จืดจางไปมากแล้วจากภาคกลาง
แต่ก็เห็นได้ดื่นตาในศิลปะล้านนาอยู่เกือบทุกหนแห่ง

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเครือรัฐเหล่านี้ยังมีปฏิสัมพันธ์กัน
และรับส่งความนิยมชมชอบให้แก่กันและกันอยู่เสมอ
แม้ว่าของบางอย่างจะไม่ได้เป็นที่นิยมในศิลปะภาคกลางเลย
เช่น ธรรมาสน์องค์นี้ เป็นต้น




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs215.ash2/47775_145710152129691_100000721218208_246346_3250259_n.jpg)

แต่ในที่สุดเวลาที่ไม่อยากให้มาถึง ก็มาถึง
พวกเราจำเป็นจะต้องทิ้งความงามของวัดนันตารามไว้เบื้องหลัง



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs415.snc4/47775_145710158796357_100000721218208_246348_1547515_n.jpg)




เพื่อเดินทางไปยังวัดต่อไป... 'วัดพระเจ้านั่งดิน'





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs361.snc4/44377_145935502107156_100000721218208_247918_7428960_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs381.snc4/44377_145935512107155_100000721218208_247921_7660557_n.jpg)




หรือถ้าจะเรียกให้ถูก คงต้องเรียกว่า 'พระเจ้านั่งตู้' มากกว่า
เพราะทุกวันนี้พระเจ้าท่านถูกคั่นออกจากพวกเราไปด้วยตู้ขนาดใหญ่ในภาพ

วัดแห่งนี้เป็นวัดสุดท้ายที่เราแวะสักการะก่อนจะเดินทางข้ามทิวเขาสุดลูกหูลูกตาไปยัง 'อำเภอปัว'
ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางแห่งสุดท้ายของวัน... พร้อมกับตะวันที่ยอแสงอยู่ริมขอบฟ้า




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs609.snc4/58932_147585108608862_100000721218208_255267_4004025_n.jpg)

วีดไทยใหญ่ในเส้นทางคราวนี้  ดูจากสภาพที่ปรากฏตามภาพถ่ายแล้ว  น่าจะเป็นวัดที่พ่อค้าไม้ชาวไทยใหญ่มาสร้างขึ้นหรือบูรณะขึ้นในยุคสัมปทานป่าไม้เมื่อกว่า ๑๐๐ ปีก่อนใช่หรือไม่ครับ  เพราะดูจากความอลังการ์แล้วต่างจากวัดป่ารวก  วัดไทยใหญ่ที่ลำปางเหลือเกินครับ

ดิฉันแปลกใจที่คุณติบอเรียกประติมากรรมนี้ว่าสถูปค่ะ
 
ในความคิดเห็นดิฉัน คิดว่า น่าจะเป็นฐานสำหรับปักเสาอะไรสักอย่าง เช่น เสาฉํตร หรือ เสาธง(ตุง) นะคะ

ต้องรอผู้รู้มาแนะนำค่ะ แปลกมาก ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนค่ะ คุณติบอช่างสังเกตุดีจริง ๆ นะคะ

      มาลงชื่อว่าติดตามแอ่วเหนืออยู่ด้วยคน และด้วยใจระทึก
เพราะกำลังจะเข้าสู่เมืองน่าน นครแห่งความหลังฝังใจ
       หวังว่า จะได้แอ่วน่านอย่างตลอดรอดฝั่ง ไม่ค้างเติ่ง ข้ามเดือน ข้ามปี
นะครับ

"กระซิบ" จากกระทู้ในพันทิป   

ขอบพระคุณชาวเรือนทั้ง 3 ท่าน ครับ



เรียนคุณ V_Mee ครับ

การค้าไม้เป็นเศรษฐกิจหลักของสังคมพม่า - ล้านนา ในช่วงเวลานั้น
(ใครไปดูหนังเรื่อง 'ชั่วฟ้าดินสลาย' แล้ว คงพอนึกภาพ 'นายห้างพะโป้' ออก)
นายห้างพวกนี้เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจทั้งฝั่งพม่า และไทย
(ที่จริงจะรวมไปถึง 'อังกฤษ' ด้วยก็คงไม่ผิดนัก)

กระแส และกลิ่นอายวัฒนธรรมพม่าที่ไหลบ่าเข้ามาในล้านนา
ก็คงปฏิเสธไม่ได้ส่วนหนึ่งก็มาจากการ 'ทำไม้' ในช่วงเวลานั้นๆอย่างที่คุณ V_Mee สงสัย
แต่จะให้ฟันธงลงไปทันที ผมก็ยังไม่กล้าครับ เพราะไม่ได้สืบประวัติวัดมาก่อน
คิดว่าถ้าได้สืบ ก็คงจะกล้าตอบคำถามได้ชัดเจนกว่านี้



เรียน คุณ Ruamrudee

ผมไม่แปลกใจ ที่คุณจะเห็นว่าฐานสถูปเช่นนี้เป็นฐานเสาได้
เพราะของที่อยู่ในภาพก็ไม่คุ้นตาพวกเรากันเลย
แถมภาพที่นำมาให้ชมก็ชวนให้คิดไปเช่นนั้นได้มาก
แต่ที่จริงเดือยด้านบนของประติมากรรมชิ้นนี้ตื้นมาก

และเมื่อได้เปรียบเทียบกับประติมากรรมชิ้นอื่นๆ
ซึ่งมีระเบียบในการเรียงลำดับลวดบัวชั้นต่างๆเหมือนกัน
จึงทำให้ทราบได้ว่าประติมากรรมชิ้นนี้คืออะไร
ขออนุญาตเทียบภาพไว้ให้ชมนะครับ

ชิ้นเดิมจากพิพิธภัณฑ์ วัดลี ส่วนชิ้นใหม่จากหอวัฒนธรรมนิทัศน์ วัดศรีโคมคำ ครับ



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs396.snc4/45875_143868812313825_100000721218208_237677_8033302_n.jpg)


(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs394.snc4/45744_143898545644185_100000721218208_237846_3103668_n.jpg)



เรียนคุณ SILA ขอบคุณครับที่เตือนว่ารออ่าน :-[
และขอให้เล่าต่อให้จบไม่ข้ามเดือน ข้ามปี
คิดว่าคงจบในเร็ววันครับ เพราะไม่ต้องมานั่งทำใหม่ทั้งหมด

ที่จริงผมเล่ากระทู้นี้เอาไว้ใน facebook จนจบแล้ว
ถ้าคุณ SILA ไม่รังเกียจจะอ่านสำนวนเล่าอีกแนวหนึ่ง
จะลองเข้าไปอ่านดูก่อนให้หมดระทึกใจก็ได้ครับ :)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs629.snc4/58932_147585118608861_100000721218208_255270_553189_n.jpg)




เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศจากรีสอทที่พัก
อวลไปด้วยสายลมเย็นสดชื่น
ที่หอบเอาหมอกก้อนใหญ่มาฝากเราแต่เช้า

เนื่องจากรีสอทที่เราพักอยู่บนลาดเขา
เมื่อมองลงไปด้านล่าง จึงเห็นผืนนาเล็กๆ
ที่ชาวบ้านทำไว้ในที่ราบระหว่างหุบเขาอยู่ตรงหน้า

ดูเหมือนข้าวเขียวและเรียวไผ่ที่นี่
จะเชิญชวนให้พวกเรามานั่งวาดภาพกันอยู่ไม่น้อย




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs609.snc4/58932_147585121942194_100000721218208_255271_948488_n.jpg)

วัดแรกสำหรับวันนี้ เป็นวัดที่งามในกลิ่นอายแบบไทลื้อ
ชื่อ 'วัดต้นแหลง' แต่บรรยากาศไม่ชวนให้ถ่ายรูปเล้ย...
ฟ้าเหนือวัดไม่มีทีท่าจะเปิดเลยสักนิด แย่จัง




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs629.snc4/58967_147588101941896_100000721218208_255287_5507831_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs609.snc4/58967_147588105275229_100000721218208_255288_531978_n.jpg)




หน้าบรรพ์งามๆที่จะถ่ายได้
เลยกลายเป็นก้อนอะไรดำๆไม่รู้...
ดูภาพแล้วชวนให้หงุดหงิดอย่างน่าประหลาด

ที่ตั้งข้อสังเกตเรื่องวัดไทยใหญ่ไว้นั้นเป็นเพราะสังเกตว่า วัดไทยใหญ่งามๆ นั้นมักจะอยู่ใน้องที่ลำปาง  พะเยาและแพร่  ซึ่งมีพวกเลี้ยวเข้าไปทำป่าไม้กันมาก  แต่ทางเมืองชียงใหม่และลำพูนซึ่งอิทธิพลของสยาม  อังกฤษ และมิชชันนารีแผ่ขึ้นมามากกลับไม่ค่อยมีวัดไทยใหญ่ให้เห็นครับ

เห็นด้วยกับคุณ V_Mee เรื่องการกระจายตัวของวัดครับ
ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเป็นแหล่งที่หาไม้ได้ง่ายด้วย
รายละเอียดอื่นๆ ผมเองก็คิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจไม่น้อย
เช่น 'ลูกบอลสังกะสี' ที่วัดพวกนี้มักนิยมนำมาประดับ
เคยได้ทราบมาว่าวังของมหาราชาหลายแห่งในอินเดียก็ประดับเช่นกัน
หวังใจว่าจะมีงานวิจัยจากใครก็ได้เขียนออกมาให้อ่านในเร็ววัน

งานมัณฑนศิลป์ของวัดต้นแลงก็เช่นเดียวกับวัดอื่นๆ
คือ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอีกเช่นเคย
การประดับแม้จะไม่ได้รักษาของเก่าๆไว้ทั้งหมด
แต่ก็ยังอนุรักษ์รูปแบบเดิมๆไว้ได้เป็นอย่างดี




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs309.ash2/58967_147588115275228_100000721218208_255291_2402590_n.jpg)





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs430.snc4/47331_147591058608267_100000721218208_255316_2837751_n.jpg)





ผมเป็นคนหนึ่งที่ประทับใจการประดับตุงมาก
แม้จะทราบได้ว่าตุงที่นำมาประดับไม่ได้เก่าแก่อะไร
แต่ก็ยังชวนให้ระฦกถึงบรรยากาศเดิมๆไว้ได้มาก

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs410.snc4/47331_147591068608266_100000721218208_255319_553747_n.jpg)




โดยเฉพาะกับงานประดับหลายๆอย่าง
เช่น การใช้กระดาษตัดมาตกแต่ง
เป็นลายดาวเพดานของธรรมาสน์องค์นี้
ซึ่งผมถือว่าเป็นของที่น่าชื่นชมมาก

พวกเราหมดเวลาไปกับการชื่นชมความงาม
ของการตกแต่งต่างๆวัดต้นแหลงซักพักใหญ่ๆ
แต่ในที่สุดแล้วก็ต้องเดินทางต่อไปอีกอยู่ดี
ฟ้าด้านนอกยังคงไม่เป็นใจให้กับการถ่ายภาพอีกเหมือนเคย
เอาเถอะ สักวันหนึ่งผมจะกลับมาถ่ายภาพที่นี่ใหม่




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs633.snc4/59352_147605285273511_100000721218208_255362_7185175_n.jpg)

หลังออกจากวัดต้นแหลงแล้ว
วัดแห่งถัดไปของพวกเรา คือ 'วัดพระธาตุเบงสะกาด'
ซึ่งอยู่บนดอยขนาดย่อมๆ


(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs633.snc4/59352_147605291940177_100000721218208_255364_7756833_n.jpg)



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs633.snc4/59352_147605298606843_100000721218208_255365_5677858_n.jpg)




การจะถ่ายภาพหน้าบรรพ์ของสิมหลังนี้มาได้
จึงเป็นเรื่องน่าหวาดเสียวอยู่เล็กน้อย
เพราะหากถอยหลังไปจากจุดที่ยืนถ่ายภาพอีกสักหน่อย
คนถ่ายภาพอาจจะต้องสังเวยชีวิตเป็นเครื่องไหว้สาพระธาตุได้
เนื่องจากหลังจากพวกเราลงไป เป็นหน้าผาที่ชันมากพอควร

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs435.snc4/47806_148682075165832_100000721218208_260152_8306004_n.jpg)



งานประณีตศิลป์บ้านๆแบบล้านนาของวัดแห่งนี้
ยังคงได้ใจจากผู้ไปเยี่ยมชมอีกเช่นเคย



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs415.snc4/47806_148682078499165_100000721218208_260153_6723132_n.jpg)



ผมอดหลงรักเจ้า 'หน้ากาล' ตัวนี้ไม่ได้
ที่ท่ากินพระอาทิตย์ของมันดูแล้วชวนให้นึกถึงชีสก้อนโตๆ
ชวนให้รู้สึกว่าช่างที่ปั้นมันขึ้นมาใส่บุกคลิกของความ 'ตะกละ' และ 'มูมมาม'
ให้กับงานศิลปะที่เขาสร้างขึ้นได้อย่างน่าชื่นชม

รวมไปถึงงานตกแต่งภายใน ที่ชวนให้นึกถึงวิหารหลายๆแห่ง
ในศิลปะอยุธยาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs435.snc4/47806_148682081832498_100000721218208_260154_8110769_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs435.snc4/47806_148682085165831_100000721218208_260155_7019310_n.jpg)




ถึงแม้ว่าบรรยากาศและงานประณีตศิลป์ของวัดแห่งนี้
จะสวยงามเพียงใดก็ตาม... ในที่สุดเราก็ต้องอำลา
และเดินทางจากไป เพราะจุดมุ่งหมายแห่งถัดไปกำลังรอพวกเราอยู่





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs426.snc4/46949_148686421832064_100000721218208_260165_247502_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs206.ash2/46949_148686425165397_100000721218208_260166_6340879_n.jpg)



วัดถัดไปที่พวกเราเดินทางไปชม คือ 'วัดร้องแง'
ที่แม้จะเป็นวัดเล็กๆ แต่ก็เต็มไปด้วยศิลปกรรมพื้นบ้านงามๆ
ที่ดูน่าชมไปในทุกสิ่ง ทุกส่วน ของวัด

ผมอยากสารภาพว่า 'หลงรัก' ทวยอันนี้แต่แรกพบ




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs339.ash2/61911_149082178459155_100000721218208_261663_6185001_n.jpg)




ส่วนงานตกแต่งภายในอื่นๆก็งามไม่น้อย





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs339.ash2/61911_149082188459154_100000721218208_261665_2223100_n.jpg)

งานประดับที่นี่ยังรักษารูปแบบเดิมๆไว้ได้มาก
ทั้งงานจิตรกรรม และงานประดับ
เราจึงได้มีโอกาสเห็นจิตรกรรมพื้นบ้านล้านนา
อยู่ที่วัดแห่งนี้ด้วย




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs660.snc4/60009_149087718458601_100000721218208_261686_6812196_n.jpg)




ดาวเพดานที่นี่กลีบดอกแต่ละกลีบที่บานออกมา
ใช้สังกะสีปิดทองเพื่อให้ดอกดวงดูนูนเด่นมากกว่าไม้สลัก
ที่จริงงานประดับสังกะสีเป็นเรื่องน่าสนใจอยู่ชั่วครู่
ทั้งในศิลปะล้านนา ศิลปะพม่า และศิลปะไทยภาคกลาง
แต่ที่ชุดที่สุดในประเทศไทยเห็นจะเป็นศิลปะล้านนา
ก่อนที่วัสดุจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นของอย่างอื่นๆแทน




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs660.snc4/60009_149087721791934_100000721218208_261687_7933812_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs660.snc4/60009_149087728458600_100000721218208_261689_466103_n.jpg)




แต่ทำไมผมถึงประทับใจกระบะใส่ของแก้บนใบเขื่อง
กับพระแม่ธรณีองค์นี้ที่สุด... ก็ไม่รู้แฮะ ?

ปลายทางแห่งถัดไปของพวกเราอยู่ที่ 'วัดหนองบัว'
เมื่อมาถึงอำเภอปัว ที่นี่เป็นจุดที่นักศิลปะนิยมทั้งหลาย
ต้องหาโอกาสมาเยี่ยมชมให้ได้ เพราะมีของดีๆ และงามๆอยู่หลายอย่าง



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs349.ash2/62895_151713701529336_100000721218208_276215_4703615_n.jpg)



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs350.ash2/63002_151720128195360_100000721218208_276432_947551_n.jpg)




ผมประทับใจบรรยากาศในวัดตั้งแต่แรกเห็น
การตกแต่งต่างๆก็งดงามกว่าทุกๆที่ที่ได้เห็นมา
รวมทั้งจิตรกรรมฝาผนังฝีมือเอกๆที่หลงเหลือมา
หลังจากถูกน้ำท่วมใหญ่ไปเมื่อปีกลาย

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs710.snc4/63002_151720138195359_100000721218208_276435_4566688_n.jpg)




ภาพพวกนี้บอกเราว่าแม่ญิงล้านนาแต่ละนาง
ใช่แต่จะมีความดีงามอย่างเดียวเหมือนในเพลงล่องแม่ปิง
ที่จริงแต่ละคนน่ะ มือก็ไกวตีนก็แกว่งพอๆกับผู้บ่าวเลย..


ส่วนดาวเพดานวันนี้ก็งามอีกตามเคย
เสียดายว่าทางวัดเอาโป๊ะไฟสมัยใหม่ไปติดไว้
เลยดูขัดหูขัดตาอย่างไรไม่รู้...

ถ้ามีส่วนราชการสักที่ ที่เปิดการเรียนการสอนเรื่องงานออกแบบ
เข้ามาช่วยเหลือทางวัดให้สามารถทำโคมไฟอันใหม่
ที่ติดแล้วดูไม่ขัดหูขัดตากับดาวเพดานได้ก็น่าจะดีกว่านี้อีกมาก




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs690.snc4/63002_151720141528692_100000721218208_276436_2186957_n.jpg)

งานศิลปกรรมของไทยไม่ว่าภาคไหนมักแสดงถึงอุปนิสัย  บรรยากาศ ทรัพยากรอยู่ในงานเสมอขอบคุณที่นำมาให้ชมครับ ขออีกเยอะๆชอบ

รูปผู้หญิงถือดาบนั่นคือนางพรหมจารีชนช้างฤาเปล่าครับ? ???

เรียน คุณ yutthana ยินดีครับ
กระทู้นี้ผมคงเขียนไล่ไปจนจบทริปได้
หรือที่จริง พี่ยุทธจะลองเปิดดูใน fb ก่อนก็ได้ครับ


เรียนคุณ kurukula ถูกต้องนะครับ
รายละเอียดขอให้เปิดหนังสือ 'วัดภูมินทร์และวัดหนองบัว'
ของสำนักพิมพ์เมืองโบราณดู จะได้รายละเอียดมากกว่า

คำบรรยายภาพที่เห็นอยู่นี่ อ. ประยูร ท่านถึงกับออกปากว่า
เป็นการแสดงฝีมือช่างที่แปลก เพราะตั้งใจเขียนแสดงให้เห็นว่า
นางพรหมจารีมาฤทธิ์มาก ถึงกับใช้ดาบสองมือได้

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs612.snc4/59217_151725554861484_100000721218208_276615_6469423_n.jpg)



ธรรมาสน์ของวัดหนองบัว
เป็นโบราณวัตถุอีกชิ้นหนึ่งที่งามไม่น้อย
ทรวดทรงองค์เอวของธรรมาสน์องค์นี้
ผอม และเพรียว เหมือนที่พบในศิลปะอื่นๆซึ่งร่วมสมัยกัน

ส่วนภาพวาดเก่าในกรอบกระจกนี้ก็น่ารักอยู่ไม่น้อย
ไม่แน่ใจว่าการใส่กรอบกระจกจะทำให้ภาพเสียเร็วขึ้นไหมนะครับ ?




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs632.snc4/59217_151725564861483_100000721218208_276618_6253974_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs612.snc4/59217_151725568194816_100000721218208_276619_8240958_n.jpg)




ไหนๆก็มาถึงวัดหนองบัวแล้ว
ขออนุญาตเอาภาพ 'หนองบัว' หนองนี้มาลงหน่อย
อยากให้เห็นว่าช่างที่วาดตั้งใจเก็บบุคลิกของต้นไม้มาก
ถึงจะไม่เนี้ยบจนเหมือนงาน botanical paint
แต่ก็ถือว่าน่าชื่นชมมาก ที่มีความตั้งใจเช่นที่เห็นอยู่นี้





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs693.snc4/63298_151787414855298_100000721218208_276943_8314373_n.jpg)




แต่แล้วในที่สุด... ก็หมดเวลาสำหรับวัดแห่งนี้
เราต้องออกจากวิหารหลังงามนี่ไปเพื่อจุดมุ่งหมายต่อไป

แต่ก่อนจะไป ผมขอแวะถ่ายโบสถ์หลังน้อย
กับหน้าบรรพ์งามๆซักหน่อยนะคราบบบ




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs693.snc4/63298_151787418188631_100000721218208_276944_5456916_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs693.snc4/63298_151787421521964_100000721218208_276945_4154700_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs688.snc4/62814_151790931521613_100000721218208_276978_3105749_n.jpg)




จุดหมายถัดไปของผม อยู่ที่ 'วัดพระธาตุเบงสะกาดน้อย'
ที่นี่อยู่บนดอย จึงมองเห็นทัศนียภาพออกไปได้ไกลลิบ
น่าเสียดาย มาในช่วงบรรยากาศไม่เป็นใจ ฟ้าเลยเป็นสีมอๆไปหน่อย
ผมคงต้องหาโอกาสมาเก็บภาพที่นี่เองอีกซักครั้ง
เพราะขุนเขาสีฟ้าๆตรงหน้าออกไปนั่นดูน่าถ่ายรูปเหลือเกิน





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs708.snc4/62814_151790934854946_100000721218208_276979_6131255_n.jpg)





หมดเวลาดูวัดนี้แล้ว ขอตัวก่อนนะครับ 'สวัสดี จ๊ะ!!!'





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs348.ash2/62814_151790938188279_100000721218208_276980_1915238_n.jpg)

วัดถัดไปของพวกเรา คือ 'วัดดอนมูล'
เนื่องจากที่นี่กำลังบูรณะปฏิสังขรณ์อยู่
สภาพวัดเลยค่อนข้างรก ไม่เหมาะกับการถ่ายภาพนัก
และไม่มีโอกาสได้ดูด้านในพระอุโบสถไปตามระเบียบ




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs655.snc4/61508_151825464851493_100000721218208_277259_2179192_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs655.snc4/61508_151825471518159_100000721218208_277261_7858939_n.jpg)




แต่เพียงแค่ภายนอกอย่างเดียว
ที่นี่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย
เช่น บานประตูคู่นี้ ที่แม้จะดูบ้านๆ
แต่ก็เห็นฝีมือช่างว่า 'ไม่ธรรมดา' เลย

หลังอาหารกลางวันมือใหญ่
วัดแรกที่พวกเราแวะชม คือ 'วัดสถารศ'
ที่นี่อยู่ในสภาพค่อนข้างใหม่ ไม่ได้มีอะไรให้ดูนัก
แต่เจดีย์องค์นี้ก็มีลักษณะร่วมหลายอย่าง
ที่ทำให้ดูคล้ายกับเจดีย์สมัยอยุธยาตอนปลาย




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs659.snc4/59956_151827404851299_100000721218208_277265_6695580_n.jpg)




พระประธานที่นี่ เรียงกัน 3 องค์
เรียกกันว่า 'พระ อู่ แสน สุข'
เข้าใจว่าเป็นหลักการจัดวางแบบใหม่
เพื่อให้ได้ชื่อย่อที่เป็นมงคลนาม
จากการย่อชื่อศิลปะสมัยต่างๆ ได้แก่




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs659.snc4/59956_151827408184632_100000721218208_277266_5719208_n.jpg)




พระพุทธรูปในศิลปะอู่ทอง

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs659.snc4/59956_151827414851298_100000721218208_277268_6715371_n.jpg)



พระพุทธรูปในศิลปะเชียงแสน




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs659.snc4/59956_151827411517965_100000721218208_277267_3752261_n.jpg)




พระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัย





รวมกันเป็น 'พระ อู่(ทอง) (เชียง)แสน สุข(โขทัย)'
หรือ 'พระอู่แสนสุข' ที่เรียกกันในปัจจุบัน

วัดถัดไปของพวกเราในบ่ายวันนี้
คือ 'วัดสวนตาล' ซึ่งถูกซ่อมไปมากแล้ว
ตอนนี่เจดีย์ประธานของวัดเป็นพระปรางค์ทรงแปลกประหลาด
หน้าตาเหมือนที่เห็นในภาพ



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs319.ash2/59956_151827418184631_100000721218208_277269_7970646_n.jpg)




แต่ที่จริง เจดีย์องค์นี้เคยเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑุ์
หรือเจดีย์ทรงทะนาน หรือเจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูม มาก่อน
(จะเรียกอะไรก็ได้ เพราะแต่ละคนก็เรียกกันแตกต่างไปอยู่แล้ว)
ถ้าไม่เชื่อ.... ผมมีภาพเก่ามาเทียบให้ดูนะคราบบบบบ




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs318.ash2/59810_1354902483838_1569725543_30762062_7923655_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs643.snc4/60292_151838374850202_100000721218208_277418_7402856_n.jpg)




พระประธานในพระอุโบสถองค์นี้
ก็เป็นพระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัยเช่นกัน
ทำให้เชื่อได้ว่ามีปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรสุโขทัย
กับเมืองน่านขึ้นในช่วงที่เกิดการสร้างเจดีย์ทรงนี้ขึ้นแล้ว

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs319.ash2/59904_151850444848995_100000721218208_277439_5243268_n.jpg)




สถานที่ถัดไปของพวกเรา ในบ่ายวันนี้ คือ 'วัดพระธาตุแช่แห้ง'
ซึ่งเป็นพระธาตุประจำเมืองน่าน และพระธาตุประจำปีเถาะด้วย

เนื่องจากอยู่ในเทศกาลวันแม่ ก็เลยมีคนพาคุณแม่มาไหว้สาพระธาตุอยู่บ้าง
สำหรับผมเป็นที่น่าดีใจมากนะครับ ที่เห็นว่ามีคนพาผู้หลักผู้ใหญ่มาไหว้พระธาตุกัน




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs659.snc4/59904_151850451515661_100000721218208_277441_4958777_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs318.ash2/59820_151852568182116_100000721218208_277444_7344225_n.jpg)



เนื่องจากวัดพระธาตุแช่แห้ง เป็นวัดสำคัญของเมืองน่าน
ที่นี่เลยเต็มไปด้วยงานประณีตศิลป์งามๆหลายอย่าง
ตั้งแต่องค์พระธาตุ ไปจนถึงงานประดับตกแต่งต่างๆ
ทั้งภายนอก และภายใน เช่นสิงห์องค์นี้




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs618.snc4/59820_151852571515449_100000721218208_277445_270807_n.jpg)

ที่ออกจะแปลกตาอยู่ไม่น้อย
คือ เนื่องจากพระธาตุแห่งนี้
เป็นพระธาตุประจำ 'ปีเถาะ'
ก็เลยมีคนเอาตุ๊กตากระต่ายมาถวายพระธาตุกัน
นับได้ก็หลายสิบตัว (หรืออาจจะถึงหลักร้อยอยู่)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs314.ash2/59415_151856258181747_100000721218208_277465_2936671_n.jpg)




นักนิยมศิลปะหลายๆท่านคงอาจจะเห็นแล้วหงุดหงิดตา
แต่ล่าสุดได้ยินมาว่ามีการถวายตุ๊กตากระต่ายลายจุดเหมือนวัวแล้ว
คิดว่าอักสักพักอาจมีกระต่ายลายม้าลาย หรือเสือดาวต่อไปในเร็ววัน



(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs314.ash2/59415_151856254848414_100000721218208_277464_3305745_n.jpg)

กระทู้ยาวนาน...... ;D

มีแซวนะ เพื่อนคนนี้ 555+

ภายในวิหารของวัด ก็เต็มไปด้วยศิลปะงามๆหลายอย่าง
แต่น่าเสียดาย ที่เกิดการลักขโมยกันขึ้นด้วย
เช่น พระยืน 4 องค์ที่เห็นเป็นของใหม่เอี่ยมในภาพ
เดิมเป็นของเก่า แต่ถูกขโมยตัดพระชงค์แล้วอุ้มองค์ไปเสียแล้ว... น่าเศร้าครับ




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs634.snc4/59415_151856261515080_100000721218208_277466_351079_n.jpg)




ที่นี่มีประเพณีที่ดูแปลกตาอยู่อย่างหนึ่ง
คือ การนำเอาพระที่ชาวบ้านถวายมาตั้งเรียงไว้บนคาน
แต่แรกภาพที่เห็นชวนให้ผมนึกถึงวัดจีนหลายแห่ง
ที่มีการประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ย่อมๆไว้บนเครื่องบน

แต่เมื่อถามภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์น่านดู
ก็ได้คำตอบว่าไม่ได้เกี่ยวกัน ที่ทำเช่นนี้เพราะทางวัดกลัวของหาย...

เออ... ถ้าผมจะถวายพระสักองค์ จะหายก็หายเถอะน๊า
แต่ขออย่าได้เอาไปวางบนนั้นเล้ย.... มันเป็นลาง!!!





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs614.snc4/59415_151856264848413_100000721218208_277467_1733590_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs353.ash2/63371_151938964840143_100000721218208_277900_2012670_n.jpg)



เราออกจากประตูวิหารทางด้านผนังสะกัดหน้า
แวะถ่ายรูปวิหารกับฟ้าใสๆ ในเวลาที่แดดสวยๆ
จ๊ะเอ๋กับน้องสิงห์สุดดุ ที่คาบคนห้อยร่องแร่งอยู่ในปาก

ก่อนจะไปยังวิหารพระนอนที่อยู่ถัดออกไปเล็กน้อย




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs693.snc4/63371_151938968173476_100000721218208_277901_7737030_n.jpg)





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs639.snc4/59904_151850441515662_100000721218208_277438_3345527_n.jpg)

เจดีย์กะวิหารดูเก่าดีจัง ยังกับศิลปะสุโขทัย

เห็นด้วยกับคุณกุรุกุลา ว่าอารมณ์แบบศิลปะสุโขทัย
ยังไม่หมดไปจากภาคเหนือตอนล่างครับ
มีวัดและวิหารหลายที่ ที่ยังเก็บอารมณ์แบบนั้นไว้ได้ดีอยู่
ว่างๆเราลองมาตามไล่ดูกันมะ ?


เล่ากระทู้ต่อนะครับ

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs641.snc4/60116_151941028173270_100000721218208_277914_359703_n.jpg)




เอากู่องค์งามของคุณกุรุกุลามาให้ดูกันอีกรอบ
จะสมัยไหนผมก็เดาไม่ถูกเหมือนกันครับ
แต่เท่าที่เห็น มีทั้งรัดอก และบัวฅอระฆัง
ผมเองก็ไม่สันทัดกับเจดีย์เสียด้วย

กวนคุณกุรุกุลามาเปิดประเด็นถกเถียงกันเล่นๆดีกว่า
ถึงบางทีเวลาอ่านอาจจะดูเครียดไปบ้าง
แต่ก็น่าจะได้รับความรู้ทั้งคนตอบและคนอ่านกระทู้ครับ




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs321.ash2/60116_151941031506603_100000721218208_277915_4657526_n.jpg)




ภายในวิหารหลังนี้ มีพระเจ้านอนยิ้มอยู่องค์หนึ่ง
ขนาดใหญ่โตอยู่ไม่น้อย พระพักตร์ก็งาม
เห็นแล้วอดชื่นใจกับศิลปะดีๆของเมืองน่านไม่ได้
(แม้จะไม่ถูกใจกับลายใหม่ๆที่ดูชืดๆด้านหลังนั่นเลย.... ให้ตายเหอะ!!!)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs652.snc4/61206_151943924839647_100000721218208_277966_6819022_n.jpg)




ถัดจากกู่องค์งามของคุณกุรุกุลาออกไป
เป็นเจดีย์องค์หนึ่ง องค์ไม่ใหญ่กว่ากู่ของคุณกุรุฯ นัก
หน้าตาเป็นศิลปะแบบพม่า-มอญ อยู่บนฐานย่อมุมรูปดาว

เห็นแล้วก็เลยชวนให้นึกถึงพระธาตุเชวดากงที่พม่า
แถมที่วัดยังเอารูปม้ามาตั้งไว้ด้วย... เขาจะทำสาขาของชเวดากง
สำหรับคนเกิดปีมะเมียให้มาไหว้หรอ ??? เออ.....
พุทธพาณิช เกินร้อย!!!




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs332.ash2/61206_151943928172980_100000721218208_277967_2982946_n.jpg)

วัดแห่งถัดไปของพวกเราในเมืองน่าน
คือ 'วัดพระยาวัด' ซึ่งมีกู่เก่า
รูปทรงเหมือนเจดีย์กู่กุด ที่ จ.ลำพูน

เจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์สำคัญอีกองค์หนึ่ง
ที่ควรต้องถ่ายภาพออกมาให้ดูดี
ผมเลยถือว่าตัวเองยังพอมีโชคอยู่
ที่ฟ้าไม่ได้มืดหม่นเหมือนเมื่อเช้า




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs332.ash2/61205_151945784839461_100000721218208_277985_6248522_n.jpg)





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs652.snc4/61205_151945788172794_100000721218208_277986_2457761_n.jpg)





ส่วนวิหารของวัดเป็นของสร้างใหม่
เริ่มสร้างเมื่อราว พ.ศ. 2546
เห็นแล้วก็ดีใจ ที่ช่างยังมีทั้งความตั้งใจและฝีมือ
ที่อยู่ในเกณฑ์ที่น่าชื่นชมได้อยู่

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs315.ash2/59517_151947528172620_100000721218208_277992_5649691_n.jpg)





โบราณวัตถุเดิมที่เหลืออยู่ของวัด
ก็มีแต่กู่พระเจ้าหลังน้อย
กับธรรมาสน์หลังงามหลังนี้

งามแค่ไหนดูรายละเอียดเองนะครับ
ขออนุญาตไม่บรรยายน่อ...





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs315.ash2/59517_151947534839286_100000721218208_277994_5642680_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs635.snc4/59517_151947538172619_100000721218208_277995_3469826_n.jpg)




จุดหมายปลายทางแห่งถัดไปของพวกเรา
อยู่ที่ 'วัดพระธาตุเขาน้อย' ซึ่งตั้งอยู่บนเขา
แม้ที่นี่มีการสร้างเพิ่มในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก

แต่ก็ยังรักษาพระเจดีย์เก่าเอาไว้อยู่





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs315.ash2/59517_151947541505952_100000721218208_277996_934646_n.jpg)





รวมทั้งวิหารหลังนี้ซึ่งเคยเป็นหอคำเก่าด้วย





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs653.snc4/61363_151949171505789_100000721218208_277998_4711238_n.jpg)





หมดเวลาสำหรับวันนี้แล้ว เจอกันวันถัดไปครับ

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs333.ash2/61363_151949188172454_100000721218208_278002_5606696_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs635.snc4/59527_151950474838992_100000721218208_278008_2310219_n.jpg)





เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศยังคงขมุกขมัวตามฤดูกาล
หลังอาหารเช้ามื้อแรกในเมืองน่าน
เราก็เริ่มต้นวันใหม่กันที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมืองน่าน
โดยได้รับความอนุเคราะห์จากภัณฑารักษ์
ให้สามารถถ่ายภาพได้ จึงเป็นโชคดีของคณะเดินทาง

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs335.ash2/61514_151951981505508_100000721218208_278020_6553693_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs675.snc4/61514_151951991505507_100000721218208_278023_3787609_n.jpg)




ที่นี่มีของงามๆอยู่มาก หลายอย่างก็งามอย่างราชสำนัก
แต่อีกหลายอย่างก็งามแบบบ้านๆ ตามท้องถิ่น
พวกเราพากันถ่ายภาพโบราณวัตถุต่างๆใน พช. จนจุใจ
ก่อนจะเดินทางไปชม 'คุ้มเจ้าราชบุตร' ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป

แต่เนื่องจากเป็นพิพิธภัณฑ์ของเอกชน ผมจึงไม่ได้ถ่ายภาพไว้
เพราะเหตุว่าไม่ได้ขออนุญาตถ่ายภาพมาแต่แรก

ตกบ่าย เราไปเยี่ยมชมวัดภูมินทร์
หรือที่ผมขนานนามเรียกเองว่า 'มหาวิหารแห่งเมืองน่าน'
แม้จะเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตของผมที่ผมได้มาเยี่ยมชมวัดแห่งนี้

แต่เนื่องจากเป็นครั้งแรก ที่ได้สังเกตงานประดับของวัดอย่างละเอียดลออ
จึงได้มีโอกาสเห็นความวิจิตรในฝีมือช่างอยู่หลายประการ
นับว่าต้องยินดีกับชาวน่าน ที่ได้มีวัดแห่งนี้อยู่กับเมือง




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs348.ash2/62852_151962458171127_100000721218208_278074_6054545_n.jpg)





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs677.snc4/61739_151965548170818_100000721218208_278079_3619359_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs657.snc4/61739_151965558170817_100000721218208_278082_4895454_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs350.ash2/63078_151968488170524_100000721218208_278091_6531973_n.jpg)




ผมประทับใจลายประดับที่นี่มาก
จนนึกอยากนำไปรวบรวมทำขึ้นเป็นหนังสือสักเล่ม
(ตอนนี้กำลังหาทางจะพิมพ์เผยแพร่เพื่อสังคมอยู่
ขออนุญาตบอกบุญในกระทู้นี้ด้วยแล้วกันนะครับ)





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs350.ash2/63078_151968494837190_100000721218208_278093_4446455_n.jpg)





ส่วนผู้บ่าวคอพอกคนนี้... ทำไม xxx จังอ่า...
ครูช่างทะลึง!!!

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs710.snc4/63078_151968501503856_100000721218208_278095_7951559_n.jpg)




เราบอกลาวัดภูมินทร์ เพื่อเดินทางต่อไปยัง 'วัดช้างค้ำ'
ซึ่งอยู่ฟากถนนฝั่งตรงข้ามของเมือง
ซึ่งเป็นวัดสำคัญอีกแห่งของเมืองน่าน





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs347.ash2/62729_151970134837026_100000721218208_278104_2817227_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs657.snc4/61742_151976288169744_100000721218208_278182_111549_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs329.ash2/60974_151973141503392_100000721218208_278111_1520700_n.jpg)




ผมประทับใจธรรมาสน์องค์งามองค์นี้มาก
เพราะถือได้ว่าคนสร้างตั้งใจจะสร้างขึ้นเป็นอย่างเอก
ทั้งทรวดทรงและลวดลายที่ประดับอยู่ จึงงดงาม
รับกับการจัดองค์ประกอบของพื้นที่ภายในได้อย่างลงตัว




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs329.ash2/60974_151973148170058_100000721218208_278113_5626440_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs649.snc4/60974_151973151503391_100000721218208_278114_3487339_n.jpg)




แต่ทางวัดจะเอาหลอดฟลูออเรสเซนต์ไปติดไว้ทำไมว๊า...
เห็นแล้วปวดตับยังไงพิกล เหมือนผู้หญิงสวยๆมีตุ๊กแกอยู่บนหน้า
จะจูบก็ไม่กล้า จะมองก็เกรงๆ... เหอะๆ ม่ะหวายน๊า.....

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs315.ash2/59517_151974964836543_100000721218208_278153_5083023_n.jpg)




เหตุที่วัดช้างค้ำ ได้ชื่อว่าวัดช้างค้ำ
เพราะเจดีย์ประธานของวัดองค์นี้มีช้างค้ำอยู่
แต่นอกจากเจดีย์ช้างค้ำแล้วยังมีเจดีย์สำคัญอีกหลายองค์

เช่น เจดีย์ทิพย์ องค์นี้กับกู่ประดิษฐานอัฐิเจ้านายเมืองน่านด้านหน้าอีก 3 องค์




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs635.snc4/59517_151974968169876_100000721218208_278154_5600112_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs315.ash2/59517_151974971503209_100000721218208_278155_1506886_n.jpg)

หรือกู่องค์งามองค์นี้ ที่ดูจากลวดลายแล้ว
เชื่อได้ว่า คงมีอายุอยู่ในสมัยอาณาจักรล้านนายังรุ่งเรืองอยู่




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs615.snc4/59517_151974974836542_100000721218208_278156_6157663_n.jpg)




(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs337.ash2/61742_151976271503079_100000721218208_278178_7969201_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs677.snc4/61742_151976274836412_100000721218208_278179_2307452_n.jpg)





วัดหัวข่วง เป็นวัดแห่งสุดท้ายในเมืองน่าน
ที่พวกเราแวะชมก่อนออกจากเมือง
ที่นี่มีของงามๆอีกหลายอย่างให้ได้ชมกัน
เช่น หอพระไตรปิฏกหลังนี้ ซึ่งผมประทับใจลวดลายที่ฝามาก





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs677.snc4/61742_151976278169745_100000721218208_278180_1973831_n.jpg)





หรือเจดีย์ที่เลียนแบบมาจากวัดโลกโมฬีย์ที่เชียงใหม่องค์นี้





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs657.snc4/61742_151976281503078_100000721218208_278181_2615558_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs664.snc4/60391_151978888169484_100000721218208_278221_8071499_n.jpg)





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs324.ash2/60391_151978891502817_100000721218208_278222_411694_n.jpg)





โบสถ์วัดหัวข่วงเองก็งามไม่แพ้ของอื่นๆในวัด
ลายไม้แกะสลักที่หน้าบันที่นี่แม้จะไม่วิจิตรเหมือนงานในกรุง
แต่ก็งามไม่แพ้ที่อื่นๆในประเทศไทย

โดยเฉพาะเครื่องบนภายใน ที่ออกแบบได้ดี
และทำให้เห็นได้ถึงรูปแบบที่ต่างออกไปจากงานแกะไม้
เนื่องจากลายประดับที่วัดนันตาราม และวัดจอมสวรรค์นั้น
สร้างลายด้วยวิธีการประดับกระจก และฉลุสังกะสี





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs664.snc4/60391_151978894836150_100000721218208_278223_12682_n.jpg)

(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs664.snc4/60391_151978901502816_100000721218208_278225_6624676_n.jpg)




สถานที่สุดท้ายของคณะเดินทาง
ก่อนจะกลับไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟเด่นชัย
คือ 'วัดบุญยืน' ซึ่งก็สวยงามไม่แพ้ที่อื่นๆในการเดินทาง
หลายคนในทริป ประทับใจวัดตั้งแต่ได้เห็นลายประดับเสาคู่นี้ที่หน้าประตู






(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs665.snc4/60548_151983408169032_100000721218208_278295_7094380_n.jpg)

แต่เมื่อได้เห็นบรรยากาศภายในของอาคาร
สมาชิกที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันหลายคน
ก็ออกปากว่า 'เหมือนวิหารสมัยอยุธยาตอนกลาง'
เช่น วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นต้น

แต่ในที่สุด 'วัดบุญยืน' ที่งามไม่แพ้วัดใดๆในเมืองเหนือ
ทั้งในงานสถาปัตยกรรม หรืองานประณีตศิลป์
ก็ต้องถูกทิ้งไว้เป็นเพียงแค่ความหลัง...
เมื่อเวลาของคณะเดินทางหมดลงแต่เท่านี้





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs645.snc4/60548_151983411502365_100000721218208_278296_7519350_n.jpg)





(http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/hs325.ash2/60548_151983418169031_100000721218208_278298_2019272_n.jpg)

ขอบพระคุณ คุณติบอ สำหรับเรื่องราวดีๆ และภาพงามๆ ที่นำมาฝากกันค่ะ
บางสถานที่เคยไปเยือน แต่มองข้ามหลายสิ่งหลายอย่างไป เช่น ภาพผู้บ่าวคอพอกเรตx..ฮิฮิ
เอาใจช่วยสำหรับ 'ลายคำเมืองน่าน' ค่ะ อยากเห็นไวๆ นะคะ... ;D

ขอบคุณ คุณ :D :D ครับ
ดีใจที่ยังมีคนเข้ามาพูดคุยกันในกระทู้อยู่
เพราะดูแล้วเป็นกระทู้ที่เงียบมากๆ
(มีแต่คนเล่า เล่าไปเรื่อยๆอยู่คนเดียว 555+)


ที่จริงเรื่องในละแวกนั้นยังมีอะไรให้คุยได้อีกมากเลยครับ

มาลงชื่อว่า  ตามอ่านต่อเนื่อง อย่างเพลิดเพลิน เจริญตา เจริญใจ

ขอบคุณคุณติบอมากๆ

หวังว่าภาพที่เห็นวันนี้จะไม่กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจหวนคืน เมื่อถึงวันนั้น
วันที่ตัวฤทธิ์ (tourist คำเรียกโดย "หลานเสรีไทย") มาบุกจังหวัดน่าน ในอนาคตข้างหน้า

ภาพคห. ๘๐ จำได้ว่า อาจารย์จักรพันธุ์ เคยนำมาใช้ขึ้นปก "ศศิวิมลสับแหลก"

ภาพจากกระทู้ ความทรงจำดีๆ ที่เมืองน่าน พันทิป

ค้นเน็ทเจอละ ภาพหน้าปกของอาจารย์จักรฯ ที่ว่า

ขอบคุณ คุณ SILA มากๆครับ
ที่ติดตามอ่านต่อเนื่อง

หลังจากเริ่มรู้จัก facebook
และได้ทำ gallery ภาพไว้บ้าง
ผมถึงได้มีกำลังใจทำงานมากขึ้น

ยอมรับครับว่าเมื่อก่อนที่ฝากรูปใน hi5
ดูกลายเป็นเรื่องยุ่งยากไปเลย
หลังจากเริ่มมาใช้ facebook แล้ว


ถ้าหาเวลาว่างได้ จะลองสะสางกระทู้คั่งค้างอีกหลายๆกระทู้ดูครับ

ตามอ่านไม่เคยลดละนะคะ คุณติบอ อย่าเพิ่งนึกว่าจะหนีไปไหน เพราะดิฉันหลงเสน่ห์ศิลปะเมืองเหนือมาก ๆ ค่ะ

และ ประทับใจในตัวคุณมาก ที่ช่างสังเกตุ มองเห็นความงามในที่ต่าง ๆ ที่คนอื่นมองข้ามได้ บอกระดับจิตใจชัดเจนมาก

และคุณ SILA คะ


ดิฉันอ่านหนังสือนี้มา 10 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรก ไม่นึกว่าจะมีเพื่อนอ่านเล่มนี้ด้วย ดีใจค่ะ

จักรอคุณติบอสะสางกระทู้ค้างเติ่ง  :)

คุณร่วมฤดี - "หลานเสรีไทย" เป็นนักเขียนที่อ่านปุ๊บก็ชอบปั๊บ เพราะตรงใจ ต้องจริต
จนติดตาม "เบื้องหลังโปสการ์ด" ซึ่งเขียนลง "ลลนา" (นิตยสารในดวงใจ) เป็นตอนๆ ครับ

คุณ Ruamrudee และคุณ SILA ชมถึงขนาดนี้
เดี๋ยวผมก็เขินม้วนเป็นกิ้งกือ...  :-[
ถ่ายรูปลงกระทู้สัตว์ประหลาดได้พอดีหรอกครับ.. ;D

(พูดเล่นนะครับ)


ศิลปะไทยมีอะไรน่าศึกษาอีกมากครับ
ถ้าเราไม่หยุดทำงานกันเสียก่อน
อีกไม่นาน สิ่งที่เราพบเห็นกันก็จะเปลี่ยนแปลกไป

ขอบพระคุณสำหรับกำลังใจจากผู้อ่านทุกท่าน
ที่ทำให้ผมได้มีกำลังใจทำงานต่อไปครับ

เคยอ่านศศิวิมลสับแหลกมาเมื่อนานมาแล้ว อ่านไปก็ขำไปครับ (หวังว่าผมคงไม่ได้เป็นคนเดียวที่ขำ) อาจารย์จักรพันธ์แกเปี่ยมด้วยกลวิธีที่ทำให้คนอมยิ้มจริงๆ 8)

สำหรับหนังสือ "ลายคำเมืองน่าน" ถ้าออกมาจริงๆจะเป็นคนหนึ่งที่ติดตามและอุดหนุนค่ะ
กระทู้นี้เคยเข้ามาอ่านหลายครั้งและก็ได้ติดตามมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยเข้ามาตอบในกระทู้นี้เลย
ชื่นชมในฝีมือการถ่ายภาพและมุมมองด้านประวัติศาสตร์ศิลปะของคุณติบอค่ะ

สำหรับเมืองน่านเท่าที่ทราบมามีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจ (ยังไม่เคยไปซักที..^0^)
อ่านคำขวัญจังหวัดน่านแล้วก็ว่า อื้อ!จังหวัดนี้มีดีจริงๆเลยนะ..

"พระธาตุแช่แห้ง แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ เสาดินนาน้อย แอ่วดอยภูคา ผ้าลายน้ำไหล มะไฟจีนรสดี มีเครื่องเงินหลากหลาย เครื่องหวายน่าชม ส้มสีทองเมืองน่าน"

ถึงคุณ Kurukula

เห็นด้วยกับคุณ ว่าอาจารย์จักรพันธ์
ท่านมีอะไรให้เรายิ้มได้เสมอครับ

คนอื่นๆในสังคมจะมองท่านอย่างไรผมไม่ว่า
แต่สำหรับผมท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ศิลป์โดยตัวของท่านเอง
วิธีคิดของท่าน แม้หลายครั้งผมจะไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด
แต่ก็ต้องชื่นชมว่าท่านมีบุคลิกที่ควรมีอยู่มาก

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักประวัติศาสตร์ศิลป์ขี้เก๊ก
ที่คิดว่าการพูดอะไรให้ลุ่มลึก ซึ้งซาบซึมแซกอยู่ในใจ
จนคนฟังออกจะเซื่องซึม และซึมกระทือ
(เพราะฟังไม่รู้เรื่อง) หลายครั้งภาพอาจารย์จักรพันธุ์ก็พุ่งพรวดขึ้นมาให้เห็น

มีคนเคยถามผมว่า 'นักวิชาการจะมีประโยชน์อะไร
ถ้าไม่สามารถทำให้คนร่วมยินดีไปกับสิ่งที่เขาค้นพบได้' ?



ขอบคุณ คุณ pierre ครับ
ที่ออกปากจะอุดหนุนหนังสือ 'ลายคำเมืองน่าน' ของผม
ตอนนี้ผมยังไม่มั่นใจว่าจะทำหนังสือออกมาในรูปแบบใดดี
เพราะประเด็นหลัก คือ อยากให้หนังสืออยู่ในมือของคนเมืองน่านเป็นหลัก

ถ้าได้อยู่ในห้องสมุด หรือหน่วยงานต่างๆ ก็จะเป็นการดี
จะ 500 เล่ม หรือ 1,000 เล่มก็ได้
(แม้จะรู้ว่าหลายครั้ง หน่วยงานบางแห่งก็ไม่เอาไปใช้ประโยชน์เลยก็ตาม)

มีพี่ที่สนิทกันเสนอให้ผมตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรขึ้น
แล้วทำหนังสือขาย เพื่อนำยอดกำไรไปบริจาคให้กับห้องสมุด
แต่ส่วนตัวผมเองยังอยากลองทำเป็น 'ผ้าป่าหนังสือ' ดูก่อน
เนื่องจากเป็นโปรเจคทดลอง ยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

แม้จะเห็นด้วยกับพี่เขาว่าการทำหนังสือขายได้ผลดีกว่า
เพราะหนังสือส่วนหนึ่งจะได้ไปอยู่ในมือของคนอยากอ่านจริงจัง
ไม่ใช่เอาไปให้ใครก็ไม่รู้ ที่แค่อยากบริจาคเงิน
แล้วอีกสองปีสามปีก็กลายเป็นเศษกระดาษขายเจ๊กไป



คิดตกเมื่อไหร่คงได้เริ่มต้นพิมพ์ครับ
เพราะตอนนี้กำลังเรียบเรียงต้นฉบับอยู่

คุณติบอคะ  บ้านเจ้าเมืองแพร่หลังนี้  คือหลังเดียวกับบ้านวงศ์บุรีหรือเปล่าคะ   บ้านหลังนี้แหละที่ดิฉันเห็นแล้วชอบมาก  ถึงได้ถามเรื่องบ้านขนมปังขิงไงคะ

คนละหลังกับบ้านวงศ์บุรีครับ
ถ้าบ้านในคำถามที่คุณถึงบ้านหลังนี้
วิธีหาคำตอบที่ดีที่สุดของคุณ Anna
ก็คือ หาโอกาสว่างๆ แล้วเดินทางไปดูเองครับ

เพราะรายละเอียดหลายๆอย่าง
ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วครับ ว่าอะไรเป็นอะไร

ส่วนจะเหมือน หรือต่างกับหลังอื่นๆอย่างไร
ค่อยๆสังเกตไป ก็จะทราบเองครับ

ไปน่านมาสองครั้ง โดยเฉพาะครั้งหลังไปอยู่ถึงสามคืน ก็ยังดูไม่ทั่วเขตเมืองเลยครับ
วนไปวนมาอยู่แถววัดภูมินทร์ วัดช้างค้ำ ปั่นจักรยานเล่นไปมา สนุกมากครับ

ยังไม่ได้ไปเลยเมืองน่าน กะจะถือโอกาสคุณเพื่อนย้ายสำมะโนครัวไปประจำ ณ หอคำ ไปเที่ยวเมืองน่านบ้างสักวันหนึ่งใกล้ๆนี้