บรรยากาศเริ่มคึกคัก
ใช่ค่ะ คุณ siamese ก็น่าจะหนาวเย็นยะเยือกแทน เมื่อนึกถึงสมบัติที่เปลี่ยนมือไป เพชรดังๆที่ว่ามาจากเทวรูปอินเดียน่ะเข้าไปกี่เม็ดกันล่ะ
ว่าก็ว่าเถอะ การทำสงครามคราวนี้ ผมคิดว่าเป้าหมายของอังกฤษอยู่ที่บ่อทับทิมที่โมกอกซึ่งพม่าหวงนักหวงหนาก็จริง แต่หงามุกนี่แหละ ลูกเดียวก็คุ้มกับเงินทุนและชีวิตทหารที่นำมาพลีในสงครามแล้ว
ถ้าได้นำไปประดับมงกุฎควีนก็จะสมศักดิ์ศรียิ่ง บังเอิญว่า ประวัติการได้มานั้นมันไม่สวย เลยเกิดอาการเขินกันไปหมด
สมมุติว่า ขณะหงามุกมาอยู่ในมือนายพันเอกสเลเดน ตอนนั้น ถ้านายทหารอังกฤษจะทูลพระนางศุภยลัตว่า "ใต้ฝ่าพระบาท ทับทิมเม็ดนี้บัดนี้มิใช่ของของพระราชวงศ์แล้ว แต่เป็นสมบัติของอังกฤษ" แล้วจดบันทึกถ้อยคำนี้ลงไปในประวัติศาสตร์ ก็น่าจะชอบด้วยกฎแห่งสงครามแล้ว
ถ้าหากว่านายพันเอกคนนั้นหรือพลตรีคนโน้นที่ไปยึดพม่ามาได้ จัดแจงนำรัตนะแห่งบัลลังก์พม่าขึ้นถวายสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย กราบทูลสบายๆสไตล์นวรัตนดอทซีอย่างข้างบนนี้ ทับทิมหงามุกก็คงจะได้ประดับเด่นเป็นสง่าอยู่บนมงกุฎหรือเทียร่าอันใดอันหนึ่งของอังกฤษ ตั้งโชว์อยู่ที่หอคอยลอนดอน พวกเราก็คงจะฝากคุณประกอบไปถ่ายรูปมาให้ดูกันได้ในเรือนไทย
น่าเสียดายมากๆค่ะ
แต่ในความเป็นจริง พันเอกสเลเดน-ดั๊น...ยึดทับทิมหงามุกไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เมื่อเรื่องมันเริ่มไม่สวยอย่างท่านนวรัตนว่า ก็ทำให้ผู้ที่ได้ครอบครองทับทิมเม็ดนี้(จะเป็นใครก็เถอะ)เอาออกมาโชว์ไม่ได้ โดยเฉพาะในยุคสมัยโน้นที่พระเจ้าสีป่อยังมีพระชนม์อยู่ และส่งพระราชสาส์นไล่ทวงเอ็ดอึงอยู่ในอินเดีย
เพราะฉะนั้น ลองสมมุติดูว่า ถ้าใครสักคนครอบครองมณีล้ำค่าเม็ดเดียวในโลก แล้วอยากจะใช้ประโยชน์มากกว่าซุกเอาไว้ในตู้เซฟไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน เขาจะหาทางออกยังไง
คำตอบคือ..ทำซะให้มันหมดร่องรอยของเดิม ด้วยการเจียระไนใหม่