เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ดิฉันก็เคยคิดว่า โหราศาสตร์ เป็นเรื่องงมงายเหมือนกันแหละค่ะ แต่เมื่อมาค้นคว้าด้านดาราศาสตร์มากๆเข้า จึงได้เข้าใจว่า
มันมีความต่อเนื่องกันอยู่ มนุษย์เราตั้งแต่โบราฯการก่อนที่จะมีหนังสือเขียนด้วยซำ้ เงยหน้ามองห้ายามคำ่ ก็เห็นดาวแล้วค่ะ ยิ่งเป็นสมัยก่อน
หากลงมาหากินในที่โล่งๆ ก็ยิ่งเห็นดาวได้มาก ก็รู้จักสังเกตความเป็นไปในท้องฟ้ามานานแล้ว สามารถอาศัยตำแหน่งตะวัน จันทรา และดวงดาว
มาบอกเวลา และความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลได้
ความจำกัดของคนสมัยก่อน ที่ไม่มีแม้เครื่องบินที่บินสูงให้มองลงมาเห็นความโค้งของขอบโลก ไม่มีเครื่องมืออะไรนอกจากสายตามาสังเกตการณ์
แต่จากการสังเกตการณ์ที่ไม่ต่างกับที่เรามีอยู่ ก็สั่งสมความรู้ที่ได้มาจาก perspectives (ขออภัยค่ะ หาคำไทยเหมาะๆไม่ได้) ที่มีอยู่
นำมาสรรหาความหมายของมันไปตามความจำกัดของวิทยาการ
เมื่อคนเริ่มเพาะปลูกทำกสิกรรม ความสามารถที่จะต้องบอกฤดูกาลให้ได้แม่นยำขึ้น มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวงต่อความเป็นความตายของสังคม
แม้ก่อนที่จะมีตัวหนังสือใช้กัน คนโบราณก็มีความสามารถทำปฏิทินอย่างหยาบๆขึ้นใช้ ปฏิทินเหล่านี้มีความสำคัญมาก
ที่จะบอกเวลาเริ่มต้นฤดูเพาะปลูก เก็บเกี่ยว เวลามาของฝนฟ้า หรือพายุที่เป็นอันตราย
Stonehenge นี้ มีไว้เพื่อบอกวัน Vernal Equinox ไม่ทราบที่เราเรียกว่า วสันตสุวัษ หรือเปล่าคะ ถ้าเรียกผิดช่วยแก้ให้ด้วยค่ะ
ซึ่งเป็นเวลาที่เริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยเฉพาะในที่ละติจูดสูงๆ ในฤดูหนาว เวลากลาววันจะสั้นกว่าเวลากลางคืน
อากาศกลางคืนจะเย็นมากจนถึงเกิดนำ้ค้างแข็ง ทำลายต้นอ่อนได้ หากเพาะปลูกเร็วเกินไป พืชผลก็จะเสียหายได้ วัน Vernal Equinox คือวันที่
โลกเคลื่อนที่ผ่านมาส่วนที่หันซีกโลกภาคเหนือเขช้าหาดวงอาทิตย์มากขึ้น เป็นวันที่กลางวันและกลางคืนจะยาวเท่ากัน และที่สำคัญ หลังจากนี้
ช่วงเวลากลางวันจะยาวขึ้นเรื่อยๆ พื้นโลกจะดูดซับพลังงานจากดวงอาทิตย์มากขึ้น และสามารถหล่อเลี้ยงต้นอ่อนให้เติบโตได้ดีขึ้น จุดเริ่มต้นของ
Vernal Equinox นี้ ในสมัยเริ่มเกิดของดาราศาสตร์ หรือโหราศาสตร์ คือเมื่อหกพันปีก่อน ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงกับกลุ่มดาวราศีเมษ (Aries)
จึงถือเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่
แต่ด้วยเหตุที่แกนหมุนของโลกควงส่ายเหมือนลูกข่าง จะวนครบ ๑ รอบในทุกๆ ๒๖,๐๐๐ ปี ทำให้ตำแหน่งของ Vernal Equinox (อันเป็นแนวที่
ระนาบวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ตัดกับระนาบศูนย์สูตรของโลก) เปลี่ยนไปเร่ือยๆ แต่ตำราทางโหราศาสตร์ไม่เปลี่ยน
ตำแหน่งของสิ่งก่อสร้างทางดาราศาสตร์โบราณอย่าง Stonehenge ไม่เปลี่ยน เวลาจึงผ่านไปนานกว่าเราจะสามารถตีความได้ว่า
สิ่งก่อสร้างเหล่านี้มีไว้เพื่ออะไร
ในวัฒนธรรมโบราณต่างๆทั่วโลก จะมีสิ่งก่อสร้างเพื่อหมายวันสำคัญของฤดูกาล โดยอาศัยเงาแดด หรือตำแหน่งดวงดาวเป็นที่หมาย
มีทั้งในชนเผ่าอินเดียนแดงในอเมริกา คนในเกาะอังกฤษโบราณ ของจีน อินเดีย อาหรับ ฯลฯ
พระเวทต่างๆในศาสนาฮินดู มีหลักฐานว่า ในสมัยแรกๆ อาศัยดวงจันทร์เป็นเครื่องกำหนดเวลา ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ คำว่า เดือน
ที่หมายถึงแวลา 1/12 ของปี ในทุกภาษา จะมีความเกี่ยวเนื่องกับ พระจันทร์ ทั้งนั้น เลข ๑๒ นี้มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยสุมาเรียน เมื่อ
หกพันปีก่อนมาแล้ว แต่การกำหนดเวลาด้วยดวงจันทร์นั้น มีความคลาดเคลื่อนมาก เพราะตำแหน่งของดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมาก
กรอบอ้างอิงของเวลา ที่เราสังเกตได้จากดวงจันทร์ และดวงดาว จึงเหลื่อมกันมากเกินไป ในอารยธรรมตะวันตก ที่ชาวเมโสโปเตเมียเป็นผู้ริเริ่ม
แล้วแผ่ขยายไปยังอียิปต์ กรีก เปอร์เซีย จนแผ่ขยายมายังอินเดียในที่สุด ใช้ตำแหน่งของดวงอาทิตย์เป็นสำคัญ แต่การใช้ดวงอาทิตย์มาชึ้นั้น
แม้จะคลาดเคลื่อนขน้อยกว่ามาก แต่มันดูยากกว่า เพราะแสงอันแรงกล้าของดวงอาทิตย์ กลบแสงริบหรี่ของดวงดาวในเวลากลางวันไปหมด
การจะดูว่า ในขณะนี้ ดวงอาทิตย์ "เสวยฤกษ์" หรือมีตำแหน่งพ้องกับจักราศีใด ต้องอาศัยการออกไปดูดาวทันทีหลังตะวันพลบ
หรือตื่นก่อนตะวันไปคอยดูว่า กลุ่มดาวสุดท้ายก่อนลับหายไปกับยามคืน เป็นกลุ่มดาวจักราศีอะไร กว่าจะรู้อย่างนี้ได้ ก็ต้องอาศัยการสั่งสมความรู้
และการสังเกตการณ์จดบันทึกสืบทอดต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน จึงจะสังเกตได้
มาสใัยปัจจุบัน เมื่อเรามีปฏิทินใช้ และที่แย่ที่สุดก็คือ เมื่อเรามีนาฬิกาใช้ คนเราก็เลิกอาศัยการดูเดือนดูดาวและตะวันมาบอกเวลาไป
ทำให้ความรู้เหล่านี้สูญไปมาก จากประสบการณ์ของตัวเอง ที่ไปอยู่กับชาวบ้านในชนบท เขามักไม่ผูกนาฬิกากัน บางหมู่บ้านไม่มีใครมีนาฬิกาเลย
แต่เขาก็อาศัยแหลนหน้าดูผ้ามาบอกเวลากันได้ ดิฉันถอดนาฬิกาเก็บไปไม่เท่าไหร่ มันก็เริ่มซึมเข้าไปไม่รู้ตัว
อาศัยตำแหน่งตะวันก็บอกได้คร่าวๆได้ว่าเป็นเวลากี่โมงแล้ว อาศัยความแหว่งความเต็มของเดือน ก็พอจะบอกได้ว่า อีกกี่วันจันทร์จะขึ้นเต็มดวง
ให้ออกไปทำงานในนาหลังพลบได้อีก ฯลฯ
ความเจริญในสมัยปัจจุบัน ทำให้ความรู้หลายๆอย่างเลือนไปจากความรับรู้ของเรา ดิฉันไม่เชื่อว่า
ตำแหน่งต่างๆของดวงดาวจะมีอิทธิพลอะไรกับชีวิตของตัวเอง แต่เชื่อว่า โหราศาสตร์ มีมากกว่าทำนายทายโชคอีกมากเลยค่ะ สืบสาวไปให้ดีๆ
จะรู้ได้ถึงพัฒนาการของอารยธรรมมนุษย์ได้มากเชียวค่ะ
ดิฉันเริ่มอ่านหนังสือพวก archeoastronomy มาหน่อย แล้วก็เลยทึ่งกับความเป็นมาของความรับรู้ขจองคนเราต่อดวงดาวมาก
มีบทความน่าสนใจมากที่ดิฉันไปเขียนไว้ที่ห้องเด็กวิทย์บ้างค่ะ ไม่ทราบคุณเทาฯได้มีโอกาสเห็นหรือเปล่า เป็นหลักฐานจาก
ตำราพระเวทเก่าแก่มากกว่าที่ตกทอดมายังของเราเสียอีก แล้วเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นแบบเบื้องต้น(preliminary)
เพราะต้องอาศัยความรู้หลายสาขามาจับเกี่ยวโยงเข้าด้วยกัน เลยอยากอ่านฝ่ายคัมภีร์พระเวทที่คุณเทาจะหามาได้ด้วยมากเลยค่ะ
ขออภัยหากจะเขียนวกวนแล้วอ่านเข้าใจยาก ตอนนี้ยังมึนๆอยู่ค่ะ
ดิฉัยแปะเรื่อง "ราศีไทย-ราศีฝรั่ง" ไว้ที่ห้องเด็กวิทย์ที่นี่ค่ะ
http://vcharkarn.com/snippets/board/show_message.php?dtn=dtn20&number=604' target='_blank'>
http://vcharkarn.com/snippets/board/show_message.php?dtn=dtn20&number=604