เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: ส.เพลิง ที่ 23 ก.ค. 05, 20:45



กระทู้: บทกวี "น้ำฟ้า"
เริ่มกระทู้โดย: ส.เพลิง ที่ 23 ก.ค. 05, 20:45

น้ำเอ่อเอมรินกระทบบาท
ค่อยหยาดทิ้งหยิ่งศักดิ์ศรี
ระอุร้อนหล้าทั้งโลกีย์
ดั่งเผาผลาญราณรวีเป็นคลีดิน!

น้ำนี้ฤาหยาดฟ้ามาโลมไล้ ?
หยดมาเอิบเติมไอให้อุ่นถิ่น
แต่น้ำนี้ คือเหงื่องาม น้ำแผ่นดิน
อันหยาดริน จากไคล ไผทนี้!

หลั่งมาเลี้ยงโลกาให้ปรากฏ
กำซาบหยดย้ำค่าในทุกที่
ชำแรกดินชด ทดทวี
น้ำเหงื่อมหาวีรกรรมาชน!

สัจธรรมอมตะคืนคงอยู่
สถิตในทุกอณู ทุกแห่งหน
ว่าใครเลี้ยงโลกหล้า คือสากล
ว่าใคร “ฅน” ยิ่งใหญ่ ในปฐพี!


กระทู้: บทกวี "น้ำฟ้า"
เริ่มกระทู้โดย: ดารากร ที่ 24 ก.ค. 05, 02:08
 เปิบข้าวทุกคราวคำ
จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน
จึงก่อเกิดมาเป็นคน

ข้าวนี้น่ะมีรส
ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทน
และขมขื่นจนเขียวคาว

จากแรงมาเป็นรวง
ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว
ล้วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ


กระทู้: บทกวี "น้ำฟ้า"
เริ่มกระทู้โดย: ดารากร ที่ 24 ก.ค. 05, 02:12
 เหงื่อหยดสักกี่หยาด
ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น
จึงแปรรวงมาเปิบกิน

น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง
และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น
ที่สูซดกำซาบฟัน

ของคุณจิตร ภูมิศักดิ์ค่ะ


กระทู้: บทกวี "น้ำฟ้า"
เริ่มกระทู้โดย: ส.เพลิง ที่ 24 ก.ค. 05, 11:00

ขอบคุณคุณดารากร
นำบทกวีอันลึกซึ้งที่สื่อภาพสุดยอดของอาจารย์จิตร มานะครับ
แหม ถ้ามีของปู่ผี (นายผี) มาด้วยสิดีหลายครับ
............................
อาจารย์จิตร จบที่เดียวกับคุณเทาชมพูน่ะ


กระทู้: บทกวี "น้ำฟ้า"
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 24 ก.ค. 05, 16:35
 ได้ยินสองบทด้านบนแล้วก็พาลให้นึกถึงอีกบทหนึ่งจากหนังสือม้าก้านกล้วยครับ



หนาวดอกจาน


หนาวลมล่องท้องทุ่งฟุ้งฝุ่นแล้ง
ดอกจานแดงแข่งตะวันยังสั่นหนาว
เหลืองตอซังยังสดปรากฏคราว
ฤดูกาลเกี่ยวข้าวเพิ่งผ่านไป

หอมกลิ่นเหงื่อกลิ่นฟางไม่จางกลิ่น
หอมแผ่นดินฤดูหนาวหอมข้าวใหม่
หอมอดีตห้วงหนึ่งหอมซึ้งใจ
หอมข้าวเหนียวซึ่งเสี่ยวได้นึ่งไว้รอ

ล้วงปลาร้าสับใส่ตะใคร้หั่น
พร้อมเด็ดสรร พริกสดรสเผ็ดหนอ
ยั่วน้ำลายอยากลิ้มให้อิ่มพอ
หวนถักทออดีตยาวเสี่ยวชาวนา

"เอ็งไปอยู่เมืองโก้โตเมืองกอก
นึกว่าลืมบ้านนอกเสียแล้วหนา
ไปเรียนสูงรุ่งเรืองอยู่เมืองฟ้า
นึกว่าลืมปลาร้าภาษาจน
โชคยังดีที่เอ็งไม่เบ่งอ้าง
เดินอวดท่าอวดทางไปตามถนน
เสี่ยวยังแท้แม้นานก็ทานทน
เหมือนปลาร้ามีมนต์ดลใจรัก
ยอมมานั่งฟ้งบ่นของคนบ้า
หนุ่มชาวนาอยู่กับนายิ่งบ้าหนัก
ข้ามีนาแต่มีหนี้ นี่บ้านัก
นวดข้าวเสร็จก็ถูกตักหักหนี้ไป
ที่เหลือกินเหลืออิ่มพอยิ้มออก
ก็ไม่นานนักดอกที่ยิ้มได้
เจ้าความเศร้าซุ่มอยู่เพื่อดูใจ
ก็โถมใส่ ข้าซีหนีไม่ทัน
เดี๋ยวนี้ใครเขาหมายไปเมืองกอก
ทิ้งบ้านนอกไปขายแรงในแหล่งสวรรค์
ค้าเหงื่อเค็ม เลือดแดง แข่งรวยกัน
บ้างบุกค้ากำปั้นฝันถึงเงิน
ซื้อสายสร้อยเส้นทองคล้องคอสวย
กลับบ้านด้วยมั่นใจไม่ขัดเขิน
ซื้อจอภาพเสียงดัง ดู-ฟังเพลิน
งามเหลือเกินนะดาราฟากฟ้าเมือง
เพื่อนมันมีข้าไม่มีซีขายหน้า
สงสารพ่อแม่ชราหน้าซีดเหลือง
มุงานหนักมาแต่น้อยปล่อยชีพเปลือง
ไม่รู้เรื่องรู้ราวข่าวสังคม
เจ้าน้องชายได้แต่ชะแง้จ้อง
หน้าบ้านของคนอื่นน่าขื่นขม
ยิ่งทำนาข้ายิ่งโตอยข่างโง่งม
มีแต่จมจนกระจอกไม่งอกเงย
ท้องมันหิวก็พอทนไม่บ่นพล่อย
หน้ามันน้อยนี่อายนักบักเสี่ยวเอ๋ย
จะทนอยู่อย่างข้าประสาเชย
ใครก็เย้ยใครก็เยาะหัวเราะกัน
แล้วเอ็งเล่า ไม่เอาอย่างเขาบ้างหรือ
น่าจะซื้อรถยนต์เยาะคนหยัน
ไปร่ำรวยต่างบ้านก็นานวัน
น่าจะลองย้ายสวรรค์มาบ้านเรา
นี่ไฉน ไยเองดูเซ็งนัก
ถือตำราหนาและหนัก เหมือนยังเขลา
ได้บุญลิ้นด้วยเป็ดไก่ไม่เลือกเอา
กลับมากินปลาร้าเน่าไม่เข้าใจ"

ลมหนาวล่องท้องทุ่งฟุ้งฝุ่นแล้ง
ดอกจานแดงแข่งตะวันยังสั่นไหว
เสี่ยวหนึ่งนั่ง ฟังเสี่ยวหนึ่ง แล้วอึ้งไป
สะท้านในอุราร้าว หนาวดอกจาน




เอามาฝากครับ
ผมจำไมได้ว่า คุณ ไพวรินทร์จบมหาวิทยาลัยที่ไหน ถ้าจำไม่ผิดคลับคล้ายคลับคลาว่าจะไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งไหนเลย แต่ก็แต่งกวีนิพนธ์บทแรกๆได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี (น่าจะ 18นะครับ) (?)

แต่ถึงแม้ว่าคุณไพวรินทร์จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากรั้วสีอะไรหรือไม่ก็ตาม กวีนิพนธ์ของท่านอย่าง "ม้าก้านกล้วย" ก็ได้รางวัลซีไรต์เป็นประกันคุณภาพ และความยอมรับจากกวีร่วมสมัยอีกหลายท่านนะครับ