ท่านอาจารย์เทาชมพูเล่าไว้ เรื่องตำรวจเลี้ยงนักเลงไว้ชนกับนักเลงดังนี้
นโยบายอีกอย่างที่ไม่ได้ประกาศเป็นทางการ แต่รู้ๆกันคือตำรวจเลี้ยงนักเลงไว้ปราบนักเลง นักเลงฝ่ายตำรวจเดินเข้าออกกองปราบปรามสามยอดเป็นว่าเล่น คนกลุ่มนี้เอง เป็นที่มาของคำว่า "นักเลงเก้ายอด"
นักเลงในสมัยนั้นแบ่งเป็น 2 พวกคือนักเลงจีนกับนักเลงไทย นักเลงจีนมาจากคนจีนแผ่นดินใหญ่ เข้ามาไทยแบบเสือผืนหมอนใบ ส่วนใหญ่มาอยู่กันย่านเยาวราช บางส่วนก็ไปเป็นคนงานเมืองแร่ที่ภูเก็ต ใช้แรงงานและค้าขาย หาเงินตั้งตัวได้ไม่อดตาย
ในเมื่อหลั่งไหลกันมามากเข้าเพราะเมืองไทยอุดมสมบูรณ์ พวกคนชั่วที่เข้ามาด้วยก็สบช่องทาง ไม่ต้องทำมาหากิน แต่ตั้งแก๊งค์รีดไถ เก็บส่วยเอากับคนจีนที่มาทำมาหากิน เรียกว่าเก็บกันเป็นรายหัวไปเลย ไม่ให้ก็ใช้วิชามาร ทำร้ายร่างกาย ต่อมาก็ตัดนิ้วบ้าง ท้ายสุดก็ฆ่าทิ้ง
ในเมื่อเมืองไทยเป็นถิ่นทำมาหากินคล่อง คนจีนสุจริตจะหนีก็ไม่ได้ ต้องจำใจจ่ายค่าคุ้มครอง ปล่อยคนชั่วลอยนวล จนพวกนี้ได้ใจส่งข่าวไปยังสมัครพรรคพวก ให้แห่กันมาเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นก๊อดฟาเธอร์จีน เรียกว่าแก๊งค์ "ลั้กกั้ก"
พวกนี้มีอิทธิพลไม่น้อย ตำรวจไทยปราบไม่สำเร็จ ก็เลยใช้วิธีโจรปราบโจรแทน
นักเลงไทยเป็นเจ้าถิ่นมาแต่เดิม เห็นนักเลงจีนกำแหงหนักขึ้น ก็รวมตัวเป็นแก๊งค์นักเลงไทย เรียกตัวเองว่า "เก้ายอด" คือสักที่ท้ายทอยเป็นยันต์เก้ายอด
หลังจากรวมพลได้ ก็ยกพวกเข้าตะลุยเยาวราช ตีกันฆ่ากันบาดเจ็บล้มตายกันมากทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเก้ายอดชนะ ตำรวจไทยก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จับแต่พวกแก๊งค์จีน ไม่จับแก๊งค์เก้ายอด
จากนั้นนักเลงเก้ายอดก็กลายมาเป็นพันธมิตรของตำรวจไทย ไปไหนมาไหนได้ตามสบาย ชาวบ้านเกรงกลัว เพราะพวกเขาเป็นมือเป็นขาให้ตำรวจ ในยุคปลายรัฐบาลจอมพลป.ถึงกับเลื่องลือกันว่า อันธพาลเกลื่อนเมือง
สมัยนั้น ในแก็งเก้ายอดมีอยู่ 2 ท่านที่เอาตัวรอดจากแรงดึงดูดจากวงโคจรของโจรมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมได้อย่างน้อยสองคนก็คือ อาจารย์ สิทธิผล พลาชีวิน และผู้ว่ากทม.นายธรรมนูญ เทียนเงิน ที่นักหนังสือพิมพ์จะพ่วงท้ายดีกรีของท่านเข้าไปด้วยเสมอว่า ธรรมนูญ เทียนเงิน นักเลงเก้ายอด
ปีพ.ศ. 2497 อาจารย์ สิทธิผล พลาชีวิน ได้เข้ามาเป็นอาจารย์ใหญ่ ที่ช่างกลปทุมวัน ขณะนั้นนักเลงหัวไม้ได้ลามลงในหมู่วัยรุ่น เกิดแก๊งค์อันธพาลขึ้นในสังคมเป็นจำนวนมาก ตัวหัวหน้าที่มีชื่อดังๆก็เช่น แดง ไบเล่-แหลม สิงห์-ดำ เอสโซ่-ปุ๊ ระเบิดขวด-จ๊อด ฮาวดี้-แอ๊ด เสือเผ่น เป็นต้น พวกนี้จะยกพวกเข้าตะลุมบอน ไล่ตีรันฟันแทงกันเป็นประจำ ทำความเดือดร้อนให้กับประชาชนร่วมถนนเป็นอันมาก ช่วงนั้นนักเรียนช่างกลก็มีพวกเกเรที่เลื่อมใสลัทธิอันธพาลรวมอยู่ด้วยมาก พวกนี้สถาปนาตนเองเป็นนักเรียนนายร้อยเจริญผล แห่งปทุมวัน ยกพวกตีกันกับช่างก่อสร้างอุเทนถวาย ประกาศตัวเป็นอริกันตลอดกาลนับจากนั้น อีกแห่งหนึ่งที่ตีกันประจำก็คือช่างกลพระนครเหนือ ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียงยกระดับขึ้นไปแล้วก็เลิกเรื่องนักเลงไป ว่ากันว่าถ้าอาจารย์ใหญ่ช่างกลปทุมวันไม่ใช่อดีตนักเลงเก้ายอด ก็คงเอาลูกศิษย์ไว้ไม่อยู่ แต่ถึงขนาดนั้น ถ้าใครเห็นบรรดานักเรียนชายวัยฉกรรจ์เดินจับกลุ่มกันมาบนถนน หลบได้ก็ต้องรีบหลบโดยเร็ว(รวมทั้งสมัยปัจจุบันด้วย)
เมื่ออยู่นอกโรงเรียน พวกนี้จะแต่งเดรื่องแบบจิ๊กโก๋ ซึ่งสังเกตุได้ดังนี้
1) ใส่เสื้อสีแดง(ไม่เกี่ยวกับการเมืองนะคะรับ)
2) ใส่เสื้อแขนยาวแต่พับแขนเสื้อสูงไปเหนือข้อศอก
3) ใส่กางเกงขาลีบ โดยวัดขนาดเอาขวดเป๊บซี่ยัดเข้าปลายขากางเกง หากยัดไม่เข้าถือว่า ขาลีบ
4) นั่งตามราวสะพาน
5) มั่วสุมจับกลุ่มตามร้านกาแฟ เกินกว่าสี่คนขึ้นไป
6) ไว้ผมไม่มีแสก และใช้น้ำมันตันโจ
7) พกหวีไว้ที่กระเป๋าหลังและปล่อยให้โผล่ออกมา
พวกนี้จะเป็นแนวร่วมสังกัดแก๊งค์อันธพาลอาชีพ หากินในการคุมบ่อน คุมซ่อง
อย่างแดง ไบเล่ เกิดที่ตรอกสลักหินข้างหัวลำโพง หรือที่นิยมเรียกว่าตรอกไบเล่ เพราะเป็นที่ตั้งโรงงานผลิตน้ำอัดลมยี่ห้อไบเล่ เป็นลูกกำพร้าพ่อของ โสเภณีในย่านนั้น เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาแดงก็เป็นหัวโจกของบรรดาวัยรุ่นทั้งหลายในยุคนั้น จนมีชื่อเสียงโด่งดังขนาดว่า แดง ไบเล่ สามารถกอดคอกับ พล.ต.อ.เผ่า ได้เลยทีเดียว ก่อนจะจบบทบาทลงที่คุก และตายเพราะรถชนกัน
เรื่องราวของแดง ไบเล่ ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งหนึ่งในชื่อ 2499 อันธพาลครองเมือง