เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: อุ้ยครับ ที่ 18 พ.ค. 01, 06:18



กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: อุ้ยครับ ที่ 18 พ.ค. 01, 06:18
วันนี้ขอเสนอธนูฝนฉันท์ครับ เป็นฉันท์ของคนไทยเหมือนเดิมครับ (คมทวน คันธนู) เป็นการผสมวสันตดิลกฉันท์ กับ อินทรวิเชียรฉันท์ ในอีกรูปแบบนึงครับ

บทนี้ของครูครับ

ยามเย็นเพราะเย็นก็เย็นรศมิแสง
ทะลุแยงทแยงสลัว
ชีวันประหวั่น ณ วัน วิ ต ก กลัว
เพราะกระหวัดกระวนกระวาย
เห็นกิ่งผกาพิกุลระดะละลอก
ก ล บอกและบ่งอุบาย
รวยกลิ่นระรินระรึงละเลาะระราย
อุระรายระทวยระทม
(จากสามแพร่งชีวิตคำฉันท์)

แล้วตรงนี้ของอุ้ยครับ

ชวนชมผกา ณ กลาง ว น คระไล
ก ล ให้สบายสราญ
กลีบแย้มคละกลิ่นระริน ต ล บ นาน
สุ ข มานภิรมย์ฤดี
ยี่สุ่นพิกุลกุหลาบ ม ว ล เรียง
สิประเคียงประคองสุร์ภี
หลากล้วนประดับประดาสุปฐพี
คุ ณ นี้จิรัฐิ์ติกาล
ดั่งนี้พินิจคะนึง ค ว ร ครวญ
จะสงวน ฤ พร่ำ ฤ ผลาญ
อย่างไรจะดีจะสม จิ น ต มาน
เถอะนะขานอนุชจะฟัง


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: ลดาคำ ที่ 12 พ.ค. 01, 00:04
คำว่า ตลบ ไม่ใช่บาลีสันสกฤตนะคะ คงอ่าน "ตะ-ละ-บะ" ไม่เหมาะแน่นอนค่ะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: อุ้ยครับ ที่ 12 พ.ค. 01, 07:43
ขอบคุณที่ท้วงครับ...แหะๆๆๆ...แต่ว่านี่ไม่ใช่ตำรานะครับ  แล้วอุ้ยก็ไม่ได้แต่งประกวดด้วย

ตอนนี้ที่อุ้ยอ่านตำราอยู่ มีอะไรแปลกๆเยอะครับ อย่างพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตฯ  หรือองค์อื่น คนอื่น ถ้าเอากติกาปัจจุบันเข้าจับมีผิดทั้งนั้นอะครับ ทำให้สงสัยกันว่ากติกาปัจจุบันถูกหรือเปล่าครับ

ตานี้ฉันท์ประดิษฐ์ของ คมทวน คันธนู เท่าที่อุ้ยสังเกตดูจะใช้คำไทยเป็นส่วนใหญ่ครับ แล้วก็จะมีลักษณะอย่างนี้ด้วย ค่อนข้างกระชากกระชั้น แบบอารมณ์รุนแรงอะครับ

การอ่านคำประพันธ์ท่านให้อ่านตามใจคนแต่งอะครับ อย่าง วิตก ท่านให้อ่าน วิ-ตะ-กะ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น หรือ ทมิฬ ท่านให้อ่าน ทะ-มิ-ละ ก็ได้ หรืออีกเยอะแยะที่ใช้คำที่ไม่มีความหมายในพจนานุกรม(ฉบับราชบัณฑิตฯ ๒๕๒๕) แต่จะใช้ง่ะ อย่าง วะว่อง วะแว่ว วะวับ คำว่า "วะ" ๓ คำนี่แปลไม่เหมือนกันเลยนะครับ ทั้งที่อ่านเหมือนกัน สะกดเหมือนกัน

สรุปคือเป็นหน้าที่ของคนอ่านอะครับ ที่จะเดาใจคนแต่ง ถ้าคนอ่านรู้สึกว่าอีตาคนนี้แต่งไม่เพราะ มันก็จบแล้วอะครับ...ส่วนคำว่า "ไม่เหมาะแน่นอน" เนี่ย...อุ้ยว่ามัน"เกิน"ไปครับ

ตำรวจจะจับอุ้ยเปล่า ?


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: ครูไหวใจร้าย ที่ 14 พ.ค. 01, 11:37
ดิฉันขอแสดงความคิดอย่างนี้แล้วกันนะคะ

อย่างแรกคงต้องบอกว่าคำทุกคำที่เอามาถักถ้อยร้อยคำ เป็นภาษาไทยทั้งหมดแหละค่ะ...เพียงแต่ว่าคำไทยบางคำมีธาตุ(รากศัพท์)มาจากภาษาอื่น และฉันท์เป็นคำประพันธ์ที่เรารับมาจากอินเดีย ดังนั้นการประพันธ์ฉันท์จึงมักใช้คำที่มาจากอินเดีย ซึ่งได้แก่ บาลีหรือสันสกฤตนี่ล่ะค่ะ อีกเหตุผลหนึ่งที่นำมาใช้ได้เป็นเพราะการออกเสียงภาษาบาลีสันสกฤตเป็นการออกเสียงแบบเรียงพยางค์ ยกตัวอย่างคำว่า "ปรม" จะออกเสียงว่า ปะระมะ กันจริงๆ พอไทยเรารับมาใช้ เราเปลี่ยนรูปเป็น "บรม" แล้วออกเสียงเป็น บอ-รม

เพราะฉะนั้น ถ้าจะบอกว่าหนูอุ้ยผิดเสียทีเดียว ก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าเราไม่นิยมแล้วกันนะคะ ยอมรับล่ะค่ะว่าการแต่งบทกวีเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของผู้แต่ง อยากแต่งอย่างไรก็ได้ แต่ก็มีผลกับการได้รับความยอมรับบ้างเหมือนกันนะคะ

ที่หนูอุ้ยพูดถึงกฎกติกาเรื่องการจับครุลหุ มีอยู่ 2 ตำรานะคะ ตำราแรกท่านว่าผู้ประพันธ์ในสมัยก่อนไม่เคร่งครัดมากนัก อีกตำราหนึ่งบอกว่าการจับครุลหุนั้นมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกคือจับด้วยการออกเสียง แบบที่สองคือจับด้วยอักขรวิธี ซึ่งปัจจุบันเราจะนิยมจับแบบอักขรวิธีค่ะ

ที่จริงในการถ่ายทอดคำประพันธ์ประเภทฉันท์ ดั้งเดิมเราไม่จัดแยกหรือประวิสรรชนีย์ให้เห็นกันกระจะๆอย่างนี้หรอกนะคะ เราจะใส่รูปธรรมดา เป็นหน้าที่ของผู้อ่านที่จะต้องอ่านเอาเอง แต่ว่ามันค่อนข้างยากค่ะ เลยทำให้กลัวฉันท์กันไปเลย ปัจจุบันเลยเหลือการประพันธ์ฉันท์ขึ้นมาใช้เฉพาะกิจเท่านั้นเอง เช่นการกล่อมช้าง หรือ อาศิรวาท เป็นต้น ซึ่งปีหนึ่งๆใช้ไม่กี่ครั้งหรอกนะคะ

สุดท้ายละค่ะ ก่อนที่จะยาวเกินไป คำว่า "สุจริต" เมื่อนำมาใช้ในฉันท์ อาจใช้เป็น สุ-จะ-ริ-ตะ หรือ สุ-จะ-ริต หรือ สุ-จริต หรือ สุจ-ริต ก็ได้ค่ะ ลองนับดูนะคะว่าเป็นครุลหุเท่าใดในแต่ละวิธีการใช้ หรือแม้แต่คำ ๒ พยางค์ เช่น "พงา" จะใช้เป็น พงา คำเดียว นับเป็น ๑ ครุก็ได้ หรือ พะ-งา นับเป็น ๑ ครุ ๑ ลหุ ก็ได้ค่ะ

ดิฉันเสนออย่างนี้ได้ไหมคะ ... หนูอุ้ยลองพิจารณาดูนะคะ ถ้าจะเปลี่ยนจาก

"กลีบแย้มคละกลิ่นระรินตลบนาน" เป็น
"กลีบแย้มคละกลิ่นระรินกมลศานต์"

คงไม่เสียความนะคะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: รู้จักพอมั่งฮี่ ที่ 14 พ.ค. 01, 20:18
ตำรวจคงไม่จับละมั้ง  คุณอุ้ย

แต่ว่าที่การแต่งฉันท์เสื่อมสูญความนิยมลงไป  และรวมทั้งร้องกรองที่แต่งยากๆอย่างอื่นไปด้วยนั้น  นั่นนะ   คงเพราะเนื่องจากว่า  มันแต่งยากแล้วคนที่มือไม่ถึง  ไม่มีปัญญาแต่งให้ดี  แต่ตะแบงจะแต่งเสียอย่าง  จะแต่งให้ได้ใครจะทำไม  ความคิดพรรณนั้นน่ะ  ทำให้งานแต่งออกมา  อย่าให้เรียกร้อยกรองเลยนะ  ถ้าจะฝืนเรียกว่าร้อยกรองให้ได้  ก็คงต้องใช้จินตภาพว่า  กรองด้วยถุงเท้าเอาละมากกว่า  ทำให้ผลของการบี้คำออกมาแบบตามใจฉันอย่างนั้น  ดึงคุณค่าของงานประพันธ์ประเภทนี้ตกลงไปหมด  ใครไม่รู้หลงเข้ามาอ่าน  แล้วนึกว่า  โฮ้ย อ่านแล้วเหนื่อยจัง  แต่งไม่ไหวก็อุตส่าห์นะ  แม้รีดกลีบสมองออกมาไม่ได้  ก็บี้คำบดภาษาให้มันลอดเข้ากฎเสียให้ได้  อ่านแล้วเกิดอาการหายใจไม่สะดวก   ใครหลงไปอ่านแล้วทรมานจิตเป็นที่สุด  เหมือนอ่านข่าวคนถูกขืนใจ  เจอแบบนี้เข้า  คนแต่งมือไม่ถึงพวกนี้  ก็กลายเป็นคนทำลายร้อยกรองไปโดยความที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์   คุณคมทวนน่ะก็เก่งมากๆ  แต่บางครั้งก็แต่งออกมาแบบนี้เหมือนกัน  คือพูดก็พูดเหอะว่า  มือยังไม่ถึงระดับบรมครูอย่างนั้น  แต่จะเอาแบบนายผี หรือ จิตร ภูมิศักดิ์  บ้างว่าตั้งกฎเอาเองได้มั่ง   แต่ของคนละระดับกัน  อ่านแล้วมันบ่ม่วนคือกันน่ะ

ไม่มีอะไรหรอกนะ  หากยังต้องการฝึก  ก็ฝึกเขียนเอาบนกระดาษก่อนเหอะ  หากยังไม่ดีก็โยนทิ้งถังขยะได้  อย่าเพิ่งเอามาขึ้นเว็บลงในที่สาธารณะเลยนะ   การตะบี้ตะบันรีดผลงานที่ไม่เข้าขั้นไม่จับใจออกมา  มันเป็นการทำให้สิ่งที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมเสื่อมลงไปอย่างไม่ตั้งใจได้เหมือนกัน  นึกมาอยู่หลายวันแล้ว  ว่าจะพูดกันยังไงดี  คือว่า  ทนไม่ไหวง่ะ  คุณเล่นแปะหลายกระทู้เหลือเกิน  รกที่เค้าเปล่าๆนะ  มันไม่ใช่เว็บอย่างพันทิพอ่ะ  กระทู้ในนี้มีเก็บให้ค้นได้  หากแออัดยัดเยียดกันเกินไปโดยไม่จำเป็น  จะทำให้เด็กที่เค้าต้องการมาค้นกระทู้หากระทู้ได้ยาก   "ใจรัก" แบบไม่รู้จักคิด  ก็จะเป็นการทำร้ายสิ่งที่คุณรักเปล่าๆนะจ฿๊ะ  ก็เหตุผลเดียวกันกับที่เค้าให้คุณไว้ที่ "ถนนนักเขียน" ไงล่ะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: อุ้ย ที่ 14 พ.ค. 01, 20:52
อิอิอิ..รกคนดีกว่ารกหญ้า แต่ถ้ารกคนบ้า รกหญ้าดีกว่ารกคน

น่ารำคาญนะ พวกมือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำเนี่ย  ผมไม่ได้ว่าผมแต่งดี ผมลอกฉันทลักษณ์มาให้ดูแล้ว ถ้าใครมีความสามารถจะแต่ง ก็แต่งสิ ใครไปว่าอะไร

ชื่อตัวเองเคยใช้ก็ไม่ใช้ ต้องเปลี่ยนชื่อมาด่าคนเล่น ไหนลองแต่งให้ดูซักบทซิ จะดูว่าคุณใช้ถุงเท้าข้างไหนกรองออกมา


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: บิดไม่เป็นจ้า ที่ 14 พ.ค. 01, 21:21
ฮ่าๆๆ นึกแล้วว่าต้องมาไม้นี้  สวมวิญญาณศิลปินที่ใครแตะไม่ได้รึไง  พอถูกวิจารณ์หน่อยก็ร้องท้าว่าแน่จริงก็แต่งมาซี  เราแต่งไม่ได้ แต่งไม่เป็น  แล้วก็ไม่เคยไปตะแบงแต่งกะเค้าร้อก  ก็ไม่ได้มาบอกว่าแต่งได้ดีกว่าคุณนี่นา  อย่าบิดประเด็นสิ่  บิดคำมาเยอะแล้วนา  ประเด็นมันไม่เหมือนคำที่ให้คุณบิดเล่นได้ง่ายๆหรอก   รู้ตัวอยู่แล้นว่าฝีมือห่วยกว่าคุณอีก  แล้วก็รู้ตัว(อีกนั่นแหละ)ว่าอย่าเอาฝีมือห่วยๆของตัวเองไปทรมานชาวบ้านเค้าเลย  จะได้บุญกว่านะ  ฮ่าๆๆ

ไม่ได้ว่าแต่งได้ดีกว่าคุณนี่นะ  เพียงแต่มาบอกว่า  กระทู้ของคุณมันรกเว็บเขาน่ะ  คุณจะแปะอย่างไม่เกรงใจใครเค้าเหมือนที่ไปทำที่ถนนฯมาแล้ว  คนอื่นแสดงความเห็นบ้าง  ก็มาว่ามือไม่พายเอาเท้ารานำ้  ก็บอกแล้วไงว่า  การที่เอาแต่ "ใจรัก" ลูกเดียวแบบไม่มีความคิดน่ะ  มันจะทำลายสิ่งที่คุณเองตะโกนว่ารักๆๆอยู่นะ  เป็นความเห็นที่คุณทนฟังไม่ได้เชียวหรือ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: อุ้ย ที่ 14 พ.ค. 01, 21:45
อ่ะนะ...เคารพความคิดคนอื่นบ้างดิ คิดว่าตัวเองถูกทุกครั้งเลยเหรอ ?

ผมไม่เคยตำหนิกระทู้ใคร ถึงแม้ผมจะไม่ชอบ เพราะผมจะคิดว่า คนอื่นเค้าคงชอบ นานาจิตตัง

การแสดงความคิดเห็นน่ะ เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ควรจะสุภาพกว่านี้  ความคิดเห็นของคุณข้างบนโน้นยังกับคนกำลังอาเจียนเอาของเน่าของเสียในตัวเองออกมางั้นแหละ

จบเหอะ..ผมเบื่อ..อีก 2 วันก็เปิดเทอมแล้ว จะหาที่สงบๆบ้างไม่ได้หรืองัย?

จะเลิก post แล้วครับ พอใจยัง? ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่มีกระทู้ของผมอีกแล้วครับ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: ของเก่า ที่ 14 พ.ค. 01, 23:27
อย่างอนดิ่  วันหลังมือถึงพอจะได้เป็นกวีกะเค้าบ้าง  จะโดนเรียกว่า "กวีขี้งอน"  ไม่รู้นะ  หยอกนิดหยอกหน่อยคุณก็ว่าเป็นของเน่าของเสียเชียวหรือ  ที่เกิดอาการเช่นนี้  ก็เพราะมาอ่านฉันท์อ่านอะไรไม่รู้ของคุณนั่นแหละ  เห็นคนอื่นเค้าติงอย่างสุภาพมาตั้งแต่ถนนนักเขียนแล้ว  คุณก็ไม่เห็นเก๊ทซักทีนี่

ไม่ได้มาหาเรื่องหรอก  แต่คุณจะเอาความว่าง หรือความที่ไม่มีอะไรจะทำมาละเลง "ร้อยกรอง" ทรมานชาวบ้านแบบนี้  มันออกจะเป็นการถูไปข้างคูอยู่ซักหน่อยนะ  พอมีคนติงคุณก็ไปท้าไปทายให้ตำรวจมาจับอะไรแบบนั้น  พอมาพูดกันตรงๆก็มาหาว่า"อาเจียรของเน่าของเสีย"  มันก็เป็นกากของคุณนั่นเองแหละ   ดูๆคุณออกจะความรู้สึกช้า แต่กระดูกเปราะไปหน่อยนะ

คุณก็เก่งที่จับคำมาบี้ขยี้ขยำให้มันเข้าฉันทลักษณ์  (ท่านอาจารย์ของคุณก็ทำอยู่เหมือนกันนั่นแหละ) จะหัดแต่งมันก็ต้องเริ่มต้นศึกษากลไกของบทกลอนอยู่  หากมีแต่กลไกแต่ไร้อารมณ์  มันก็หามีสุนทรีย์ไม่อ่ะนะ   เห็นลุงป้าน้าอาเขาพยายามบอกคุณมาชั่วกัปชั่วกัลป์กันมาแล้วเมื่อยแทน  เลยมาทุ่นเวลาทั้งของเค้าทั้งของคุณให้ด้วยการพูดมันซะตรงๆอย่างนี้แหละ  จะได้เกิดเป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย  รู้ๆว่าวุฒิภาวะของคุณคงไม่สูงพอที่จะรับคำวิจารณ์ได้   จะพูดแบบไหนมันก็ไม่ได้ผลอยู่หรอก  อยากจะถนอมนำ้ใจให้อยู่  แต่ทนรออีกสองวันไม่ไหวน่ะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: ครูไหวใจร้าย ที่ 15 พ.ค. 01, 05:56
ดิฉันขอแสดงความคิดเห็นบ้างนะคะ

เรื่องฉันทลักษณ์ไม่มีอะไรตายตัวหรอกค่ะ หรือถึงแม้แต่ว่าจะรู้สึกว่าตายตัว ก็จะเป็นไปในลักษณะชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เนื่องจากคนไทยมีลักษณะนิสัยประจำชาติอยู่อย่างหนึ่ง คือเป็นคนเบื่อง่าย

ดังนั้นกฎเกณฑ์กติกาอะไรสักอย่างหนึ่ง เมื่อใช้ไปได้สักระยะก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน อาจจะสังเกตได้แม้กระทั่งกฎหมาย พอใช้มาได้ระยะหนึ่งก็จะมีการแก้ไข เพื่อให้  " update"

สำหรับเรื่องฉันทลักษณ์เป็นเรื่องที่กว้างมาก ให้โอกาส ให้อิสระ แก่ผู้ประพันธ์ที่จะรจนาบทกวีใดๆขึ้นมา แต่การคิดริเริ่ม ดัดแปลง หรือเสกสรร แนวใหม่ๆออกมา อาจไม่ได้รับการยอมรับในทันทีทันใด อาจจะใช้เวลาเป็นสิบปี หรือมากกว่านั้น หรือไม่ได้รับการยอมรับเลยก็ได้

ดิฉันอยากให้เปิดใจให้กว้างกว่านี้สักหน่อย อย่าติดยึด หรือ เคร่งครัดจนเกินไป  

ส่วนเรื่องจำนวนกระทู้ ดิฉันไม่มีความเห็นค่ะ

สุดท้าย ก็คงต้องขอโทษล่วงหน้านะคะ ถ้าคำพูดของดิฉันอาจจะระคายเคืองบ้าง

การที่คนเราจะเตือนใคร น่าจะต้องดูว่า เรา และ ผู้ที่เราจะเตือน มีความสัมพันธ์กันมากน้อยเพียงใด เราอยู่ในฐานะที่ผู้ถูกเตือนจะรับฟังหรือไม่ นอกเหนือไปจากนั้น ถ้อยคำที่เลือกมาใช้มีความละเอียดอ่อนมากน้อยเพียงใด  และผลสุดท้ายนั้นน่าจะมีแนวโน้มเป็นไปอย่างไร

ดิฉันมีความคิดเห็นอีกว่า น่าจะมีการให้เกียรติคุณเทาชมพูบ้างนะคะ เพราะอย่างน้อยที่สุด เธอเป็นผู้ดูแลอยู่ที่นี่ ถ้าคุณรู้สึกเหลืออดเหลือทนจริงๆ กับสำบัดสำนวนกลอนของหนูอุ้ย จำนวนกระทู้ของหนูอุ้ย คุณน่าจะได้แจ้งคุณเทาชมพูเธอทราบ เพื่อให้เธอพิจารณา

คำพูดที่คุณเลือกมาใช้ รุนแรงเกินไปค่ะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: โอ๋ไม่เป็น ที่ 15 พ.ค. 01, 06:55
นอกจากเบื่อง่ายแล้วก็ยังรังเกียจความจริงอีกด้วยนะ  

แรงที่สะกิดมากน้อยเพียงไร  ขึ้นอยู่กับผู้ถูกสะกิดจะมีความรู้สึกรู้สมได้มากน้อยแค่ไหนอ่ะ  ไม่ใช่ใจร้ายหรอก  แต่ไม่ต้องการเสียเวลา  ก็เห็นคนอื่นๆพูดกันมาตั้งมากตั้งนาน  ตั้งแต่ถนนนักเขียน  เขาอุตส่าห์ตั้งกระทู้ให้  พูดกันอย่างถนอมใจถนอมความรู้สึก  แล้วเขารู้สึกไหม  ก็ยังมากระทำตัวไม่เกรงใจใครเหมือนเดิมที่นี่อีก   ถ้าต่อมรับความรู้สึกไม่อยู่ลึกอย่างนี้  ก็คงไม่ต้องมาเพิ่มแรงกดแรงสะกิดหรอก  คุณจะตีความอย่างไรก็เรื่องของคุณนะ   อ้อมค้อมถนอมนำ้ใจโดยเปล่าประโยชน์กันมานานแล้วน่ะ  ต้องพะเน้าพะนอยกยอกันลูกเดียวเท่านั้นหรือ  ถึงจะรับฟังกันได้  คนที่รู้จักเกรงใจคนอื่น  ก็จะได้รับความเกรงใจจากคนอื่น  

เราทนดูวรรณกรรมไทยโดนบดขยี้ขนาดนี้ไม่ได้เท่านั้นเองน่ะ  ถ้าอยากโชว์งานในที่สาธารณะ  ก็ต้องทำใจรับความเห็นจากทุกด้านของสาธรณชนให้ได้   ไม่งั้นก็ไปเขียนให้พวกพ้องดูกันเป็นการส่วนตัวเหอะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: ครูไหวใจร้าย ที่ 15 พ.ค. 01, 11:22
คงไม่ใช่ดิฉันกลายเป็นคู่กรณีไปแล้วนะคะ แต่ดิฉันอยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง

เรื่องการใช้คำไทยแท้มาเป็นคำลหุ ดิฉันยังไม่เคยเห็นตำราไหนห้ามนะคะ แต่ก็ไม่เคยเห็นใครใช้เหมือนกัน

ถ้าจะอ่านแล้วฟังเสียงคำว่า ตะ-ละ-บะ เสียง บะ ค่อนข้างไม่น่าฟัง ก็เท่านั้น อย่าลืมว่าคำทุกคำตอนนี้เป็นคำไทยหมดแล้ว การอ่านออกเสียงก็น่าที่จะต้องอ่านอย่างไทยแล้ว อย่างคำว่า ผสม เราก็ต้องอ่านว่า ผฺสม แต่เมื่อนำมาใช้ในฉันท์ เราก็อ่านว่า ผะสะมะ ได้

ถ้าจะจับผิด ครุ ลหุ กันจริงๆ ดิฉันขอเชิญพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสฯ เรื่องกฤษณาสอนน้องนะคะ

วสันตดิลกฉันท์ ๑๔

.....กฤษณาสุภาษิตวิธี...........คดีโลกฤๅเสื่อมสูญ
สำหรับประดับยศประยูร.........เยาวยอดยุพาพงา
.....พึงเพียรบำเพ็ญพิพิธวัตร....ปฏิบัติภรรดา
สุจริตเจริญสวัสดิสวา-...........มิภักดีแต่โบราณ.

คุณจับที่ผิดได้กี่คำคะ ถ้าใช้อักขรวิธีเข้าจับ ดิฉันนับได้อย่างน้อย ๔ คำ คือคำว่า คดี , เยาว , มิภัก(ดี) และ แต่

แต่ข้อเท็จจริงคือผู้นิพนธ์ทรงกำหนดครุ ลหุ ตามการออกเสียง มิใช่ทรงผิดเพราะขาดความรู้

การรับฟังความเห็นจากสาธารณชนในประเด็นที่คุณว่ามา ดิฉันเห็นว่าหนูอุ้ยฟังนะคะ อ้างถึงกระทู้มุทิงค์ฯที่คุณเทาชมพูระบุว่า เธอไม่เข้่าใจความหมาย และกระทู้เรื่องโคลงสี่สุภาพที่คุณพลายงามติงว่าหนูอุ้ยแต่งมั่ว ทั้งสองครั้งดิฉันก็เห็นว่าหนูอุ้ยได้แก้ไขนี่คะ

สำหรับครั้งนี้ ดิฉันเห็นว่าเป็นเพราะวิธีเตือนมากกว่า ที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยา ดิฉันยอมรับค่ะว่าหวานเป็นลมขมเป็นยา แต่สมัยนี้การให้ยาที่ขมๆ เราจะมีวิธีการให้ คือใส่ capsule เสียบ้าง เคลือบน้ำตาลเสียบ้าง เพื่อให้การยอมรับง่ายขึ้น

และเรากำลังคุยกับเด็กนะคะ ในฐานะที่คุณเป็นผู้ใหญ่กว่า ก็น่าจะมีความเมตตาปรานีกับเด็กบ้าง ซึ่งเด็กคนนี้ท่าทางจะมีแววทีเดียว ถ้าเราจะช่วยกันส่งเสริม ปรับปรุง แต่งแต้มให้ถูกทางน่ะค่ะ

ไม่ใช่ว่ากันเสียๆหายๆแบบนั้น

ดิฉันขอเสนออีกครั้งนะคะ เกี่ยวกับการใช้คำ"ตลบ"นี่ล่ะค่ะ

.....ชวนชมผกา ณ กลางวนคระไล........ระดะใบสถิต ณ คบ-
ไม้กลิ่นระรื่นสุคนธตรลบ.....................สุขทบภิรมย์ฤดี
ยี่สุ่นพิกุลกุหลาบมวลเรียง...................สิประเคียงประคองสุร์ภี
หลากล้วนประดับประดาสุปฐพี...............คุณนี้จิรัฐิ์ติกาล
ดั่งนี้พินิจคะนึงควรครวญ......................จะสงวน ฤ พร่า ฤ ผลาญ
อย่างไรจะดีจะสมจินตมาน...................เถอะนะขานอนุชจะฟัง

พอไหวหรือเปล่าคะ ดิฉันใช้คำเดิมแต่เลี่ยงมานิดนึง เพื่อให้เสียงไพเราะขึ้น ซึ่งกลวิธีแบบนี้เป็นแบบที่ใช้กันโดยทั่วไป จนมีการบัญญัติศัพท์ไว้เลยว่า นี่คือภาษากวี

ดิฉันยังเห็นแบบเดิมค่ะ คุณควรให้เกียรติคุณเทาชมพูเธอบ้างนะคะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: พูดที่ต้องการหมดแล้ว คุณครูยังข้องใจขอให้กลับไปอ ที่ 15 พ.ค. 01, 13:30
คุณครูไปอ่านความเห็นที่ ๒ ดูสิ่ว่าเค้าฟังหรือไม่ฟัง  เราก็ไม่อยากมายุ่งอ่ะนะ  ทนๆมาหลายแล้ว  ตั้งแต่ถนนฯนู่น  แต่มาเห็นความเห็นเค้าตรงนั้นแล้วมันเหลือเกิน  เค้าก็ให้ยาเคลือบนำ้ตาลกันมาแล้วไม่รู้กี่หม้อ  ก็ไม่เห็นกระดิกอะไรเลยนี่  เลยคิดว่าถึงเวลาเปลี่ยนรสกันเสียบ้าง  รสเก่ามันไม่เวิร์คแล้ว  ก็อย่างที่บอกนะว่า  ทนอีกสองวันจะไม่ไหวแล้ว  คนที่ถนนฯเค้าอุตส่าห์แจกแจงเสียมากมาแล้วว่า  อย่าแยกกระทู้มาตั้งทีละบทๆ  ให้ตั้งรวมๆกันจะได้ไม่ไปเบียดกระทู้อื่น  ก็ครับๆดีหรอก  แต่มานี่ก็กลับไปรูปเดิมอีกนั่นแหละ  ที่ติติงกันก็เพราะไม่ชอบความโอ่ประเภท  มาสั่งว่าเป็นหน้าที่คนอ่านที่ต้องมาเดาใจท่าน  หรือย้อนคนติงว่าไม่ได้ไปแต่งประกวดนี่  เค้าก็อัดเราหนักเหมือนกันนี่  เรายังไม่โวยเลย  แล้วคุณครูจะรู้ได้ไงล่ะว่าใครเด็กกว่าใครน่ะ  ทำไมไม่ว่าไปตามเนื้อหาให้มันเสมอภาคกันล่ะ  เดี๋ยวหนูอุ้ยก็ได้แก่ไปโดยยังที่ไม่ทันได้หัดเป็นผู้ใหญ่กันก่อนเสียอีก  อย่างน้อยเราก็ไม่เคยมาเก็บคะแนนว่า  หนูยังเป็นเด็กๆๆ  ป๋มยังไร้เดียงสาอยู่น้า  ตีบทยังไม่แตกอ่ะ

แล้วประเด็นมันก็ไม่ได้อยู่ที่มีกฎ(ตามใจ)ฉันทลักษณ์รองรับหรือเปล่า  แต่มันอยู่ที่ ความไม่เข้าท่าของการแต่งแบบ "บทกวีบัดกรีคำ" น่ะ  คือพวกเล่นแต่กลไก  จับคำมาบัดกรีใส่ๆกันเอาแต่เสียงเอาแต่สัมผัส  หรือฉันทลักษณ์อย่างฉาบฉวย  หาได้มีความหมายอะไรนักไม่  ไม่ได้ว่าแต่คุณอุ้ยนะ  แต่เป็นความรู้สึกรวมๆต่อกระแสสร้าง นักกวีบัดกรีคำ พวกนี้ต่างหาก  แล้วก็นิยมไปตามๆกันมานานนักแล้ว  ถึงหาบทกวีจริงๆที่อ่านแล้วได้อะไรจริงๆจังๆได้ไม่ง่ายๆเสียแล้ว   การจับคำมาใส่กลไกกวีให้ได้นั้น  เป็นเพียงส่วนประกอบของบทกวีเท่านั้น  หากมาเน้นมาเล่นมาห่วงกันอยู่แต่กลไกของมัน  ก็จะละเลยเนื้อหา  จนคนระอาว่า  อ่านแล้วไม่เห็นมันได้อะไรขึ้นมา  มีแต่เล่นเสียงเล่นคำไปจุ๋งๆจิ๋งๆประสาคนไม่มีอะไรจะทำแค่นั้นเอง

จะมีเนื้อหาได้  ก็ต้องมีความคิดมาก่อน  จะมีความคิดที่ดีได้  ก็ต้องรู้จักเปิดหูเปิดตาเสียก่อน  แต่การที่เห็น "เด็ก" ที่มีแวว  แล้วมัวแต่ชูกันด้านเทคนิคลูกเดียวน่ะ  น่ากลัวจะเป็นการ "ทำลายอัจฉริยะที่ยังไม่ทันเกิด" ไปอย่างน่าเสียดาย  เพราะความสามารถทางธรรมชาติ  กลับถูกท่วมท้นไปด้วยอัตตาโตอีโก้จัด  ที่ลูกยอมันช่วยอัดให้สมองพองลมไปซะแล้ว  เพราะมีแต่ถูกโอ๋โดยคนที่ตื่นไปกับความสามารถทางเทคนิค  โดยลืมคิดไปว่า  กวีหรือนักเขียนไม่ว่าจะเขียนอะไร  ก็ต้องมี "เนื้อหา" มารองรับกันให้ดี  แต่นี่พอท่านเกิดหลงไหลไปกับความสามารถ "ส่วนหนึ่ง" ที่เป็นส่วนประกอบด้านหนึ่งเท่านั้น   ว่าเป็นส่วนทั้งหมดของบทกวี   ก็ทำให้มีได้แต่ นักกวีสมองกลวง แค่นั้นเองแหละ  ตรงนี้แหละที่เราว่าน่าเป็นห่วง  ไม่อยากเห็นการส่งเสริมแต่ด้านเทคนิค  จนละเลย "ความคิด"  กันไปซะแล่ว   ไม่ได้มาว่าเอามันส์เท่านั้นนะ   ไม่อยากเห็นกระแสนิยมกลไกกวีที่ฉาบฉวยต่างหาก


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ค. 01, 15:31
คุณอุ้ย
ถ้าหากว่าประสงค์จะเข้ามาแต่งบทกวีในเรือนไทยอีก   ดิฉันขอให้เป็นอย่างนี้ค่ะ
๑) รวมฉันท์แต่ละประเภทเข้าในกระทู้เดียวกัน  อย่างน้อย ๕ ฉันท์ต่อ ๑ กระทู้  เพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่เว็บบอร์ด
ถ้าเกรงว่าคนเปิดมาอ่านจะเห็นไม่ครบ ก็ใส่ชื่อฉันท์ลงไปในชื่อกระทู้ให้หมดก็ได้ ใครสนใจจะได้เปิดเข้ามาดู
ตั้งแต่โพสต์เข้ามา   ไม่ทราบว่าคุณอุ้ยสังเกตหรือเปล่าว่ามีคนเข้ามาแจมกับคุณน้อยมาก    นอกเหนือจากเหตุผลว่าบางคนอาจไม่ถนัดในการแต่ง  ก็เป็นเพราะคุณอุ้ยไม่ค่อยจะเปิดโอกาสให้เขาได้มีส่วนร่วมอะไรด้วยมากนัก นอกจากอ่าน
การอ่านอย่างเดียวเป็นสิ่งค่อนข้างน่าเบื่อในเว็บบอร์ด   เพราะเว็บบอร์ดมีไว้เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกัน
การติชมของบางท่านอย่างคุณลดาคำ  ดิฉันถือว่าเป็นสิ่งดีมากถ้าคุณอุ้ยจะรับฟัง  และแก้ไขตามนั้น ไม่เกี่ยวกับเข้าประกวดหรือไม่ประกวด   จุดอ่อนของคุณคือสนใจให้ถูกต้อง "รูปแบบ" มากกว่า "เนื้อหา" จนบางครั้งคำก็ออกมาขัด ไม่รื่นหู  
ถ้าหากว่าคุณยังแต่งอย่างที่คุณอยากแต่ง  คุณจะไม่พัฒนาไปมากกว่านี้  
น่าเสียดาย  เพราะคนที่สนใจเรื่องกวีนิพนธ์อย่างทุ่มเทเช่นคุณนับว่าหายากในกลุ่มคนรุ่นใหม่     แต่คุณก็จะต้องฝึกฝีมืออีกมาก   ตำราที่อ้างอย่างมากมายนั้นเป็นเพียงบันไดขั้นต้นเท่านั้นเอง

คุณความเห็นที่    4 / 6/ 8 /10
ดิฉันมองเห็นความอัดอั้นตันใจที่คุณมีต่อวิธีการนำเสนอของคุณอุ้ย  และเชื่อว่าเป็นการระเบิดออกมาด้วยความเหลือทน หลังจากได้ทนมาระยะหนึ่งแล้ว    ไม่ใช่อคติ    ทั้งนี้ตามจุดเดือดของแต่ละคนที่มีอุณหภูมิไม่เท่ากัน    
มันก็คือกระจกเงาส่องให้คุณอุ้ยรู้ว่ามีคนหนึ่งเขาคิดอย่างไรกับคุณ  และบอกอย่างตรงไปตรงมาด้วย
อย่างไรก็ตาม การแสดงความจริงใจด้วยการบอกแรงๆแบบนี้ มักไม่ได้ผล ไม่ว่ากับคุณอุ้ยหรือใคร   มันมีแต่ทำให้อีกฝ่ายเจ็บ และโกรธ มากกว่าจะยอมฟัง  
ถ้าหากว่าเขาเป็นคนไม่แข็งนัก ก็อาจจะราข้อถอยไปจากเว็บบอร์ด  แต่ถ้าเขาเป็นคนแข็งกร้าวและไม่ชอบให้ใครมาว่า    คุณก็จะเจอปฏิกิริยาตอบโต้ที่แรงเท่ากันหรือมากกว่าย้อนกลับมากระแทกตัว     เหมือนการเล่นสควอทช์  คุณตีลูกให้กระทบบอร์ดแรงเท่าไร แรงสะท้อนกลับก็มากเท่านั้น อาจจะโดนหัวหูคุณเข้าก็ได้ถ้าหลบไม่ทัน

การพูดกันยาวๆด้วยแรงอารมณ์  ไปๆมาๆ  ก็เลยหลุดจากประเด็นเรื่องการแต่งดีไม่ดี  มาเป็น คน vs คนไปในที่สุด
และบัดนี้  ทำท่าจะหลุดประเด็นออกไปว่า เป็นระหว่างคุณกับคุณครูไหวเสียแล้ว
ถ้าหากว่ายืดเยื้อไปนานกว่านี้ก็จะกลายเป็นการทะเลาะวิวาทกันได้ง่าย
   
คนที่เป็นกวีไม่ใช่ว่าคลอดออกมาแล้วก็มีพรสวรรค์ทันที   แต่จะต้องล้มลุกคลุกคลาน  อดทนฝึกปรือ สร้างความชำนาญยาวนานมากพอสมควรกว่าจะก้าวขึ้นไปถึงขั้นได้รับการยกย่อง   บางคนก็เร็ว บางคนก็ช้า  บางคนก็มาก บางคนก็น้อย  ตามสติปัญญาความสามารถซึ่งไม่เท่ากัน

ดังนั้น เมื่อมองคุณอุ้ยว่ามีความสนใจด้านการกวี   ถึงแม้ว่ายังไม่เข้ารูปเข้ารอย ๑๐๐ %  ดิฉันก็ยังอยากให้โอกาสเธอ     ไม่เห็นว่าเป็นสิ่งควรล้มเลิกเพิกถอนเอาไปจากที่สาธารณะ
ถ้าหากว่าถ้อยคำไม่หยาบคายก้าวร้าว ไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น ไม่ผิดศีลธรรมหรือกฎหมาย ดิฉันคิดว่าคนเราควรจะมีสิทธิ์เสนอในเน็ตนะคะ
    เพียงแต่การนำเสนอของคุณอุ้ยอาจจะเป็นที่น่ารำคาญ ในความมากเกินไปหลายเรื่องจนล้นเนื้อที่  ไม่พอดีในสายตาบางคน   ถ้าหากว่าคุณอุ้ยปรับปรุงในจุดนี้ได้  เท่ากับฉลาดรู้จักเอาเสียงติติงเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง  
แต่ถ้าคุณอุ้ยยังคงทำอยู่อย่างเก่าด้วยถือว่าเป็นจุดยืนของคุณ   คุณก็จะได้อยู่แค่นี้แหละ คือความรำคาญของคนหนึ่งในนี้ และถ้ายังซ้ำซากต่อไปก็อาจจะเพิ่มคนรำคาญขึ้นมาอีกเป็นคนที่สองที่สามก็ได้  
ถ้าคุณอุ้ยเป็นคน popular  มีแฟนแห่มาเชียร์บทกวีคุณล้นหลาม  เสียงติติงสองสามเสียงก็อาจไม่มีน้ำหนัก   แต่ถ้าคุณหาแฟนเชียร์ไม่ได้  มีแต่เสียงติ  แค่สองสามเสียงก็มีน้ำหนักควรที่คุณจะทบทวน


ตอนนี้  ดิฉันไม่มีเวลาเข้าเรือนไทยมากเหมือนเมื่อก่อน    โดยมากจะเข้ามาส่งบทความและตอบกระทู้วิชาความรู้ในบ้างครั้ง  เข้ามาที่นี่ก็เพราะถูกตามตัวมาอ่านค่ะ
ดิฉันขอยุติเรื่องด้วยการชี้ขาดแบบนี้   ถ้าคุณอุ้ยทำอย่างดิฉันเสนอให้ไม่ได้ คุณอุ้ยก็ต้องลาจากที่นี่ไปเว็บบอร์ดอื่น
ส่วนอีกสองท่าน ก็หวังว่าคงจะยอมรับความเห็นของดิฉัน   ถ้ามีอะไรข้องใจก็เชิญออกความเห็นได้ก่อนปิดกระทู้  ขอบคุณค่ะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: ครูไหวใจร้าย ที่ 15 พ.ค. 01, 15:47
อ่านแล้วค่ะ...ถ้าดิฉันจำสำนวนไม่ผิด น่าจะเป็นคุณ washi ตามมาที่นี่ (ถ้าดิฉันจำผิด ขออภัยคุณ washi นะคะ)

สำหรับความเห็นที่ ๑ ในความรู้สึกของดิฉันนะคะ ขอโทษคุณลดาคำด้วย..ขออนุญาตพูดตรงๆนะคะ .. คุณลดาคำมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะติติง เพราะคุณลดาคำเป็นคนไทย หนูอุ้ยก็เป็นคนไทย ธนูฝนฉันท์ ๑๗ ก็เป็นของคนไทย ดังนั้นคุณลดาคำมีสิทธิ์ติง ในฐานะที่ใช้สมบัติร่วมกัน เพียงแต่ว่าคุณลดาคำติงค่อนข้างสั้น และกระชับ นอกเหนือไปจากนั้น ดิฉันไม่ค่อยเคยเห็นคุณลดาคำเคยตอบกระทู้ของหนูอุ้ย หมายถึงไม่มีความสัมพันธ์กันมาก่อน

ตรงนี้แหละค่ะที่ดิฉันชี้ คือถ้าเราไม่มีความสัมพันธ์กันมาก่อน เราน่าจะพูดให้กระจ่าง มีเหตุมีผลประกอบ มีตัวอย่าง ฯลฯ เพื่อสร้างการยอมรับ แต่ในทำนองกลับกัน ทำไมหนูอุ้ยฟังคุณเทาชมพูล่ะคะ ทำไมหนูอุ้ยฟังคุณพลายงามล่ะคะ

ถ้าจะสรุปว่าหนูอุ้ยฟังคุณพลายงามเพราะรู้จักกันมาก่อน ก็จะยิ่งใช่เข้าไปอีก ความสัมพันธ์ก่อให้เกิดการยอมรับในเบื้องต้นน่ะค่ะ สำหรับกรณีคุณเทาชมพูน่าจะเป็นเพราะคุณเทาชมพูเป็นเจ้าถิ่น

ส่วนคุณคมทวน คันธนู ชั่วดีถี่ห่าง เธอก็เป็นกวีซีไรท์คนที่ ๒ ของประเทศไทยค่ะ คุณมีสิทธิ์ไม่ชอบงานของเธอ แต่น่าจะให้เกียรติเธอบ้าง

มีกวีหลายคนในยุคนี้ที่ดิฉันไม่ชอบ แต่ดิฉันวางอุเบกขาค่ะ ขอไม่ยกตัวอย่างนะคะ รู้สึกจะไม่มีประโยชน์

สำหรับประเด็นสุดท้ายที่พูดถึง ดิฉันเห็นด้วยในบางสิ่งค่ะ แต่ในข้อเท็จจริง การจับปูใส่กระด้งไม่ง่ายนะคะ เราอยากเริ่มนับตั้งแต่ ๑ ๒ ๓ ค่ะ แต่ถ้าในบางสถานการณ์ที่เราต้องนับ ๒ แล้วย้อนกลับไปนับ ๑ แล้วค่อยนับ ๓ เราก็จำเป็นต้องยอมรับค่ะ

ถ้าเด็กเริ่มสนใจบทกลอนเพราะกลบท ดิฉันจะสนับสนุนค่ะ แล้วจะค่อยๆบอกเด็กว่ากลบทของหนูจะมีคนชอบนะ ถ้าหนูมีเนื้อหาบ้าง ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ

อยากให้คุณไปอ่านหนังสือ(ถ้าดิฉันจำผิดขออภัยนะคะ) วิธีสอนเด็กให้รักบทกวี เป็นหนังสือเล่มบางๆนะคะ หาได้ที่ศึกษาภัณฑ์ค่ะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: ครูไหวใจร้าย ที่ 15 พ.ค. 01, 16:10
คุณเทาชมพูคะ...ดิฉัน post เสร็จแล้วถึงเห็นความเห็นของคุณเทาชมพูค่ะ

ก็เห็นด้วยนะคะกับข้อตัดสินของคุณเทาชมพู เพียงแต่ว่า ถ้าได้มีการสะกิดกันก่อนเ็ล็กๆน้อยๆ ก็อาจจะดีกว่านี้ ยกตัวอย่างในกระทู้มุทิงค์ฯ ค่อนข้างจะอลหม่านไปหมด จากนั้นก็ได้มีการแยกกลของโคลง กับกลของกลอน ออกเป็นเพียง ๒ กระทู้

พึ่งจะมาเยอะแยะตอนแต่งฉันท์นี่แหละค่ะ

เป็นไปได้หรือเปล่าคะ ถ้าคุณเทาชมพูจะโยกย้าย ยุบรวม ฉันท์ของหนูอุ้ยทั้งหมดไปเป็นกระทู้เดียวเลย น่าจะขจัดความรกหูรกตาไปได้บ้าง

ดิฉันมองประโยชน์อีกประเด็นนะคะ คือช่วงแรกๆ เด็กจะยกตัวอย่างของครู พร้อมกับบอกข้อบังคับมาด้วย ถ้าใครสนใจก็จะได้ทราบข้อบังคับ และเห็นตัวอย่างที่ดีด้วย

ทุกวันนี้คนสนใจฉันทลักษณ์ไทยมีน้อยมากค่ะ ดิฉันไม่แปลกใจหรอกค่ะ ถ้าจะมีคนแจมด้วยไม่มากนัก ยกตัวอย่างกระทู้คุณพลายงาม เวลาชวนแต่งกลอนกลบท ก็มีคนร่วมแต่งน้อย พอเปลี่ยนเป็นกระทู้ให้คำแนะนำการแต่งโคลงสี่สุภาพ กลับมีคนเพิ่มขึ้นมาก

เท่านี้แหล่ะค่ะ...ขอบคุณค่ะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: อุ้ยครับ ที่ 15 พ.ค. 01, 18:58
ก็อ่านอยู่นะครับ ไม่ใช่ไม่อ่าน แต่จำได้ว่าปู่เคยสอน..รักยาวให้บั่นรักสั้นให้ต่อ...

แต่เจอประโยคนี้ของพี่พูเข้าเลยต้องออกมาอีกครั้ง ทั้งๆที่ไม่ได้อยากออกมาเลยครับ

การที่อุ้ยจะหายไป เพราะจะเปิดเทอมแล้ว ไม่ใช่เป็นเพราะปฏิบัติตามกติกาของพี่พูไม่ได้นะครับ

สำหรับช่วงนี้ที่อุ้ยเล่นฉันท์ของ "คมทวน คันธนู" เยอะ เป็นเพราะอุ้ยภูมิใจที่เป็นฉันท์ของคนไทย จะสังเกตได้เรื่อยมา ว่าอุ้ยจะเล่นฉันท์ของ "ศุภร ผลชีวิน" และก็คงจะไล่ไปเรื่อยๆ จนถึง "เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์" และอีกหลายๆคน ที่เป็นฉันท์ของคนไทย แต่ก็คงมีบางฉันท์ที่อุ้ยจะไม่กล้าเล่น ยกตัวอย่างฉันท์พระนามบัญญัติ (หมายถึงฉันท์ที่ชื่อตามพระนามาภิไธยเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน)



เรื่องการกำหนดเสียงอ่านฉันท์ตามใจคนแต่งที่มีใครบางคนตำหนิ อุ้ยยกตัวอย่างให้ดูละกัน



สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙



สัมผัสแบบกลอนสังขลิก



ครุ ครุ ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ลหุ ลหุ ครุ

ครุ ครุ ลหุ ครุ ครุ.....................ครุ ลหุ



ตรงนี้เป็นตัวอย่างจากสมุทรโฆษคำฉันท์ พิมพ์โดยองค์การค้าของคุรุสภา ปี ๒๕๒๙ เป็นสำนวนของพระบรมมหาราชครู  ชำระสำนวนโดยกรมศิลปากรเมื่อปี ๒๕๐๓



เทพีพินทุมดีอันมีมุขคือจันทร์

จาบัลยครั้นตื่น.......................ตระอาล

หาภูบาลบพบตระหลบทุกขมาพาล

พิศวงในสถาน........................บรรทม

ประปราณรันทดกำสรดพิลดดม

ทรวงสมดั่งคมไฟ...................ในกลาง

ฝันฤๅจริงและทันชิงรำพึงบรู้กี่ปาง

รางชางขนางตื่น.....................ตระบัด

พิศเพี้ยนพระพนิดาทุกขานลกำนัด

ดัดรัตนธารี...........................มาดูฯ



ต้นฉบับพิมพ์มาแบบนี้อะครับ ลองอ่านดูละกัน จะออกเสียงยังไงให้ถูกฉันทลักษณ์

แล้วที่มาโกรธมาเกรี้ยวประมาณว่าอุ้ยออกคำสั่งให้อ่านงั้นอ่านงี้น่ะ ก็ฉันท์มันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร (พระบรมมหาราชครู เป็นยุคก่อนสมเด็จพระนารายณมหาราชครับ) อุ้ยล่ะงง



ส่วนเรื่องที่พี่พูติงมาเรื่องสำนวนกลอน ถ้าเป็นไปได้(หมายถึงถ้าพี่พูมีเวลาพอ) ช่วยบอกอุ้ยด้วยว่าบทไหนตรงไหนของอุ้ยที่ไม่ได้เรื่อง และควรแก้อย่างไร แก้เป็นอะไร (แบบครูไหวอ่ะครับ...อ้อ..ขอบคุณครูไหวครับที่แนะนำ) อุ้ยจะได้รู้ตัว รู้วิธีแก้ ที่พี่พูพูดมามันกว้างไปอะครับ ไม่รู้จะทำยังไงเลย



ส่วนการที่ไม่มีคนเล่นด้วย อันนี้อุ้ยไม่ทราบ อุ้ยระบุฉันทลักษณ์ครบถ้วนแล้ว  พี่ๆในบอร์ดนี้คงสนใจพวกนี้น้อยกระมังครับ อย่างพี่ jor เคยบอกว่า..ลองแล้ว แต่ไม่สำเร็จ..(ในพันธวีสติการ) อาจเป็นเพราะพี่เค้าไม่มีเวลาว่างพอ ก็เป็นได้ หรือสำนวนกลอนของอุ้ยมันแย่จนพี่ๆเค้าไม่เกิดแรงบันดาลใจก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ ข้อบังคับก็มีนี่ครับ ถ้าสนใจก็แต่งไปตามนั้นก็ได้



คงไม่มีอะไรแล้วครับ พรุ่งนี้อุ้ยไปเที่ยว วันมะรืนอุ้ยเปิดเทอม ลาพี่พูตรงนี้แล้วกันครับ...สวัสดีครับ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: อุ้ยครับ ที่ 17 พ.ค. 01, 17:23
ขอโทษครับ ที่กลับมาอีกครั้งหนึ่ง บังเอิญไปเจอวสันตดิลกฯเข้าบทนึงในหนังสือเล่มเดิมนั่นแหละครับ (ยังอ่านไม่จบ) บทที่จะคัดลอกมานี่อยู่หน้า ๑๑๔ ครับ



ท้าวต่อท้าวพวกพหลหาญ.....ต่อทหารอันเข้มแขง

แข้งเท้งระแรงรบสำแดง.......อำนาจอาจในสงคราม



อุ้ยคงขอถามล่ะครับ คำว่า "รบ" ในที่นี้มาจากภาษาบาลีสันสกฤตหรือเปล่า (พจนานุกรมของราชบัณฑิตฯ ๒๕๒๕ บอกว่าเป็นคำไทย) และในที่นี้จะออกเสียงว่าอย่างไร ออกเสียงว่า "รบ" หรือ "ระ-บะ" ครับ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 01, 18:59
นึกว่าคุณอุ้ยไปแล้วเสียอีก
รบ พจนานุกรมราชบัณฑิตฯ บอกแต่ว่าเป็นคำกริยาค่ะ  ไม่ได้บอกว่าเป็นคำไทย
คำที่ไม่ได้วงเล็บว่ามาจากภาษาไหน มีคำตอบได้ ๒ ทางคือ
๑)คำไทย
๒) ยังไม่เป็นที่ยุติว่ามาจากภาษาไหนกันแน่

วสันตดิลก
ครุ ครุ ลหุ  ครุ  ลหุ ลหุ ลหุ ครุ...........ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ครุ
ครุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ลหุ ลหุ...................ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ครุ
เทียบเอาเองนะคะว่าที่ยกมาใช้วสันตดิลกหรือเปล่า


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: ครูไหวใจร้าย ที่ 18 พ.ค. 01, 04:50
ตรงนี้แหละค่ะที่ดิฉันเคยพูดแล้ว ว่าการจับครุ ลหุ ในแต่ละยุคแต่ละสมัย ลางทีจะใช้กฎเกณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน

ในสมัยดั้งเดิมนั้น(ตามอ้างถึง - สมุทรโฆษคำฉันท์) ในหนังสือจะไม่ได้บอกไว้หรอกค่ะว่าเป็นฉันท์ชนิดอะไร แต่จะเขียนจำนวนคำไว้ที่ต้นบทเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น เขียนเลข ๑๑ เราคงต้องมานั่งดูแหละค่ะว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ส่งสัมผัสอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือมี ๑๑ คำ

คำประพันธ์ที่มี ๑๑ คำ เริ่มตั้งแต่ กาพย์ยานีธรรมดาๆ  หรือ โทธกะฉันท์ ธาตุมมิสสาฉันท์ อุปัฎฐิตาฉันท์ สุมุขีฉันท์ สุรสสิรีฉันท์ อินทรวิเชียรฉันท์ อุเปนทรวิเชียรฉันท์ อุปชาติฉันท์ สาลินีฉันท์ สวาคตาฉันท์ รโทธตาฉันท์ หรือ ภัททิกาฉันท์ ฉันท์ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นฉันท์ ๑๑ ในหมวดฉันท์วรรณพฤฒิค่ะ ไม่พูดถึงฉันท์มาตราพฤฒินะคะ เพราะยังไม่ปรากฎว่ามีกวีพระองค์ใด หรือท่านใด นำมาใช้ในการนิพนธ์ หรือ แต่ง "เรื่อง"

และบังเอิญหนังสือที่หนูอุ้ยกล่าวถึง ดิฉันสอบทานดูแล้วค่ะ

ประการแรก ที่ต้นบทเขียนเลข ๑๔ นั่นคือคำประพันธ์ชุดนี้มีจำนวน ๑๔ คำต่อบท

ประการที่ ๒ ฉันท์ ๑๔ มีดังต่อไปนี้ ปราชิตฉันท์ ปหรณกลิกาฉันท์ และ วสันตดิลกฉันท์ (ไม่พูดถึงฉันท์สมัยใหม่นะคะ เพราะคนละยุคกัน)

แต่ปราชิตฉันท์ และ ปหรณกลิกาฉันท์ ๑ บท มี ๒ บาท บาทละ ๑๔ พยางค์ แบ่งเป็น ๒ วรรค วรรคละ ๗ พยางค์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ ตัดทิ้งไป

ก็เหลือวสันตดิลกฉันท์ล่ะค่ะ ที่วรรคหน้า ๘ พยางค์ วรรคหลัง ๖ พยางค์ จึงเป็นที่สรุปได้ว่าเป็นวสันตดิลกฉันท์ค่ะ

ที่จะต้องวิเคราะห์กันต่อไปคือ เป็นฉันท์ประเภทมั่วแต่งผิดแต่งถูกหรือไม่ ก็ไม่ใช่เพราะเป็นฉบับของพระบรมมหาราชครู กรมศิลปากรชำระแล้ว

ก็จะเหลืออยู่ ๒ ทฤษฎีที่ดิฉันเคยพูดถึง คือกวีโบราณท่านไม่เคร่งครัด หรือท่านใช้วิธีจับ ครุ ลหุ ตามอีกนัยหนึ่งที่ปัจจุบันมิได้ใช้ ซึ่งกวีจนถึงประมาณต้นกรุงรัตนโกสินทร์ตามที่ดิฉันเคยอ้างถึง (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสฯ) ถ้าใช้อักขรวิธีเข้าจับจะพบที่ผิด ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะพระองค์ได้แปลฉันท์จากคัมภีร์วุตโตทัยถึง ๕๘ ชนิด ตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อประชุมจารึกที่วัดพระเชตุพนฯ ในราว พ.ศ. ๒๓๘๕

ในความเห็นของดิฉัน เห็นว่าการจับ ครุ ลหุ ต่างสมัย ไม่เหมือนกันค่ะ

เท่าที่ดิฉันสังเกต พวกคำเป็นบางกลุ่ม ลางทีปราชญ์โบราณท่านอาจจัดเป็นคำลหุกระมังคะ

ส่วนเรื่องคำไทย หรือไม่ใช่คำไทย คงไม่ใช่ประเด็นกระมังคะ เพราะทุกคำเป็นคำไทยหมด เพียงแต่ตอนนี้กำลังอยากพิสูจน์เท่านั้นเองว่าคำไทยแท้ๆ(ซึ่งมีประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมดที่มี หรือน้อยกว่านั้น)ใช้เป็นลหุทั้งหมดได้หรือไม่ (ถ้าใช้เป็นลหุบางส่วน คงไม่ต้องพูดกัน เพราะได้อยู่แล้ว)

เถอะค่ะ ดิฉันจะลองตั้งกระทู้ดูสักครั้ง เกี่ยวกับเรื่องฉันท์ เพื่อให้กระจ่างๆไปเลย


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: ครูไหวใจร้าย ที่ 18 พ.ค. 01, 08:10
เมื่อเช้าค่อนข้างรีบนะคะ ตอนนี้ถึงที่ทำงานแล้ว ขอให้รายละเอียดเพิ่มเติมค่ะ



ปราชิตฉันท์ ๑๔

บังคับมีดังนี้ค่ะ

ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ครุ.......ลหุ ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ

ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ครุ.......ลหุ ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ

สัมผัสแบบกาพย์นะคะ แต่คำรับสัมผัสของวรรคที่ ๒ จะเป็นคำที่ ๒ คือ ครุส่งสัมผัสกับครุค่ะ (ลหุส่งสัมผัสกับลหุมีน้อยชนิดค่ะ)

ตัวอย่างค่ะ

.....สุพจนพฤตินี้.....ก็มีบทนามขนาน

คุรุรจนบุราณ..........ปราชิตฉันทพากย์

.....นรชนธริเรียน.....แลเพียรและนิพนธยาก

ครุกะกระมลมาก.......มิง่ายมิสดวกจะแสดง(ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน)



ปหรณกลิกาฉันท์ ๑๔

บังคับมีดังนี้ค่ะ

ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ครุ.....ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ครุ

ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ครุ.....ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ลหุ ครุ

ส่งสัมผัสเฉพาะวรรค ๓ และ วรรค ๔ ใน ๑ บท และสัมผัสระหว่างบทเป็นไปตามปกติค่ะ

ตัวอย่างค่ะ

.....คณรบวรเบญ.....จวิบุลยสุมง

คลภพทวิทรง...........ศิริสุขวฒนา

.....กลบทคณะฉัน......ทคติบุรกถา

ปหรณกลิกา.............ก็รจิตพฤตินาม(ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน)



วสันตดิลกฉันท์เป็นไปตามที่คุณเทาชมพูระบุมานะคะ

ตัวอย่างค่ะ

.....พากยนี้กระวีบุรพแสดง.....กลแต่งฉบับฉันท์

เสนอนามกรวรวสัน................ตดิลกบรรหาร

.....แสร้งซ้ำแลร่ำพจนิพนธ์......บทกลบุราณมาน

ฉลองบาทบดีศรภิบาล.............ภพเฝ้าไผทไท(ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน)



แลดิฉันได้ scan ต้นฉบับจากสมุทรโฆษคำฉันท์ให้ดูด้วยค่ะ ฉบับที่ดิฉันใช้เป็นการพิมพ์โดยองค์การค้าของคุรุสภา พิมพ์ครั้งที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๒๙ ISBN 974 - 00 - 3708 - 9



และขอคัดคำนำขององค์การค้าของคุรุสภามาด้วยนะคะ



.....สมุทรโฆษคำฉันท์ เป็นวรรณคดีที่ได้รับการยกย่องจาก วรรณคดีสโมสร ว่าเป็นเรื่องที่แต่งดีเป็นเยี่ยมในกระบวนคำฉันท์ ผู้แต่งเป็นกวีที่มีชื่อเสียง ได้แต่งเรื่องราวของพระสมุทรโฆษต่อกันรวม ๓ สำนวน ซึ่งล้วนแต่เป็นคำฉันท์ที่ไพเราะ.....

.....สมุทรโฆษคำฉันท์นี้เป็นวรรณคดีที่ใช้เวลาแต่งต่อกันยาวนานกว่า ๒๕๐ ปี ทำนองการแต่งฉันท์และกาพย์มีความไพเราะ ศิลปะการประพันธ์ประณีตบรรจง หาวรรณคดีคำฉันท์เรื่องใดเทียบได้ยาก องค์การค้าของคุรุสภาตระหนักว่าเป็นวรรณคดีที่หาค่ามิได้ ควรแก่การอนุรักษ์ไว่เพื่อการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จึงได้จัดพิมพ์สมุทรโฆษคำฉันท์นี้ขึ้นตามต้นฉบับซึ่งกรมศิลปากรได้ตรวจชำระเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๓...



ถึงตรงนี้คงสรุปได้นะคะ ว่าฉันท์ที่หนูอุ้ยยกมาแสดง มีความน่าจะเป็น" วสันตดิลกฉันท์ " สูงเหลือเกินค่ะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: ครูไหวใจร้าย ที่ 18 พ.ค. 01, 08:11
ทีนี้มาถึงพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ค่ะ ในเรื่อง "คำชี้แจงหลักการจัดทำและวิธีใช้พจนานุกรม" หน้า (๙) ข้อ จ.ประวัติของคำ

....ข้อ ๑. ที่มาของคำได้บอกไว้ท้ายคำนั้น ๆ โดยเขียนไว้ในวงเล็บเป็นอักษรย่อ เช่น สทึง[สะ-] น. แม่น้ำ, ใช้ว่า สรทึง ฉทึง หรือ ชรทึง ก็มี. (ข.)....

....ข้อ ๒. คำใดที่บอกว่ามาจากภาษาใดนั้น โดยข้อเท็จจริงก็ไม่ตรงกับภาษาเดิมทีเดียว เพราะคำภาษาอื่นๆ เช่น บาลี สันสกฤต เขมร ที่นำมาใช้ในภาษาไทย โดยมากลดพยางค์บ้าง เปลี่ยนอักขระบ้าง เปลี่ยนเสียงบ้าง เช่น ธมฺม(บาลี) ธรฺม(สันสกฤต) ไทยใช้ว่า ธรรม  โปฺรส(เขมร) ไทยใช้ว่า โปรด ในการบอกที่มา บางทีได้ให้รูปตรงตามภาษาเดิมไว้ด้วย เช่น ธรรม ก็บอกว่า (ส. ธรฺม: ป. ธมฺม) หรือ โปรด ก็บอกว่า (ข. โปฺรส) เพื่อให้เทียบเคียงดูว่า รูปเดิมของคำเป็นอย่างไรและไทยนำมาใช้อย่างไร.....

....ข้อ ๓. คำใดที่ยังไม่แน่ใจว่ามาจากภาษาอะไร แต่มีรูปคล้ายภาษาใดภาษาหนึ่งก็บอกไว้ในวงเล็บว่า เทียบภาษานั้นภาษานี้ เช่น กำปั่น น. เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง...(เทียบมาลายู หรือ ฮินดูสตานี ว่า capel).....

ทีนี้มาดูคำว่า รบ ในหน้า ๖๘๔

รบ ก. สู้กัน, ต่อสู้ในทางศึก, สู้ เช่น รบหญ้าไม่ชนะ: เร้าเอาให้ได้ เช่น เด็กรบจะเอาตุ๊กตา,.....

ไม่มีวงเล็บระบุที่มาของคำๆนี้ค่ะ

น่าจะเป็นภาษาไทยนะคะ หรือคุณเทาชมพูว่าอย่างไรคะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: ครูไหวใจร้าย ที่ 18 พ.ค. 01, 08:17
ขอแก้ไขที่ผิดค่ะ...ปหรณกลิกาฉันท์ ๑๔ ...การส่งสัมผัส จะส่งจากวรรคที่ ๒ ไปวรรคที่ ๓ เท่านั้นค่ะ ระหว่าง ๑ กับ ๒ ไม่มี และ ระหว่าง ๓ กับ ๔ ไม่มี (ตามแบบกาพย์)

แต่การรับ-ส่งสัมผัสระหว่างบทเป็นไปตามปกติค่ะ

ขอโทษค่ะ เมื่อเช้ารีบจริงๆ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 01, 08:32
คุณอุ้ยไปแล้วแต่คุณครูไหวยังอยู่  ดิฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันว่าเธอยังไม่จากไปง่ายๆ
ถ้าจะตั้งกระทู้เรื่องฉันท์   ดิฉันคิดว่าควรจะอยู่ในรักภาษามากกว่าศิลปะวัฒนธรรม    เพราะจะเกี่ยวกับการใช้คำในภาษาไทยและภาษาอื่นๆตลอด
สวัสดีค่ะ


กระทู้: ธนูฝนฉันท์ ๑๗
เริ่มกระทู้โดย: ครูไหวใจร้าย ที่ 18 พ.ค. 01, 18:18
คุณเทาชมพูคะ

ดิฉันรู้จัก link นี้จากคุณพลายงามเหมือนกันแหละค่ะ เห็นคุณพลายงามเล่น กลอน เล่น โคลงอยู่ที่นี่นี่คะ

ซึ่งที่จริงแล้วดิฉันเป็น "ตำรวจ" ภาษาไทยมากกว่าค่ะ โดยปกติจะไปเรื่อยๆ แล้วคอยทัก อย่างเช่น "สมโภชน์" หรือ "ศิริมงคล" อะไรพวกนี้แหละค่ะ ที่จะเป็นจุด landing ของดิฉัน

ถ้าคุณเทาชมพูพูดอย่างนี้ ดิฉันก็คงต้องไปเหมือนกันแหละค่ะ ว่าจะมีของมาฝากอีกบท เป็นอินทรวิเชียรฉันท์จากพระสุธนคำฉันท์ ของ พระยาอิศรานุภาพ(อ้น) ซึ่งวันนี้พึ่งอ่านเจอ...คงไม่มีประโยชน์แล้วล่ะค่ะ

สวัสดีเช่นกันค่ะ