superboy
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 16 ม.ค. 24, 14:00
|
|
เรื่องราวช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งนัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33595
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 17 ม.ค. 24, 10:14
|
|
ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ เห็นว่าความยากลำบากในเรื่องความรักครั้งนี้ น่าจะเป็นแรงจูงใจอีกแรงหนึ่งให้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรทรงมุมานะจะฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้ แตกต่างจากความรักครั้งก่อนๆที่ทรงมีต่อเจ้าจอมหม่อมห้ามทั้งหลาย คือทรงอยากได้คนไหนก็ไม่มีอุปสรรค พ่อแม่ก็ยินดีถวายลูกสาวอยู่แล้ว เมื่อทรงเห็นเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรียังคงไม่ไยดีกับคำเกลี้ยกล่อม ด้วยความเป็นศิลปิน ก็ไม่ทรงหักหาญเอาชนะแบบไม่แคร์หน้าอินทร์หน้าพรหม แต่ก็ทรงหาอุบายขั้นต่อไป ที่ชั้นเชิงสูงกว่าครั้งแรก ท่านก็ทำทีปรารภกับกรมหลวงพิทักษมนตรี ว่า " ใจของพี่ ถ้าพี่น้องได้กันเองอย่างเช่นเรื่องอิเหนา ไม่ถือต่ำถือสูงว่าลูกพี่ลูกน้อง พี่จะมีความยินดีเปนที่ยิ่ง โดยสมบัติพัสถานก็จะไม่กระจัดกระจาย" ที่ตรัสว่า "ไม่ถือต่ำถือสูงว่าลูกพี่ลูกน้อง" ก็เพราะว่าพระมารดาของกรมหลวงพิทักษมนตรีเป็นป้า สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นน้าชาย ธรรมเนียมถือกันว่าลูกลุงกับป้าจะศักดิ์สูงกว่าลูกน้าลูกอา ถึงอายุอ่อนกว่าก็ต้องนับเป็นพี่ แต่เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรสุนทรก็ตัดบทง่ายๆว่าไม่ถือสาเรื่องนี้ แล้วเกลี้ยกล่อมต่อว่า ญาติได้กันเองน่ะดีแล้ว ทำนองเรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน ดีกว่าไปได้กับตระกูลอื่น จากนั้นก็ทรงส่งหมัดเด็ดไปว่า "พี่กังวลอยู่อย่างหนึ่ง ด้วยแม่แจ่ม(หมายถึงเจ้าฟ้าหญิงกรมหลวงศรีสุนทรเทพ พระขนิษฐา) ชอบเล่นป้านชาถ้วยชา กวนให้หาร่ำไป หรือพ่อจุ้ย(หมายถึงกรมหลวงพิทักษมนตรี) มีป้านชาถ้วยชายี่ห้อต่างๆ จัดเข้าไปให้เขาบ้างเปนไร เผื่อยี่ห้อจะแปลกกันกับเขาที่มีอยู่"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33595
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 17 ม.ค. 24, 10:20
|
|
หมัดนี้ได้ผล กรมหลวงพิทักษมนตรีได้ทรงฟังดังนั้น ก็มีพระพักตร์แช่มชื่นขึ้นทันที เพราะทรงดูออกว่า พี่ชายของสาวเจ้าเปิดทางให้ดังนี้ แสดงว่าเต็มพระทัยจะรับพระองค์เป็นน้องเขย ได้เสกสมรสกับกรมหลวงศรีสุนทรเทพ จึงทูลตอบว่า "ป้านชาถ้วยชายี่ห้อต่างๆ เรือของหม่อมฉันมีเข้ามาหลายอย่าง แล้วจะจัดให้คนเข้าไปถวาย" ทั้งนี้เพราะทรงค้าสำเภา มีของดีๆจากเมืองจีนส่งมาขายในสยามหลายอย่าง จากนั้นถึงเวลาเข้าเฝ้า ก็ไม่ได้รับสั่งเรื่องนี้กันอีก เป็นอันว่าตกลงกันโดยไม่ต้องพูดตรงๆว่า กรมหลวงพิทักษมนตรีก็ไม่ได้ขัดข้องที่จะได้เป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเป็นพี่เขยอีก ถ้าใครสงสัยว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรจะยกน้องสาวให้กรมหลวงพิทักษมนตรีจริงๆหรือ เจ้าฟ้าหญิงเจ้าตัวจะทรงว่าอย่างไร อยู่ๆถูกยกให้พระญาติที่ไม่ได้มีวี่แววว่าเสน่หากันมาก่อน ก็ขอตอบว่า อ๋อ เปล่าค่ะ เจ้าฟ้าชายพระเอกของเราท่านชั้นเชิงสูงกว่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33595
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 18 ม.ค. 24, 07:48
|
|
เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรทรงทราบแน่แก่ใจว่า ทรงเจรจาไปตามนี้ พระน้องนางคือกรมหลวงศรีสุนทรเทพไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย ถ้าหากว่ารู้ขึ้นมาเมื่อใด เห็นทีจะเกิดเรื่อง เพราะไม่ได้ทรงเสน่หากรมหลวงพิทักษมนตรีมาก่อน ดังนั้นพอออกจากเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้าชายก็เสด็จเข้าไปที่ตำหนักพระกนิษฐภคินีทั้งสองพระองค์ เรียกกรมหลวงเทพยวดีพระขนิษฐาองค์เล็กมากระซิบกระซาบบอกความทุกประการ เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนปลาย ซึ่งกรมหลวงพิทักษมนตรีทราบระแคะระคาย จึงทำกิริยามึนตึง ไม่พอพระทัยเรื่องทรงลักลอบพบเจ้าฟ้าบุญรอด ดังนั้น ท่านก็ต้องยกเรื่องนี้ขึ้นเป็นอุบายล่อลวงจนถึงแก่หายขัดเคือง กรมหลวงพิทักษมนตรีหลงเชื่อ เต็มอกเต็มใจจะจัดป้านชาถ้วยชายี่ห้อต่างๆ มาให้กรมหลวงศรีสุนทรเทพเพื่อผูกไมตรี เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็กระชับกรมหลวงเทพยวดี ว่า " เจ้าจงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าบอกให้เจ้าตัวรู้ตัวเขาจะโกรธ เมื่อกรมหลวงพิทักษมนตรีหลงเชื่อจัดป้านชาสวยๆงามๆ ให้นางข้าหลวงเอามาถวาย ก็ขอให้เจ้าออกหน้ารับเสียเอง แล้วตอบกลับนางข้าหลวงไปว่า กรมหลวงศรีสุนทรเทพทรงได้รับแล้วและขอบพระทัย แค่นี้ก็จบเรื่อง" ในบันทึกไม่ได้บอกว่ากรมหลวงเทพยวดีทรงรับคำโดยดี หรือว่าบ่ายเบี่ยงไม่อยากจะเอาตัวไปเสี่ยงกับความโกรธของพี่สาว แต่ก็บันทึกไว้ว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรทรงอยู่ที่ตำหนักจนเย็นถึงเสด็จกลับวังที่ฝั่งธน ก็น่าจะเดาได้ว่าคงเกลี้ยกล่อมอย่างหนัก จนกระทั่งพระน้องนางจำใจยอมทำเพื่อพี่ชาย และคงจะต้องเห็นว่าไม่มีวิธีไหนกลบเกลื่อนเรื่องได้ดีเท่านี้ เพราะจะปล่อยให้กรมหลวงพิทักษมนตรีกริ้วต่อไปจนเอาไปทูลฟ้องพระเจ้าอยู่หัว ความก็จะแตก โดนลงโทษกันทั้งหมดทุกคน หรือจะปล่อยให้กรมหลวงศรีสุนทรเทพรู้เรื่องนี้ก็ไม่ได้อีก เพราะไม่ได้เสน่หากรมหลวงพิทักษมนตรี ยังไงก็ไม่ยอมร่วมมือด้วย พี่น้องก็จะทะเลาะกันยกใหญ่ กลายเป็นผูกปัญหาใหม่ขึ้นมาซ้ำซ้อน เพราะฉะนั้น ใช้อุบายปิดบังไม่ให้กรมหลวงศรีสุนทรเทพรู้ ในการตุ๋นกรมหลวงพิทักษมนตรีจนเปื่อยแบบนี้น่ะดีแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33595
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อ 19 ม.ค. 24, 13:55
|
|
เหตุการณ์ก็ดำเนินไปด้วยดี ต่อมาเมื่อเรือสำเภาที่กรมหลวงพิทักษมนตรีทรงค้าขายกลับเข้ามาถึงสยาม ท่านก็จัดสิ่งของต่างๆ เข้าไปถวายกรมหลวงศรีสุนทรเทพอยู่เนืองๆ ทางฝ่ายกรมหลวงศรีสุนทรเทพก็ไม่รู้เรื่อง กรมหลวงเทพยวดีก็ปิดปากสนิท ออกมารับหน้าเสียเองทุกครั้งไป เมื่อถึงหน้าผลไม้ต่างๆ เป็นต้นว่ามะม่วง มะปราง เงาะ ลางสาด กรมหลวงเทพยวดีก็ทูลพระพี่นางว่ากรมหลวงพิทักษมนตรีมีน้ำพระทัยกว้างขวาง ส่งของเล็กๆน้อยๆมาถวายอยู่เสมอ ก็ควรตอบแทนท่านบ้าง เช่นปอกผลไม้อย่างประณีตฝีมือชาววัง ให้นางข้าหลวงนำไปถวายพร้อมกับเครื่องคาวหวาน เป็นการแสดงน้ำใจ กรมหลวงศรีสุนทรเทพก็มิได้ระแวงอะไร ก็ทรงทำตามที่พระน้องนางแนะนำ เพราะเจ้านายต่างวังจะมีของกำนัลเผื่อแผ่ถึงกันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อใครให้มาก็ต้องตอบแทนเป็นธรรมดาอีกเช่นกัน ไม่ได้เป็นเรื่องพิเศษอะไรตรงไหน ส่วนกรมหลวงพิทักษมนตรีหลงเชื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรไปเสียแล้ว พอได้รับของกำนัลตอบแทนก็ยิ่งมั่นพระทัยว่านี่คือการตอบรับไมตรีจากเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพ ท่านก็เลยปลื้มพระทัย หายมึนตึงกับเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร แสดงพระอัธยาศัยรักใคร่สนิทสนมกันดังเดิม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33595
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อ 20 ม.ค. 24, 08:35
|
|
ิิ ในเมื่อปัดกวาดอุปสรรคออกไปได้สำเร็จ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็สบายพระทัย จากนั้นก็เสด็จไปตำหนักพระน้องนางได้สะดวก สองวันสามวันก็เสด็จเข้าไปที แล้วก็เลยไปตำหนักเจ้าฟ้าบุญรอดโดยไม่ต้องกลัวหน้าไหนอีก ก็น่าจะกินเวลาราว 2 ปี ตามที่นิพนธ์ในกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานในภายหลัง ทองหยอดหยอดสนิท ทองม้วนมิดคิดความหลัง สองปีสองปิดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง แต่ในเมื่อความลับไม่มีในโลก วันหนึ่งเจ้าฟ้าบุญรอดก็ทรงพระครรภ์ ทรงปิดความได้ถึง 4 เดือนจนปิดไม่ได้อีกต่อไป เรื่องเจ้านายสตรีที่ยังเป็นสาวโสด อยู่ๆตั้งครรภ์ขึ้นมา ถือเป็นเรื่องใหญ่ระดับฟ้าผ่าลงมาบนพระราชมณเฑียรก็ว่่าได้ เพราะเจ้านายฝ่ายในเหล่านี้ถูกกฎมณเฑียรบาลควบคุมอย่างเข้มงวด กระดิกกระเดี้ยไม่ได้ อย่าว่าแต่จะพูดจากับชายใดที่ไม่ใช่พี่น้อง แม้จะไปไหนมาไหนก็ต้องเดินฉนวนมีฉากกั้น นั่งเรือไปไหนก็ต้องนั่งเรือประทุนมีม่านบัง ชายสามัญชนไม่มีโอกาสแม้แต่จะมายืนจ้องมองตามสบาย เกิดเหตุขึ้นมาแบบนี้ แม้แต่เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเองก็ไม่อาจใช้อุบายปัดเป่าได้อีก ความลับเปิดเผยออกมาเมื่อใดเห็นจะต้องโทษหนัก เจ้าฟ้าบุญรอดจึงมีหนทางเดียวคือไปขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่ทั้งเจ้านายฝ่ายหน้าและฝ่ายในยำเกรงวาสนาบารมี ผู้นั้นคือพระสนมเอกผู้มีนามว่าคุณแว่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33595
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ 21 ม.ค. 24, 09:05
|
|
คุณแว่นหรือเจ้าจอมแว่น เป็นชาวเวียงจันทน์ มีนามเดิมว่าเจ้านางคำแว่น เป็นธิดาพระนครศรีบริรักษ์ บุตรของพระเจ้าไชยราชาธิราชที่ 3 หรือพระเจ้าสิริบุญสาร ในสมัยปลายธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เมื่อครั้งทรงเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก นำทัพไทยไปปราบจลาจลในเวียงจันทน์ ขากลับได้นำเจ้านางคำแว่นกลับมาด้วยในฐานะบริจาริกา จึงกลายเป็นประเด็นขัดแย้งรุนแรงกับท่านผู้หญิงเอกภรรยา ในที่สุดสมเด็จเจ้าพระยากับท่านผู้หญิง(หรือคุณหญิง)นาค ก็ขาดจากกัน เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมิได้สถาปนาคุณแว่นขึ้นเป็นเจ้า คงเป็นแต่พระสนม แต่ถึงกระนั้นก็เป็นผู้ที่ผู้คนรวมทั้งพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอเกรงกลัวกันทั้งวัง เพราะท่านได้ชื่อว่าเป็นคนดุ จนมีสมญาว่า "เจ้าคุณเสือ" เป็นคนเดียวที่กล้ากราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวด้วยเรื่องต่างๆที่คนอื่นไม่มีใครกล้า เรื่องเจ้าฟ้าบุญรอดทรงพระครรภ์ขึ้นมาก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ไม่มีใครอื่นกล้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33595
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อ 21 ม.ค. 24, 09:11
|
|
ในเรื่องเล่าว่า " วันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จประทับอยู่ที่ซอง เป็นวันสบายพระราชหฤทัย รับสั่งเล่าถึงเรื่องความเก่าๆ แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยายังไม่เสียแก่พม่าข้าศึกให้ท้าวนางฟัง ถึงที่สนุกสนานก็ทรงพระสรวลมีพระสุรเสียงอันดัง ตรัสอยู่ประมาณสักครึ่งชั่วทุ่ม ขณะนั้นเห็นได้ช่องคุณเสือจึงคลานเข้าไปใกล้พระองค์แล้วจึงทูลกระซิบว่า “ขุนหลวงเจ้าขา ดิฉันจะทูลความสักเรื่องหนึ่ง แต่ขุนหลวงอย่ากริ้วหนา ถ้าขุนหลวงกริ้วดิฉันก็จะไม่ทูล” พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเมื่อได้ทรงสดับคำคุณเสือดังนั้น ก็เฉลียวพระทัยว่าน่าจะเปนความชอบกลอยู่ จึงรับสั่งว่า "เออ พูดไปเถอะ กูไม่โกรธดอก" คุณเสือจึงกราบทูลว่า " ดิฉันไม่เชื่อขุนหลวงที่รับสั่งว่าไม่กริ้ว ครั้นดิฉันทูลขึ้นแล้วขุนหลวงก็จะกริ้ววุ่นวายไป ถ้าอย่างนั้นขุนหลวงสบถให้ดิฉันเสียก่อน ดิฉันจึงจะทูล" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงรับสั่งด่าว่า " อีอับปรี บ้านเมืองลาวของมึงเคยให้เจ้าชีวิตรจิตรสันดานสบถหรือ กูไม่สบถ พูดไปเถิดกูไม่โกรธดอก" คุณเสือก็ทูลว่าดิฉันไม่เชื่อ แล้วก็ทำเป็นคลานถอยออกมาเสียให้ห่างพระองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงรับสั่งว่า "อย่าเพ่อไป จะไปข้างไหน มาพูดไปเถอะ เอ็งจะให้ข้าสบถว่ากระไร" คุณเสือจึงทูลว่า "ดิฉันจะให้ขุนหลวงสบถว่าถ้าดิฉันทูลขึ้นแล้วขุนหลวงกริ้ว ให้ขุนหลวงตกนรกเท่านั้นแหละ" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรับสั่งว่า "เอ็งจะมาให้ข้าสบถว่าไม่ให้โกรธนั้น ถ้ามีผู้ใดคิดร้ายต่อข้า เอ็งมาบอกขึ้น ก็จะห้ามไม่ให้โกรธ คนที่ใจเป็นดังนี้ บ้านเมืองของมึงมีอยู่หรือ" คุณเสือจึงทูลตอบว่า " ถ้าเป็นเรื่องใครเขาคิดร้ายต่อพระองค์ ดิฉันก็ไม่ทูลขอห้ามไม่ให้ขุนหลวงกริ้ว นี่ไม่ใช่เรื่องอย่างนั้น เป็นแต่การเล็กน้อย ครั้นขุนหลวงทราบก็จะกริ้วกราดเปนมากเป็นมายถึงแก่เฆี่ยนแก่ตี นิดก็เฆี่ยนหน่อยก็เฆี่ยน (ท่านทูลดังนี้คือท่านกลัวเหมือนเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ หลงเจ้าคุณที่ต้องรับพระราชอาญา ๓๐ ที) ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็อยากจะใคร่ทรงทราบว่าเป็นเรื่องอะไร จึงรับสั่งว่าพูดไปเถิดกูไม่เฆี่ยนดอก คุณเสือจึงทูลว่า "ถ้าขุนหลวงเฆี่ยน ให้ขุนหลวงตกนรกหนา" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอึดอัดพระทัย ครั้นจะทรงนิ่งเสียคุณเสือก็จะไม่ทูลความ เรื่องราวจะตื้นลึกเปนประการใดก็จะใคร่ทรงทราบ จึงรับสั่งว่า "เออ กูไม่เฆี่ยนดอก" คุณเสือจึงเขยิบเข้าไปใกล้พระองค์แล้วค่อยกระซิบทูลว่า "แม่รอดเดี๋ยวนี้ท้องขึ้นมาได้ ๔ เดือน"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33595
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ 21 ม.ค. 24, 09:58
|
|
(ท่านทูลดังนี้คือท่านกลัวเหมือนเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ หลงเจ้าคุณที่ต้องรับพระราชอาญา ๓๐ ที) ใครทราบบ้างคะ ว่าเรื่องอะไร เดาว่าเจ้าคุณในที่นี้คือเจ้าคุณสี( หรือศรี)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ 21 ม.ค. 24, 12:22
|
|
(ท่านทูลดังนี้คือท่านกลัวเหมือนเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ หลงเจ้าคุณที่ต้องรับพระราชอาญา ๓๐ ที) ใครทราบบ้างคะ ว่าเรื่องอะไร เดาว่าเจ้าคุณในที่นี้คือเจ้าคุณสี( หรือศรี) อ่านพบที่นี่ ครับ https://www.posttoday.com/politics/327781
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33595
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 22 ม.ค. 24, 10:00
|
|
ขอบคุณค่ะคุณหมอ SILA เสียดายไม่ทราบว่าท่านถูกเฆี่ยน 30 ทีเพราะไปทำอะไรผิดกับเจ้าจอมมารดาสีเข้า แต่เดาว่าก็คงลอบพบปะกัน แบบเดียวกับเจ้าฟ้าบุญรอด แล้วผู้ใหญ่จับได้ ย้อนกลับมาเรื่องพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ กับคุณจอมแว่น หรือ "เจ้าคุณเสือ" โปรดสังเกตว่า คุณจอมไม่ได้ใช้ราชาศัพท์กับพระเจ้าอยู่หัว แม้แต่เวลาเรียกในฐานะบุรุษที่ 2 ก็เรียกเพียง "ขุนหลวง" แม้แต่การเรียกพระนามเจ้าฟ้า ก็เรียกอย่างคนธรรมดา แสดงว่าคุณจอมแว่นเรียกอย่างคนในครอบครัว ต่อเนื่องมาจากสมัยธนบุรี เมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก แต่แทนที่จะเรียกว่า "เจ้าคุณ" อย่างคุณหญิงนาคเรียก ก็ยกขึ้นสูงตามฐานะในปัจจุบัน คือ "ขุนหลวง" การที่คุณจอมแว่นเรียกเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ว่า "พ่อฉิม" และเรียกเจ้าฟ้าบุญรอดว่า "แม่รอด" ก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าใครอยู่ในฐานะที่น่าเกรงใจมากกว่ากัน เจ้าฟ้าหรือพระสนมเอก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33595
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 22 ม.ค. 24, 10:32
|
|
ในเรื่องบรรยายว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงสดับดังนั้นก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก จึงรับสั่งถามว่าท้องกับใคร คุณเสือจึงทูลว่าจะมีใครเล่า พ่อโฉมเอกของขุนหลวงนั่นซิ คำว่า "พ่อโฉมเอก" หมายถึงผู้ชายรูปหล่อมากๆ สมัยนี้คงจะตรงกับ "โคตรหล่อ" พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชโอรสรูปงามอยู่ 2 พระองค์ คือเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร และเจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์(ต่อมาเลื่อนขึ้นเป็นกรมหลวง) พอได้ยินคำว่า "โฉมเอก" ก็ไม่แน่พระทัยว่าองค์ไหนที่ไปก่อเรื่องขึ้นมา รับสั่งถามว่าคนใหญ่หรือคนเล็ก คุณเสือจึงทูลว่า "พ่อฉิมนั่นแหละเจ้าค่ะ" และทูลต่อไปว่า "น่ารักน่าชมสมกันจริงๆ มีลูกมีเต้าออกมาจะอุ้มจะชูก็ไม่น่ารังเกียจ ขุนหลวงอย่ากริ้วหนา" ทั้งๆทรงรับปากว่าจะไม่พิโรธ แต่พอรู้คำตอบก็พิโรธเป็นฟืนเป็นไฟ รับสั่งว่า " มึงเห็นดีไปคนเดียวเถิดซิ พี่น้องเขาอยู่ออกเปนก่ายเปนกอง เขาไม่รู้เขาก็จะว่ากูสมรู้ร่วมคิดเปนใจให้ลูกมาข่มเหงเขา อนึ่งทำดูถูกเทวดารักษารั้ววังไม่มีความเกรงกลัว ถ้าจะรักใคร่กันก็บอกกล่าวผู้ใหญ่ให้เปนที่เคารพนบนอบแต่โดยดี นี่ทำบังอาจเอาแต่ใจ ไม่คิดแก่หน้าผู้ใด"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33595
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 22 ม.ค. 24, 10:51
|
|
"พี่น้องเขาอยู่ออกเป็นก่ายเปนกอง เขาไม่รู้เขาก็จะว่ากูสมรู้ร่วมคิด เป็นใจให้ลูกมาข่มเหงเขา" กรมพระศรีสุดารักษ์ ผู้เป็นพระพี่นางและเจ้าขรัวเงินพระสวามี สิ้นชีพไปแล้วทั้ง 2 องค์ แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าก็ยังเกรงพระทัยพระเจ้าหลานเธอที่เป็นพระโอรสในพระพี่นางอีก 3 องค์ ได้แก่เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์(ต้นราชสกุลเทพหัสดิน) เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี (ต้นราชสกุลมนตรีกุล) และเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ (ต้นราชสกุลอิศรางกูร) ทั้ง 3 องค์ล้วนแล้วแต่เป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ พระชันษาก็อยู่ในวัยผู้ใหญ่ มีพระจริยาวัตรเป็นที่น่านับถือกันทั้ง 3 องค์ ไม่เคยทำอะไรเสียหาย จนเป็นเรื่องน่าตำหนิได้ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าทรงเกรงว่า พระราชโอรสทรงทำผิดราชประเพณีร้ายแรงเช่นนี้ เจ้าฟ้าหลานน้าทั้ง 3 องค์จะหาว่าพ่อรู้เห็นเป็นใจกับลูก ปล่อยให้ลูกชายมาล่วงละเมิดเจ้าฟ้าหญิงที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ก็จะแค้นเคืองกล่าวโทษมาถึงพระองค์เอาได้ ส่วนข้อหารองลงมาคือ "ทำดูถูกเทวดารักษารั้ววังไม่มีความเกรงกลัว ถ้าจะรักใคร่กันก็บอกกล่าวผู้ใหญ่ให้เป็นที่เคารพนบนอบแต่โดยดี นี่ทำบังอาจเอาแต่ใจ ไม่คิดแก่หน้าผู้ใด" ข้อนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน ว่าทำไมเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรซึ่งก็เคยโดนพระราชบิดาสั่งเฆี่ยนหลังลายมาแล้วเรื่องผู้หญิง ยังไม่เข็ด ยังเสี่ยงลักลอบรักใคร่กับลูกพี่ลูกน้องถึง 2 ปี ทั้งๆกว่าจะรักกันได้ก็ทุลักทุเลอยู่ไม่น้อย ทำไมไม่ใช้วิธีง่ายกว่านี้คือกราบบังคมทูลพระราชบิดา ขอให้สู่ขอเจ้าฟ้าบุญรอดมาเป็นพระชายาเอก พี่น้องเจ้าฟ้าบุญรอดหรือจะกล้าขัดพระเจ้าอยู่หัว เสกสมรสกันไปแต่แรกน่าจะง่ายดายกว่า ดิฉันเดาว่าน่าจะเป็นพระนิสัยศิลปินของพระองค์ท่าน คือไม่ชอบอะไรที่เรียบร้อยอยู่ในกรอบ เพราะทรงมีหม่อมห้ามมากมายหลายคนแล้ว ล้วนแต่ได้มาด้วยวิธีถูกต้องตามประเพณี จนไม่มีความตื่นเต้น แบบนี้กว่าจะพบกันได้แต่ละที มันยาก มันเสี่ยง ก็เลยยิ่งเป็นรสชาติให้ความรักแน่นแฟ้นขึ้นกว่าหม่อมทุกคนที่ผ่านมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Rattananuch
อสุรผัด
ตอบ: 37
|
ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อ 22 ม.ค. 24, 12:48
|
|
ขอถามถึงคู่รองหน่อยค่ะ กรมหลวงพิทักษ์มนตรีก็ยังส่งของบรรณาการแทนรักแก่กรมหลวงศรีสุนทรเทพตลอดเวลาสองปีนี้โดยมิได้กราบบังคมทูลสู่ขอกรมหลวงฯจากพระพุทธยอดฟ้าฯเลยหรือคะ ซึ่งถ้าท่านทำ..ความก็คงแตกโพละนานแล้ว และถ้าไม่ได้ทำอะไรนอกจากส่งบรรณาการ..ท่านก็ช่างใจเย็นแท้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33595
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 22 ม.ค. 24, 18:30
|
|
ในต้นฉบับไม่ได้เล่าต่อว่า คู่รองลงเอยกันอย่างไรค่ะ ความแตกหรือไม่ ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน แต่เดาว่าก็คงเจ๊ากันไป เพราะเมื่อเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นว่าเจ้าฟ้าบุญรอดทรงพระครรภ์ พระเชษฐาคือเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์กริ้วเป็นไฟไหม้ป่า (เดี๋ยวจะเล่าต่อไปค่ะ) ถ้าเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพมนตรีจะขอผู้ใหญ่ไปสู่ขอ ผู้ใหญ่นั้นก็มีแต่พระเชษฐา ท่านก็ชังเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเอามากมาย คงไม่อยากได้น้องสาวฝ่ายนั้นมาเป็นน้องสะใภ้ อีกทางที่เป็นได้คืออาจมีการทาบทามแล้วเจ้าฟ้ากรมขุนศรีสุนทรเทพปฏิเสธ เรื่องจึงเงียบกันไป เจ้าฟ้ากรมขุนศรีสุนทรเทพสิ้นพระชนม์เมื่อพ.ศ. 2351 คือ 7 ปีนับแต่ความแตก ก็เป็นอันว่าจบเรื่องกันแต่เพียงนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|