เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: NAVARAT.C ที่ 27 พ.ค. 10, 10:30



กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 พ.ค. 10, 10:30
ผมขอจบเรื่อง “อดีตชาวสยามผู้ถูกยกย่องให้เป็นบิดาของประเทศมาเลเซีย” ไว้ ณ ตรงนี้

ขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยเปิดกระทู้สืบเนื่องในประเด็นที่เราติดใจจะคุยกันต่อ
ว่าด้วยเรื่อง “มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย” เป็นประเดิมก่อน ผมจะกลับบ้านตอนบ่ายๆแล้วจะมาช่วยกันต่อครับ
ขอบพระคุณ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ค. 10, 11:03
กระทู้นี้ สืบเนื่องมาจากกระทู้

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3304.0
อดีตชาวสยามผู้ถูกยกย่องให้เป็นบิดาของประเทศมาเลเซีย


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 27 พ.ค. 10, 13:21
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เนื่องมาจากงานที่ต้องทำ ทำให้ผมต้องไปมาเลฯทุกปี เมื่อก่อนนั้นมีคำพูดว่านั่งหลับตาไปในรถ เข้ามาเลฯเมื่อไร เราจะรู้สึกได้เพราะว่าถนนจะเรียบมาก ที่จริงมาเลฯไม่มีอะไรจะงามมากมายนัก เมื่อก่อนคนไทยชอบไป ปีนัง ไปถึงก็แห่กันไปที่ร้านขายของจีนแดง พร้อมทั้งซื้อทีวี วิทยุ เครื่องปั่น มาใช้มั่ง มาขายต่อมั่ง ต่อมาก็แห่กันไปเก็นติ้ง ไปทำไม ท่านก็คงทราบดี เห็นแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาเหมือนกัน แต่ขอไม่กล่าวถึง (ต่อมาคนไทยก็แห่กันไปสิงค์โปร์ ซึ่งไม่อยู่ในกระทู้นี้) ถ้าผมจำไม่ผิดมาเลฯเขาเจริญทีหลังเรา แต่ผมว่าตอนนี้เขาไปเกินหน้าเราแล้ว ผมเคยโดนเนรเทศไปแดนไกล ที่นั่นมีเพื่อนที่รักกันมากเป็นมาเลฯ เวลาผมจัดเลี้ยง"Thailand night"ผมก็จัดที่บ้านเขานี่ ผมสังเกตุว่าคนมาเลฯ เคร่งเรื่องศาสนา และเพราะเขาเคร่งจริงๆไม่ใช่เป็นพุทธมามก(เขียนไม่ถูกครับ ขอโทษท่านที่มาจากสีเทาด้วยครับ) ตามทะเบียน เขาจึงน่ารัก น่าคบ ตลอดเวลาที่ขึ้นล่องมาเลฯผมไม่เคยเจอพวก"แหกตา"ขายของ ครับผม แค่นี้ก่อนนะครับ
มานิต


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ค. 10, 14:37
 เห็นด้วยกับคุณมานิตค่ะ   มาเลเซียพัฒนาประเทศได้เร็วมาก   การวางผังเมืองและการดูแลเมือง แม้แต่เมืองเล็กๆอย่างมะละกา   ทำได้สะอาดเรียบร้อยเป็นระเบียบ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 พ.ค. 10, 21:28
คุณมานิตเข้ามานำคุยเรื่องเบาๆ ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าผมควรจะเริ่มต้นอย่างไร


เมื่อปี2504 บูรพาจารย์คนสำคัญของผม พระยาภะรตราชา ท่านผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยได้ริเริ่มการแข่งขันรักบี้แบบเหย้าเยือนผลัดกันคนละปี กับ”อีตันแห่งมาเลเซีย” เดอะมาเลย์คอลเลจ ครั้งกระนั้น มิสเตอร์เนล ไรอัน ชาวอังกฤษยังเป็นอาจารย์ใหญ่ โดยปีแรกพวกมาเลย์มาเป็นแขกที่โรงเรียนเราก่อน ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองโรงเรียนได้ช่วยกันจรรโลงรักบี้ประเพณียั่งยืนมาจนถึงพ.ศ.นี้ แถมสิบยี่สิบปีมาแล้วที่นักเรียนเก่าตามมาเชียร์รักบี้แล้วแบกถุงกอล์ฟมาชวนเล่นกัน จนกลายเป็นกอล์ฟประเพณีระหว่างเพื่อนสองสมาคมไปอีก ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์ของการมองการณ์ไกลของบรมครูทั้งสอง จึงมีเพื่อนชาวมาเลย์แยะ ท่านผู้บังคับการกล่าวว่า วันหนึ่งพวกเธอจะได้รับประโยชน์จากการนี้ และบางทีพวกเธอจะทำให้ประเทศชาติได้รับประโยชน์ด้วย


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 พ.ค. 10, 21:31
วันที่ท่านกล่าวบนหอประชุมนั้น ผมยังเด็กอยู่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมาก จบจากโรงเรียนไปหลายปีวันหนึ่งได้ทราบข่าวว่า มีเพื่อนรุ่นพี่ที่ไปเป็นตำรวจชายแดนอยู่รอยต่อมาเลเซียเขียนจดหมายมาถึงท่านผู้บังคับการ และท่านนำไปอ่านให้เด็กฟังบนหอประชุมว่า (สมัยนั้นพวกโจรจีนคอมมิวนิสต์ และพวกขบถแบ่งแยกดินแดนได้ช่วยกันป่วนทำให้เกิดข้อขัดแย้งตามแนวชายแดนระหว่างรัฐบาลไทยและมาเลย์เซียหลายครั้ง คล้ายๆกับที่เกิดตามชายแดนเขมรปัจจุบัน)..เมื่อเกิดการกระทบกระทั่งนี้ขึ้น ผู้บังคับบัญชาของทั้งสองฝ่ายตกลงจะให้นายทหารชั้นผู้น้อยไปเจรจากันก่อนว่าจะเอาอย่างไร รุ่นพี่ของผมตอนนั้นเป็นแค่ร้อยตำรวจโท นายสั่งให้นัดอีกฝ่ายไปเจอกันในที่เกิดเหตุ  พอนั่งประชุมกันได้สักครู่ หัวหน้าฝ่ายมาเลย์นั่งจ้องหน้าเขาแล้วถามว่า เอ๊ะ.นี่เราเคยเล่นรักบี้กันหรือเปล่า เท่านั้นเอง ความตึงเครียดก็พลันมลายหาย เรื่องที่คุยกลายเป็นเรื่องเก่าๆสมัยเป็นนักเรียน ส่วนเรื่องที่กำลังจะเป็นเรื่องก็จบกันอย่างง่ายๆ และผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็พอใจ…เขาจึงอยากจะเขียนเรื่องนี้มาเรียนท่านผู้บังคับการให้รับทราบไว้ ว่าความหวังของท่านนั้นเริ่มเป็นความจริงแล้ว


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 พ.ค. 10, 21:34
ต่อมาผมได้ยินเรื่องทำนองนี้อยู่บ่อยๆ แต่ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าครั้งแรก มีนักเรียนเก่าวชิราวุธที่รับราชการอยู่ทางภาคใต้ได้มีบทบาทเงียบๆจนเป็นดาโต๊ะหลายคน แต่ไม่ยอมโม้ว่าได้มาอย่างไร ข้อเคลือบแคลงของฝ่ายไทยว่ารัฐบาลมาเลเซียรู้เห็นเป็นใจให้ขบถแบ่งแยกดินแดนใช้พื้นที่ฝั่งโน้นเป็นฐานก็หมดไปพร้อมๆกับข้อกล่าวหาว่าไทยเลี้ยงพวกโจรจีนคอมมิวนิสต์ไว้เตะตัดขามาเลเซีย เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันเข้าปราบปรามกองกำลังของจีนเป็งอย่างหนัก เริ่มต้นในปี 2527 ใช้ทั้งรถหุ้มเกราะ เรือรบยามฝั่ง และเครื่องบินทิ้งระเบิด ที่ต้องทุ่มขนาดหนักเพราะพวกนี้ได้ประเทศมหาอำนาจแดงหนุนหลัง จนถึงปี2532 จึงยุติกันได้ในที่สุดก็เพราะนโยบายการเมืองนำการทหาร ด้วยการเสนอให้สัญชาติไทยกับคนพวกนี้แลกกับการวางอาวุธเข้ามาร่วม”พัฒนาชาติไทย” ของอดีตขงเบ้งกองทัพบก

พ.ศ.นี้คอมมิวนิสต์ตัวลูกบางคนก็ยังพยายามพัฒนาชาติไทยให้เป็นสังคมนิยมอยู่ แต่ไม่ทราบว่าท่านจัดให้อยู่ในกลุ่มแดงแท้หรือแดงเทียม


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 พ.ค. 10, 21:42
โจรจีนคอมมิวนิสต์นี้ เกิดจากชนชั้นไพร่ต่ำสุดของมลายู เพราะเป็นคนจีนโพ้นทะเลที่อังกฤษเอาเข้ามาบ้าง อาศัยเรือสำเภาหอบเสื่อผืนหมอนใบจากบ้านเกิดมาตายดาบหน้าบ้าง คนพวกนี้เริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นกุลีในเหมืองแร่ แล้วขยับขยายไปทำการค้า จากหาบเร่จนกลายเป็นเถ้าแก่ไปหลายคน ส่วนชาวมาเลย์เป็นชาวไร่ชาวนาไม่ชอบเป็นกรรมกร อย่างอื่นไม่ถนัด ครั้งหนึ่งสัดส่วนประชากรคนจีนจึงมากกว่าคนมาเลย์ด้วยซ้ำ แต่หลังจากรวมรัฐทั้งสามในเกาะบอร์เนียวมาแล้ว คนจีนจึงได้กลายเป็นคนส่วนน้อย เมื่อเป็นอย่างนี้คนมาเลย์เองก็ต้องกลัวคนจีน แต่ภายใต้สมัยอาณานิคม อังกฤษใช้วิธีวิธีการแบ่งแยกแล้วปกครองอย่างได้ผล

ชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์จีนบนผืนแผ่นดินใหญ่ทำให้น้ำเลี้ยงไหลมาป้อนชนชาวจีนที่ถูกกีดกันจำกัดสิทธิ์จนต้องจัดตั้งองค์กรขึ้นเรียกร้องความยุติธรรมได้มากขึ้น แต่ก่อนหน้านั้น สงครามจีนกับญี่ปุ่นทำให้น้ำเลี้ยงขาดหาย เลยกลับกลายเป็นฝ่ายอังกฤษเสียเองที่ติดอาวุธให้คนจีนหัวรุนแรงเหล่านี้ จนสามารถจัดทัพเข้ารบสงครามกองโจรอันเป็นยุทธวิธีที่เหมาเจ๋อตุงคิดขึ้น พอสงครามสงบ อังกฤษยกย่องทหารป่าเหล่านี้มากถึงขนาดตั้งหนุ่มน้อยจีนเป็งให้เป็นท่านเซอร์ (คงจะปลดออกตอนหลังที่คุยกันไม่รู้เรื่อง) พวกทหารป่าเหล่านี้กลายเป็นขวัญใจคนจีนทั่วไป แม้แต่พวกเถ้าแก่ที่เคยสนับสนุนฝ่ายไต้หวัน เพราะเป็นความหวังที่จะต่อรองผลประโยชน์กับคนมาเลย์เจ้าถิ่นได้ดีขึ้น แทนที่จะใช้แป๊ะเจี๊ยะปูทางอย่างเดียว


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 พ.ค. 10, 21:46
ฝ่ายคนมาเลย์ก็กลัวเป็นที่สุดว่าหลังจากสงครามสงบแล้วอังกฤษอาจยกฐานะคนจีนขึ้นเพื่อประโยชน์ของอังกฤษที่จะปกครองมลายูต่อไป บังเอิญแนวโน้มของทั่วโลกหลังสงครามหลักยุติ อาฟเตอร์ช็อคที่ตามมาคือสงครามกองโจรที่ประเทศเมืองขึ้นทั้งหลายเอาอาวุธสงครามที่เหลืออยู่อื้อ มายิงใส่เจ้าอาณานิคมของตนเพื่อเรียกร้องเอกราช ฝรั่งเศสโดนก่อนเพื่อน อินโดนีเซียก็เริ่มขับไล่พวดดัชท์ อังกฤษก็ชักมีปัญหาหนักในอียิปต์และอินเดีย จึงถอดใจที่จะรักษาไว้อย่างเดิม แต่ต้องวางฟอร์มสุภาพบุรุษเสียหน่อย บอกจะให้เอกราชเมืองขึ้นของตน แต่มีข้อแม้ว่าจะให้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และโดยสันติวิธี ลึกๆคือทำอย่างไรจึงจะรักษาผลประโยชน์ที่ลงทุนไปแล้วให้มีค่าต่อไปได้ แม้มิใช่ฐานะจ้าวนายจะเป็นแบบเพื่อนก็ได้


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 พ.ค. 10, 21:50
กลุ่มผลประโยชน์ฝ่ายมาเลย์ที่ใหญ่ยิ่งและยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือพวกสุลต่านเจ้านครรัฐต่างๆ  เมื่ออังกฤษแสดงเจตนารมณ์ชัดว่าจะให้เอกราชแน่ แต่เมื่อไหร่และเงื่อนไขใด เท่านั้นทำให้พวกนี้นอนไม่หลับ กลัวจะต้องเปลี่ยนสถานะ หากเลวร้ายหนัก รัฐของตนเองถูกกองกำลังของจีนเป็งยึดไปก่อนได้ จะมิต้องกลายเป็นรัฐแดงไปหรือ บังเอิญอังกฤษก็ไม่ชอบคอมมิวนิสต์อยู่เหมือนกัน จึงระดมสรรพกำลังเข้ามาปราบจีนเป็งจนต้องย้ายนิวาสถานมาอยู่บนเทือกเขาบูโดในเขตของไทย ทิ้งศพไว้เกลื่อนป่า คนจีนหมวกแดง(ที่นั่นเขาใส่แค่หมวกหนีบ เพราะถอดซ่อนง่ายไม่เหมือนเสื้อ)ก็เลยหลบลงดิน ตอนหลังกฎหมายยอมให้ตั้งพรรคการเมืองได้ ก็รวมตัวจัดตั้งเป็นพรรคกรรมกร ส่วนพรรคคอมมิวนิตส์หัวเด็ดตีนขาดฝ่ายมาเลย์ก็ยอมให้เป็นพรรคที่ถูกกฎหมายไม่ได้ ก็เล่นจะไปล้มสถาบันศาสนา และสถาบันสุลต่านที่ผูกพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นของเขาได้อย่างไร หากไม่ข้ามศพของพวกเขาไปก่อน


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 พ.ค. 10, 22:38
ผมปูพื้นมาถึงการเมืองของมาเลเซียทีนำด้วยกลุ่มมาเลย์แท้อันมีเหล่าอำมาตย์ ได้แก่พวกสุลต่านเจ้าขุนมูลนายเจ้าของทรัพยากรแผ่นดินทั้งหลาย และบุคคลชั้นสูงของสังคมผู้อยู่แวดล้อมเป็นแกนนำ แต่มีฐานเสียงที่เป็นคนมาเลย์รากหญ้าอย่างแน่นหนา เพราะมีกฎหมายเอื้ออำนวยผลประโยชน์ให้ในฐานะภูมิบุตร และเหนือสิ่งอื่นใด คือความเป็นมุสลิมด้วยกัน กลุ่มนี้มีปัญญาชนที่พยายามเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสรรผลประโยชน์เป็นตัวคานอำนาจพวกสุลต่าน ในบางรัฐสามัญชนเหล่านี้มีฐานะทางการเมืองแข็งกว่าสุลต่านเสียอีก

อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มคนจีน กลุ่มแขกกลุ่มสยามไม่นับเพราะมีสัดส่วนประชากรน้อยไปจนไม่เป็นสาระ กลุ่มนี้เองก็แบ่งออกเป็นสองพวก คือพวกที่ไม่อยากยุ่งกับการเมือง ทำมาหากินไปตามประสาดีกว่า สบายกว่า กับอีกพวกหนึ่งคือพวกที่ได้น้ำเลี้ยงจากต่างประเทศมาจัดตั้งมวลชน หวังจะใช้กำลังเป็นเครื่องต่อรองผลประโยชน์จากกลุ่มมาเลย์ให้มากขึ้นหรือมากที่สุด พวกซ้ายจัดนี้เรียกว่าพวกหมวกแดง หากสงครามประชาชนเกิดขึ้น และหากหมวกแดงชนะ ประเทศใหญ่ที่ต่อท่อน้ำเลี้ยงมาให้จะได้อะไร ผมไม่ทราบ ท่านก็เดาเอาเองก็แล้วกัน

ตอนกองกำลังโจรจีนแดงของจีนเป็งถูกสลายจากมาเลเซีย ถือเป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรก ขณะที่คนจีนฝ่ายซ้ายยังแดกกระสานซ่านเซ็นรวมตัวกันไม่ติด คนจีนที่ผูกใจว่าด้อยโอกาสทางสังคมจึงฝากความหวังไว้กับพรรคสมาคมคนจีน ที่พรรคอำมาตย์ชวนไปร่วมพันธมิตร โดยหัวหน้าพรรคทั้งสองฝ่ายเดินทางไปอังกฤษด้วยกันเพื่อเจรจาเงื่อนไขที่อะไรจะเป็นอะไร หลังการประเทศได้รับเอกราช




กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 28 พ.ค. 10, 01:35
อ่านถึง คคห ที่ 5 แล้ว ผมออกอาการเสียดายมากๆครับ
ตัวผมเอง สมัยเรียนหนังสือชั้นมัธยม

มีเพี่อนจาก กัวลากังสา มาเยือนให้ทำความรู้จักตั้งหลายคน
ตัวผมเองก็ดันพูดมาเลย์ได้งูๆปลาๆ ในตอนนั้น เลยทำให้เพื่อนจากมาเลย์คอลเลจ ชอบคุยกับผมมากกว่า

แต่หลังจากจบแล้วก็ไม่ได้ติดต่อกัน

ทุกวันนี้ มีงานมีการที่ต้องไปเยือน กัวลาลัมปูร์ ปีหนึ่งๆก็เกือบสิบครั้ง
หัวเมืองอื่นๆประปราย

ยังมานั่งคิดว่า ตั้งแต่ท่านอดีตรองนายกฯ ถูกสกัดกั้นจากการเมืองแล้ว
เพื่อนเราชาวกัวลากังสา จะได้กลับมารุ่งในวงราชการหรือเปล่า
แต่ก็ไม่มีข่าวคราว

ปัจจุบัน ก็เลยเหลือแต่เพื่อนมาเลย์เชื้อสายจีน ที่ติดต่อกันแต่เรื่องธุรกิจ

ปล. เมื่อเดือนก่อนได้ไปประชุมที่ ชาหอะลาม เห็นได้ชัดเจนว่า นโยบายของมาเลย์เซีย
ไม่ได้มุ่งพัฒนาให้เจริญเฉพาะที่ KL หรือ PJ เท่านั้น แต่เริ่มกระจายออกไปยังหัวเมืองเอกของรัฐต่างๆแล้ว
และที่เห็นได้ชัดคือ การเนรมิต ต้นไม่ใหญ่อายุหลายสิบปี ตามถนนหนทาง
ถามเพื่อนชาวมาเลย์แล้ว เขาบอกว่า เขายอมเลือกต้นไม้ใหญ่ริมถนน แล้วจ่ายค่าเอาสายไฟลงใต้ดิน
ในขณะที่บ้านเราเลือกเอาสายไฟไว้ แล้วคอยเล็มหรือตัดต้นไม้ไปเรื่อย เพราะกลัวมันจะทำไฟฟ้าลัดวงจร
จะเอาลงดิน ก็หลายตัง เอางบไปขูดผิวหน้าถนน แล้วลาดยางใหม่ดีกว่า

อุ๊บส์  ขออภัย ที่ขัดจังหวะซะยาวเลยครับ
รอท่านอื่นๆ ว่าบ้างดีกว่า


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 พ.ค. 10, 07:38
อันวาร์ อิบราฮิม(ผมฟังพวกมาเลย์ออกเสียงว่าอันนัวร์) เป็นนักเรียนเก่ามาเลย์คอลเลจ ขึ้นไปสูงสุดถึงรองนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่ง ข่าวว่าท่านมหาธีร์รักเหมือนลูกหมายมั่นปั้นมือให้เป็นทายาททางการเมืองขึ้นดำรงตำแหน่งนายกคนต่อไป  พวกมาเลย์คอลเลจภูมิใจมาก สมัยนั้นเป็นยุคทองของเขา ปกติในคณะรัฐมนตรีใดก็ตามจะมีนักเรียนเก่าเดอะมาเลย์ร่วมอยู่ด้วยหลายๆคน แต่สมัยที่ว่านี้มีกว่าครึ่ง ทุกวันพุธพวกนักเรียนเก่าเดอะมาเลย์ทั่วไปจะผูกเนคไทสัญญลักษณ์โรงเรียนของเขาแสดงความรักโรงเรียนอยู่แล้ว ท่านมหาธีร์คงไม่ได้สังเกตุ แต่บังเอิญวันพุธนึง ท่านเกิดเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีย์พิเศษ พอนั่งครบท่านจึงเห็นแล้วออกอาการหงุดหงิดทันที นี่พวกคุณจะมาประชุมสมาคมนักเรียนเก่ากันรึไง..ทำเอาทุกคนต้องถอดเนคไทออกจากคอด้วยอาการขวยเขิน

ตอนเกิดภาวะเศษฐกิจต้มยำกุ้งลุกลามไปจากเมืองไทย ท่านมหาธีร์ท่านประกาศท่าทีเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายว่าจะไม่กู้IMFเด็ดขาด เสียงสะท้อนจากเพื่อนร่วมชาติก็แตกเป็นสองฝ่าย ควรกู้กรือไม่ควร นายอันวาร์อยู่ใกล้ตัวแท้ๆแต่กลับคัดค้านท่านว่ามาเลเซียจะไปไม่รอดหากไม่กู้IMF ค้านในพรรคไม่สำเร็จก็ออกไปพูดข้างนอก สื่อก็ขายข่าวกันสนุก ท่านมหาธีร์ท่านก็แน่ ประกาศปลดนายอันวาร์กลางอากาศทันที แทนที่จะหยุด นายอันวาร์ก็ไม่หยุด คราวนี้เลยถูกยัดข้อหาอุบาทว์ไปข้อหาหนึ่ง สื่อก็รุมขม้ำเป็นภักษาหารฉาวโฉ่ป่านนี้ยังไม่จบดี

ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าตนอับดุล ราซักนายกรัฐมนตรีต่อจากตวนกูอับดุล เราะห์มัน ก็เป็นมาเลย์ดอลเลจเก่า คนนี้จะมีบทขยายในเรื่องของผมข้างหน้า แต่คุณไม่ต้องกลัวว่านักการเมืองสายมาเลย์ คอลเลจจะขาดตอน ช่วงนายอันวาร์มีอันเป็นไป พวกนี้โดนหางเลขเข้าไปจนฝ่อเหมือนกัน แต่ขณะนี้เริ่มกลับมาใหม่แล้ว จับตาดูแลต ชาริมาน อับดุลลาห์ไว้ให้ดี คนนี้เป็นหลานตนกูอับดุล เราะห์มานยายเป็นน้องแท้ๆ แนะนำตนเองกับผมว่า”พมเปนคนทาย” ครั้งหนึ่งเคยขอให้ผมหาว่าญาติของเขาในเมืองไทยนามสกุลอะไร ผมกลับมาค้นอยู่นาน ตอนนั้นยังไม่มีอินเทอเน็ตทุ่นแรง พอได้ความแล้วครั้นไปเชียร์รักบี้ตีกอล์ฟประเพณีที่มาเลย์ ปีนั้นบังเอิญคุณดุสิต นนทนาครได้เป็นนายกสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธคนใหม่นำคณะไป ผมเลยทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำให้ญาติได้รู้จักญาติ ครั้งสุดท้ายเจอหนุ่มแลตที่เมืองไทยเมื่อปีที่แล้ว เขาให้นามบัตรผมมีบรรดาศักดิ์เป็นดาโต๊ะแล้ว เพื่อนๆบอกว่าเขากำลังรุ่งทางการเมือง

ผมไม่ได้ตั้งใจจะเอาเรื่องสถาบันมาเขียนดอกนะครับ แต่เห็นว่าที่เล่าให้ฟังน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ อย่างน้อยก็ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านสองชาติ ที่ท่านตนกู อัดนันอดีตนายกสมาคมนักเรียนเก่าเดอะมาเลย์คอลเลจกล่าวในการประชุมร่วมกันครั้งหนึ่งว่า Thailand and Malaysia, we are so near yet too far.


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 พ.ค. 10, 08:01
บ้านเมืองในมาเลเซียก็อย่างที่ทุกท่านแสดงความเห็น แต่ผมตะลอนๆนั่งรถไปตามชนบท หมู่บ้านทั่วไปที่เขาเรียกว่ากำปง ห้าหกปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็ยังสกปรก ขยะนึกจะทิ้งก็ทิ้ง ถุงพลาสติกเกลื่อนทั้งๆที่เมืองใหญ่ๆสอาดสอ้าน โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว เพื่อนมาเลย์มาเมืองไทย เห็นชนบทไทยแล้วอดชื่นชมไม่ได้ว่าสะอาดกว่าของเขาเยอะ อันนี้ผมขอชมโครงการหมู่บ้านน่าอยู่ ไม่ทราบผู้ใดริเริ่มไว้ แต่ชาวบ้านมีหน้าที่รักษาแนวรั้วบ้านให้น่าดู ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ เก็บกวาดขยะไปทิ้ง(ซึ่งก็ยังมีพวกมักง่าย ชอบทิ้งขยะออกมานอกรถอยู่ดี) จัดการประกวดประขันชิงรางวัลกันในระดับท้องถิ่น ดีมากเลย

ในเมืองเราก็ดีขึ้นแยะนะครับ ยกเว้นเรื่องสายไฟกับสายโทรศัพท์ที่เป็นขยะลอยฟ้า แต่ท่านที่บ่นเรื่องนี้ถ้าได้เห็นฮานอยแล้วคงจะปลงได้ว่า ถึงอย่างไรเราก็ไม่ได้อยู่อันดับเลวร้ายที่สุดของอาเชี่ยน


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 พ.ค. 10, 21:22
ยังค้นหาโฟลเดอร์มะละกาที่ถ่ายไว้ไม่เจอ     เลยไปขอยืมรูปที่คุณรตาถ่ายไว้ตอนไปเที่ยวมะละกามาให้ดูกัน
เคยนั่งเรือล่องคลองนี้เหมือนกันค่ะ   ชอบเทศบาลของเขามาก


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ค. 10, 08:03
มาดึงกระทู้ไม่ให้ตก    ด้วยการเอารูปมะละกาที่หาได้จากกูเกิ้ลมาให้ดู    รูปที่ถ่ายไว้ยังหาไม่เจอ
หรือต่อให้หาเจอก็คงไม่ได้มุมดีเท่านี้


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ค. 10, 08:07
สามล้อบุปผชาติ กับคลองน้ำสะอาดของมะละกา เป็น ๒ อย่างที่ชอบที่สุด


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 พ.ค. 10, 09:26
ขอบคุณท่านอาจารย์ครับ ที่เอาดอกไม้ใส่สามล้อมาประดับกระทู้นี้ให้ชุ่มชื่น


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 พ.ค. 10, 09:28
ขออนุญาตให้ผมมองมาเลย์ แล้วเหล่เมืองไทยในมุมมองของผมต่อ..

ตอนที่ตนกูอับดุล เราะห์มานได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคอัมโนคนใหม่ มีข้อขัดแย้งระหว่างคนในชาติซับซ้อน ในส่วนของคนมาเลย์นั้น ฝ่ายอำมาตย์น้อยใหญ่ก็ยังต้องการรักษาสถานะของตนเองอย่างเหนียวแน่น ในขณะที่กลุ่มปัญญาชนคนสามัญในพรรคก็พยายามต่อรองเอาอำนาจในการปกครองมาอยู่ในมือให้มากเท่าที่จะได้ ส่วนคนจีนนั้นถูกคนมาเลย์รังเกียจว่าเป็นไพร่ ก็ขัดแย้งกันเองในระหว่างกลุ่มคนมีโอกาส กับคนไม่มีโอกาส  ที่ท่านตนกูได้รับเลือกว่าเหมาะสมกับตำแหน่งทั้งๆที่เป็นเณรในเรื่องการเมือง ก็ด้วยคนกลุ่มใหญ่ในพรรคเห็นว่า ท่านมีลักษณะประนีประนอม และการเป็น“ตนกู”ก็น่าจะทำให้พวกอำมาตย์ด้วยกันเกรงใจ

ดาโต๊ะฮุสเซน ออนพลาดไปจากการเสนอให้คนจีนเข้าพรรคอัมโนได้ ท่านตนกูแก้ด้วยการชวนพรรคเถ้าแก่(สมาคมคนจีน)มาเป็นพันธมิตร  ตอนไปอังกฤษด้วยกันครั้งแรกกับนายตัน ตงไฮ เลขาธิการพรรคสัมพันธมิตร ทั้งคู่นอนโรงแรมห้องเดียวกัน (สมัยโน้นธรรมดาเพราะแปลว่าสนิทสนมกันมาก ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องโดนตั้งข้อสันนิฐานไว้ก่อนว่ามีความเบี่ยงเบนในรสนิยมประการใดบ้างหรือเปล่า) แต่ไม่ได้ล้มเหลวแค่เจรจากับอังกฤษไม่บรรลุผล กลับมาแล้วทั้งคู่ยังโดนข้อกล่าวหาจากฝ่ายของตน ท่านตนกูถูกเพ่งเล็งว่า ยอมให้พวกคนจีนตามที่ขอมากไป (ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาตลอดกาลที่ฝ่ายตรงกันข้ามในพรรคโจมตีท่าน) แต่นายตัน ตงไฮหนักหน่อย เจอข้อหาทรยศต่อกากี่นั้งคนจีน ที่ไปเดินตามก้นอำมาตย์  ที่ตอนหลังของชีวิตยิ่งชัดเพราะตนอับดุล ราซักเปลี่ยนศาสนาให้เป็นคนมุสลิม ชื่อเต็มยศว่าตันศรี มูฮัมมัด ตาเฮียร์  ตัน ตงไฮ

ตอนไปอังกฤษครั้งที่สอง จึงมีคนจีนร่วมคณะไปหลายคน และผู้แทนของสุลต่านรัฐละหนึ่งคน ติดตามไปด้วยเพื่อสังเกตุการณ์ว่าจะไปตกลงอะไรกัน เมื่ออังกฤษตั้งคณะทำงานอิสระเพื่อร่างรัฐธรรมนูญให้สหพันธรัฐมาลายูแล้วเสร็จ กฏหมายภูมิปุตรายังคงอยู่ และระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอการระเบิด


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 พ.ค. 10, 09:31
กฏหมายภูมิปุตราคือผลลัพท์จากการตกลงกันได้ในฝ่ายของพวกมาเลย์เองที่จะประกาศให้ทุกคนรู้ว่า “พวกข้าเท่านั้นนะเว้ย.เฮ้ยพวกเจ้า ที่มีสิทธิ์ พวกเจ้าไม่เกี่ยว” ด้วยกฎหมายนี้ คนเผ่าพันธุ์ที่เกิดในมลายูแท้ๆ รวมทั้งเผ่าเงาะป่า ซาไกที่นับถือศาสนาอิสลาม ถูกนับว่าเป็นบุตรของแผ่นดินเจ้าของประเทศทั้งสิ้น (ต่อมามีการแก้ให้พวกที่อยู่มาดั้งเดิมก่อนคนจีน แม้ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม เช่นชาวสยามที่อยู่ในรัฐตอนเหนือ ก็ถือว่าเป็นภูมิปุตราด้วย แต่ได้สิทธิ์ด้อยกว่าคนมุสลิมหน่อยนึง ถือเป็นภูมิปุตราชั้นสอง นอกนั้นแล้ว คือคนต่างด้าวถือสัญชาติมาเลเซียทั่วหน้าหมด

พวกภูมิปุตรามีสิทธิพิเศษในการถือครองที่ดิน การได้โควต้าเข้าศึกษาในระบบการศึกษาของรัฐ การมีสิทธิ์ซื้อพันธบัตรของรัฐบาล การกู้เงินจากธนาคารภูมิปุตราการมีสิทธิ์เป็นผู้เข้าประมูลในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ หยุมหยิมไปกระทั่งสิทธิ์ในการซื้อรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ

แต่ที่แสบก็คือ การจดทะเบียนการค้าของบริษัทใดๆ จะต้องมีผู้ถือหุ้นเป็นภูมิปุตรา30% และการจัดสรรบ้านและที่ดินภาคเอกชน จะต้องกันไว้10% เพื่อผู้ซื้อที่เป็นภูมิปุตราโดยต้องมีส่วนลดให้7% ด้วย สิ่งเหล่านี้พวกเถ้าแก่เจ้าของบริษัทอาจจะไม่คับแค้นเท่าคนจีนที่ทำมาหากินตัวเป็นเกลียวแต่จำเป็นต้องซื้อบ้านในราคาแพงขึ้น เพราะเท่ากับต้องจ่ายให้คนมาเลย์จำนวนหนึ่ง ซื้อของอย่างเดียวกัน แต่ราคาถูกกว่าไว้ขายทำกำไรในอนาคต การประมูลรับเหมาก่อสร้าง หรือจัดซื้อของในวงราชการ แม้จะเป็นธุรกิจโดยตรงของคนจีน พวกเถ้าแก่ก็ต้องไปวิ่งหาพวกอำมาตย์มาออกหน้าเป็นผู้เข้าประมูลในนาม เหนื่อยแทบตาย อำมาตย์เอาค่าหัวไปเหนาะๆไม่ต้องเสียเหงื่อ เพราะออกแรงแค่ยกหูโทรศัพท์หาคอนเนคชั่น

กฏหมายภูมิปุตราสร้างความพอใจให้กับคนมาเลย์ทุกระดับชั้น เพราะทุกคนได้ประโยชน์หมด ใครกว้างขวางก็ยิ่งสามารถทำเงินได้มาก แต่ก็ไม่ทำให้พวกเถ้าแก่รวยน้อยลง คนจีนเพียงแต่เหนื่อยขึ้นหน่อย แต่คับแค้นใจมากขึ้นเท่านั้นเอง

แต่ว่าก็ว่าเถอะครับ ผมคิดว่ากฏหมายภูมิปุตรานี้มิได้มีเฉพาะในมาเลเซีย ในกลุ่มอาหรับทุกประเทศมีกฎหมายลักษณะเดียวกันนี้มากบ้างน้อยบ้างกว่ากันเท่านั้นเอง ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ผมไปมีประสพการณ์อยู่บ้างนั้น คนอาหรับทั้งประเทศมีไม่ถึง15%ของจำนวนประชากร นอกนั้นเป็นผู้อยู่อาศัย ไม่มีสิทธ์เสียงทางการเมืองการปกครองอย่างใดทั้งสิ้น คนอาหรับมีอาชีพแค่เป็นทหาร ตำรวจผู้ถืออาวุธ หรือรับราชการระดับนาย พนักงานในกรมกองว่าจ้างชาวต่างชาติหมด คนอาหรับถ้าไม่ได้รับราชการก็นอนอยู่กับบ้าน รับจ็อบเป็นผู้อุปถัมภ์บริษัท (ตามกฏหมายใช้คำว่า sponsor) ที่ชาวต่างชาติมาทำธุรกิจทุกชนิดจะต้องมี1คนตามกฏหมาย  โดยจะต้องจ่ายส่วนแบ่งกำไร อย่างน้อย10%ให้สปอนเซอร์

ผมมั่นใจว่าคนอังกฤษนั่นแหละที่เป็นคนคิดแม่บทกฏหมายอันนี้ขึ้นมาให้พวกเมืองขึ้นของตนเอาไปดัดแปลงเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 พ.ค. 10, 09:37
จะว่าไป ทุกประเทศก็มีกฏหมายว่าด้วยการทำธุรกิจของคนต่างด้าวในทำนองเดียวกันนี้ ในประเทศไทยก็มี แต่ทำไมจึงไม่เกิดความขัดแย้งเช่นกรณีย์ของมาเลย์
หากคนชาติใดก็ตามไปรวมกลุ่มกันมากๆผิดฐานถิ่น  ก็มีโอกาสเกิดทะเลาะเบาะแว้งกับเจ้าถิ่นถึงเลือดตกยางออกได้  ในประวัติศาสตร์ไทยก็มีกบฎมักกะสัน ช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ที่มุสลิมอินโดโดนทหารปราบเรียบ หรือคนจีนอพยพในสมัยรัตนโกสินทร์จัดตั้งกลุ่มอั้งยี่ เป็นที่หนักอกหนักใจแก่เจ้าของบ้าน ถึงต้องออกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำในลักษณะอั้งยี่ ร.ศ.116 มาปราม หนักเข้าก็ต้องปราบกันแรงๆ ทั้งกรุงเทพและหัวเมืองที่มีคนจีนไปอยู่มากๆ คนจีนถูกฆ่าตายเป็นเบือเหมือนกัน

คำว่าอั้งยี่เป็นภาษาจีนที่ราชการรับมาเป็นภาษาไทย เป็นสมาคมลับที่กลายพันธุ์มาจากสมาคมหงเมิน ใครอยากทราบว่าคนจีนอพยพไปอยู่ที่ไหนแล้วเจ้าของบ้านเขาจะต้องหนักใจเพียงใดก็ให้เข้าไปดูในเวปนี้

http://www.thaichinese.net/thaichineseblog/hongmen/

จุดต่างที่วิเศษทำให้เราไม่เหมือนมาเลเซียก็คือ วัฒนธรรมของชาวสยามแต่ไหนแต่ไรมามิได้รังเกียจคนต่างชาติที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสัมภาร กระทั่งพวกเชลยศึกที่กวาดต้อนมาก็เถอะ พวกนี้ไม่ได้ถูกเอามาเป็นทาส แต่เอามาเป็นพลเมืองสยาม ดังนั้นเพียงสองสามชั่วคน ลูกหลานของคนต่างเชื้อชาติศาสนา ก็เป็นคนไทย พูดภาษาไทย รักเมืองไทย แม้จะต่างศาสนาแต่ก็มีสำนึกของความเป็นคนชาติเดียวกัน

ตอนผมเป็นเด็กๆ แม่ชอบเอาไปเป็นเพื่อนเวลาไปซื้อของสำเพ็ง ยังจำได้ว่าทุกร้านค้าจะพูดจีนกันโขมงโฉงเฉง ภาษาไทยอีพู่กม่ายชัก  เดี๋ยวนี้หาพ่อค้าแม่ขายพูดภาษาจีนยาก ทุกคนชื่อเป็นไทยพูดไทยชัดแจ๋ว สมัยก่อนบัตรประชาชนที่ให้สัญชาติไทยแก่ลูกคนต่างด้าวที่เกิดในเมืองไทย นั่นก็นับว่าดีแล้ว แต่ยังต้องระบุเชื้อชาติ เช่นเชื้อชาติจีน สัญชาติไทย ทุกวันนี้ยิ่งดีไปใหญ่ทุกคนไม่ต้องระบุเชื้อชาติ เป็นคนไทยสัญชาติไทยก็พอแล้ว


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ค. 10, 10:42
อ้างถึง
จุดต่างที่วิเศษทำให้เราไม่เหมือนมาเลเซียก็คือ วัฒนธรรมของชาวสยามแต่ไหนแต่ไรมามิได้รังเกียจคนต่างชาติที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสัมภาร กระทั่งพวกเชลยศึกที่กวาดต้อนมาก็เถอะ พวกนี้ไม่ได้ถูกเอามาเป็นทาส แต่เอามาเป็นพลเมืองสยาม ดังนั้นเพียงสองสามชั่วคน ลูกหลานของคนต่างเชื้อชาติศาสนา ก็เป็นคนไทย พูดภาษาไทย รักเมืองไทย แม้จะต่างศาสนาแต่ก็มีสำนึกของความเป็นคนชาติเดียวกัน

เห็นด้วยค่ะ  โดยเฉพาะเรื่องจีนกับไทย  แม้ว่ามีปัญหาอั้งยี่ขึ้นมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๓   แต่คนไทยก็ไม่ได้รังเกียจคนจีนที่ทำมาหากินเป็นปกติ
จาก นิราศเมืองแกลง ของสุนทรภู่
พวกเจ๊กจีนสินค้าเอามาวาง                  มะเขือคางแพะเผือกผักกาดดอง
ที่ชายผ้าหน้าถังก็เปิดโถง                    ล้วนเบี้ยโป่งหญิงชายมาจ่ายของ
สักยี่สิบหยิบออกเป็นกอบกอง               พี่เที่ยวท่องทัศนาจนสายัณห์

ดูเรือแพแต่ละลำล้วนโปะโหละ              พวกเจ๊กจีนกินโต๊ะเสียงโหลเหล
บ้างลุยเลนล้วงปูดูโซเซ                       สมคะเนใส่ข้องเที่ยวมองคอย


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 พ.ค. 10, 11:23
ช่วงก่อนและหลังสงครามโลก ประเทศจีนมีนโยบายที่จะใช้คนจีนโพ้นทะเลให้ทำงานรับใช้ประเทศจีน เริ่มต้นด้วยการบังคับต้องส่งเงินกลับไปให้รัฐบาลผ่านสมาคมคนจีนต่างๆ ส่งสายลับเข้ามาแทรกซึมในทุกประเทศที่มีคนจีนอพยพ  เมืองไทยก็เช่นกัน พอสงครามเลิกประเทศจีนนับเป็นประเทศผู้ชนะสงครามด้วย ส่วนไทยนั้นการที่ไปร่วมวงไพบูลย์กับญี่ปุ่นจีนถือว่าเป็นฝ่ายผู้แพ้ มีพ่อค้าจีนลุกขึ้นแต่งเครื่องแบบทหารก๊กมินตั๋งกันหลายคนคล้ายๆตอนญี่ปุ่นบุก ตากล้อง หมอฟันชาวญี่ปุ่นต่างปิดร้าน พากันสวมเครื่องแบบคาดซามูไรออกไปต้อนรับกองทัพลูกพระอาทิตย์ที่สวนสนามเข้าเมือง คนไทยมองอ้าปากหวอตาค้างไปตามๆกัน

ที่ว่าเมืองไทยมีพระสยามเทวาธิราชอภิบาลนั้นน่าจะจริง รัฐบาลไทยรีบออกตัวว่าการประกาศสงครามกับสัมพันธมิตรเป็นโมฆะ และรีบปลดอาวุธญี่ปุ่นก่อนที่กองทัพต่างชาติจะเข้ามาปลด แล้วส่งสัญญาณผ่านเสรีไทยให้อังกฤษรีบเข้ามาก่อนที่กองทัพจีนจะขยับ บังเอิญในเมืองจีนก็เกิดรบกันเองอีกระหว่างทหารก๊กมินตั๋งกับกองทัพแดงของเหมาเจ๋อตุง เรื่องจีนจึงหมดห่วงไปเปลาะ ส่วนเรื่องฝรั่งก็ยังได้อเมริกา ขี่ม้าขาวมาช่วยคานอำนาจอังกฤษกับฝรั่งเศส จะทำกับไทยในฐานะผู้แพ้สงครามไม่ได้  เมืองไทยจึงรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้อย่างเหลือเชื่อ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 พ.ค. 10, 11:37
พอกองทัพคอมมิวนิสต์ชนะในเมืองจีน เหมาก็เริ่มรื้อฟื้นการส่งออกลัทธินี้ผ่านเครือข่ายคนจีนที่อดีตเคยสร้างไว้

ผมคิดว่า การปลุกระดมมวลชนจำนวนมากขึ้นมาเพื่อหวังเปลี่ยนแปลงรัฐนั้น จะต้องประกอบด้วยอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างนี้รวมกันในสัดส่วนที่ต่างกันตามแต่เหตุการณ์ กล่าวคือ หนึ่ง-ความเชื่อมั่นถือมั่นของคนหมู่มากร่วมกันว่าตนถูกกดขี่จนทนไม่ได้แล้ว เป็นไงก็เป็นกันขอสู้ตาย เพราะถ้าเหตุการณ์บานปลายก็มีสิทธิ์จะได้ตายจริงๆ หากไม่ก็ติดคุกหัวโต สอง-คือทุนทรัพย์ อะไรๆก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น ยิ่งงานมวลชนประเภทนี้แกนนำยิ่งต้องใช้มากเสียจนคนส่งน้ำเลี้ยงคำนวณไม่ถูก

ในเมืองไทย คนจีนไม่ได้รู้สึกว่าถูกคนไทยข่มเหงเท่ากับที่ถูกพวกอั่งยี่รีดไถ และในบรรดาแกนนำคนจีนเองก็ยังมีคนสนับสนุนจีนคณะชาติเยอะ งานใต้ดินยังไม่เป็นเรื่องเป็นราวพอจะปลุกระดมมวลชนได้ ฝ่ายซ้ายในสภาซึ่งเป็นซ้ายอุดมการณ์ก็ถูกตำรวจลับเอาไปยิงทิ้งเสียดื้อๆแล้วบอกว่าเป็นฝีมือโจรจีนมลายู ดังที่ผมเล่าไปแล้วในกระทู้โน้น พอจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ทำรัฐประหารในปี2500 พวกคอมมิวนิสต์เมืองไทยก็เหมือนผึ้งแตกรัง พากันหนีตายเข้าป่า หรือไปอยู่เมืองญวนเมืองจีนหมด เพราะท่านเป็นเผด็จการที่เกลียดคอมมิวนิสต์ สามารถเอาคนที่หมายหัวไปทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาให้ศาลพิพากษา

ในมลายู กฏหมายเปิดให้จัดตั้งพรรคการเมืองได้ แม้จะห้ามพรรคคอมมิวนิสต์ พวกคนจีนฝ่ายซ้ายก็จัดตั้งเป็นพรรคกรรมกร มีสมาชิกเยอะมากพอสมควร นับเป็นฝ่ายค้านที่ทรงอิทธิพล รัฐบาลท่านตนกูมักจะกล่าวหาเนืองๆว่าพรรคนี้คอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้หนุนหลังทางด้านการเงิน


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 พ.ค. 10, 11:46
ความบางตอนจากกระทู้ที่แล้ว

อ้างถึง
ตอนแรกคิดจะเขียนแตะเข้าไปในเรื่องการเมืองที่ท่านตนกูเล่น และที่มันกลับมาเล่นท่านเสียเองอยู่เหมือนกัน แต่สถานการณ์ในบ้านเราขณะนี้ไม่มีบรรยากาศที่จะทำตัวทำใจให้เป็นกลางได้ เดี๋ยวจะไปแขวะเอาเค้าเข้า กระทู้จะเละเสีย

อ้างถึง
...เรื่องไปแขวะใครนั้น  หากกระทู้เละ  ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว   ที่ไปอาราธนาเจ้าของกระทู้เข้าก่อน
เชื่อว่าจะมีผู้แอบฟังอยู่เงียบเชียบ มาเชียร์กันเงียบๆหลายคน   ดูจากเรตติ้งละกันค่ะ


ผมผลัดผ่อนท่านอาจารย์เทาชมพูเรื่องการเมืองไว้ ไม่อยากเอาไปปนกับกระทู้โน้นเพราะไม่แน่ใจว่า เรื่องที่ท่านตนกูมีเหตุต้องวางมือนั้น มีคนวางแผนให้การเมืองย้อนกลับมาเล่นงานท่าน หรือมันเป็นไปเองตามธรรมชาติของมัน ถ้าเขียนก็ต้องไปแตะเหตุการณ์ May 13 Incident ที่อ่านหนังสือสองสามเล่มแล้วสรุปก็ตะขิดตะขวงใจตนเอง เพราะป่านนี้ยังโต้กันในเวปไม่จบว่าใครก่อเหตุ ใครสมควรถูกประนาม ผู้สนใจอยากติดตามไปปวดหัวต่อก็ขอให้ป้ายเอาภาษาอังกฤษข้างปนไปแปะถามอากู๋ดู จะขึ้นมานับสิบหน้า

เมื่อ13พฤษภาคม 2512 ไพร่มาเลเซียเชื้อสายจีน ฮึดต่อสู้พวกอำมาตย์เชื้อสายมลายู ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่าบาดเจ็บล้มตายกันเป็นอันมาก มันมีความเหมือนที่แตกต่าง กับช่วง13พฤษภาคมปีนี้ ที่คนไทยพวกหนึ่งเรียกตนเองว่าไพร่ ยกพลพรรคแดงทั้งแผ่นดินมายึดถนนในกรุงเทพอยู่เป็นเดือนเพื่อจะล้มอำมาตย์ที่กินความหมายสูงแค่ไหนก็ทิ้งให้เป็นปริศนา ในที่สุดก็ปะทะกับผู้มีหน้าที่รักษาความสงบของแผ่นดินเข้าจนได้ ทั้งไพร่ทั้งทหารบาดเจ็บล้มตาย บ้านเมืองของคนไทยด้วยกันเองแถบหนึ่งถูกเผาวายวอด

ผมได้พยายามทำใจให้เป็นกลาง หวังจะเขียนให้เป็นเรื่องสร้างสรรในระหว่างที่บ้านเมืองและจิตใจผู้คนเป็นอย่างนี้ แต่หากเขียนออกมาแล้วจะถูกด่าว่าไม่เห็นเป็นกลาง(อาจจะด่าลับหลังนะครับ เข้ามาด่าโต้งๆในห้องนี้เดี๋ยวถูกคุณครูประจำชั้นตี) ก็คงจะยอมรับโดยดีว่าถูกของท่านผู้ด่า การทำใจเป็นกลางไม่ใช่ทำตัวเป็นกลางนะครับ คนละความหมายกัน วิญญูชนพึงใช้ปัญญาแยกแยะผิดชอบชั่วดี  และยืนให้ถูกฝ่ายอย่าไปอยู่ฝ่ายเลว หากอยู่ตรงกลางเขาเรียกว่านกสองหัว  


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 10, 12:43
“If you are neutral in situations of injustice, you have chosen the side of the oppressor. If an elephant has its foot on the tail of a mouse and you say that you are neutral, the mouse will not appreciate your neutrality.”
 Bishop Desmond Tutu
 
"ถ้าคุณถือความเป็นกลางเมื่อเผชิญสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรม   ก็คือคุณเลือกแล้วที่จะยืนอยู่ข้างผู้ข่มเหง  
ถ้าช้างกำลังเหยียบหางหนูเอาไว้    แล้วคุณบอกว่าคุณไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด   หนูย่อมไม่นิยมยินดีกับความเป็นกลางของคุณแน่นอน"
บิช็อป เดสมอนด์  ตูตู


“The hottest place in Hell is reserved for those who remain neutral in times of great moral conflict.”
Employing Dante's words   Martin Luther King, Jr.
 
" ที่ร้อนที่สุดในนรก สงวนไว้ให้ผู้ไม่เข้าข้างฝ่ายใด เมื่อยามเกิดศึกความขัดแย้งระหว่างธรรมะกับอธรรม"
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง  อ้างจากบทกวีของดังเต


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 พ.ค. 10, 14:10
ท่านอาจารย์ยกมากล่าวดั่งนี้ชอบแล้ว


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 พ.ค. 10, 14:14
การจะนำความขัดแย้งของสังคมไปสู่จุดระเบิดนั้น ต้องมีคนสองขั้วประกอบกัน ขั้วหนึ่งเป็นพวกอุดมการณ์ อีกขั้วหนึ่งเป็นพวกฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ โดยทั้งสองฝ่ายต้องการเวลาเป็นตัวบ่มเพาะ ผมไม่ทราบว่าใครเป็นขั้วไหนในมาเลเซีย แต่เขาเริ่มจุดไฟแห่งความเกลียดชังขึ้นที่ปินังครั้งแรกในปี 2500 วันฉลองสถานภาพของรัฐมาเลย์ใหม่ที่อังกฤษมอบให้ ขบวนแห่ของคนจีนแวะตีกับกลุ่มคนดูชาวมาเลย์ คนตาย4บาดเจ็บครึ่งร้อย เหตุการณ์ร้ายยุติลงเร็วก่อนที่จะระบาดไปทั่วรัฐเพราะตำรวจคาดไว้แล้วล่วงหน้าและเตรียมการไว้ดี อีกสองปีต่อมาที่เกาะปังกอร์ ใต้ปีนังลงมา พวกแว้นมาเลย์ตีกับพวกตี๋เกียน ตายไปฝ่ายละคนสองคน แต่บ้านเรือนชาวบ้านพลอยถูกเผาพินาศไปหลายหลัง ต่อจากนั้นทั้งสองเชื้อชาติก็มีเรื่องวิวาทกันไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะคนระดับพ่อค้าแม่ขายในตลาด เกิดเป็นข่าวบ้าง ไม่เป็นข่าวบ้าง แต่ตำรวจก็เข้าจัดการเด็ดขาดทุกครั้ง เป็นอย่างนี้นับทศวรรษ

2509 รัฐบาลมาเลเซียประกาศลดค่าเงินริงกิตลงเล็กน้อยเพื่อแก้วิกฤตการคลังในประเทศ แต่พรรคกรรมกรถือเป็นเหตุที่จะปลุกระดม ประกาศเดินขบวน“ประท้วงทั้งแผ่นดิน”(ผมแปลตามศัพท์พิเศษที่พวกซ้ายคิดมาใช้เรียกว่า“ฮาตัล(Hatal)” ขึ้นที่ปินังซึ่งมีเชื้อแห่งความเกลียดชังถูกบ่มเพาะรออยู่แล้ว พอถึงจุดหนึ่ง การเดินขบวนแบบอหิงสาก็เปลี่ยนไปยั่วยุให้พวกแก้งค์ไพร่ทำร้ายคนมาเลย์ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในเกาะปินัง มีคนตายและบาดเจ็บมากมาย รถยนต์ทุกทุบหลายคัน บ้านเรือนถูกเผาวอดวายไปหลายหลัง

ขณะประเทศอยู่ระหว่างการเผชิญหน้ากับอินโดนีเซีย เด็กหนุ่มจีนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์มาเลย์(ใต้ดิน)สมัครไปฝึกการยุทธในสงครามที่มิได้ประกาศในเกาะสุมาตรา และถูกนำมาโดดร่มลงในป่า แล้วถูกทหารมาเลย์จับได้รวม11คน ศาลใช้เวลากว่าสองปีพิพากษาในเดือนมิถุนายน2511ตัดสินในข้อหาจารชนให้ประหารชีวิต หัวหน้าพรรคกรรมกรหาคนมาร่วมลงนามได้หลายหมื่นคนเพื่อขอฎีกาคำสั่งศาล และปลุกระดมคนหลายพันไปขว้างปาขวดน้ำและก้อนอิฐอยู่หน้าคุก รถของประชาชนที่ผ่านไปผ่านมาก็โดนไปด้วย แต่กรรมการพิจารณาฎีกาตัดสินยืน การต่อสู้ตามครรลองคลองธรรมก็ยังดำเนินต่อ มีการขอให้เปลี่ยนคณะกรรมการชุดนี้ ยื่นหนังสือให้กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประขาชาติ โทรเลขถึงโป๊ป และถึงซูการ์โนเองให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะสถานะการณ์เผชิญหน้าก็สิ้นสุดลงไปแล้ว ตอนนั้นท่านตนกูอยู่ในอังกฤษแต่ได้รับรายงานตลอด คณะรัฐมนตรีไม่มีใครกล้าแทรกแซงอำนาจศาล เมื่อท่านกลับมาเห็นสถานการณ์ด้วยตนเองแล้ว ความที่เป็นผู้ที่มีจิตใจเห็นแก่ทุกข์ของคนอื่น ท่านเห็นว่าเด็กพวกนี้น่าจะได้รับความเมตตา อย่างน้อยก็โดนขังคุกมาสองปีแล้ว  การให้อภัยจะทำให้สัมพันธภาพระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซียดีขึ้นด้วย ท่านจึงตัดสินใจทำหนังสือเรียกร้องถึงสาธารชน แจงเหตุผลดังกล่าว และความไม่คุ้มค่าถ้าสังคมจะแตกแยกกันด้วยเรื่องนี้ สองวันต่อมากรรมการพิจารณาฎีกาชุดที่ตั้งขึ้นมาใหม่มีคำสั่งให้ชลอการประหารชีวิตจำเลยไปก่อน และไม่นานต่อมาสุลต่านของรัฐยะโฮว์ และเปรักที่นักโทษถูกจำคุกรอการประหาร ได้มีคำสั่งให้ลดโทษประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 พ.ค. 10, 17:05
เมื่อเรื่องนี้จบลงไป ผู้ที่แสดงความยินดีต่อสิ่งที่ท่านตนกูกระทำก็คือพรรคการเมืองคนจีนฝ่ายขวา และคนมาเลย์บางส่วน แต่มีไม่น้อยแสดงความไม่พอใจที่ท่านไปอ่อนข้อให้คนจีน ความเคารพท่านในฐานะบิดาของมาเลเซียหม่นหมองลงเรื่อยๆ ที่แรงที่สุดคือมีโพสเตอร์เขียนภาพล้อว่าท่านกำลังคีบตะเกียบล้อมวงล่อหมูหันอยู่กับพวกเถ้าแก่ เป็นครั้งแรกที่ท่านรู้สึกว่าเจ็บปวดมาก ส่วนพรรคฝ่ายซ้ายจริงๆกลับหลีกเลี่ยงที่จะแสดงความเห็นในเรื่องนี้ แม้ผิดหวังว่ามวลชนหันไปเห็นดีเห็นชอบกับพวกฝ่ายขวาที่ต้องการสมัครสมานกับพวกมาเลย์มากขึ้น
 
10 พฤษภาคม 2512 เป็นวันกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ อันที่จริงพรรคแรงงานประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้งนี้หลายเดือนล่วงหน้ามาแล้ว แต่สองสัปดาห์ก่อนหน้านั้น คนของพรรคอัมโนคนหนึ่งถูกรุมฆาตกรรมอย่างเหี้ยมโหดด้วยหลาวไม้ไผ่ขณะเดินบนถนนมุ่งจะกลับบ้าน โดยกลุ่มวัยรุ่นของพรรคแรงงาน ศพถูกเอาสีแดงละเลงหน้าอย่างเอน็จอนาจ แต่พรรคอัมโนตกลงจัดพิธีศพอย่างมีเกียรติแต่ไม่เอิกเริก

และ6วันก่อนกำหนดวันเลือกตั้ง คืนนั้นสายตรวจของตำรวจในเมืองเกปง เขตชานกัวลาลัมเปอร์เมืองหลวง เจอสามวัยรุ่นกำลังป้ายคำขวัญของพรรคกรรมกรคัดค้านการเลือกตั้งอยู่บนพื้นถนน พอตำรวจเข้าจับ คนทั้งหมดขัดขืนและต่อสู้ด้วยเหล็กท่อน และฟืน ตำรวจจำเป็นต้องป้องกันตัวและยิงสวนไปหนึ่งนัด .ไปตายที่โรงพยาบาล

พรรคกรรมกรรอโอกาสอย่างนี้อยู่แล้วประตุจดังแร้งที่จ้องจะกินศพ จึงประกาศจัดพิธีแห่โลงไปฝัง โดยปลุกระดมมวลชนไปร่วมด้วย ตามกฎหมายการแห่ศพไปบนถนนหลวงจะต้องได้รับอนุญาตจากตำรวจเสียก่อน แต่แม้จะตายหลายวันแล้วก็ไม่รีบจัดการ จำเพาะเจาะจงขอจะจัดในวันที่9 ก่อนหน้าวันเลือกตั้งเพียงวันเดียว

เรื่องขนาดนี้ตำรวจทำต้องรายงานตามลำดับขั้นถึงฝ่ายการเมืองอยู่แล้ว ตนอับดุล ราซักในฐานะรัฐมนตรีมหาดไทย ขณะนั้นอยู่ระหว่างการหาเสียงในรัฐไกลออกไป ตอบผู้บัญชาการตำรวจที่โทรศัพท์ไปปรึกษา แนะนำตำรวจให้หลีกเลี่ยงการกระทำยั่วยุให้ฝ่ายค้านที่เตรียมเดินแห่ศพ มาเป็นเดินขบวนประท้วงก่อนวันเลือกตั้งเพียงวันเดียว

ส่วนท่านตนกูนายกรัฐมนตรีไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 10, 17:56
คนจีนในไทย อยู่ในสถานภาพคนละแบบกับคนจีนในมาเลเซีย   การแบ่งแยกชนชั้นในสังคมไทย ไม่ขึ้นกับเชื้อชาติ ศาสนา  สีผิว    แต่ก็ไม่วายจะมีการสร้างขึ้นมาจนได้   ด้วยคำว่า "ไพร่" และ "อำมาตย์"
บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่า มันขีดคั่นแบ่งแยกกันได้หนักแน่นยังงั้นเชียวหรือ    ดูแต่"นายผี" ซึ่งต่อสู้เพื่อ "ไพร่" มาตลอดชีวิต ( มาตั้งแต่สมัยที่ไม่มีใครเรียกคนยากไร้ในสังคมว่าไพร่)   ท่านก็ยังเขียนบทกวีบันทึกถึงตระกูลของท่านด้วยความภูมิใจ   
"พลจันทร์"  เป็นอำมาตย์เต็มความหมาย   เป็นเจ้าเมืองกาญจนบุรีตั้งแต่รัชกาลที่ ๑

ประวัติศาสตร์จากมาเลเซีย จึงน่าเรียนรู้ 
ถ้าดูประวัติศาสตร์มาเลเซียเป็นตัวอย่าง    ความวุ่นวายในประเทศไทยก็คงยังดำเนินไปอีกหลายปี  ไม่จบลงง่ายๆ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 พ.ค. 10, 19:56
พวกเสื้อแดงส่วนมากที่มาร่วมชุมนุมไม่น่าจะเข้าใจความหมายของคำว่าไพร่ อาจจะเข้าใจว่าแปลว่าคนจนหรือคนด้อยโอกาสทางสังคม เขาจึงยอมให้แกนนำเหมาเอาเขาเป็นไพร่ เพราะเขายอมลำบากมาก็หวังจะได้อะไรก็ได้ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น หรือได้แบงค์พันติดไม้ติดมือกลับบ้านสักปึกนึงก็ยังดี ถ้าเขารู้ว่าความหมายของคำว่าไพร่ในภาษาไทย สมัยนี้นำมาใช้แต่ในความหมายว่าคนกิริยาวาจาต่ำช้ามหาสถุน ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากจะเป็นเหมือนกัน

วิกฤตการเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดเนื่องจากความแตกแยกของคนในชาติสองฝักสองฝ่ายในมาเลเซียเกิดก่อนไทยถึงสี่สิบปี แม้ปัญหายังไม่จบแต่ก็ยังไม่เกิดอะไรเลวร้ายเท่านั้นอีก ถ้าเราศึกษาให้ดี ถึงแม้แผลยังไม่หาย เราก็อาจจะทำไม่ให้เลือดไหลออกมามากเหมือนอย่างที่ขึ้นเกิดไปแล้วได้

เหตุการณ์ของเขาครั้งนั้น ตำรวจได้ออกใบอนุญาตให้จัดขบวนแห่ได้โดยให้งดเว้นบางถนน และจำกัดปริมาณคนในขบวนแห่  แถมห้ามใส่หมวกแดงที่พวกนี้เลือกนำมาเป็นสีสัญญลักษณ์เพราะเป็นสีของคอมมิวนิสต์

สายวันรุ่งขึ้น พรรคกรรมกรก็จัดทัพแมงกะไซ500นำขบวน ไพร่จีนเดินโบกธงแดง มีแผ่นป้ายปลุกระดม บ้างก็ชูรูปของพ่อเม๋าเจ้าของท่อน้ำเลี้ยง ร้องตะโกนคำขวัญพร้อมสลับเพลงเพื่อชีวิตที่ชื่อว่า “ตะวันออกคือสีแดง” เคลื่อนพลเป็นไปตามถนนใหญ่ในเมืองหลวง หยุดตามแยกสำคัญๆเพื่อให้แกนนำขึ้นไปด่าอำมาตย์ด้วยถ้อยคำไพร่ๆ จนได้คนมาร่วมเป็นหมื่น รถราติดวินาศสันตะโร แต่คนมาเลย์ก็แสนจะอดทนอย่างน่าชมเชย อาจจะช็อคจนทำอะไรไม่ถูก ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินไปตั้งแต่สายจนถึงค่ำ พอศพถูกฝังเรียบร้อย แกนนำพรรคกรรมกรก็พากันไปฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถรวมพลได้เกินที่ตำรวจกำหนดนับหมื่น มากกว่าการชุมนุมทางการเมืองใดๆที่มีมาก่อนในประวัติศาสตร์มาเลเซีย


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 พ.ค. 10, 21:58
คงไม่ต้องบอกนะครับว่าคนมาเลย์โกรธแค้นรัฐบาลของเขาแค่ไหน

จากผลการเลือกตั้งของมาเลเซียในวันรุ่งขึ้น  ปรากฏว่าพรรคพันธมิตร ได้ที่นั่งลดน้อยลงจากเดิมร้อยละ 58.5 เหลือร้อยละ 49.1 โดยที่พรรคร่วมแต่ละพรรคได้จำนวนผู้แทนลดลง บางพรรคไม่ได้รับเลือกสักคนเดียว  พรรคอัมโนเองก็แย่ผู้แทนหลายคนสอบตก หนึ่งในนั้นคือดร.มหาธีร์ ที่โกรธแค้นหนักถึงกับหมดความนับถือท่านตนกูหัวหน้าพรรคของตน

ขณะที่คนมาเลย์หันไปสนับสนุนพรรคอนุรักษ์นิยม ที่เน้นแนวทางอิสลามอย่างและพรรคพาสฝ่ายค้าน กลุ่มคนจีนและคนอินเดียบางส่วน หันไปสนับสนุนกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่พรรคกรรมกรหาเสียงให้

เมื่อผลของการนับคะแนนชัดเจน พรรคฝ่ายค้านของคนจีนก็ออกมาฉลองชัยชนะตามท้องถนนในวันที่ 13 พฤษภาคม เหตุการณ์ร้ายเริ่มขึ้นเมื่อรถบรรทุกของคนจีนถูกเผาที่แถบเมืองที่พวกมาเลย์อยู่ คนจีนในถิ่นนั้นโผล่ออกมาให้เห็นจะถูกทำร้ายถึงตาย มีผู้อ้างว่าคนมาเลย์กลุ่มนี้รวมกันที่บ้านของคนในพรรคอัมโนก่อนที่จะขยายตัวไปฆ่าคนจีนทั้งเมืองด้วยอาวุธทุกอย่างที่หาได้ รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวในทันทีแต่มันไม่ได้ผลทั้งเมือง ทหารที่ถูกสั่งให้ออกมารักษาความสงบแทนตำรวจ ถูกข้อกล่าวหาว่ายิงใส่คนจีนอย่างไม่มีเหตุผล

14 พฤษภาคม จลาจลยังคงมีอยู่แต่กระจัดกระจาย ทหารยอมผ่อนผันช่วงเวลาเคอฟิวให้คนออกมาซื้อหาอาหาร ศพที่โรงพยาบาลนับได้ประมาณแปดสิบศพ เป็นคนจีนเสียหกสิบ รัฐบาลออกมาประนามว่าเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์

15 พฤษภาคม รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน และจัดตั้ง ศอฉ.( National Operations Council) มีตนอับดุล ราซักเป็นผู้อำนวยการ รายงานตรงต่อนายกรัฐมนตรี แต่อำนาจสั่งการทั้งหมดอยู่ที่รองนายกรัฐมนตรีตนอับดุล ราซัก
ศอฉ.ห้ามจำหน่ายจ่ายแจกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นทุกฉบับจนกว่าจะมีประกาศมาตรการในการเซนเซอร์ข่าว แต่ไม่มีการกระทำใดๆต่อรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศ
 
16 พฤษภาคม สถานการณ์ทั่วไปยังไม่ดีขี้น รถและบ้านเรือนของราษฏรยังคงถูกเผา จำนวนคนตายในกัวลาลัมเปอร์มากขึ้นเป็น89ศพ บาดเจ็บ300 ขยายเคอร์ฟิวตลอด24ชั่วโมงทั่วรัฐซารังงอร์ ปีนัง และเปรัก รวมถึงมะละกา รถสามล้อของท่านอาจารย์เทาชมพูห้ามออกมาวิ่ง
ท่านตนกูออกทีวีชี้แจงสถานการณ์และประกาศจะจัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครป้องกันชาติ เนื่องจากเกิดข่าวลือว่าทหารมาเลย์ถือโอกาสปล้นสดมภ์และมีอคติต่อชาวจีน จำนวนผู้ลี้ภัยที่สูญเสียที่อยู่เพิ่มขึ้น



กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 10, 22:16
อ้างถึง
รถสามล้อของท่านอาจารย์เทาชมพูห้ามออกมาวิ่ง
 
:-\
สามล้อประดับดอกไม้ คงจะดุไม่ใช่เล่น     น่าจะสั่งมาไว้ในเรือนไทยสักคัน



กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 พ.ค. 10, 07:36
การจลาจลหลังจากนั้นแม้จะอยู่ในระดับที่รัฐบาลควบคุมได้แล้วก็ตาม แต่การลอบวินาศกรรมเผาที่นั่นที่นี่ และลอบทำร้ายกันทีเผลอยังมีอยู่ การดำรงชีวิตของราษฎรลำบากแสนสาหัสเพราะขาดอาหารเนื่องจากเคอร์ฟิว เหล่ากาชาดต้องทำงานหนักทั้งจัดหาอาหารให้คนกินกันตายและการดูแลผู้ลี้ภัย กว่าที่คนสองเชื้อชาติจะเริ่มเหนื่อยอ่อนและไม่เห็นประโยชน์ต่อการวิวาท ไม่มีรายงานคนตายอีกก็ปาเข้าไปเดือนกรกฎาคม

ตัวเลขที่ทางการประกาศคือ คนตาย184 (เป็นมาเลย์18), บาดเจ็บนอนโรงพยาบาล342 ยานพาหนะถูกทำลาย109 อาคารบ้านเรือนถูกเผา118 คนถูกจับ 8114 ส่งฟ้องศาล4192

ตนกูอับดุล เราะห์มานตกเป็นจำเลยของสังคมมากกว่าคนอื่น เพราะท่านเป็นนายกรัฐมนตรี นักการเมืองหนุ่มคนสำคัญในพรรคแต่สอบตกการเลือกตั้งเป็นคนแรกที่เขียนจดหมายส่วนตัวถึงท่าน แต่สำเนาให้หนังสือพิมพ์นำไปลง ผมแปลท่อนที่สำคัญมาให้อ่านข้างล่าง

“ท่านเองนั่นแหละที่บอกเราว่า การยกโทษประหารให้กับพวกก่อการร้ายจีนทั้ง11คนเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดจลาจล แต่ความจริงมันคือจุดระเบิดของการจลาจล13พฤษภา ซึ่งส่งผลให้เกิดการตายของคนอีกมากกว่ามาก

นโบบาย‘give and take’ของท่านคือการให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนจีนขอ จุดสุดยอดอยู่ที่การยกโทษประหารชีวิตซึ่งทำให้คนมาเลย์ส่วนใหญ่โกรธแค้น ในขณะที่คนจีนเองเขาก็เห็นว่าท่านเป็นคนขี้ขลาดและอ่อนแอสามารถจะปั่นหัวไปทางไหนก็ได้

นั่นทำไมคนจีนและคนอินเดียจึงมีพฤติกรรมกร้าวร้าวต่อคนมาเลย์ ถ้าท่านโดนถ่มน้ำลายรดหน้า ด่าหยาบๆคายๆ และควักของลับให้ดู นั่นแหละท่านจึงจะสำนึกว่าคนมาเลย์เขารู้สึกอย่างไร คนมาเลย์ซึ่งท่านคิดว่าไม่มีวันที่จะขบถต่อท่านได้นั้นสติแตกไปแล้ว พวกเขาเกลียดท่าน เพราะท่านเห็นแก่หน้าพวกมันมากเกิน”


ผลของการกระทำนี้ทำให้ถูกขับออกจากพรรค และนักศึกษามหาวิทยาลัยเดินขบวนประท้วงมตินี้ ทั้งๆที่วิกฤต13พฤษภายังไม่จบสนิท
แล้วคนๆนี้ต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดถึง20ปี


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 พ.ค. 10, 08:41
ท่านตนกูให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า ต้นเหตุไม่ได้อยู่ที่ท่านกระทำให้เด็กไม่ต้องโทษประหาร แต่อยู่ที่การแห่ศพที่พวกแดงจัดขึ้นแล้วมีการกระทำที่สบประมาทคนมาเลย์อย่างสุดที่จะทานทน ท่านพูดชัดเจนว่าในสถานการณ์การเมืองเช่นนั้น ไม่ควรจะอนุญาตให้ทำได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดทั้งสิ้น

หลังจากที่ท่านมีเดอะสตาร์แล้ว ท่านเขียนเรื่องนี้ในคอลัมน์ “มองย้อนอดีต” ที่คนทั้งเมืองคอยอ่านว่า

“ตำรวจได้ปฏิเสธคำขอแห่ศพในวันที่จะทำการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลกลับอนุญาตให้แห่ได้ก่อนวันนั้นเพียงวันเดียว เพียงแต่ให้จำกัดขนาด โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้อำนาจหรือเพียงแต่จะได้รับทราบ ข้าพเจ้าอยู่ที่อลอร์ สะตาร์และได้รับการติดต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อเขาเริ่มแห่กันแล้ว

ข้าพเจ้าประหลาดใจมากที่ผู้มีอำนาจสั่งการ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ได้ให้อนุญาตแห่ศพที่จะดึงดูดพวกคอมมิวนิสต์กับกลุ่มเห็นอกเห็นใจนับพันๆคนให้เข้ามาร่วม พวกคอมมิวนิสต์ถูกฆ่าตายมาก็เยอะแล้วแต่ไม่เคยได้รับการยินยอมให้แห่ศพกันยิ่งใหญ่ แล้วครั้งนี้มันเกิดอะไรขึ้นเล่า จึงไปยอมให้อนุญาต

จุดมุ่งหมายที่ข้าพเจ้าค้นพบต่อมาก็คือ เขาต้องการสร้างความลำบากใจให้ข้าพเจ้า ยิ่งหาลึกลงยิ่งเจอว่า พวกที่กระทำเป็นกลุ่มเดียวกับพวกที่ปล่อยข่าวลือทำลายข้าพเจ้า ต้องการที่จะใช้สถานการณ์นี้โค่นล้มข้าพเจ้า”



ท่านชัดเจนว่า ท่านถูกการเมืองของพวกเดียวกันเล่นงานท่านแล้ว


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 พ.ค. 10, 08:50
ความเห็นเรื่อยเปื่อย   ขอให้อ่านด้วยวิจารณญาณ  (แปลว่าไม่ควรเชื่อ)
๑   นโยบายปรองดองของท่านตนกู   น่าจะมีการเลื่อยขาเก้าอี้อยู่ข้างใต้ จากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย  
      คนพวกนี้ไม่เห็นด้วยกับนโยบาย หรือไม่เห็นกับตัวท่านก็ตาม     ก็ถือว่าไม่เห็นด้วยอย่างแรง  จึงมีการสาดน้ำมันลงบนกองไฟ  ให้ลุกลามและรุนแรง เกินควบคุม  ไม่ใช่สองฝ่ายโกรธแค้นกันตามปกติวิสัยแล้วก็เลยลุกลาม
๒   การปรองดองนั้นทำได้ผล  ต่อเมื่อผู้ปรองดองต้องถือช่อดอกไม้ไว้ในมือหนึ่ง และก็ไม่ลืมจะมีแส้ไฟฟ้าไว้ในอีกมือ         คือยื่นมือไปให้จับ แต่ถ้าลื้อไม่เช้คแฮนด์กลับมาดีๆ   อั๊วเฆี่ยนนะ    ส่วนคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับเช้คแฮนด์ก็อย่าเพิ่งแทรกกลาง  
๓   นักการเมืองหนุ่ม- มหาธีร์   พูดแทนใจคนมาเลย์ซึ่งขณะนั้นรวมเป็นหนึ่งเดียว   ก่อนหน้านี้อาจมีคนทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับท่านตนกู     แต่มาบัดนี้รวมกันเป็นไม่เห็นด้วย เพราะผลพิสูจน์เหตุ ตามหลักของมาเคียวเวลลี คือผลออกมาล้มเหลว   แสดงว่าเหตุคือการตัดสินใจผิด
     ทั้งที่ความจริงอาจจะมีปัจจัยเยอะแยะไปที่ทำให้"ผล" ออกมาเจ๊ง  โดย"เหตุ"อาจจะไม่ผิดก็ได้

*ชนกันกลางอากาศ ขณะที่ดิฉันกดส่ง  คุณนวรัตนก็ส่งเข้ามาพอดี   เลยโพสต์เพิ่มเติมให้รู้ว่า เราก็เดาถูกเหมือนกันแฮะ  ขนาดมือสมัครเล่นนะเนี่ย*


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 พ.ค. 10, 11:08
กลับไปเปิดประวัติ  ท่านตนกูขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ 1957 จนถึง 1970   ก่อนหน้าเป็นนายกฯ 2 ปี ท่านก็เป็นหัวหน้ารัฐมนตรี   แปลว่าท่านครองอำนาจผู้นำประเทศอยู่ถึง 13-15 ปี
การกินตำแหน่งใหญ่อยู่ยาวนาน  ในภาครัฐ (แม้แต่ในภาคเอกชนก็เถอะ)  เท่ากับว่าหัวแถวไม่ขยับ  กลางแถวและหางแถวก็เลื่อนไม่ได้
ลองนึกว่าถ้ามีผบ. เหล่าทัพไหนก็ได้ที่กินตำแหน่งอยู่ 15 ปี ไม่เกษียณสักที   กองทัพจะปั่นป่วนสักแค่ไหน  นายพลจำนวนมากเท่าไรต้องเกษียณไปโดยไม่ได้ตำแหน่งที่เขาควรได้  ตั้งแต่พลเอกลงไปถึงพลตรี หรืออาจจะลงไปถึงนายพันด้วย
ยังไม่รวมว่าเวลาสิบกว่าปี ยาวนานจนสถานการณ์เปลี่ยน    นโยบายและความคิดอ่านที่ทันสมัยในยุคหนึ่ง ก็อาจจะไม่ทันการณ์ในอีกยุคหนึ่งก็ได้      การตัดสินใจของคนหนึ่งที่ถูกต้องในยุคหนึ่ง อาจไม่ใช่ ในอีกยุคหนึ่ง

ประเทศประชาธิปไตยจึงกำหนดวาระของผู้นำไว้ ไม่ให้นานมากนัก    ต่อให้เป็นผู้นำที่เก่งและดีขนาดไหน ก็ต้องลงจากเก้าอี้ไปตามวาระ  เพื่อให้คนอื่นมาทำงานบ้าง
ส่วนพวกที่ยังกินตำแหน่งผ่านนอมินีคนแล้วคนเล่า    ไม่จัดเข้าประเภทลงจากเก้าอี้ให้คนอื่นขึ้นมาเป็นแทนนะคะ   


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 พ.ค. 10, 12:58
การเมืองมันแย่ตรงที่มันมีธรรมชาติของการแย่งชิงอำนาจโดยไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามทำนองคลองธรรม การที่ผู้นำจะก้าวพลาดจนคนอื่นเห็นว่าสมควรจะถูกเปลี่ยนแล้วเป็นความชอบธรรมที่ควรจะเกิดขึ้นได้ แต่การสร้างสถานะการณ์ขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ตน หรือกลุ่มของตนขึ้นมาเสวยอำนาจแทนเป็นสิ่งน่ารังเกียจ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เล่นกับความพินาศของบ้านเมืองและชีวิตของประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ

ผมอยากให้ท่านอ่านบทความของตนกูอับดุล ราห์มันอดีตนายกรัฐมนตรีที่ผมแปลมาให้อ่านอีกบทหนึ่งดังนี้

บ้านในปินัง  2515

“มันเป็นความเข้าใจแจ่มแจ้งของข้าพเจ้าและตำรวจว่าบรรยากาศการเมืองได้ถูกกระตุ้นสู่จุดอันตรายเมื่อตำรวจจำเป็นต้องยิงเด็กลูกจีนของพรรคการเมืองในวันที่4พฤษภาคม คล้ายกับแนวโน้มที่จะเกิดการละเมิดกฏหมายในช่วงค่ำของวันเลือกตั้ง เนื่องจากคนจีนในกัวลาลัมเปอร์จะแสดงความไม่พอใจต่อรัฐบาล ดังปรากฏให้เห็นในการแห่ศพของนายคนนี้เมื่อวันที่9พฤษภาคมเป็นตัวอย่าง ซึ่งรัฐบาลต้องเผชิญกับฝูงชนที่กร้าวร้าวที่สุดกว่าที่เคยพบเห็น

ดังนัน เมื่อพรรคฝ่ายค้านทำหนังสือขออนุญาตตำรวจเพื่อจะจัดการเดินขบวนฉลองสำเร็จจากผลของการเลือกตั้ง ข้าพเจ้าจึงคัดค้านอย่างแข็งขันเพราะตำรวจมั่นใจว่าจะนำไปสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากแน่

ข้าพเจ้าแจ้งความเห็นให้ตุนราซักทราบในเรื่องนี้และเขาก็มีท่าทีว่าเห็นด้วย คราวนี้ โดยข้าพเจ้าไม่เคยทราบ ทั้งที่ความจริงสิ่งที่พวกเขากระทำกันก็ “ข้างหลังของข้าพเจ้า”นั่นเอง มีกลุ่มผู้นำทางการเมืองในตำแหน่งสูงๆต้องการจะกดดันให้ข้าพเจ้าพ้นจากตำแหน่งนายก ข้าพเจ้าไม่ต้องการจะแจงรายละเอียด แต่ถ้าพวกเขาจะเข้ามาหาแล้วบอกกันตรงๆ ข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะก้าวลงอย่างสง่างาม

น่าเสียดาย ที่พวกเขาชัดเจนว่าได้ตัดสินใจเลือกแผนการที่จะนำไปสู่การใช้วิธีบังคับให้ข้าพเจ้าลาออก และโอกาสนั้นมาถึงพวกเขาเมื่อคำถามที่ตำรวจส่งมาให้เรื่องการขออนุญาตสมควรจะได้รับการอนุมัติหรือไม่

ตนราซัก และฮารุน ไอดิส ตอนนี้กลับรู้สึกว่า สมควรจะให้อนุญาตและรู้เต็มเปี่ยมว่าจะเกิดความปั่นป่วนขึ้นแน่ๆ  ข้าพเจ้าอนุมานว่าเขาเชื่อว่าหากมันเกิดขึ้นจริงแล้ว จะนำไปสู่การที่ พวกเขาจะเรียกร้องการลาออกของข้าพเจ้าได้

กระทั่งบัดนี้ ข้าพเจ้าก็ยังยากที่จะเชื่อว่าราซัก ผู้ที่ข้าพเจ้ารู้จักมาแสนจะยาวนาน จะยอมตกลงกระทำต่อข้าพเจ้าเช่นนี้  โดยข้อเท็จจริง ตอนนั้นเขาอยู่ในบ้านของข้าพเจ้าด้วยซ้ำ ขณะเตรียมของจะกลับไปเคดะห์ ข้าพเจ้าได้ยินเขาพูดโทรศัพท์กับฮารูนว่าเขายินดีจะอนุมัติใบขออนุญาตให้หลังจากที่ข้าพเจ้าไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากจะเชื่อหูตนเองแต่ก็เลือกที่จะคิดว่าเขาพูดกันเรื่องใบอนุญาตอื่นที่ไม่เกี่ยวกัน อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เขาเป็นรองนายกรัฐมนตรี และจะรักษาการนายกรัฐมนตรีโดยตำแหน่งระหว่างที่นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ เขาก็จะสามารถกลับความเห็นของข้าพเจ้าอย่างไรก็ได้ ด้วยเหตุนั้น ระหว่างอยู่ที่บ้านเคดาห์ ข้าพเจ้าจึงได้ยินจากวิทยุว่าคำขออนุญาตเดินขบวนได้รับการอนุมัติแล้ว

มันดูเหมือนว่า การจลาจลที่คาดไว้แล้วว่าจะเกิดนั้น ได้รับการวางแผนและดำเนินการโดยฮารูนกับกลุ่มหนุ่มอัมโน หลังการกระทำสิ่งอัปยศของกลุ่มไม่ใช่มาเลย์ โดยเฉพาะพวกคนจีน คนมาเลย์รู้สึกว่าได้สูญเสียอำนาจทางการเมืองให้แก่พวกนี้แล้ว เขาก็พร้อมที่จะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดบ้างเพื่อระบายแค้น การชุมนุมกันที่บ้านของฮารูน และได้ฟังคำพูดเผ็ดร้อนของฮารูนเองและของผู้นำพรรคอื่นๆหลายคน พวกนี้ก็เอาผ้ามาคาดที่หัวแล้วแยกย้ายกันออกไปเข่นฆ่าคนจีน เหยื่อที่น่าสงสารสองคนแรกอยู่ในรถตู้หน้าบ้านของฮาริมนั่นเอง นั่งดูไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าเขาทำอะไรกัน ไม่รู้ตัวสักนิดว่าจะถูกสังเวยชีวิตในที่นั้น”


ในเมืองไทยมีสถานการณ์คล้ายกันเกิดขึ้น เราดูกันให้ออกนะครับว่าฝ่ายใดต้องการอะไร ประโยชน์ของชาติดังที่อ้าง หรือประโยชน์ส่วนตน ที่มีเดิมพันนับนับหมื่นนับแสนล้าน

เรื่องของมาเลเซีย ที่สู้กันทุกรูปแบบเพื่อป้องกัน หรือแย่งชิงผลประโยชน์ให้แก่ชนเชื้อชาติเดียวกับตน กลายเป็นเกมของเด็กๆไปเลย


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 พ.ค. 10, 13:37
ภาพข้างล่างนี้ชื่อ  Death of Caesar วาดโดย Vincenzo Camuccini
จูเลียส ซีซาร์ ท่านผู้นำของจักรวรรดิโรมัน  ถูกกลุ้มรุมฆ่าโดยฝีมือของสมาชิกสภาสูงกลุ่มหนึ่ง   ในตอนแรก  ซีซาร์ก็ฮึดสู้  แต่พอเหลือบเห็นหนึ่งในนั้นเป็นนักการเมืองหนุ่มชื่อบรูตัส  
บรูตัสไม่ใช่สหายธรรมดา  ซีซาร์เมตตาเขาประดุจลูกบุญธรรม

ซีซาร์ก็หลุดปัจฉิมวาจาออกมาว่า "Et tu, Brute?"  แปลเป็นไทยว่า "แม้แต่เจ้าด้วยหรือ บรูตัส?" จากนั้นซีซาร์ก็หมดกำลังใจ  ถูกสังหารตรงนั้นเอง
คำนี้ เชคสเปียร์นำมาใส่ไว้ในละคร   จากนั้นกลายเป็นอมตะสำนวน   แค่เอ่ยคำนี้ออกมาในภาษาเดิม  ไม่ต้องขยายความ  ก็เข้าใจกันดีว่าหมายถึงการทำร้ายหักหลังขั้นสูงสุด  เพราะทำโดยผู้ที่เหยื่อไว้ใจมากที่สุด
  
อ่านบันทึกของท่านตนกูแล้ว   ไม่รู้ว่า "Et tu, Brute?"  ในภาษามาเลย์เรียกว่าอะไร   แต่นักเรียนอังกฤษอย่างท่านน่าจะรู้จักสำนวนนี้


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 มิ.ย. 10, 09:37
บรูตัส…อืมมม..ครับชายผู้นี้ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองของทุกชาติด้วยนามที่แตกต่างกันออกไป ในเมืองไทยก็มีจนนับไม่ถ้วนตั้งแต่สมัยอยุธยา เมื่อ2475นั้น เจ้านายทอดพระเนตรเห็นคนที่คณะปฏิวัติส่งมาเผ้าแล้วทรงอุทานว่า “ตา...นั่นแกด้วยหรือ”

แต่ตนอับดุล ราซัก จะเป็นบลูตัสหรือไม่ ประวัติศาสตร์มาเลเซียหาได้สรุปไว้ไม่ หนังสือชีวประวัติของท่านตนกูที่ผมใช้ข้อมูลมาเป็นหลักในการเขียนกระทู้นี้ ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องในบทความของท่านตนกูที่แปลไว้กระทู้ล่าสุด ทั้งๆที่หนังสือออกมาหลังวันที่ที่ท่านลงไว้ในบทความ ในหนังสือเอ่ยแต่เรื่องตนราซักอนุมัติให้เดินขบวนแห่ศพในปินัง เพราะเห็นว่าพรรคกรรมกรเตรียมการไว้พร้อมแล้ว ถ้าไม่อนุญาตก็คงมีการแหกกฏหมายกันในวันนั้น บทความก่อนหน้าของท่านตนกูที่ผมเอามาจากเวปบอกที่มาที่ไปว่าท่านเอาลงในเดอะสตาร์ ก็ดูจะเข้าใจตนราซักในทำนองนี้ แต่บทความชิ้นที่ท่านกล่าวหาตนราซักตรงๆอย่างโจ่งแจ้งนั้น อยู่ในบล็อก “มาเลเซียวันนี้”ของ ราชา เพตรา คามารุดดิน (Raja Petra Kamarudin -“ราชา”เป็นฐานันดรศักดิ์ใช้ในบางรัฐที่ต่ำชั้นกว่าตนกู) ซึ่งไม่ได้ระบุว่าได้มาจากไหน แต่คนมาเลเซียส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าเป็นของจริง นายคนนี้เป็นนักเรียนเก่ามาเลย์ คอลเลจ และโยงใยได้กับเครือข่ายการเมืองของนายอันวาร์ อิบราฮิม ที่พยายามจะกลับมาขึ้นเวทีการเมืองใหม่  แปลก ผมเคยบอกไว้ครั้งหนึ่งว่าตนราซักก็เป็นนักเรียนเก่ามาเลย์ คอลเลจเหมือนกัน ตอนที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็มีคุณานุปการทำให้สมาคมนักเรียนเก่ามาเลย์ คอลเลจ ผงาดแข็งแรงขึ้นได้

ในขณะที่หมดความสามารถที่จะติดตามเรื่องราวให้ลึกซึ้งได้ ผมจึงไม่ขอยืนยันความถูกต้องในเรื่องนี้ แต่ขอยืนยันว่า ในการเมือง ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง มีแต่หอกข้างแคร่ที่คนอย่างนายบรูตัสถือรอจังหวะไว้


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มิ.ย. 10, 13:53
                 เมื่อนั้น                   ทศเศียรสุริย์วงศ์ใจหาญ
ต้องศรเจ็บเพียงจะวายปราณ            ขุนมารเหลือบเห็นน้องชาย
                                        ฯลฯ
ปากหนึ่งว่าโอ้พิเภกเอ๋ย                   ไฉนเลยมาแกล้งฆ่าพี่
ตัวเราก็จะม้วยชีวี                            ในเวลานี้ด้วยศรพิษ

ในรามเกียรติ์ก็มีบรูตัสเหมือนกัน    เพียงแต่เรายกให้เป็นฝ่ายดี  เลยไม่ค่อยมีใครคิดสักเท่าไรว่าทศกัณฐ์แพ้พระรามเพราะใคร
******************
กลับมาเรื่องการเมืองมาเลย์       เหตุการณ์ 13 พฤษภาคม 1969  คงจะต้องทิ้งให้เป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญหาคำตอบกันไปเอง   คุณนวรัตนต้องการแค่"มอง" เพื่อจะ"เห็น"การเมืองไทยไปด้วย
ดิฉันยังติดใจตัวละครสำคัญในเรื่องนี้อยู่    ถ้าเป็นดราม่า ก็คงบอกได้ว่ามีดาวรุ่งพุ่งแรงเกิดขึ้นมาจากเหตุจลาจลนั้น   คือนักการเมืองหนุ่มคลื่นลูกใหม่ที่บังอาจท้วงท่านตนกูอย่างไม่ปรานี    เป็นผลให้ตัวเองถูกขับออกจากเก้าอี้  และออกจากพรรคอัมโนไปด้วย
หนึ่งปีหลังจากนั้น เขาเขียนหนังสือชื่อ Malay Dilemma   ดิฉันกำลังอ่านเรื่องย่ออยู่ในเน็ต เพื่อจะมาเล่าสู่กันฟังต่อไป


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 มิ.ย. 10, 17:42
ผมขอสนับสนุนท่านอาจารย์เทาชมพูด้วยบทความที่ นสพ.ผู้จัดการตัดตอนเอามาจากสำนักข่าวเอเอฟพี ผมก็ตัดตอนเอามาอีกทีหนึ่งเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวกับกระทู้นี้ ความในวงเล็บคือความเห็นของผมเอง

ตน นายแพทย์มหาธีร์ มูฮัมหมัด  ให้สัมภาษณ์ว่า ความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาตลอดระยะเวลา 22 ปีในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย คือ การประคับประคองรักษาความสมานฉันท์ระหว่างคนเชื้อชาติต่างๆในประเทศเอาไว้ได้

ส่วนความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวงที่สุดของเขา ก็คือการที่ยังไม่สามารถทำให้คน “ภูมิปุตรา” เกิดความเข้าอกเข้าใจการทำงานของเศรษฐกิจตลาดเสรี และสิ่งที่พวกเขาควรจะต้องทำเพื่อให้อยู่ในเศรษฐกิจระบบนี้ได้  (คือพวกนี้คอยแต่จะเรียกร้องอภิสิทธิ์  หรือรอกินหัวคิวตามที่กฎหมายเอื้อประโยชน์ไว้)  แน่นอนทีเดียวว่าเรื่องเชื้อชาติเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในวิสัยทัศน์ต่อประเทศและต่อโลกของมหาธีร์

ย้อนหลังไปในอดีตช่วงที่ยังเป็นหนุ่มใหญ่ เขาเคยถูกขับออกจากอัมโน ก็เพราะไปวิพากษ์ ตนกู อับดุล เราะห์มาน นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคในเวลานั้นว่าไม่ได้ดำเนินนโยบายสนับสนุนชาวมาเลย์เท่าที่ควร เพื่อให้สามารถสู้กับการครอบงำเศรษฐกิจของคนจีนได้

ในการกล่าวปราศรัยครั้งสุดท้ายต่อรัฐสภา เขาก็ยังเปิดเผยมาตรการใหม่ๆ ที่จะเอื้ออำนวยให้ทรัพย์สมบัติความมั่งคั่งไหลเข้าสู่มือคนภูมิปุตราได้มากขึ้น อาทิ กำหนดโควตาอย่างน้อย 60% ในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการของภาครัฐ เพื่อจัดสรรให้แก่ชาวภูมิปุตราที่มีความสามารถจะรับงานได้ การจัดตั้งสถาบันการเงินแห่งใหม่เพื่อเสนอขายหน่วยลงทุนที่จะเป็นการระดมทรัพยากรของชาวภูมิปุตรา ตลอดจนขยายโอกาสทางการลงทุนของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม มหาธีร์ยืนยันว่าเขาไม่ใช่นักลัทธิเชื้อชาติซึ่งมุ่งกดขี่คนเชื้อชาติอื่นศาสนาอื่นอย่างไม่ลืมหูลืมตา เขาอธิบายว่าสำหรับประเทศเฉกเช่นมาเลเซียที่มีประชากรเป็นภูมิปุตรารวมแล้วเท่ากับ 65% ของประชากรทั้งหมด ชาวจีนกับชาวอินเดียแม้จะเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีจำนวนมหาศาล มาตรการที่จะต้องเอื้อประโยชน์แก่คนภูมิปุตรามากกว่าย่อมเป็นเรื่องจำเป็น

“ถ้าคุณไม่สามารถสร้างให้เกิดความสมดุลระหว่างผลงานทางเศรษฐกิจของคนภูมิปุตรา กับคนที่ไม่ใช่ภูมิปุตราแล้ว มันก็มีอันตรายเสมอที่จะเกิดการอิจฉาริษยากัน และสิ่งนี้ก็อาจถูกนำไปใช้โดยคนที่ไร้ความรับผิดชอบบางคน” มหาธีร์แจกแจงเหตุผลที่ต้องใช้มาตรการใหม่ ระหว่างแถลงข่าวภายหลังประชุมรัฐสภาวันนั้น
(เหล่ดูไทยตอนนี้แล้วก็น่าคิดนะครับ เราไม่มีคนภูมิปุตรา กับคนที่ไม่ใช่ภูมิปุตราแต่เรามี "คนยากจนเพราะด้อยโอกาสกับคนมีเงินจากอำนาจเถื่อนที่ใช้เส้นสายและคอร์รัปชั่น" เอาเข้าไปแทนประโยคในเครื่องหมายคำพูดข้างบนได้เลย)

นักวิเคราะห์หลายคนชี้ว่า ระหว่างการดำรงตำแหน่งอันยาวนานของมหาธีร์เขาเคยปรับนโยบายเอียงข้างชาวภูมิปุตรานี้หลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเห็นชัดว่ามันไม่เอื้อต่อภาวะเศรษฐกิจเฉพาะหน้าในช่วงนั้นๆ

ในขณะที่กำหนดเกษียณลงจากตำแหน่งของมหาธีร์เคลื่อนใกล้เข้ามา มีชาวจีนและชาวอินเดียจำนวนมากแสดงความปรารถนาให้เขาเปลี่ยนใจและนั่งเก้าอี้ผู้นำมาเลเซียต่อไป แต่กลับมีชาวมาเลย์จำนวนมากกล่าวหามหาธีร์ว่ากำลังทอดทิ้งหลักการอิสลาม และเขาควรไปได้เสียที

เรื่องที่มหาธีร์ถูกผู้คนมองด้วยทัศนะซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตลอดจนสิ่งที่เขาพูดกับผลอันปรากฏออกมา ดูจะขัดแย้งตรงกันข้ามกันเช่นนี้ มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มาก

อาทิ มหาธีร์เป็นผู้วิพากษ์ทุนนิยมตะวันตกด้วยคารมคมกล้า ทว่าเขาก็เป็นผู้เปลี่ยนแปลงมาเลเซียจากชาติผู้ส่งออกดีบุกและยางพาราที่แสนเอื่อยเฉื่อย กลายเป็นชาติผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมซึ่งแสนคึกคัก

เขาถูกกล่าวหาว่าทำตัวเป็นผู้เผด็จการ แต่เขาก็กำลังก้าวลงจากเก้าอี้ด้วยความสมัครใจ (ในวัย77ปี) โดยที่ระบบประชาธิปไตยของประเทศยังคงอยู่ในร่องในรอย แม้จะถูกวิจารณ์ว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่มาก

รวมความแล้วมหาธีร์เป็นผู้นำที่มีหลากหลายมิติ และชอบที่จะแสดงความคิดเห็นของตนออกมาอย่างโผงผางโดยไม่กลัวความขัดแย้งหรือวิวาทะ เขาไม่ได้พิศมัยประชาธิปไตยแบบตะวันตก ดังที่ในการปรากฏตัวต่อรัฐสภาครั้งสุดท้ายของเขาวานนี้ มหาธีร์ได้ตอบกระทู้ของฝ่ายค้านโดยบอกว่า การมีเสรีภาพมากเกินไปจะทำให้สังคมอันประกอบด้วยหลายเชื้อชาติของมาเลเซียตกอยู่ในภาวะอนาธิปไตย (อย่างกับว่า เขามองเห็นสภาพการณ์ของเมืองไทยยุคปัจจุบันอย่างไงอย่างงั้น)

นอกเหนือจากความคิดชาตินิยมมาเลย์แล้ว ใช่ว่าแนวทางของมหาธีร์จะดำเนินไปอย่างราบรื่นไร้ปัญหา ข้อวิพากษ์ฉกรรจ์ที่มาเลเซียก็ดูจะยังแก้ไม่ตกก็มีอยู่หลายประการ ตัวอย่างเช่น การส่งเสริมคนภูมิปุตราได้กลายเป็นการสร้างทุนนิยมแบบพวกพ้องขึ้นมา(แบบนโยบายประชานิยมของนักการเมืองไทยไง) หรือการมุ่งเอกภาพของชาติก็ทำให้เกิดการปราบปรามผู้มีความคิดแตกต่าง(เกิดขึ้นในเมืองไทยเสมอๆทุกยุคทุกสมัย ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไปบ้าง)โดยอาศัยเครื่องมือซึ่งให้อำนาจครอบจักรวาลอย่างกฎหมายความมั่นคงภายใน

บัดนี้มหาธีร์ก้าวลงจากเวทีแล้ว ผู้นำคนต่อไปของมาเลเซีย คือ อับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี ดูไม่มีสีสันและหลายด้านหลากมิติเหมือนกับมหาธีร์ เขาจะทำได้ดีแค่ไหน คงต้องติดตามกันต่อไป (โดนกดดันจนต้องลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว ด้วยฝีมือของมหาธีร์ผู้สนับสนุนให้ขึ้นมานั่นเอง แต่เขายังโชคดีกว่านายอันวาร์หน่อยที่มิได้ดื้อด้านจนเจ็บตัวหนักเข้าไปอีก)


ใครว่าระบอบประชาธิปไตยไม่มีเผด็จการ?


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มิ.ย. 10, 19:07
ความคิดเห็นของมหาธีร์เมื่อปี 1970  คือการเชิดชูคนมาเลย์ ที่เรียกว่า ภูมิปุตรา  หรือภูมิบุตร  -บุตรของแผ่นดิน  และการบริหารหรือกฎหมายต่างๆก็เป็นไปในทางเอื้ออำนวยผลดีให้คนมาเลย์ ซึ่งมีจำนวนถึง 65% ในประเทศ 
เรื่องสิทธิ์ต่างๆของภูมิปุตรา คุณนวรัตนอธิบายไว้ชัดเจนแล้วในกระทู้ชาวสยามฯ    ดิฉันก็จะฉายหนังซ้ำเพียงแค่สรุปจากหนังสือ Malay Dilemma   ว่า...สิทธิอะไรๆ ก็ไปเทลงที่ภูมิปุตรา   มีส้มทั้งเข่งก็หล่นลงไปทั้งเข่งที่นั่น
ถ้าดิฉันเป็นชาวมาเลย์ในยุค 1970 ที่บ้านเมืองถูกเผาวินาสสันตะโร   ญาติพี่น้องเดือดร้อน ทั้งร่างกาย ทรัพย์สินและชีวิต จากคนอีกเชื้อชาติหนึ่งที่ก็อยู่ๆกันแถวนั้นแหละ     
เราก็ต้องโกรธคนพวกนั้น และนับถือวีรบุรุษคนหนึ่งที่ประกาศองอาจว่า  แผ่นดินนี้ พวกเราครอง  ไม่ใช่เขา  ไม่ต้องมาปรองดองกันซะให้ยาก   
อารมณ์กำลังคุกรุ่น   จะให้ยอมปรองดองกับคนที่ตีหัวเราเลือดอาบ(แม้ว่าเราก็แทงเขาเลือดสาดด้วยก็ตาม)  ขอให้จับมือคืนดีกัน เลิกแล้วกันไป  ใครจะยอมง่ายๆ   
ก็มันมาตีหัวเราก่อน เราก็ต้องแทงสวนเข้าไปเพื่อป้องกันตัว  อะไรทำนองนี้

ถ้านักการเมืองคนหนึ่งแสดงเปิดเผยว่าเข้าข้างเรา  มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือประกอบด้วย  ไม่ใช่แค่พ่นลมปากเอาใจไปวันๆ     คะแนนนิยมก็พุ่งสูงเป็นธรรมดา   
เรียกว่าเป็นวีรกรรมที่ถูกจังหวะเวลาอย่างยิ่ง

ประเทศไทยไม่มีภูมิปุตรา และคนที่ไม่ใช่ภูมิปุตรา  แต่เรามีช่องว่างค่อนข้างกว้างระหว่างคนรวยกับคนจน  (ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาย่อมจะมีเสมอ    ถ้าพัฒนาแล้วช่องว่างก็ไม่ถ่างมากเท่าไร)  คนจนอาจมีมากกว่า 65% เสียอีก 
แต่คนจนของไทยไม่เหมือนภูมิปุตราและคนที่ไม่ใช่ภูมิปุตรา     ต่างกันตรงที่ว่า ทั้งภ.ป. และ non- ภ.ป. เกิดมาก็ประทับตรา"เป็น" กันเลย     ขยับเขยื้อนเลื่อนขั้น หรือยกเลิกไม่ได้   การ"ได้มากกว่า"และ"เสียมากกว่า" ก็เลยเป็นแอกให้แบกติดอยู่กับตัวเขาจนตาย 
ส่วนคนจนของไทยไม่ได้เกิดมาโดยถูกประทับตรา   คุณมีสิทธิ์จะพ้นจากความจนขึ้นไปเป็นไม่ค่อยจน  พอมีพอกิน  และรวยก็ได้ถ้าคุณหาช่องทางเป็น     คนรวยก็เหมือนกัน อาจจะหล่นวูบลงมาหมดเนื้อหมดตัวได้   ถ้าตัดสินใจผิดช่องทาง   
การดิ้นรนของคนจนประเทศไทย จึงยืดหยุ่นได้และหาช่องทางได้เสมอ   อาจต้องใช้เวลานานบ้าง ทำสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง   แต่ "โอกาส" มีมาให้ ไม่ใช่ไม่มี  เพียงแต่ต้องอดทนบากบั่น
เศรษฐีไทยมีกี่คนที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาแต่เกิดแล้วยังกินช้อนทองไปจนตาย   ส่วนใหญ่ที่ลงประวัติกันอย่างภาคภูมิใจก็เสื่อผืนหมอนใบมาจากจีน   หรือขับรถบรรทุกส่งของกันตอนหนุ่มๆ    หรือแบกหามช่วยพ่อแม่ขายของ  เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดกันมาทั้งนั้น
คนจนก็มีสิทธิ์เรียนสูงได้  มีทุนให้เรียนจบปริญญาได้    ถ้ามุมานะและสติปัญญาไม่ทึบจนเกินไป    ไม่มีการกีดกันด้านการศึกษา   
แต่ต้องเข้าใจว่าการศึกษาคือการพัฒนาสมองให้คิด  ไม่ใช่พัฒนาสมองให้จำ   ข้อนี้ถ้าจะบ่นต่อ กระทรวงศึกษาธิการคงจะรับไปเต็มๆ   อย่าเพิ่งเลย
สรุปแล้วคนจนของไทยมีสิทธิ์เงยหน้าอ้าปากได้   มากกว่า non-ภ.ป.

ดิฉันจึงไม่ค่อยเชื่อทฤษฎีรากหญ้า ว่ามันจะคับแค้นจริงอย่างที่นักวิชาการบางคนระบายสีเอาไว้แบบนั้น  แต่ถ้าถามว่าระบบในสังคมไทยเอื้อคนรวยมากกว่าคนจนจริงไหม  ก็บอกว่าจริง   แล้วไม่ได้แก้ได้ทันทีด้วยพรรคการเมืองพรรคไหนมาเป็นรัฐบาลด้วย

ขอดัดแปลงคำพูด ตามที่คุณนวรัตนเปรยๆ แนวทางไว้

“ถ้าคุณไม่สามารถสร้างให้เกิดความสมดุลทางเศรษฐกิจของพวกคนรวย กับคนจน  มันก็มีอันตรายเสมอที่จะเกิดการอิจฉาริษยากัน และสิ่งนี้ก็อาจถูกนำไปใช้โดยคนที่ไร้ความรับผิดชอบบางคน”


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 มิ.ย. 10, 20:12
ผมเห็นจะจบกระทู้นี้ได้แล้วกระมังครับ..?


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มิ.ย. 10, 20:24
 :-X
งั้นไม่พูดอีกแล้วค่ะ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 มิ.ย. 10, 20:46
ขอประทานโทษเถิดครับ ผมมิได้หมายความอย่างนั้น
เชิญท่านอาจารย์ต่อประเด็นที่ยังติดใจได้ครับ

ถ้าจะให้ดี ท่านผู้ที่เข้ามาอ่านอย่างเงียบๆจำนวนไม่น้อย(สำหรับเรื่องหัวข้ออย่างนี้)
จะแสดงความเห็นของท่านบ้างก็จะวิเศษ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มิ.ย. 10, 20:57
มิได้ค่ะ  ไม่ได้คิดว่าคุณนวรัตนต่อว่าต่อขานอะไร
ดิฉันหมดภูมิพอดี  ยังนึกไม่ออกว่าจะมีอะไรมาต่อ 
อยากฟังความเห็นคนอื่นๆเหมือนกัน   รู้สึกว่ามีแต่ ๒ คนอยู่บนเวที  แถมไม่มีคอนเสิร์ตประกอบ   ย่อมไม่คึกคักเอาเสียเลย
คุณวันดี คุณเพ็ญ คุณหลวง คุณศิลา คุณ CVT คุณBharamet   ไม่แอะอะไรบ้างหรือคะ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 01 มิ.ย. 10, 21:34
เข้ามาส่งเสียงว่ายังตามอ่านอยู่ครับ

จะว่าไปแล้ว ผมเคยถกประเด็นการเมืองในประเทศทั้งสองเปรียบเทียบ
สถานที่ ที่นั่งถกกัน เป็นเหลาแห่งหนึ่งห่างจาก KL Sentral ประมาณ 2 กม.
เหตุการณ์เกิดเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2553 (ครับ หมาดๆมานี่แหละ)
เพื่อนชาวจีน-มาเลย์ ส่งเสียงล้งเล้งเต็มที่ แสดงความอิจฉาเสรีภาพ+การแสดงออกทางการเมืองของไทย
ในขณะที่ผมก็ เห็นตรงกันข้าม (เข้ากันกับหัวกระทู้ มองมาเลย์ เหล่ดูไทย)
ครั้นพอดึกเข้า เหล้าเริ่มเดิน เสียงเริ่มดังเต็มที ผมเลยเกริ่นไปว่า อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวคนเชื้อสายมาเลย์มาได้ยินเดี๋ยวหมั่นไส้
แล้ววันนั้นเอง ผมก็ได้ความรู้ใหม่ว่า เหลาใหญ่ๆในมาเลย์เซียหลายแห่งที่ขายอาหารจีนและขายเหล้า จะไม่มีคนมาเลย์เข้ามานั่งปะปนด้วยเด็ดขาด
เพื่อนบอกว่า เพราะเหลาเหล่านี้ ขายอาหารที่ประกอบจากสุกร(กับข้าวเนื้อหมู) และขายสุรา ด้วย
นี่แหละที่ผมกลับไปคิดว่า นี่เป็นสิ่งที่อาจถูกมองได้อีกแนวว่า คนเชื้อสายจีน ถูกมองว่า มีดินแดนส่วนตัวที่คนมาเลย์มุสลิม ไม่อาจเข้ามาเฉียดกรายได้

ในขณะเดียวกัน ที่ทำงานเพื่อนผมกลุ่มนี้ ระดับเมเนเจอร์ ล้วนแล้วแต่เป็นคนเชื้อสายจีน
แต่มีพนักงานระดับโอปะเรเตอร์ เป็นคนเชื้อสายมาเลย์จำนวนไม่น้อย
เลขาฯเพื่อนผม เป็นก็สาวเชื้อสายมาเลย์คนหนึ่งสรวมฮิยาร์ปมาทำงาน
ถูกโปรโมทขึ้นมาจากระดับล่าง แต่ขอโทษเถอะครับ ทำงานไม่ค่อยจะได้เรื่องเท่าใหร่ครับ
ตลอดช่วง หก-เจ็ดเดือนที่ติดต่องานกัน ผมต้องมีเรื่องหงุดหงิด กับเลขาฯ เพื่อนคนนี้มากๆ
วันนี้ก็ต้องยกหูทางไกลไปคอมเพลน เป็นคนประเภท ไฟไม่ลนก้น ไม่ถูกตำหนิหนักๆ งานก็จะไม่เดิน

ผมยอมรับว่า เป็นลักษณะการทำงานหรือนิสัยเฉพาะคน แต่ก็อดบ่นไม่ได้
ผมได้ถามเพื่อนผมไปว่า เปลี่ยนตัวเลขาฯไม่ได้หรือ ผมเห็นน้องอีกคน หมวยๆ ท่าทางคล่องทำงานอยู่ในแผนก
เพื่อนผมตอบว่า ถ้าจะปลด จะเปลี่ยนงาน เรื่องค่อนข้างใหญ่ เลยไม่ค่อยอยากยุ่ง
รอให้ถึงวาระ แล้วค่อยเปลี่ยนเลขาฯ แล้วกัน
ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่ไม่กล่าวถึงต่อแล้วกันนะครับ


เอาเป็นว่า มาลงชื่อตามอ่าน แล้วก็ขอเสนอหน้าส่งเสียงบ้าง แม้อาจารย์ฯจะไม่เชิญก็ตามที (ผมหน้าด้านอยู่แล้วครับ อิอิอิ)


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มิ.ย. 10, 22:08
ขอต้อนรับค่ะ   ขอโทษที่เชิญไม่ทั่วถึง   
กระทู้ค่อยคึกคักขึ้นมาหน่อย      อยากฟังประสบการณ์ในมาเลเซียอีกค่ะ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 มิ.ย. 10, 07:19
                 เพลง “ข้าวนอกนา” ในมาเลเซีย

         Cina balik Cina  –  chinese go back to china      
Kalau semua balik ah  –  if everyone goes back
  Sini bukan Malaysia  –  this place isn't Malaysia

           เจ๊กจงกลับเมืองจีน    เจ๊กจงกลับเมืองจีน
          
                ถ้าเจ๊กหมดไป     ที่นี่ก็ไม่ใช่ เมืองมาเลเซีย


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 มิ.ย. 10, 07:58
คนร้องเพลงนี้ จะให้เจ๊กกลับไป  หรือไม่อยากให้กลับกันแน่  ???


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 มิ.ย. 10, 14:11
เข้ามาลงชื่อว่าตามอ่าน ครับ

            มองเขาแล้วเหล่ดูเรา จะกล่าวรวบรัดว่า เขาเกิดเหตุการณ์ไม่สงบรบกันเองเมื่อหลายสิบปีก่อน
แสดงว่า เขาก้าวหน้าและเราตามหลังเขาอยู่หลายปี ได้หรือไม่ :)

            ปัญหาศาสนาของมาเลย์ยังกรุ่นอยู่ เมื่อไม่นานก็มีข่าวคริสต์ อิสลาม

             แต่สิ่งที่บ้านเขามีแล้วบ้านเราไม่มี(ที่หลายคนเห็นพ้อง) คือ รัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูง
(เผด็จการประชาธิปไตย ?) คอรัปชั่นน้อย และระบบรากฐานที่อังกฤษผู้ปกครองเดิมวางไว้ดี

             ไม่ทราบว่า อังกฤษแสดงท่าทีหรือมีบทบาทอย่างไร ตอนเกิดความวุ่นวายนั้น ครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 มิ.ย. 10, 19:33

คุณSILAครับ ถ้าความก้าวหน้าที่คุณว่าเป็นความก้าวหน้าลงคลองผมก็เห็นด้วย อันที่จริงการรบราฆ่าฟันกันเองระหว่างคนไทยเราก็มีมาตลอดเหมือนกัน 2476ก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่การปลุกระดมคนสองฝ่ายให้เกลียดกันอย่างเข้ากระดูกดำแล้วก่อจลาจลฆ่ากัน แล้วเผาบ้านเมืองของตัวเองนี่ เราไม่ควรจะก้าวมาทันลงคลองหลังเค้าตั้ง40ปี จนเค้าขึ้นจากคลองไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่นมนานแล้ว

ยังดีนะครับ ในความเหมือนที่แตกต่างอีกอย่างหนึ่ง ในมาเลย์ตอนนั้นเขาใช้ยุทธศาสตร์ม็อบชนม็อบ แล้วฝ่ายรัฐที่คุมบังเหียนโดยกลุ่มอัมโนก็ถือว่าชอบธรรมที่จะส่งทหารมาเลย์เข้าจัดการ มีอำนาจตามกฏหมายที่จะยิงคนที่ฝ่าฝืนคำสั่ง และคนที่ถูกยิงส่วนใหญ่เป็นคนจีนตามแผนเป๊ะ แต่ในเมืองไทยคราวนี้  แกนนำเสื้อสีต่างๆพยายามที่จะรักษาระยะห่างระหว่างกันไว้ได้อย่างน่าชมเชย มิฉนั้นถ้าเกิดเหตุการณ์ม็อบชนม็อบก็คงจะจิ๊บหายวายป่วงยิ่งกว่านี้ ในมาเลเซียใช้เวลาร่วมสามเดือนถึงจะหยุดมิให้มีเลือดเปื้อนแผ่นดินได้จริงๆ

แม้มาเลเซียยังดูว่ามีความขัดแย้งในสังคมอยู่มาก แต่พวกเค้าก็พยายามบีบช่องว่างลงเรื่อยๆ ข้อสำคัญคือกฏหมายและการรักษากฏหมายอย่างเคร่งครัด ใครจะเรียกว่าเป็นเผด็จการก็เชิญเรียกไป ฝรั่งนั้น มองว่าถ้าบ้านเมืองมีการเลือกตั้งก็เป็นประชาธิปไตยแล้ว (พม่าไม่ต่างกับเขมร แต่ไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง เลยโดนฝรั่งบีบอยู่นั่นแล้ว) มหาธีร์เคยพูดตอนขึ้นเป็นนายกใหม่ๆว่า คนจีนอย่าหวังจะได้รับการยอมรับให้มีสิทธิ์เท่าภูมิปุตราในเร็ววัน ไม่มีทาง อย่างน้อยก็อีกร้อยปีถึงจะเป็นไปได้  แต่ร้อยปีของมหาธีร์ก็ปาเข้าไปครึ่งทางแล้วในพ.ศ.นี้ เผลออีกแปร๊บเดียว เขาอาจถมช่องว่ามิดแล้วก็ได้

ที่ถามว่าอังกฤษมีปฏิกิริยาอย่างไรหลังวิกฤต13พ.ค. รัฐบาลอังกฤษก็ได้แต่เพียงแสดงความเป็นห่วงเป็นใยไปตามเรื่องแหละครับ ให้เอกราชไปแล้วก็เข้าไปก้าวก่ายกิจการภายในของเค้าคงไม่ได้ ถ้าหากว่าคนอังกฤษมิได้ถูกฆ่าตาย หรือทรัพย์สินของคนอังกฤษมิได้ถูกเผาทำลาย ก็คงยุ่งได้แค่ห่างๆแหละครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: bookaholic ที่ 02 มิ.ย. 10, 20:18
หนึ่งในเสียงเงียบครับ 
ผมเป็นคนไม่ค่อยเชื่อการเมืองว่าประเทศไหนจะดีกว่าประเทศไหน   เห็นสูสีกันอยู่    อาจมีคนมองว่ามาเลเซียนำหน้าเราไปหลายขุม ก็จริง   แต่ลึกลงไปมันก็มีคลื่นใต้น้ำก่อตัวมาตลอด  ทุกวันนี้ก็ยังมี
แว่วมาว่าพรรคอัมโนซึ่งเคยมีมาตรฐานเข้มข้น ปีที่แล้วก็มีกลิ่นตุๆลอยออกมา เหมือนกัน    แม้แต่นายราจิบ ราซัคเองก็มีข่าวกวาดขยะส่วนตัวกับลูกน้องไว้ใต้พรม        ถ้ามองลึกลงไปผมก็เห็นว่าเรายังมีส่วนดีของเรา ที่ไม่ยุ่งยากอย่างเขา   แต่เขาก็มีส่วนดีของเขาที่ไม่ยุ่งยากอย่างเรา  ถัวเฉลี่ยแล้วปานๆกัน 
ถ้ามองเขาแล้วย้อนมองเรา     ส่วนหนึ่งปัญหาจลาจลเกิดได้ในปีนี้  เพราะการตั้งรับของพี่มาร์คไม่ค่อยจะเข้มแข็ง  ไม่ทันการณ์เอาเสียเลย    ปล่อยปัญหาป่าล้อมเมืองให้ลุกลามมาได้ตั้งแต่เมษาปีก่อน    จะย้ายผู้ว่าหรือเครื่องแบบก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร   จนกระทั่งป่าบุกเข้ากลางใจเมือง   ก็ยังปรองดองกันอยู่    จนเผาบ้านเมืองเศรษฐกิจมหาวินาศไป  ถึงได้ลุกขึ้นมาเด็ดขาดได้ซะ
ฟังอภิปรายในสภาแล้วเป็นไงบ้างครับ   ผมเฉยๆนะ   ทำใจว่าเป็นละครฉากหนึ่งก็ไม่อินอยู่แล้ว   ท่านเหล่านี้พร้อมจะฟาดฟันกันให้แตกดับได้ในวันนี้  แต่ก็ย้ายพรรคเปลี่ยนใจไปกอดคอกันได้ในวันหน้า    ในอดีตเราก็เคยเห็นกันบ่อยๆ     ท่านเชือดเฉือนกันสะใจยังไง  ผมก็เลยไม่ค่อยมันครับ 
ไม่รู้ว่ามาเลย์เขาทำกันแบบนี้หรือเปล่า


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 มิ.ย. 10, 20:45
ขอโทษคุณBookaholicด้วยครับ ผมไม่ใช่ผู้ชำนาญในเรื่องการเมืองของไทย หรือของมาเลเซียระดับไหนทั้งสิ้น ที่อาสามาเขียนให้อ่านกันยืดยาวก็ล้วนแต่เป็นเรื่องในอดีตที่ส่วนหนึ่งกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว พอเขียนให้สนุกได้(แหะ แหะ คือผมสนุกน่ะครับ ส่วนท่านอ่านแล้วอาจจะบอกว่าไม่เห็นสนุกก็ได้) แต่ถ้าจะให้เขียนเรื่องการเมืองล้วนๆ ผมคงเขียนได้ไม่สนุก โดยเฉพาะการเมืองไทยในปัจจุบัน อภิปรายไม่ไว้ใจอะไรที่เพิ่งผ่านไปนี่ ผมไม่ดูเลย นั่งอยู่คนละห้องที่ทีวีตั้งอยู่ พิมพ์กระทู้นี้ต็อกๆแต็กๆไปเรื่อยๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งเสียงมันผ่านหูผมเข้ามายังไงไม่ทราบ พอรู้ว่าเป็นเสียงใคร และกำลังพูดอะไร ผมก็อยากจะลุกขึ้นไปทห่ด้ฟฑแสเนนห…ให้มัน แต่ยังดีที่คุมสติตนเองไว้ได้


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: bookaholic ที่ 02 มิ.ย. 10, 21:22
ผมว่าท่าน Navarat C. ถ่อมตัวมากไปมะคับ
คุยระดับสภากาแฟก็ได้ครับ   ถ้าไม่อยากเจาะลึก เกรงกระเทือนม้ามใครเข้าได้ง่ายๆ เราก็คุยกันไปแบบเงี้ยครับ
ผมชอบดูเขาอภิปราย   มันทดสอบความอดทนที่จะไม่ /@#$%% จอทีวีเอาง่ายๆ  ถ้าทนรายการนี้ได้ ทนฟังอย่างอื่นเรื่องเล็กครับ
ผมเข้ามาอ่านบ่อยครับ แต่ไม่ค่อยล็อกอินเข้าระบบ    ความรู้น้อยได้แต่อ่านอย่างเดียว  หลังๆนี้ก็ไม่มีเวลาเปิดตำราซะด้วย
ก็ขอมาฟังท่านเล่าอะไรๆต่อไปอีกนะครับ    นานๆ สนุกได้ที่   อาจจะแจมซะที


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 มิ.ย. 10, 23:03
การเมืองตอนที่ฝุ่นตลบนี่ มันไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ยืนตำแหน่งไหน สมมติว่าเราอยู่ที่นั่น เห็นนายก(อ่านว่านาย ก.)ยืนอยู่จริงๆ แล้วเราร้องบอกว่า นายกอยู่ตรงนี้ ไอ้คนที่ฝุ่นมันบังอยู่ ก็อาจจะเห็นว่าเราโกหกก็ได้ เพราะมันเชื่อว่ายังไงๆนายกก็ต้องอยู่ตรงจุดที่มันเชื่อ  ผมจึงชอบเขียนเรื่องการเมืองตอนที่ฝุ่นมันจางแล้วครับ ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง

สองสามปีที่ผ่านมา ผมเมามันกับเรื่องการเมืองมาก เสพย์มันทุกสื่อ ทั้งอินเตอเน็ท หนังสือพิมพ์ วิทยุ และทีวี แทบจะประสาทรับประทาน บังเอิญมีพระมาโปรดให้ผมฝึกดูจิต คือฝึกตามรู้ตามดูกิเลศของตน ตัวแรกเลยที่ฝึกแล้วเห็นชัดคือตัวโทษะ ตัวอื่นๆเช่นโลภะ หรือที่ดูยากคือโมหะ(แว็บหลงไปคิดเรื่องไม่ควรคิด)ก็ไม่ร้ายเท่าโทษะนี้ เมื่อเริ่มฝึกตนเองดังกล่าวสักพัก ผมก็ค่อยๆลดความบ้าระห่ำในการเสพย์สื่อลงไปเอง จนช่วงหนึ่ง ผมเลิกไม่ดูไม่ฟัง ไม่อ่าน มันก็ดีขึ้นนะครับ แต่ก็เห็นว่ากิเลสโทษะมันลดลงก็จริง แต่เป็นเพราะเราไปกดมันไว้ วันดีคืนดีเผลอไปเห็นหน้าไอ้พวกเบื๊อกเข้า โทษะก็โผล่มาทำร้ายตัวเราเองอีก แต่ระยะหลังนี้ สติเริ่มมาไว พอเห็นโทษะปุ๊บ สติมาปั๊บ โทษะก็ขาดลงตรงนั้น ชีวิตผมก็เริ่มเป็นธรรมชาติขึ้น คือไม่ดูแต่ไม่หนี เมื่อไรอยากดูก็ดู อยากอ่านก็อ่าน ตัวโทษะโผล่ขึ้นมาก็รับรู้ว่ามันโผล่ขึ้นมา สติมาทันก็กลับเป็นกลางใหม่  คือไม่ได้ฝึกอดทนที่จะดูคนพวกที่เราเกลียดนะครับ แต่ผลลัพท์วันหนึ่งก็อาจจะคล้ายๆกับที่คุณBookaholic ว่า ถ้าทนรายการอภิปรายฯนี้ได้ ทนฟังอย่างอื่นก็เรื่องเล็ก แต่จุดหมายอันยาวไกลของผมน่าจะเป็น เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน แต่ไม่มีกิเลศมาเกาะอารมณ์

อ้าว นี่เรากำลังคุยการเมืองกันอยู่หรือเปล่านี่  ถูกโจทย์หรือเปล่า?

ผมจะไปต่างจังหวัดแต่เช้าสองวันนะครับ ไม่ได้ตัดช่องน้อยหนีไปไหน อยู่ทางนี้ท่านคุยกันไปก่อนนะครับ ถ้าค่ำๆเข้าเนทได้ก็จะมาร่วมด้วยครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 02 มิ.ย. 10, 23:47
กลับมาจากที่ทำงาน นั่งอ่านความเห็นของหลายๆท่าน แล้วคันมือ ขอพิมพ์ตอบบ้างไม่ให้กระทู้เงียบ


ก่อนอื่นต้องขอประทานโทษคุณครูใหญ่เทาชมพูก่อนครับ ผมไม่ได้มีเจตนาใดอื่น
ต้องการเพียงแค่ส่งเสียงจริงๆ 
คุณครูใจกว้าง ถือเสียว่า ลูกหลานรัก จึงกล้าพูดเล่นจนลืมกาลเทศะครับ ต่อไปจะไม่กล้าหยอกแบบนี้แล้วครับ

ต่อมา ขอแสดงความคิดเห็นว่าเห็นด้วยกับคุณ BookAholic บางประการครับ และก็เห็นด้วยกับคุณ Navarat.C ครับ
แต่ที่อยากส่งเสียงรอบนี้คือ คุณ Navarat.C ถ่อมตนมากไปครับ
ผมดันเป็นคนประเภท ที่ชอบฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องครับ
ผู้อาวุโส (โดยเฉพาะท่านที่แซยิดใหญ่ไปแล้ว) เล่าแล้วก็ควรฟังครับ สนุกหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่คนเล่าครับ แต่อยู่ที่คนฟัง
แต่ผมฟัง(อ่าน)แล้วสนุกทุกครั้ง ไม่ว่าจะอ่านซ้ำกี่รอบก็สนุก

อย่างไรก็ขอส่งให้คุณ Navarat.C ออกเดินทางก่อนครับ หากระหว่างทางมีเรื่องก็กลับมาเล่าบ้างนะครับ
จะรอคอยเช่นเดิม
ส่วนทางผม ก็ขอนั่งอ่านต่อไปเงียบๆ  สนุกคนเดียวต่อครับ เพราะเชื่อส่วนตัวว่ากระทู้นี้เดินไปเรื่อยๆ ครับ





กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มิ.ย. 10, 08:57
อ้างถึง
ก่อนอื่นต้องขอประทานโทษคุณครูใหญ่เทาชมพูก่อนครับ ผมไม่ได้มีเจตนาใดอื่น
ต้องการเพียงแค่ส่งเสียงจริงๆ  
คุณครูใจกว้าง ถือเสียว่า ลูกหลานรัก จึงกล้าพูดเล่นจนลืมกาลเทศะครับ ต่อไปจะไม่กล้าหยอกแบบนี้แล้วครับ
อย่าร้อนตัวกลัวผิดเลยค่ะ   ดิฉันไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย  เชิญเข้ามาพูดคุยตามสบาย
ถ้าคุยกันอยู่แค่ ๒-๓ คน  ก็จะหมดเรื่องคุยกันเร็ว

คุณบุ๊คหายไปเสียนาน   ถ้ามีเวลาก็แวะมาแจมกันอีกนะคะ  


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: bookaholic ที่ 03 มิ.ย. 10, 16:16
เข้ามาตามคำบัญชาแล้วครับ
ผมเขียนคู่มือดู(หรือฟัง)การอภิปรายในรัฐสภาให้เป็นสุข    มาเผื่อเรือนไทย
1  วิธีอย่างท่าน Navarat C. ปฏิบัติก็ยอดเยี่ยมครับ  คือตามจิตให้ทัน     ดูแล้วปรี๊ดแตกก็ให้รู้ว่า นี่ตัวโทสะนะ กิเลสนะ    รู้เท่าทันมันนะ   มันตั้งขึ้น เป็นอยู่ และดับไป  ไม่คงทน  อย่าไปยึดติดกับมัน  เพ่งมองมันเหมือนเรามองนกนอกหน้าต่าง  เดี๋ยวมันก็บินไป  อย่าไปจับนกไว้ละกัน  นกมันจะขี้รดเอา
2  ทำใจว่ากำลังดูละครรอบดึก เรื่องนึง มีให้ดูฟรีๆก็ดูไป  ง่วงเมื่อไรเข้านอน    ไม่อยากดูก็ไม่ต้องดู  อยากดูก็ดู    ดูแล้วต้องรู้ว่านักแสดงเค้าเล่นเสร็จเค้าก็กลับบ้านไปนอนหลับสบาย  เผลอๆพระเอกผู้ร้ายกอดคอไปกินเหล้าต่อกันในผับ   เราคนดูอินกับมันมาก นอนไม่หลับ ตื่นสาย ทำงานไม่ทัน โทรม สุขภาพจิตเสีย  ไม่คุ้มครับ
3  ถ้าอัดอั้นเต็มแก่ อย่าเก็บกด อันตราย   อยากด่าก็ตะโกนด่า อยากร้องก็ร้อง เอาให้สุดเสียงถ้าแน่ใจว่าไม่รบกวนคนอื่น    เสร็จแล้วลงวิดพื้น ซิทอัพ ออกกำลัง เตะตะกร้ออะไรก็ได้   ระบายอารมณืออกไปทางกำลังกาย   เพลียแล้วหายเครียดเองครับ   อย่าเผลอเขวี้ยงจอทีวี  มันแตกต้องซื้อใหม่  ไม่คุ้มเช่นกันครับ
4 นั่งปลงครับ    ยังไงเราก็เกิดในประเทศนี้   หนีไม่พ้น     เอาเป็นว่าเลือกตั้งครั้งหน้าอย่าเลือกละกัน    ถ้ารวมกลุ่มกับเพื่อนๆทำกิจกรรมเพื่อการเมืองได้ก็ทำไป    หลายเสียงรวมกันข้อต่อรองจะมีน้ำหนักมากขึ้นครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 03 มิ.ย. 10, 16:27
เข้ามาแสดงตนว่าอ่านครับ แต่เป็นคนที่ไม่สันทัดเรื่องการเมืองจึงเพียงขออ่านนะครับ
มานิต


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 มิ.ย. 10, 07:04

ผมเข้ามาอ่านในรอบนี้แล้วครับ

ไม่มีอะไรจะเพิ่มเติมนอกจากจะขอประท้วงคุณDiwali

คำว่าแซยิดใหญ่ ช่วยกรุณาถอนคำว่า"ใหญ่"ด้วยครับ
ไม่งั้นผมไม่ยอมจริงๆด้วยนะครับ ท่านประธาน


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มิ.ย. 10, 09:31
ประธานแถมให้   ขอสั่งถอนทั้งกระบะ จาก"แซยิดใหญ่" เป็น ๔๐  (เอา ๑๐๐ เป็นตัวตั้ง  ว่าเหลืออีกเท่าไรค่ะ )
 ;D


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 04 มิ.ย. 10, 19:55
ขอประทานโทษ ครับท่านประทาน และท่านสมาชิกที่ถูกพาดพิง คุณNavarat.C (ขออภัยที่เอ่ยนาม)

ที่กระผมกล่าวถึงแซยิดใหญ่ ไม่ได้หมายถึงท่านใดเป็นพิเศษครับ

ผมเพียงแต่ยกกรณีผู้อาวุโสที่ อาวุโสมากๆ มีประสบการณ์สูง ย่อมมีเรื่องเล่าที่น่าฟัง

แต่ในเมื่อท่านประธานวินิจฉัยแล้ว ผมขอถอน คำว่าแซยิดใหญ่ ครับ
ขอใช้คำว่า ขิงแก่ แทนก็แล้วกันครับ

อิอิอิ

หยอกผู้ใหญ่นิดๆหน่อยๆ เอาให้กระทู้พอกระชุ่มกระชวย

ปล.ขออนุญาต เงียบหายสักสองสามวันครับ ต้องเดินทางไปปฏิบัติภาระกิจที่หัวเมืองชายแดนตะวันออก
กลับมาแล้วจะมาแชร์ประสบการณ์จากการถกเถียงกับเพื่อนชาวมาเลย์ ที่วิพากษ์นักการเมืองประเทศเขาในยุคปัจจุบันครับ
ประเด็นที่ผมถกกันตอนนั้น คือ อภิมหาเมกะโปรเจค ของท่านมหาเด่ว์ ทิ้งทวนก่อนเลิก ครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 มิ.ย. 10, 06:50
ก่อนอภิมหาเมกะโปรเจคจะมา ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์13พฤษภาของมาเลเซียอีกเรื่องหนึ่งที่ผมบันทึกมาเก็บไว้ หลังจากที่มีข่าวว่า คนจีนถูกกองกำลังในเครื่องแบบของมาเลย์สังหารไปแยะโดยที่ไม่มีเหตุอันควร  เรื่องดังกล่าวนี้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งของมาเลเซียซึ่งเป็นคนจีน ได้ออกมาช่วยปฏิเสธ

“ข้าพเจ้าได้ติดตามเจ้าหน้าที่หน่วยปราบจลาจลผู้ใต้บังคับบัญชามาเลย์ของผม ได้ยินกับหูและได้ถ่ายภาพยนต์ไว้ด้วย ยังจำที่เขาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเรียบๆต่อข้อเรียกร้องของพวกม็อบ จะให้ส่งตัวพวกไม่ใช่คนมาเลย์ที่แกล้งทำเป็นตายแต่ได้โอกาสก็รีบมาขอให้ตำรวจคุ้มครอง เสียงนั้นยังคงก้องกังวานอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้า

“ก็ถูกอยู่ พวกท่านเป็นมาเลย์และผมก็เป็นมาเลย์ แต่นี่เป็นเขตที่ความเหมือนกันของเราจบลงตรงนี้ พวกท่านไม่มีอำนาจมาสั่งการ ผมเป็นตำรวจ ถ้าหากพวกท่านล้ำเส้นเข้ามา เลือดสีเดียวกันของเราทั้งคู่ก็ต้องไหลนองนั่นแหละ”

พวกม็อบจึงได้ยุติการเรียกร้อง”


ผมมองเขาแล้วก็เหล่ดูเรา คิดว่าทหารและตำรวจไม่ว่าชาติไหนก็มีธรรมชาติเหมือนกัน ไม่ว่าจะเปลือกสีอะไรเนื้อสีอะไร ในที่สุดก็ต้องถือปฏิบัติตามวินัยและหน้าที่ คำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติ จะละเว้นมิได้ เมื่อถึงเวลาจะแตกหักกันแล้วถ้าคิดว่า เขาจะเอาความรู้สึกส่วนตัวเป็นใหญ่คงไม่ใช่


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มิ.ย. 10, 07:41
อ้างถึง
ก่อนอภิมหาเมกะโปรเจคจะมา


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: bookaholic ที่ 07 มิ.ย. 10, 21:07
มาจองเก้าอี้ 1 ตัวครับ
เรียนท่านประธานที่เคารพครับ    กระผมขอแปรญัตติ เรื่องแซยิดใหญ่     แค่ถอนคำว่าใหญ่   กับเปลี่ยนแซยิดเป็น 40   ยังไม่พอครับ   คำว่า 40 อาจจะกระทบกระเทือนผู้ใกล้ๆหรือเกินๆ 40 ในเรือนไทย  หลายคนครับ
ผมขอเสนอให้ใช้คำว่าเบญจเพส ให้หมดเรื่องหมดราวครับ   เพราะแน่ใจว่าไม่ใกล้ใครในเรือนไทย หรือใกล้ก็น้อยคนมากครับ  ขอบคุณครับ

เรื่องของตำรวจในประเทศไหนก็ตาม  ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาจริงครับ   ทีนี้มันสำคัญว่าผู้บังคับบัญชาของพวกเขาปฏิบัติตามใคร เท่านั้นครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มิ.ย. 10, 22:41
ถ้าหากว่าเบญจเพสยังกระเทือนอยู่ จะลดลงถึง ๑๕ ไหมคะ ;D

ปัญหาอีกอย่างของมุมมองทางการเมือง คือใช้วิจารณญาณในการรับความเห็นจากสื่อ ค่ะ   
ไม่ว่าสื่อไหน  ดิฉันไม่เชื่อว่าจะมีคำว่า "เป็นกลาง" ได้อย่างแท้จริง   เพราะสื่อก็คือมนุษย์ปุถุชน  ย่อมมีความเชื่อถือในเรื่องที่เขาเลื่อมใส  หรือด้วยเหตุผลอะไรอีกก็ตาม    การวิเคราะห์วิจารณ์ แม้แต่การเขียนข่าว ก็ออกมาตามที่ยึดถือของสื่อนั้น
เราพบหลายครั้งว่า แม้แต่รายงานข่าว ซึ่งควรเป็นเรื่องข้อเท็จจริงล้วนๆ  ก็ยังไม่ตรงกัน    คนอ่านก็ควรจะกลั่นกรอง  ตรวจสอบหลายๆแห่ง  ก่อนจะตกลงปลงใจเชื่อทางใดทางหนึ่ง


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 08 มิ.ย. 10, 18:30
ขออภัยที่หายไปนานครับ กลับเข้ามาปลุกกระทู้ต่อ

หวังว่าท่านสมาชิกและท่านประธาน คงยังไม่หลับเสียก่อนนะครับ

ผมค้างไว้ ตรงที่เคยอภิปรายกับเพื่อนชาวจีนมาเลย์ ที่กัวลาลัมปูร์ เกี่ยวกับอภิมหาโปรเจคของท่านมหาเด่ว์

จริงๆแล้วโครงการของท่านอดีตนายกฯมาเลย์เซียคนนี้ ก็มีไม่น้อย
แต่ที่เป็นที่ภาคภูมิใจมาก ก็เห็นจะมีอยู่หลายโครงการครับ คือ
โครงการที่มาเลย์เซียแอร์ฮับ KLIA และสนามแข่งรถที่เซปัง เป็นโครงการที่ทำให้เซปังกลายเป็นเมืองสวยงามขึ้นมาทันทีทันใด
นอกจากนั้นยังมีการเนรมิตเมืองไซเบอร์จายา หวังว่าจะสร้างซิลิคอนวาเลย์แห่งภูมิภาคอุษาคเนย์ การเชื่อมต่อทางรถไฟ เซปัง-เคแอลเซนทรัล 
โครงการนี้ เป็นการเนรมิตท้องนาป่าทุ่งให้เป็นเมืองใหม่ที่ทันสมัยจริงๆ ถนนหนทางสวยงาม ไร้กลิ่นไอกำปง จริงๆ


โครงการทางด่วนเหนือใต้ หรือมอเตอร์เวย์ของมาเลย์เซียที่เชื่อหัวเมืองเหนือและใต้เข้าในระบบทางด่วนเก็บเงิน และยังเชื่อมชายฝั่งตะวันออกตะวันตกเข้าด้วยกันด้วย
โครงการสร้างตึกแฝด
โครงการสร้างนครปุตราจายา
ฯลฯ

ผมกับเพื่อนเถียงกันมากมายเกี่ยวกับโครงการเหล่านี้ เช่น โครงการทางด่วนฯ ผมว่า เมืองไทยบ้านเราน่าจะเชื่อมโครงข่ายถนนแบบนี้บ้าง
ไปใหนมาใหนก็ต้องจ่ายตังค่าผ่านทาง แต่แลกกับเวลา ที่ต้องไปติดตามไฟแดงชนบท ต้องคอยขับรถหลบสุนัข โค กระบือ ฯลฯ
ใหนจะเรื่องที่พักระหว่างทาง ที่ทำเป็นระยะ และเป็นที่จอดพักรถบรรทุก ไม่ใช่แบบบ้านเรา รถบรรทุกจอดนอนริมถนนมืด ให้คนขับชิดซ้ายมาตกใจเล่น
ผมมีความเห็นว่า โครงการนี้ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

แต่ทว่า เพื่อนชาวจีนมาเลย์ ก็ไม่เห้นด้วยเสียอีก เขาบอกว่า อิจฉาของไทย ไปใหนก็ได้ไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทาง ถนนก็พอวิ่งได้เร็ว
แล้วเจ้าถนนทางด่วนเหนือใต้ ก็ไม่ได้ออกแบบมาดีนักหนา หากมีอุบัติเหตุเกิดขวางถนนสักสอง-สามจุด รถจะติดทั้งประเทศ

ก็ว่ากันไป นานาทัศนะครับ

มาฝากเท่านี้ก่อน เพราะต้องทำภาระกิจต่อครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 มิ.ย. 10, 19:57
มาเพิ่มเรตติ้งค่ะ
เท่าที่ไปเห็นมาเลเซีย  แบบขี่ม้าชมดอกไม้   อาจเจาะลึกอะไรลงไปไม่ได้   ได้แต่ความประทับใจมาว่า ภาครัฐของเขาดูเข้มแข็งกว่าภาครัฐของเรา    อย่างเช่นผังเมือง และการบริหารจัดการของเทศบาล  มีระเบียบให้นักท่องเที่ยวสบายตาดีมาก
พ้นเขตไทยเข้าไปในเขตมาเลเซีย  อย่างแรกคือถนนเขาสวยมาก    สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้ากว้างขวาง  ไม่ถูกปิดกั้นสายตาด้วยอาคารพานิชย์อย่างเขตไทยที่เพิ่งผ่านมาหยกๆ      บ้านจัดสรรก็จัดเป็นระเบียบสวยงาม  เผลอๆมองไปจะนึกว่าอยู่ในยุโรปหรืออเมริกา
เมืองเล็กๆอย่างมะละกา   จะว่าไปแล้วแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติของเขาแพ้ของเรา   แต่เขาจัดถนนหนทางสะอาดเรียบร้อย   สามล้อประดับดอกไม้ที่ดิฉันชอบ ก็คือความคิดครีเอท   สร้างพาหนะที่ถูกมองข้ามให้เป็นจุดสะดุดตาของนักท่องเที่ยวขึ้นมาได้     แขกไปใครมาต้องไปนั่งสามล้อชมเมือง พร้อมถ่ายรูปไว้
แต่ภาคเอกชนของเรา นำเขาไปไกล   ศูนย์การค้าของเราน่าช็อปมากกว่า     ของน่าซื้อน่าใช้ 

และที่พูดได้เต็มปากคือห้องน้ำ
ใครไปเข้าห้องน้ำในร้านอาหาร ศูนย์การค้า  วัด วิหาร ของเมืองอื่นๆที่ไม่ใช่กัวลาลัมเปอร์   แล้วกลับมาเข้าห้องน้ำไทย จะรู้สึกว่าของไทยเป็นสวรรค์   แม้แต่ตามปั๊มน้ำมันของเราก็เฉียดสวรรค์เมื่อเทียบกับเขา
ยกเว้นชนบทจีนเสียอย่าง   ไม่เคยสยองห้องน้ำในเมืองท่องเที่ยวที่ไหนเท่าที่นี่
เอกชนของเขาควรยกปัญหาห้องน้ำให้เป็นโครงการพัฒนาระดับชาติได้แล้ว    ไม่รู้ว่าปล่อยไว้ได้ยังไง


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 11 มิ.ย. 10, 01:41
รอบนี้ เข้ามาดึก เพราะเพิ่งจะเสร็จงาน

เห็นด้วยกับคุณครูเทาชมพู ครับ

ภาครัฐฯของมาเลย์ แข็งมาก กว่าภาครัฐฯบ้านเราพอสมควรครับ
แต่เพื่อนนักธุรกิจเชื้อไหหลำชาวมาเลย์ของผม ก็วิพากษ์ไว้เสียไร้ชิ้นดี
เขาบอกว่า ในที่สุด กฎหมายก็ออกมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้คนใกล้ชิดท่านผู้นำอยู่ดี
(ผมคิดว่า มีแค่เฉพาะใกล้ๆตัวนะเนี่ย รายละเอียดไม่กล้าเขียนในที่นี้ เพราะไม่มีเอกสารยืนยัน มันมาจากปากคนในวงเหล้า เล่าไปแล้วพาดพิง เดี๋ยวงานเข้า)

ส่วนเรื่องห้องน้ำ ตามร้านอาหารทั่วไป โดยเฉพาะหัวเมืองอื่นๆ ผมว่ามาตรฐานต่ำกว่าบ้านเราครับ
แต่ในเมือง เคแอล อิอิอิอิ
ผมยังวัยรุ่นอยู่

ยังนิยมเที่ยวผับ บาร์  ห้องน้ำในผับบาร์ ดูดี มีสกุลรุนชาติ พอๆ กับโรงแรมสี่-ห้าดาว ครับ
ปล. ผมเป็นขาประจำอยู่ จรัญภูเก็จปินตัง (ประมาณย่านสีลม ในเมืองบางกอก ห่างตึกแฝดไม่กี่ก้าวครับ ผับบาร์เพียบ) 


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มิ.ย. 10, 22:38
มาเพิ่มเรตติ้ง อีกครั้งค่ะ
พยายามจะหาภาพห้องน้ำในมาเลเซียจากกูเกิ้ลมาลงให้ชมกัน    เจอทั้งภาพสวยงาม ซึ่งคงเป็นห้องน้ำในโรงแรมห้าดาว ในเมืองหลวง   
สลับด้วยภาพห้องน้ำตามร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองอื่นๆ  บางภาพชวนขนแขนสะแตนด์อัพ ดังที่เคยประสบมาแล้ว

ภาพที่นำมาให้ดู เป็นระดับเห็นกันทั่วไป  อะไรที่มากกว่านี้ หาเองดีกว่า 
ใครอยากเห็นเชิญพิมพ์คำว่า Malaysian toilet  ในกูเกิ้ลอิมเมจ  แล้วชมตามอัธยาศัย


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 13 มิ.ย. 10, 23:12
ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกไหม?............ว่า

รัฐสภาของมาเลเซียอยู่ที่  east malaysia เมืองกูชิ่ง ซาราวัค เกาะบอเนียว...........รู้สึกว่าที่นั้นมีป่าดงดิบสมบูรณ์มาก..แม้แต่สวนสาธารณะในเมือง ยังมีไม้ใหญ่ขนาดมหึมามากมาย


แต่ความเจริญทางวัตถุ.น้อยกว่าทางมาเลย์ตะวันตก

 :)


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 มิ.ย. 10, 08:10
เป็นรัฐสภาแห่งรัฐครับ
ไม่ใช่รัฐสภาแห่งชาติ

ทุกรัฐมาเลย์บนเกาะบอร์เนียวของมาเลเซีย ธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์มาก
ผมเคยไปครั้งนึง เห็นทุเรียนเนื้อสีแดง แล้วติดใจมาก
พยายามจะเอาเมล็ดกลับมาเพาะแต่ไม่สำเร็จ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 10, 09:14
เซฟรูปไว้แล้ว กำลังจะเข้ามาบอกคุณศรีสยามว่ารัฐสภาแห่งชาติอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ค่ะ
ทุเรียนสีแดง ไม่เคยเห็น   รสชาติเท่าทุเรียนสีเหลืองของเราได้ไหมคะ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 14 มิ.ย. 10, 09:24
ขอบพระคุณอ.เทาชมพูมากครับ


นึกไม่ถึงว่าโรคระบาดแยกสีเหลืองแดง จะลามไปถึงทุเรียนมาเลย์...

น่าตัดต่อพันธุกรรมให้มีสองสีในพูเดียว   ;D


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 14 มิ.ย. 10, 09:36
กราบคารวะ อ.เทาชมพูและท่านเจ้าของกระทู้ด้วยทุเรียนพันธุ์ล่าสุด

 ;)

อย่าลืมแบ่งให้คุณWandee บ้างนะครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 10, 10:12
คุณศรีสยามใช้โปรแกรมตัดต่อภาพอะไรคะ   ชอบตั้งแต่ภาพแมลงใส่สูทแล้ว


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 มิ.ย. 10, 10:13
วาว..น่ารับทานแท้

แต่ขอประทานโทษครับ ทานไปแล้วมันจะเข้าไปป่วนในท้องกระผมหรือไม่
หรือมันสมานฉันท์กันเรียบร้อยแล้ว?


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 10, 10:50
คุณศรีสยามคงจะทดลองแล้วว่า ทุเรียนพันธุ์นี้ปรองดองกัน ถึงผลิตออกมาให้เห็นในกระทู้นี้
แต่ถ้าใครรับประทานเข้าไป  แล้วเกิดพลิกล็อค  ไปเผากระเพาะและไหม้ลามไปถึงลำไส้    ดิฉันก็จะร่างนิรโทษกรรมให้คุณศรีสยามเอง

อยากได้ทุเรียนไร้สีอีกสักลูกค่ะ   เผื่อแก้ปัญหา


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 10, 11:33
ดิฉันเป็นคนเดียวในบ้านที่ไม่กินทุเรียน คนอื่นๆชอบกินกันทั้งนั้น  สามีดิฉันอธิบายถึงความแตกต่างของหมอนทอง ชะนี ก้านยาว กระดุม รวง ได้หมด
ส่วนคุณแม่มีวิธีแก้ร้อนในจากทุเรียน คือเอาน้ำเย็นเทใส่ในลูกทุเรียนที่แกะเม็ดออกแล้ว   แล้วดื่มน้ำจากพูทุเรียน  จะทำให้ไม่ร้อนใน
สูตรอีกอย่างของคุณแม่คือ กินทุเรียนแล้วต้องกินมังคุดควบไปด้วย   มังคุดทำให้เย็น ตรงข้ามกับทุเรียนทำให้ร้อน
สามีเล่าว่าทุเรียนมีดอก สีขาวสวย   ไปเจอรูปในเน็ตก็เลยเอามาลงให้ดู  ตัวเองไม่เคยเห็นค่ะ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 10, 13:28
ย้อนกลับมามาเลเซีย
เมื่อตึกเปโตรนาสสร้างเสร็จใหม่ๆ  คนไทยพลอยตื่นเต้นไปด้วย      ดิฉันไปเห็นแล้ว ตื่นเต้นน้อยกว่าที่ควร
เพราะไปเห็นตึกอลังการในเซี่ยงไฮ้มาก่อนหน้านั้นไม่นานนัก   ความตื่นเต้นครั้งก่อนเลยกลบความตื่นเต้นครั้งหลัง
แต่ฝีมือสร้างตึก ที่อลังการงานสร้างมากกว่า คือเมือง Putrajaya   เป็นที่ทำการของรัฐบาล
ตอนไปเห็น  คำบรรยายในใจ  คือ หิน  คอนกรีต และน้ำ 
เป็นอาคารอลังการหลายแห่ง  ตั้งอยู่กลางความแห้งแล้งของภูมิประเทศ    โล่งกว้าง ไม่เขียวชอุ่มอย่างต่างจังหวัดบ้านเรา    แต่มีแอ่งน้ำใสกว้างขวางรองรับอยู่
เห็นฝีมือสร้างและออกแบบของเขาแล้วก็ทึ่ง เมื่อนึกว่าเขาหาโลเคชั่นที่บ่งความอลังการงานสร้างได้
อย่างใจถึง    ต่อไปเขาก็คงเนรมิตรอบๆให้กลายเป็นสวนสวยงาม  หาเงินจากนักท่องเที่ยวได้มหาศาล
นึกถึงรัฐสภาแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาของเรา  ที่ร.ร.โยธินบูรณะต้องถูกรื้อหลีกที่ให้     ยังวาดภาพไม่ออกว่าจะสวยได้แค่ไหน


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 14 มิ.ย. 10, 13:37
ขอบพระคุณครับที่นิรโทษกรรมให้.....กำลังเกรงว่าจะเข้ากระทู้นี้ไม่ได้ซะแหล่ว

รับประกันครับดุเรียนพันธุ์นี้กินแล้วท้องไส้ไม่ปั่นป่วนแน่ 99% หากท่านอยู่ในข่าย 1 % ที่เหลือ ให้กินพันธุ์ลายพรางนี้เข้าไปกระชับพื้นที่ทันที....ครับผ๊ม


 ;D ;D


ตัดต่อพันธุกรรมด้วย Photoshop ครับอาจารย์  ลูกสาว/ลูกชายเขาเมตตาสอนให้


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 10, 20:09
ทุเรียนลายพราง  กินแล้วขอคืนพื้นที่ได้ด้วยใช่ไหมคะ   ไม่ใช่แค่กระชับ  :)

ยังติดใจเมือง ปุตราจายา    (ถ้าแปลเป็นไทยน่าจะเป็น ชัยบุตร)  เลยไปหารูปมาให้ดูกันอีก


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 10, 20:15
ในเมื่อชอบการวางผังเมืองของมาเลเซีย   และชอบตึกรามบ้านช่องใหม่ๆ  ทำให้เชื่อว่าวิศวกรโยธา และสถาปนิกด้าน landscape ของเขาน่าจะเก่งมาก
เอารูปทาวน์เฮาส์ของเขามาให้ดูกันค่ะ    มองเฉพาะตัวบ้านก็งั้นๆ ไม่ได้โดดเด่นไปกว่าของไทย  แต่พื้นที่และบริเวณเขา ทำได้เรียบร้อยเป็นระเบียบ ชวนมองและชวนอยู่
ถ้าเป็นบ้านจัดสรรของเรา   จะไม่มีทางเห็นท้องฟ้าและต้นไม้แบบนี้   ดูแบคกราวน์ยังไงเสียก็ต้องมีอาคารพานิชย์ และชุมชน แทรกปะปนเข้ามาจนได้


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 15 มิ.ย. 10, 16:52
เข้ามาปั่นกระทู้ต่อ

เม้าท์เรื่องมาเลย์ทีไร ผมเห็นความขัดแย้งในตัวเองทุกที
รอบนี้ขอเปิดประเด็นเรื่องการศึกษาครับ

เพื่อนผมคนหนึ่ง ทำงานในกรุงชาอลาม มีลูกสองคน ลูกสาวคนโตจบมัธยมที่เคแอลแล้วไปต่อที่เอ็นยูเอส
ลูกชายคนเล็กกำลังเรียน มอปลายที่เคแอล
เพื่อนผมบอกว่าจะต้องเคี่ยวเข็นลูกคนเล็กให้เข้าเอ็นยูเอสให้ได้

ผมก็ไม่เข้าใจ ถามเพื่อนไปว่ามหาวิทยาลัยของมาเลเซีย ไม่ดีหรือ
เพื่อนผมก็ตอบว่ามหาวิทยาลัยมาลายาก็ดีอยู่ แต่ถ้าลูกได้จบที่เอ็นยูเอสจะดูดีกว่า ถ้ากลับมาสมัครงานที่บ้านจะหางานได้ง่ายกว่า

นี่แหละครับ ที่ผมบอกว่าคนมาเลย์เชื้อจีนหลายๆบ้าน ที่ต้องการส่งลูกไปจบนอกกลับมาแล้วจะดูเหนือกว่าชาวบ้าน
แต่ถ้าเป็น คนมาเลย์-มาเลย์ หรือ คนจีน-มาเลย์ ที่มีฐานะสูงๆ อาจจะต้องไปไกลกว่านั้นครับ
คือ
เพื่อนผมอีกก๊กหนึ่ง ที่บ้านเป็นคหบดีแห่งเปรัก พ่อเป็นสมาชิกใหญ่ของหอการค้าอิโป้ ล้วนแล้วแต่ไปเรียนจบจากสหราชอาณาจักรครับ
ทั้งๆที่อิโป้เป็นเมืองเล็กๆ เมืองหลวงของเปรัก ถ้าเทียบแล้ว ความเจริญคงพอๆ ตัวเมืองระยอง หรือตัวเมืองจันทร์ฯ ได้กระมังครับ
(แต่สาวอิโป้ สวย น่ารัก เซอร์วิสไมน์ดีมากๆ บริการได้น่าประทับใจกว่า บริกริณีไทยส่วนใหญ่เสียอีก นี่มาจากประสบการณ์ตรงนะครับ อิอิอิ  ;D)
แต่ลูกหลานคนใหญ่โตที่นั่น ต้องระเห็ดไปเรียนไกลหลายพันกิโลเมตร ไปไกลถึง หลั่นดั้นสกูล ออกฟ้อด เข้มบริดเฉอะ ฯลฯ


นี่แหละครับ ที่ผมบอกว่าสับสนมากๆ
ตกลงว่า ภาครัฐฯของมาเลเซีย จัดมาตรฐานการศึกษาไว้ดีพอจริงหรือไม่
ประเด็นนี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะเถียงกับเพื่อนๆ เพราะมองย้อนดูไทยแล้วก็  เฮ่อ....

รอท่านอื่นๆ มาเปิดประเด็นต่อแล้วกันนะครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มิ.ย. 10, 17:37
ค่านิยมด้านการศึกษาของคนเอเชีย คือเห็นการศึกษาของยุโรปตะวันตก และอเมริกา สูงกว่าของประเทศตัวเอง
เป็นมาร่วมร้อยปีได้แล้วมั้งคะ  และก็ยังเป็นต่อไป
ดิฉันไม่ได้บอกนะคะ ว่า มาตรฐานการศึกษาในประเทศพวกเขา(และเรา)ดีหรือไม่ดี    แต่บอกว่าค่านิยมเป็นยังงั้น

ลูกๆของเพื่อนคุณที่ไปเรียน NUS  (มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์)  เหตุผลก็ชัดเจนอยู่ในตัว คือกลับมาหางานง่ายกว่า  แสดงว่าการศึกษาจากสิงคโปร์ เครดิตดีกว่า
แต่ทำงานไปแล้ว ใครจะก้าวหน้ากว่ากัน คนจบจากมาเลย์ หรือจบจากสิงคโปร์   ไม่รู้     ไม่มีสถิติให้อ่านพบ

เหล่มาดูบ้านเรา(ตามชื่อกระทู้)      ได้ข่าวว่าบริษัทบางแห่งก็เลือกรับบัณฑิตที่จบจากที่นั่นที่นี่ มากกว่าที่โน่นที่นู่น   คือเชื่อถือภูมิรู้และสติปัญญามากกว่า
แต่มันก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าพวกเขาจะรุ่งเรืองมากกว่าบัณฑิตจากสถาบันอื่นๆ   เมื่อทำงานไปสัก ๑๐-๒๐ ปี 
เพราะการทำงาน ใช้ IQ ไม่พอ  ต้องมี EQ  เดี๋ยวนี้ก็ดูเหมือนจะมีอีกหลาย Q  จนดิฉันจำไม่ได้แล้วละค่ะ



กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 15 มิ.ย. 10, 21:33
ขอขอบคุณทุกท่านครับ เป็นกระทู้ที่อ่านสนุกได้ความรู้และคติเตือนใจในเวลานี้ได้ดีมากครับ

โดยส่วนตัวผมเคยไปเหยียบมาเลเซียแบบเฉี่ยวๆแค่สองครั้ง ห่างกันราว ๑๐ ปี และใช้เวลาส่วนมากอยู่ใน KL และได้เดินทางออกไปใกล้ๆบ้างครับ

รู้สึกได้เลยว่าโครงสร้างพื้นฐานของบ้านเขาเหนือกว่าเรา (เมื่อเทียบว่า KL เล็กกว่ากรุงเทพมาก)

แต่ฟากเอกชน ในโลกทัศน์อันคับแคบของผมที่ประเมินจากที่เห็นด้วยตาใน KL เห็นว่าน่าจะอ่อนแอกว่าบ้านเราครับ

เคยคุยกับคนมาเลย์เชื้อสายจีนที่มาทำงานในไทย เขาบอกว่านักธุรกิจเชื้อจีนในมาเลย์ ถ้ามีโอกาสจะพยายามออกมาลงทุนในต่างประเทศ เพราะรัฐบาลจับตาธุรกิจคนจีนที่มีขนาดใหญ่ โตเกินไปสรรพากรจะมาเยี่ยมโดยไว

เรื่องนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ธุรกิจเหล่านั้นมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ แต่ถ้ามองอย่างเห็นใจเขาหน่อย การที่สรรพากรเข้ามาตรวจสอบนั้น ก็ทำให้คนทำงานเสียเวลาและพลังงานไม่น้อยทีเดียว ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ถือเป็นความเดือดร้อนอย่างหนึ่งครับ

เอาเรื่องน่ารักๆบ้าง

ไปมาเลย์หนหลังนี้ได้ใช้แท็กซี่ใน KL หลายครั้ง มีอยู่สองครั้งที่ผมเจอคนขับแท็กซี่ที่พาภรรยามานั่งรถเล่นด้วย ตอนขึ้นไปก็รู้สึกแปลกๆ แต่พบว่าโชเฟอร์ที่พาภรรยามาด้วยจะอารมณ์ดี คุยเก่งเป็นพิเศษ ทำให้บรรยากาศในการนั่งรถสนุกสนานมากขึ้นครับ

: )


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 มิ.ย. 10, 09:02
ขอบคุณคุณม้าครับ
ในมาเลเซียมีเรื่องจะพูดอีกอย่างหนึ่งคือเกนท์ติ้ง ไฮท์แลนด์ สวรรค์และนรกของนักพนันนั่นเอง เมื่อผมไปกับคณะทัวร์ของคุรุสภาตอนสิบกว่าขวบนั้นยังไม่ได้สร้างเลย  โครงการนี้เกิดขึ้นจากการมองการณ์ไกลของเถ้าแก่รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่งชื่อลิ้ม โก๊ะ ตง(ตอนหลังได้เป็นตันศรี) นายคนนี้มีประสพการณ์จากการรับจ้างรัฐบาลอังกฤษทำเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าในคาเมรอน ไฮท์แลนด์ ซึ่งเป็นเมืองพักตากอากาศบนยอดเขาอีกแห่งหนึ่งของมาเลเซีย เขาชอบอากาศที่นั่นมากและมองเห็นว่าสถานที่ที่มีความหนาวเย็นในประเทศที่อากาศร้อนตับแตกอย่างนี้ไม่ใช่เฉพาะคนอังกฤษเท่านั้นที่แสวงหา คนมาเลเซียเองก็เป็นอย่างนั้นด้วย ดังนั้นเขาจึงเริ่มมองหาภูเขาใกล้ๆเมืองหลวง และเลือกจุดนั้นที่ห่างจากกัวลาลัมเปอร์แค่85กิโลเมตรแต่สูงกว่าน้ำทะเลถึง1800เมตร อยู่ท่ามกลางป่าดิบเขาและภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยหุบเหวและหน้าผาสูงชัน นั่นเป็นปีพ.ศ.2507 ที่เขาตัดสินใจเดินหน้าในโครงการที่ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

แต่เถ้าแก่โก๊ะตงก็ได้ตันศรี หะญี มูฮัมมัด นอร์ หุ้นส่วนภูมิปุตราชั้นเลิศไปวิ่งเต้นขอประทานบัตรป่าไม้มาจากได้จากสุลต่านรัฐปะหัง30,000ไร่ รัฐซารังงอร์7000ไร่ (โอ้โห ใครจะไปกล้าคิดว่าจะทำได้) หลังจากนั้นก็ใช้เวลาถึง4ปีในการสร้างถนนขึ้นภูเขา ทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างทั้งเงินทองทรัพย์สมบัติของครอบครัวและเวลาทุกนาทีในชีวิตของตน ซึ่งปลายทางตอนนั้นก็มีโรงแรมในฝัน(ของเถ้าแก่โก๊ะตง)เพียงโรงแรมเดียว

เมื่อตนกูอับดุล เลาะห์มานได้รับเชิญมาวางศิลาฤกษ์โรงแรมแห่งแรกดังกล่าวหลังจากเปิดถนนใช้การได้แล้ว ท่านประทับใจในความวิริยะอุตสาหะของเถ้าแก่โก๊ะตง ที่สามารถทำโครงการที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ถึงขนาดนี้ โดยที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐแม้น้อย แต่ท่านก็เป็นห่วงว่าโรงแรมในฝันจะกลายเป็นฝันสยอง ทำอย่างไรจึงจะมีคนมาพักได้จำนวนเยอะๆและเร็วๆพอที่จะคุ้มกับทุนที่ลงไปกับถนนอันเป็นเงินมหาศาล อาศัยประสพการณ์สมัยเป็นเพลย์บอยตัวพ่อตอนเป็นหนุ่มลันดั้น ท่านแนะนำสิ่งที่คนจีนมาเลย์ที่อาศัยประเทศเขาอยู่ไม่กล้าคิด เพราะขัดกับหลักศาสนาอิสลาม คือให้ทำคาสิโนที่ห้ามขาดไม่ให้คนมาเลย์เข้าไปเล่นการพนัน ตั้งเป้าล่อเฉพาะเจ๊กกับไทยก็รวยเละแล้ว ท่านตนกูตอนนั้นชี้ไม้เป็นนก ชี้นกเป็นไม้คนก็ขอรับกระผม เถ้าแก่โก๊ะตงก็เหมือนเทวดามาโปรด ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานการพนันโดยง่าย ชีวิตเปลี่ยนจากการเป็นเศรษฐีกำลังลุ้นการเป็นยาจก เป็นกระโดดไปขั้นมหาเศรษฐี และโครตมหาเศรษฐีตามลำดับๆไป

"ความพยายามเป็นเรื่องของมนุษย์  ความสำเร็จเป็นเรื่องของเทวดา"


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 มิ.ย. 10, 09:04
ผมไปเที่ยวเกนติ้งบ่อยพอสมควร แต่จุดหมายไม่ได้อยู่ที่การพนันเพราะขัดกับอุปนิสัย แต่พวกเพื่อนๆมาเลย์ชอบจัดพาไปค้างคืนและตีกอล์ฟที่นั่น แต่ทุกครั้งที่ไปก็จะมีคนลากไปคาสิโน เดินผ่านห้องระดับนักท่องเที่ยวก็ได้ยินเสียงพี่ไทยขรม พอเข้าประตูชั้นในสู่ระดับวีไอพีจึงจะเห็นระดับที่เขาเอาเป็นเอาตายกัน อาเสียอาเจ้ทั้งนั้นที่ขนเงินมาแลกกับความความบันเทิงระดับที่หัวใจอาจจะวายได้ แทบทุกครั้งจะได้ทักกับคนรู้จักที่ตีรถมาจากภูเก็ต กระบี่ ตรัง หรือหาดใหญ่ในเย็นวันศุกร์แล้วกลับในกลางดึกของคืนวันอาทิตย์ ได้เสียกันเป็นล้าน

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในระยะสิบยี่สิบปีมานี้ก็คือ เกนติ้งได้เปลี่ยนจากภาพลักษณ์ของบ่อนการพนันไปเป็นสถานบันเทิง(theme park)สำหรับครอบครัวทุกเพศทุกวัยทุกศาสนา มีโรงแรมผุดขึ้นมาหลายหลังสำหรับความต้องการของคนในวัยต่างๆ มีภัตตาคารเสริฟอาหารทุกชาติ กลางคืนจะมีโชว์ดีๆที่สั่งมาจากนอกเช่นเดียวกับลาส เวกัส ดาราดังๆในเมืองไทยก็ไปรับจ็อบที่นี่เยอะ เกนติ้งได้เป็นสถานที่ให้ความสุขความบันเทิงกับคนมาเลเซียได้จริงๆสมกับที่ผู้มีส่วนสร้างและมีส่วนนำความสำเร็จมาให้โครงการนี้วาดฝันไว้

เอ้า..ใครจะเหล่ดูเมืองไทยอย่างไรก็เชิญครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มิ.ย. 10, 10:37
เมื่อไปเยือนเกนติ้ง   รถบัสวกเวียนขึ้นไปตามไหล่เขา   สูงมาก  เห็นอนุสรณ์สถานหรือป้ายยักษ์ชื่อของเจ้าสัวคนที่สร้างสถานที่นี้      เมื่อขึ้นไปถึงพบว่าเป็นหมู่ตึกพญายักษ์ กลางขุนเขา
อากาศหนาวเย็นและครึ้มฝน    ไม่มีใครมานั่งเล่นกลางแจ้ง  ทุกคนเข้าไปชุมนุมข้างใน     มันใหญ่เสียจนถ้าพลัดจากกลุ่มก็คงจะหากันอีกหลายเดือนกว่าจะเจอ
ตอนที่ไปเป็นช่วงวีคเอนด์  เห็นพ่อแม่พาลูกมาเที่ยว   บรรยากาศเหมือนรวมเซนทรัลและเดอะมอลล์ทุกสาขามาไว้ในตึกเดียวกัน ในช่วงเทศกาล
มีแต่คน คน คน จนไม่รู้จะถ่ายรูปตรงไหนให้ติดสถานที่

ดูออกว่าเงินสะพัดมหาศาล ค่ะ    แต่ถ้าถามว่าสวยไหม ก็ไม่รู้สึกว่าสวย  ประทับใจไหมก็ไม่    มันเหมือนจำลองลาสเวกัสลงในหมู่ตึก ๑ หมู่   และรู้สึกว่ามันเก่าๆด้วย
เห็นคาสิโนแวบหนึ่ง  ไม่นานกว่านั้น

ขากลับ ลงด้วยเคเบิล ซึ่งแกว่งไกวไหวโอนโยนตัวเหมือนเพลงสนต้องลมของมัณฑนา โมรากุล   เนื่องจากไปลงตอนอากาศไม่ดี  พายุกำลังจะมา  มองเห็นกลุ่มเมฆพลิ้วละลิ่วผ่านซ้ายขวาหน้าหลัง   ผ่านเคเบิ้ลตลอดเวลา
มองลงไปข้างล่างเป็นเหว   มองซ้ายมองขวาเป็นป่าทึบ   หล่นลงไปอาจหาร่องรอยไม่เจอ  เป็นบรรยากาศระทึกใจที่สนุกกว่าอยู่บนตึกข้างบนนั่น
มองไปข้างหน้าก็เห็นจุดข้ามเขาเป็นระยะ   เราก็ผ่านแล้วผ่านเล่า  ดูๆเหมือนจะไม่สิ้นสุดเอาเสียเลย
พอเคเบิลของเราไต่ระดับลงถึงที่หมาย   ก็พบว่าเขาสั่งหยุดเคเบิลทั้งหมดพอดี เพราะอากาศไม่ดี(มาก)   คันของเราเป็นคันสุดท้าย  มิน่า ถึงเหมือนนอนเปลญวนมาตลอดทาง



กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 มิ.ย. 10, 10:52
เกนติ้งมีปัญหาในเรื่องรสนิยมของเจ้าสัวในเรื่องความงามของสถาปัตยกรรมกับภูมิทัศน์ แต่ในธุรกิจต่อยอดที่จ้างมืออาชีพมาทำเช่นบริษัทเรือสำราญStar Cruiseที่เคยได้รับการโหวตให้เป็นผู้ประกอบการที่ดีที่สุดในโลก ชักธงชาติมาเลเซียท้ายเรือครองน่านน้ำอยู่แถบนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นั่นสุดยอดในเรื่องรูปแบบเรือสำราญที่ไม่เป็นรองใครทีเดียว


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มิ.ย. 10, 11:12
ยังไม่เคยไปเรือสำราญ Star Cruise  ดูแต่รูปก็ทึ่งแล้ว


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 16 มิ.ย. 10, 14:57
มาอ่านอีกรอบ ต้องขอออกตัวไว้่ก่อนครับ

ผมเดินทางไปมาเลเซีย ปีหนึ่งๆ ประมาณ 4-5 ครั้ง เพื่อติดต่องาน
เดินทางหัวเมืองทางธุรกิจบ้างหลายเมือง เช่น เคแอล อิโป้ เจบี พีเจ พอร์ทแกลง ชาห์อะลาม (ส่วนใหญ่อยู่ในสะลังงอ)
แต่ไม่เคยเลยที่จะได้ไปเที่ยวตามตารางหรือสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไป

การเดินทางไปของผมทุกครั้งจะเป็นช่วงกลางสัปดาห์
แต่บางครั้งก็ไปประขุมวันศุกร์ และต้องเดินทางกลับวันเสาร์
เลยทำให้มีโอกาสไปร่อนชมแสงสี ยามราตรี โดยเฉพาะแถวๆ จรัญภูเก็จปินตัง (J'Ln Bukit Pintang)
แหล่งร้าน ย่านมอมเมาเยาวชน ผมก็ได้เข้าไปคลุกวงในมาพอสมควร
กล่าวได้คำเดียวว่า ไม่มีคนเชื้อสายมาเลย์ มาเที่ยวดื่มกินปะปนเลย
เห็นมีแต่เด็กหนุ่มสาวเชื้อสายจีน เมาปลิ้นแล้วมั่วซั่วพอๆกับเด็กแถวอาร์ซีเอ บ้านเราเมื่อสักสิบปีก่อน

แต่เมื่อถามคนวัยทำงานแล้ว เขานิยมมาดื่มกินที่กรุงเทพฯ มากกว่าครับ
และจากที่ได้สนทนากับเพื่อนๆชาวมาเลย์ เขาแนะนำว่า เที่ยวเมืองไทยสุขใจกว่า
หากเรื่องกินเรื่องเที่ยว ผมมักจะนัดเพื่อนมาเจอกันที่ พัทยาบ้าง เสม็ดบ้าง ภูเก็ตบ้าง

เพื่อนผมบอกว่า จ่ายราคาเดียวกัน แต่ได้เที่ยว พร้อมๆกับได้อิสระภาพ
ถ้าไปดื่มกินที่สิงคโปร์ หรือฮ่องกง ราคาค่าใช้จ่ายจะพุ่งขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญเลยทีเดียว

หันมาเหล่ดูไทยแล้ว เมืองไทยนี่สวรรค์ของคนโสดอย่างผมเลยทีเดียว
 8) 8)


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 16 มิ.ย. 10, 19:19
ดูเนื้อหาของกระทู้ ณ ขณะนี้แล้วคิดว่าพอจะเข้ามาคุยเล่นได้ เรื่องบ้านช่องที่เห็นระหว่างทางที่ขับรถจากไทยไปทางนั้น แม้แต่ รร. เห็นปุ๊บก็นึกถึงเจ้าของเก่าปั๊บ แต่มันไม่น่าจะอยู่สบายอย่างบ้านแบบไทยๆของเรานะครับ เรื่องแหล่งเรียนหนังสือ ผมเคยโดนเชิญไปคุยในการประชุมคณะบดีของคณะวิศวฯทั่วประเทศ ผมตอบไปว่าตามประสบการณ์ของผม ความใฝ่รู้ของคนที่จบมาจากบางแห่งสูงกว่าที่อื่นอย่างเด่นชัด ส่วนความเจริญในหน้าที่การงาน ขึ้นอยู่กับหลายๆอย่างครับ
มานิต


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: bookaholic ที่ 17 มิ.ย. 10, 13:30
ขอร่วมวงแจม
เคยสัมผัสบรรยากาศของมาเลเซียมาว่า เคร่งครัดระเบียบกฎเกณฑ์มากกว่าบ้านเรา  ไม่แปลกในสังคมศาสนาอิสลามครับ    ศาสนาเขาวางระเบียบมองเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การแต่งกาย ไปจนถือศีล    ผมนึกชมเชยในข้อนี้ว่าศาสนามีส่วนกำหนดอยู่มาก  ทำให้สังคมขับเคลื่อนไปในทางเดียวกัน แต่ลักษณะนี้เราไม่ค่อยเห็นในสังคมพุทธนะครับ   สังคมพุทธไม่ได้เข้มงวดมาถึงการดำเนินชีวิตประจำวัน     คือจะทำก็ได้  ไม่ทำก็ได้  ไม่ถือว่าผิด   แม้แต่ศีลห้า  ต่อให้ละเมิดหมด ๕ ข้อเห็นๆ ก็ยังอยู่ได้ในสังคม  เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น    ตัวอย่างเห็นๆ คือการละเมิดศีลข้อ ๓ เปิดเผยของชายไทย  ก็เป็นเรื่องไม่ว่ากันในสังคม     คอรัปชั่น ก็คือผิดข้อลักขโมยเต็มๆ ก็มีข้อแก้ว่า  โกงไม่ว่า ขอให้ทำงานแล้วเอามาแบ่งให้ชาวบ้านบ้าง  ก็ไม่ผิด  ดีกว่าไม่แบ่ง  แทนที่จะมองว่ามันก็ผิดทั้งสองแบบ

ในสังคมที่วางระเบียบกันน้อย จนเป็นว่าทำได้ตามใจคือไทยแท้  ก็มีผลดีอย่างคือออมชอม ผ่อนคลาย ไม่เคร่งเครียด   ใครทำอะไรก็ได้ ไม่ถือสา   เพราะงั้น แหล่งบันเทิงทั้งหลายก็เป็นตัวอย่างของความผ่อนคลายที่ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์มาบีบบังคับ     มันถึงเป็นสวรรค์ได้ง่ายงัยครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: bookaholic ที่ 17 มิ.ย. 10, 13:46
การศึกษาของไทยเป็นเรื่องเถียงกันได้ยาว   แต่เถียงไปแล้วก็วกไปวนมาอยู่ที่เดิม   คือเราเน้นส่งเสริมเด็ก IQ สูง  แต่ค่อนข้างจะละเลยเรื่อง EQ  มานานแล้วครับ     ตัวอย่างง่ายๆก็คือการคัดเลือกเด็กเรียนได้ระดับท็อปในจังหวัดมาเข้าเรียนในร.ร.ดังบางแห่ง  เพื่อจะส่งเสริมให้เข้ามหาวิทยาลัยให้เป็นหัวกะทิในสังคมต่อไป   แต่อาจจะมองข้ามความมั่นคงทางอารมณ์   ทำให้เด็กบางคนที่หัวดี แต่แก้ปัญหาไม่เป็น  ไม่รู้จักยืดหยุ่นหรือผ่อนปรนกับสภาพแวดล้อม เจอปัญหาหนักที่ไอคิวสูงช่วยไม่ได้เพราะอีคิวต่ำ   ผลคือก่อความเสียหายให้ร.ร. หรือเพื่อนร่วมร.ร.แม้แต่ครูก็มีสิทธิ์เจอได้   
ปัญหาเด็กอเมริกันลากปืนมายิงทิ้งเพื่อนร่วมร.ร. รวมทั้งครู เกิดขึ้นในรอบหลายปี   เรามักมองว่าเป็นเด็กผิดปกติ เก็บกด โรคจิต ฯลฯ  แต่การศึกษาวิเคราะห์หลายราย ไม่ได้โรคจิต แต่เป็นภาวะมั่นคงทางอารมณ์ต่ำมาก

บางคนในพวกนี้อาจเรียนเกรดดี  เรียนจบ เรียนต่อได้สูงๆ  แต่มาทำงานแล้วเข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้  แยกตัว มีความคิดก้าวร้าวรุนแรง  ไม่ฟังใคร   เลยไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน  ก็ผลจากไอคิวสูงอีคิวต่ำ ก็มีมากครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 30 ก.ค. 10, 23:00
ขออนุญาต เข้ามาขุดเรื่องนี้ กลับมาคุยต่อนะครับ

เผอิญว่า เพิ่งกลับจากการไปทำงานที่สลังงอร์ เมื่อคืนวาน
มื้อค่ำได้ถกเรื่อง ไทย-มาเลย์เซีย เปรียบเทียบกันอยู่

เพื่อนใหม่ผม อายุไล่เลี่ยกัน คนวัยทำงาน วิพากษ์รัฐของเขาซะเสียเลย
ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการของท่าน ดร.มหาเด่ว์ ทั้งนััน

มีหลายประเด็นเหลือเกิน แต่หนึ่งในนั้น คือเรื่อง รถยนต์แห่งชาติ

ประเด็นนี้ เป็นเรื่องที่คนไทยจำนวนมาก คิดอิจฉา มาเลย์ฯ ที่เขามีรถยนต์แห่งชาติ
โดยเฉพาะ รถ Proton SAGA ที่ถูกนำมาล้อว่า ปะตัน สากู่ (Stupid Proton)

เพราะเหตุที่ มาเลย์ มีรถแห่งชาติ ย่อมต้องคุ้มครองธุรกิจนี้
เรื่องนี้ เพื่อนผมวิจารณ์ว่า ทำให้คนรายได้ไม่มากอย่างเขา หมดสิทธิใช้รถที่ดีกว่าแต่ราคาไม่สูง

ทำให้ เฉพาะ คนที่มีเงินเดือนระดับ senior management ถึงจะมีปัญญาขับ ฮอนด้า ซีวิค คันละล้านได้

มุมนี้ พอเหล่กลับมามองไทย  คล้ายกันและต่างกันอยู่ในตัวครับ

ภาครัฐไทย ก็คุ้มครอง รถยนต์ในประเทศเหมือนกัน
ผมเองก็หมดโอกาสจะหารถ mercedez ดีคันเล็กๆ ราคาในยุโรปคันละเจ็ด-แปดแสน
แต่รับประทานน้ำมันแบบประหยัด ประมาณ สามสิบกิโลเมตรต่อลิตร
เพราะรถรุ่นดังว่า เมื่อมาขายในไทย กลายเป็นคันละสามล้านห้า (ภาษีล่อไปแล้ว สองล้าน)

แล้วพอมองกลับมา ว่ารัฐเรา คุ้มครองธุรกิจรถยนต์เพื่อใครกันแน่
(คนงานที่เป็นแรงงานชาวไทย กระนั้นหรือ)
รถที่ผลิตในไทย เป็นธุรกิจของใคร แบรนด์อะไร คงไม่ต้องพูดถึงนะครับ
 :-X :-X

จากที่เคยถกกับคนไทย หลายคนกลับมองเรื่องนี้คนละแบบ
เพื่อนคนไทยผมหลายคน มักยกตัวอย่างว่า ขนาดมาเลย์เซียประเทศเล็กกว่า ยังมีแบรนด์รถของตัวเอง
รถแบรนด์ไทย คงเป็นฝัน ตลอดไป

แต่เพื่อนชาวมาเลย์ฯ ของผม ยืนยันว่า Proton นั้น เป็น The most stupid policy เลยทีเดียว
 ??? ??? ???


เชิญท่านอื่นๆ ถกกันบ้างครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ก.ค. 10, 08:43
เมื่อไปเที่ยวมาเลย์เห็นรถผลิตในประเทศเขา  ก็ยังนึกชมว่าเขาทำได้   น้อยใจว่าเราทำไม่ได้   ไม่มีรถยนต์ผลิตของไทย แบรนด์ไทยโดยตรงจนบัดนี้   
แต่คุณ diwali พูดประเด็นนี้ขึ้นมาก็น่าคิด 
ดิฉันคิดว่าไทยมีรถยนต์มากเกินไปแล้วค่ะ   ไม่ว่าผลิตเองหรือรับจ้างเขาผลิตก็ตาม     สิ่งที่ควรมีอย่างยิ่งคือขนส่งสื่อสารมวลชนที่รวดเร็วและเปลืองเนื้อที่น้อยกว่ารถเมล์


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 31 ก.ค. 10, 10:48
ขอบพระคุณ คุณครูที่เข้ามาตรวจการบ้านครับ

พูดถึงเรื่องรถโปรตอน คนไทยก็มักจะน้อยใจบ้าง สะใจบ้าง ความรู้สึกปะปนกันไป
คนมาเลย์หลายคนอิจฉาคนไทยที่มีตัวเลือกมากกว่า แม้กระทั่งยี่ห้อรถยนต์

แต่มีอีกหนึ่งโครงการใหม่ๆ ที่เกิดในกลางเมืองเคแอล
เช่น โครงการ smart tunnel ที่เพื่อนใหม่ ก็วิจารณ์ไว้อย่างงงๆ
เป็นอุโมงค์ทางด่วน ที่ใช้ช่วยลดเวลาในการเดินทางในเมืองได้มากพอสมควรครับ

แต่อุโมงค์ จะใช้ไม่ได้หากเกิดฝนตกหนัก เพราะถูกออกแบบมาให้เป็นอุโมงค์รับน้ำท่วมด้วย

เพื่อผม สับเสียแหลกเลยว่า อุโมงค์เก็บน้ำกับอุโมงค์รถวิ่ง มันใช้เทคโนโลยีคนละอย่างกัน
การรับแรง รวมถึงการสึกหรอของวัสดุก็ต่างกัน

แต่รัฐฯเขาสุดฉลาด ที่นำมา merge กันได้อย่างน่าอัศจรรย์
อันนี้ ผมก็เห็นตรงกันข้าม ตามประสาคนเคยทำก่อสร้างครับ
 ;D ;D ;D



กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: natadol ที่ 31 ก.ค. 10, 18:51
ขอแสดงความเห็นด้วยคนนะครับ.. เสริมข้อเขียนของอ.เทาชมพู ครับเมื่อก่อนปี2540ผมเคยทำงานกับบริษัท ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ได้เข้าไปตรวจงานที่โรงงานผลิตรถยนต์เกือบทุกยี่ห้อที่ผลิตในเมืองไทย แทบทุกบริษัทจะเป็นเหมือนกันหมด พนักงาน คนไทยจะได้เพียงแค่ประกอบชิ้นงาน อยู่ทั้งวันใครอยู่ติดตั้งกระจกก็จะติดตั้งอย่างเดียวทั้งเดือนทั้งปี ส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญพวกเครื่องยนต์ทางโรงงานจะมีห้องปิดมิดชิดเป็นไลน์ผลิตมีเฉพาะเจ้าหน้าที่ของทางญี่ปุ่นเท่านั้นที่เข้าไปได้ เคยคุยกับพนักงานในไลน์ผลิตที่จบทางด้านช่างยนต์มาต้องมาประกอบยางขอบประตูทั้งเดือนทั้งปีจนแทบจะลืมเรื่องเครื่องยนต์ไปแล้ว ช่วงนั้นการผลิตรถยนต์จะบูมมากครับ ประกอบรถยนต์วันละ 2 กะ (กะละ 8 ชั่วโมง)1กะประกอบรถได้ 60คัน 2กะ ก็ 120คันต่อวัน เดือนนึงเปิดไลน์ผลิต 24วัน แล้วรถจะไม่เต็มเมืองไทยได้อย่างไรละครับ ดีนะครับที่บิ๊กจิ๋วทำต้มยำกุ้งซะก่อน ยอดการผลิตเลยลดเหลือแค่วันละ 40 คัน แต่ก็ต้องแลกกับพนักงานตกงานกว่า 1000 คน รวมทั้งผมด้วย ลองสอบถามพนักงานที่โดนเลิกจ้างกันมาว่าสามารถผลิตรถยนต์เองได้ไหมทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันทำได้ทุกอย่างยกเว้น หัวใจที่ทางบริษัทปิดไว้นะครับคือเรื่องเครี่องยนต์ ไม่มีใครเลยที่รู้เรื่องนี้ เลยเป็นได้แค่ความฝัน สำหรับรถในแบรด์thailand


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ก.ค. 10, 19:21
จากข้อมูลที่คุณณัฐดลให้มา   ดิฉันมองว่านโยบายมาเลย์ดีกว่าไทย เพราะเขาสามารถประกอบรถยนต์เองได้   เงินทองที่จะหลั่งไหลออกนอกประเทศก็น้อยกว่า เทคโนโลยี่ในการผลิตและพัฒนา เขาก็ได้ของเขาเต็มๆ   
ส่วนไทยเราแค่รับจ้างผลิตชิ้นส่วน  ส่วนเทคโนฯยังถูกปิดกั้นอยู่หมัด  เงินทองก็มีแต่ไหลออกไป ไม่ว่าจากรถยนต์ผลิตในประเทศหรือรถอิมพอร์ต  อีกกี่ปีๆก็ยังต้องพึ่งต่างชาติ

เพื่อนของคุณ diwali  อาจรู้สึกว่าเขาไม่มีโอกาสใช้รถดีๆจากนอก มากเท่าคนไทย    จริงอยู่เขาอาจถูกปิดกั้นมากกว่าเรา   แต่มองจากภาครัฐ  รัฐเขาเซฟเงินได้มากกว่าและจ่ายออกน้อยกว่าของเรา  เป็นผลดีโดยทางรวมกับประเทศค่ะ

ส่วนเรื่องอุโมงค์ ยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างอุโมงค์สองแบบ   แต่ฟังๆดู เหมือนกับมาเลย์ก่อสร้างผิด  อุโมงค์เลยน้ำท่วมตอนฝนตก  แต่เขาน่าจะแก้ไขได้นะคะ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 03 ส.ค. 10, 12:11
ที่คุณครูใหญ่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องอุโมงค์ smart tunnel

หะแรก ทุกๆคนก็เข้าใจว่าก่อสร้างผิด ทำให้นำ้ท่วมอุโมงค์ เมื่อเกิดฝนตก
แต่ทว่า การทางพิเศษฯ ของเขา ออกมาบอกว่า ใหนๆน้ำก็ท่วมแล้ว ก็ทำให้เป็นอุโมงค์ระบายน้ำไปเลย

ปัจจุบันนี้ อุโมงค์ฉลาด โครงการนี้ เลยกลายเป็นท่อระบายน้ำยาวกว่าเก้ากิโลเมตร
เมื่อฝนหยุด จึงทำการสูบน้ำออกจากอุโมงค์
ใช้เพื่อแก้ปัญหาน้ำขังน้ำหลากในพระนคร เวลาฝนตกหนักครับ

ตกลง อุโมงค์นี้ smart หรือ คนฯแก้ตัวแบบ smart กันแน่???


ส่วนเรื่องรถแห่งชาติ ผมก็เห็นด้วยครับ ที่ภาครัฐจะคุ้มครองธุรกิจรถยนต์ที่ประกอบในประเทศ
แต่จะยิ่งดีที่สุดหาก ธุรกิจนั้น เป็นแบรนด์ของชาติ หรือของคนในชาติ แท้ๆ
ไม่ใช่ แบรนด์จากที่อื่น ที่รัฐไทยต้องคุ้มครองอย่างถึงที่สุด

จริงๆ ไม่อยากจะเข้าการเมือง แต่อดไม่ได้
ในอดีตที่ผ่านมาไม่นาน แค่ยักษ์ใหญ่อย่างรถยนต์พี่โต หรือรถมอเตอร์ไซด์พี่ฮอน เปรยๆว่าเดี๋ยวย้ายฐานไปที่อื่น
รัฐบาลต้องส่งคนไปปลอบขวัญแทบทุกครั้ง
ประมาณว่า พี่เขาอยากได้อะไร ให้ได้ก็ให้ไปเถอะ อันใหนที่ให้ไม่ได้ ก็ทำให้จนกว่าจะให้ได้
ยกตัวอย่างแค่กฎหมายน้ำหนักรถบรรทุกบ้านเรา ฯลฯ ไม่ว่าต่อดีกว่า เดี๋ยวงานเข้า
 :-X :-X :-X :-X
อิอิอิอิ
 ??? ??? ??? ???


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 10, 12:44
เห็นด้วยว่าถ้ามีรถยนต์ ก็ควรจะรถยนต์แห่งชาติ  พัฒนาเทคโนโลยี่เอง  ทำเองอย่างดี  ลดภาษีชิ้นส่วนให้มากที่สุด เพื่อจะได้ของดี ผลิตขายเองในราคาต่ำ แต่มีคุณภาพเหมาะกับกระเป๋าคนไทยค่ะ
แต่...
บ่นไปก็เท่านั้น   ขอสรุปว่าจากที่ได้ไปเห็นมาเลย์เซียทั้งเมืองใหญ่และเมืองเล็กบางเมือง     เกิดความประทับใจว่าบ้านเมืองเขาภาครัฐเข้มแข็งกว่าภาคเอกชน  ผิดกับบ้านเรา  ภาคเอกชนแข็งแรงกว่ารัฐ
ภาครัฐของเราเคยแข็งแกร่งในอดีต  ตอนเริ่มระบบราชการ ชนิดมีเงินเดือนไม่ใช่เบี้ยหวัด    เราเคยมีค่านิยมว่า "สิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยง" คือภาครัฐมั่นคงกว่าภาคเอกชน    แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้วค่ะ

เป็นได้ว่าถ้าผลิตรถยนต์เอง  รัฐก็อาจยกสัมปทานให้เอกชนซึ่งไม่ใช่ใคร  ก็บริษัทชื่อคนไทยในเครือพี่ๆ ที่คุณ diwali เอ่ยมานั่นแหละค่ะ



กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 09 ส.ค. 10, 12:37
เรื่องนี้ต้องเข้ามาแจม
เมื่อปี 2528 รัฐบาลท่านชาติชายต้องการที่จะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยียานยนต์จากญี่ปุ่นขึ้นในเมืองไทย แต่เจ้าของเทคโนโลยีเขาบอกว่าเราไม่มีฐานความรู้ที่จะรับได้ จึงมีการตั้งศูนย์เทคโนโลยียานยนต์ขี้นที่กระทรวงวิทย ฯ ไปเอาคนแถวๆนี้แหละจากภาคเอกชน เงินเดือน 3x,xxx มาเป็นผอ.1x,xxx ผมมีเพื่อนร่วมรุ่นที่สามย่านเช่น ดร.จักรกฤษ เป็นรองปลัด อุตฯ มีจำลอง ใหญ่โตอยู่ที่โรงปูน บุญรอดอยู่ดัทสัน มีรุ่นน้องอยู่ที่โตโยต้า(ตอนนี้ใหญ่มาก) ฮอนด้า มาสด้า ผมเข้าไปเป็นกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ ของกระทรวงอุตฯ เป็นอนุกรรมการถ่ายทอดเทคโนของกระทรวงอุตฯ ผอ.กับเลขาฯ พร้อมกล้องคู่ใจ ลุยเองไปดูโรงงานทำชิ้นส่วนทุกโรงในประเทศไทย ย้ำในประเทศไทย
ผมได้รับคำเชิญให้ไปชม โรงงานที่ญี่ปุ่น สิ่งที่ทางโน้นทึ่งมากคือทางเทคโนโลยีเขาจัดให้ผมดูอะไรก็ไม่รุ้ แต่จะหนักไปทาง entertain ผมเบรคเขาทันที ว่าผมขอไม่ดูตามที่เขาจัดให้ แต่ผมต้องการดู1,2,3,4,5 โดยเฉพาะทางด้าน R&D เขาบอกว่าไม่เคยมีข้าราชการไทยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย (รัฐบา ลroyal ข้าราชการ loyal) ส่วนมากท่านมาเพื่อ enjoy

เรื่องรถประจำชาติเกือบจะทำได้อยู่แล้ว พราะผมทราบหมดแล้วว่าเราทำอะไรได้มั่ง ทำที่ไหน แต่ผมทำไม่เสร็จครับ ปัญหาอยู่ที่โดนเบรคจากทางการเมืองครับ พวกนี้เงินทองเหลือหลาย จะมีการเปลี่ยน local content แต่ละตัววิ่ง lobbyน่าดู คอรัปชั่น ครับผม
มานิต


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 11 ส.ค. 10, 23:48
ต้องขอบพระคุณ คุณหญิงคุณครูใหญ่ และคุณอามานิต
ที่ยังเข้ามาตรวจการบ้านผมครับ

มองมาเลย์แล้วเหล่ดูไทย  ประเด็นนี้ ต้องยอมรับคุณอาหม่อม เจ้าของกระทู้ เข้าใจตั้งจริงๆ


อย่างที่คุณครูใหญ่ว่าไว้แหละครับ  หลายๆเมืองในมาเลเซีย ไม่ได้ ดีเด่นกว่าบ้านเรา

แต่ที่ต้องยอมรับอย่างใจจริงที่สุดก็คือ

ภาครัฐมาเลย์เซีย แข็งแรง แข็งแกร่งกว่าบ้านเรา จริงๆ ครับ


หมายเหตุ
แต่ข้าราชการอาจมาเลย์อาจไม่คิดอย่างนั้นนะครับ
เมื่อสัปดาห์ก่อน ตม.มาเลย์ ที่ KLIA ยืนเม้ากับผมเป็นหลายนาที
สุดท้ายผมจบด้วยประโยคที่ว่า "next vacation, must be in Bangkok, real freedom. see you"
จนท.ตม. มาเลย์ หัวเราะเอิ้กใหญ่ พร้อมกับบอกว่า "that 's true, really truth, and may call you"
แค่นี้ ก็พอจะบอกอะไรบางอย่างได้แล้ว

ใช่ใหมครับ
 ;D ;D ;D ;D


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ส.ค. 10, 13:53
อยู่ในบ้านเมืองที่ระเบียบจัด  ไหนจะสู้เมืองที่ " ทำได้ตามใจคือไทยแท้" ได้ล่ะคะ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 20 ส.ค. 10, 23:52
เข้ามาต่อกระทู้อีกสักรอบ หวังว่า คุณครูคงไม่รำคาญนะครับ

ผมเพิ่งจะกลับจากกัวลาลำปูร์ เมื่อคืนวันพฤหัส(เมื่อวาน)
มีเรื่องอยากมาเล่าสู่กันฟังครับ

หนังสือพิมพ์ในมาเลย์ เช้าวันพฤหัสฯ ที่ 19 พร้อมใจกันพาดหัวใหญ่ และลงรูปคุณหญิงหมอฯ ผู้โด่งดังของไทยครับ

เพราะตอนนี้ในมาเลย์เซีย มี คดีครึกโครม คือคดีการเสียชีวิตของ Teoh Beng Hock นักข่าวหนุ่มที่เป็นผู้ช่วยนักการเมืองคนหนึ่งสลังงอร์
คือว่า นายเตียว ตกจากชั้น 14 ของตึก Malaysian Anti-Corruption Commission(MACC)หรืออาจเรียกได้ว่าตึกสำนักงาน ปปง มาเลเซีย
โดยร่างตกลงมาเสียชีวิตบนดาดฟ้าชั้น 5 ของตึกข้างเคียง

มีการสืบคดี และเป็นข่าวใหญ่โต

ที่เป็นเรื่องใหญ่ และกลายเป็นข่าวใหญ่กว่า ก็ตรงที่ คุณหญิงหมอฯของเราลงความเห็นว่า
"...Teoh's death was probably 80% homicide and 20% suicide."


ซึ่งคุณหญิงหมอฯ เพิ่งจะไปให้การต่อศาลสูงสลังงอร์เมื่อวาน(พฤหัส 19 ส.ค. 2010)
(อ้างอิง http://news.asiaone.com/News/AsiaOne%2BNews/Malaysia/Story/A1Story20100819-232810.html )

แค่อยากเอามาเล่าสู่กันฟังครับ จากที่ดูทีวี และอ่านข่าวเช้าในมุมหนึ่งของสลังงอร์ เมื่อวานนี้ครับ
เรื่องนี้ ผมไม่มีความเห็นมากไปกว่านี้ครับ


รูปประกอบ คนในวงคือ พ่อหนุ่มเตียว ผู้วายชนม์ ครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 07:25
แล้วเรื่องมันเป็นยังไงล่ะครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 21 ส.ค. 10, 11:10
ตัวกระผมก็ไม่มีรายละเอียดมากครับ
คือที่ถามเพื่อน ได้ใจความว่า

นายเตียว คนนี้ ได้ถูกควบคุมตัว และสอบสวน จนถูกกันเป็นพยาน ในคดีคอรัปชั่น

วันที่เสียชีวิต นายเตียวถูกสอบปากคำจนกระทั่งตีสามกว่าๆ ที่ตึก MACC (ปปช มาเลย์)
ตามที่ทางการมาเลย์แจ้งว่า ได้ปล่อยตัวนายเตียวกลับบ้าน ตีสามสี่สิบห้า และสั่งให้มาให้การต่อในวันรุ่งขึ้นตอนแปดโมง

แต่ทว่า นายเตียวก็ไม่ได้เดินทางมา
และพบในตอนบ่ายโมงกว่าว่าเสียชีวิต ที่ตึกข้างๆ MACC

คดีนี้ ครึกโครมในมาเลย์มากๆ
นายกราจิบฯ ถึงกับออกมาให้ข่าวเองครับ

สุดท้าย ก็ต้องใช้บริการ คุณหญิงหมอฯของเรา ไปฟันธงว่า นายคนนี้กระทำอัตวินิบาตกรรม หรือไม่


หมายเหตุ นายเตียวเพิ่งจะหมั้นหมายครูสาว กำหนดแต่งงาน ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วัน
และคนจีนมาเลย์ ก็แอบๆ วิจารณ์เรื่องนี้อย่างกว้างขวางครับ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 24 ส.ค. 10, 00:21
ขออนุญาตออกความเห็นเรื่องรถยนต์นะคะ

รถโปรตอนนั้น เคยคุยกับคนมาเลเซียที่ทำงานด้านรถยนต์ เขาบอกว่าใช้เพราะราคาถูกค่ะ แต่ถ้ามีเงินมากขึ้นรถที่อยากใช้คือฮอนด้า และอัปเกรดไปเป็นรถยุโรปตามลำดับ

ส่วนถามว่าคนไทยสามารถทำรถยนต์เองได้ไหม ตอบว่าทำได้ค่ะ ทุกวันนี้เทคโนโลยีหลายอย่างเปิดให้คนไทยได้รับทราบแล้ว รวมถึงกระบวนการออกแบบรถหลายๆ รุ่นคนไทยก็มีส่วนร่วม ปัญหาคือ ถ้าเราผลิตออกมาแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะขายได้ในประเทศไทยที่ "ติด" กับรถญี่ปุ่นมานานมากจนกลายเป็นค่านิยมไปแล้ว นี่ยังไม่ได้พูดถึงว่า เรามีความสามารถที่จะแข่งขันในระดับโลกได้หรือเปล่า



กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ส.ค. 10, 10:16
รถยนต์ในไทยทุกวันนี้แพงเพราะเก็บราคาภาษีแพงมหาโหด  อ้างว่าเป็นการกันไม่ให้รถมีมากเกินไป   แต่เอาเข้าจริงรถก็มีล้นเกินถนนไม่รู้กี่เท่าเพราะขนส่งมวลชนของเรายังมีน้อยและล้าหลังอยู่มาก
ถ้ามีรถยนต์ไทยราคาถูกออกมาเพราะเสียภาษีต่ำมาก   ยังไงคนก็ต้องซื้อ  โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย  เลือกระหว่างรถญี่ปุ่นล้านกว่าบาทแต่รถไทยอาจจะสามสี่แสน  เขาก็คงอยากเลือกรถไทยราคาถูกเพื่อใช้งาน   ที่สำคัญคือคุณภาพจะต้องพอไหว   ไม่ใช่ซื้อมาสามวันซ่อมซะสองวัน   อะไหล่ก็ต้องราคาถูกและหาซื้อง่ายด้วย    มันมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างที่ไทยต้องทำเพื่อจะชวนให้คนไทยซื้อให้ได้  ไม่ใช่แค่สักแต่ว่าผลิตออกมาเท่านั้นค่ะ

ส่วนเรื่องนายเตียวขอมองในแง่ร้ายว่า ถ้าเป็นประเทศสารขัณฑ์สัก ๕๐-๖๐ ปีก่อน   มีความเป็นไปได้ว่า แกก็คงถูกสอบสวนจนซี่โครงหักหัวใจวายอยู่ในตึกนั่นเองละค่ะ


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: manit peuksakondh ที่ 24 ส.ค. 10, 11:48
ลังเลนิดๆว่าจะคุยเรื่องยานยนตร์ดีหรือไม่เพราะมีผลทั้ง+ และ -ตัดสินใจคุย
ตอนผมได้รับเชิญไปดูงาน และขอเปลี่ยนโปรแกรมมาดูทาง R&D ทางโน้นเขาคงจะคิดว่าคนไทยคงไม่มีความรู้เท่าใดนักทางด้าน aerodynamic เขากะจะโชว์ให้ตลึงไปเลยโดยจัดให้ดูอุโมงลมที่ใหญ่มาก ใช้ทดสอบรถยนตร์ขนาดเท่าตัวจริง คือ scale 1:1 แต่ขอประทานโทษ พอเข้าไปถึงปุ๊บไม่ทันเขาบรรยายผมก้บอกแล้วว่ารูปที่แสดงบน คอม น่ะ wake ใช่ใหม พอเข้าไปในtest section ผมถามทันทีว่า boundary control ทำอย่างไร suction หรือ blowing thickness เท่าไร คนตลึงคือเจ้าภาพ
ตอนนั้นเขากำลังจะทำตลาดแบบที่เรียกว่า product diversification โดยใช้ที่เรียกว่า power steering ผมซักเสียจนต้องเอาตนออกแบบมาคุยกับกระจอกจากไทยเรา (สมกับที่จอมบ่นประจำกายบอกว่า"คุณนิสสัยไม่ดี")
มีอีกหลายเรื่อง แล้วจะเล่าวันหลัง ผมขอย้ำว่า ออกแบบเครื่องบินที่ค้องลอยอยู่บนฟ้า ยังทำได้ สำมะหาอะไรกับการออกแบบรถยนตร์ เรื่องเล็กสำหรับวิศวกรไทย ครับ สว่นคุณภาพน่ะไม่ต้องห่วง วิศวกรไทยรู้จัก ISO 9001:2008 เป็นอย่างดีครับ
เรื่องการตลาดน่าห่วงครับ มีรุ่นน้องชื่อ ปิติ แล้วอีกคนที่ตอนนี้เป็นายกสมาคมชิ้นสว่นฯทำ motorcyle ให้ทางโน้นแล้วออกมาทำเองยี่ห้อ Tiger มีปัญหาครับ โดน block ทั้งทางการผลิตชิ้นสว่นและทางเส้นทางการจัดจำหน่ายครับ  product place price promotion
มานิต


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 25 ส.ค. 10, 01:14
เรื่องรถ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถเครื่อง แบรนด์ไทย
ถ้าทางจะต้องคุยอีกยาวครับ

แต่เข้ากับหัวข้อเรื่อง "มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย"


ผมเอง ณ ปัจจุบัน อยู่ในวงการโลจิสติกส์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์โดยตรง
แต่ทว่า งานของผม ได้ไปให้บริการผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่น้อย

ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ แสดงได้คำเดียวครับว่า

"เฮ้อ!!!!!!"
 ::) ::) ::)


กระทู้: มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ส.ค. 10, 10:24
ก็คุยกันไปได้เรื่อยๆค่ะ   คุณนวรัตนอาจจะจบเรื่องเล่าของท่านแล้ว  แต่พวกเราที่เข้ามาอ่านก็ยังคุยกันต่อได้ ไม่จำกัด    ท่านอาจจะกลับมาร่วมวงด้วยเมื่อไรก็ได้
มีอะไรพอเล่าสู่กันฟังได้ก็เล่ากันไป  เพื่อจะดูให้ได้ว่าภายในเวลาไม่กี่สิบปี  ประเทศเขาพัฒนาขึ้นมาถึงขนาดนี้ได้ยังไง