Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 26 พ.ค. 21, 15:44
|
|
ขออนุญาตเรียนชี้แจงอาจารย์เทาชมพูและคุณninpaat แผนที่นี้แสดงที่ตั้งย่านบางจาก ซึ่งอยู่ระหว่างสะพานพระโขนงและแยกบางนา ลูกศรที่ชี้ทิศทางขึ้นเหนือไปพระโขนง และลงใต้ไปบางนา จึงถูกต้องแล้ว ตำแหน่งซอยเลขคี่และเลขคี่ก็ถูกต้องแล้ว ในแผนที่ระบุเลขซอย 60/1 ถูกแล้วครับ font เลข 6 และ 0 ต่างกัน (ซูมดูแล้ว) แผนที่ถูกวางตามแนว บน-เหนือ ล่าง-ใต้ ตามมาตรฐานแล้ว แผนที่รูปนี้จึงโอเคครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 26 พ.ค. 21, 15:51
|
|
แผนที่ถูกวางตามแนว บน-เหนือ ล่าง-ใต้ ตามมาตรฐานแล้ว ดูจากสัญลักษณ์ทิศที่มุมบนซ้าย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ninpaat
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 26 พ.ค. 21, 16:54
|
|
ผมเห็นด้วยกับคุณ Jalito ทุกประการครับ
และขอเรียนถามท่านอาจารย์นายตั้งเพิ่มเติมว่า แผนที่แบบที่ท่านอาจารย์เทาชมพูนำมาแสดงนี้ จัดเป็น Thematic map ได้หรือไม่ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 26 พ.ค. 21, 19:16
|
|
แผนที่นั้นแสดงถูกต้องแล้วทั้งในเชิงของทิศและทิศทางครับ แต่ในเชิงของระยะทางนั้น ผมไม่แน่ใจนักว่าอยู่ในเกณฑ์ที่มีสัดส่วนใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม โดยลักษณะของการให้ข้อมูลเชิงโครงข่ายถนน ซอย และสถานที่อ้างอิงที่หลากหลาย ผมมีความเห็นว่าเป็นแผนที่นำทางไปยังจุดที่ต้องการ (way point) ที่ดี ทั้งนี้ โดยลักษณะที่ปรากฎ ก็น่าจะเป็นแผนที่ๆจัดว่ามีความถูกต้อง (accuracy) และผู้ที่ทำแผนที่นี้ดูจะมีความใส่ใจและคำนึงถึงผู้ใช้ค่อนข้างมากทีเดียว
แต่ก็เข้าใจในข้อสะกิดใจของ อ.เทาชมพู ที่เมื่อดูแผนที่แล้วต้องตั้งหลักพิจาณา ผมเห็นว่ามันมีข้อมูลที่ไปสะกิดความรู้ในลิ้นชักของคนที่มีความคุ้นเคยกับพื้นที่นั้นๆ ที่เคยอยู่แต่ได้ย้ายถิ่นที่อยู่ออกไปค่อนข้างจะเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ก่อนโน้นชื่อวัดธาตุทอง คลองตัน เอกมัย พระโขนง และซอยอ่อนนุช เหล่านี้พอจะจัดได้ว่าเป็นชายขอบของ กทม. ชื่อบางนานั้น หมายถึงขับรถไปอีกไกล และก็รับรู้กันว่ามันมี "แยกบางนา" ซึ่งหมายถึงถนนสายบางนา-ตราด เมื่อแผนที่ได้บอกว่าปลายถนนสุขุมวิทด้านล่างเป็นเส้นทางไปบางนา ด้านบนไปพระโขนง ก็จะเริ่มสับสนในเบื้องแรกเลยว่า แผนที่นี้อยู่ในส่วนใหนของถนนสุขุมวิท ผมเห็นว่า เพียงเปลี่ยนการให้ข้อมูลทิศทางของถนนสุขุมวิท จาก ไปบางนา เป็น ไปแยกบางนา และเปลี่ยนจาก ไปพระโขนง เป็น ไปแยกอ่อนนุช หรือ ไปแยกเอกมัย บางทีก็น่าจะทำให้ลดการสะกิดใจได้ตั้งแต่แรก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อ 26 พ.ค. 21, 19:41
|
|
...และขอเรียนถามท่านอาจารย์นายตั้งเพิ่มเติมว่า แผนที่แบบที่ท่านอาจารย์เทาชมพูนำมาแสดงนี้ จัดเป็น Thematic map ได้หรือไม่ครับ
ในความรู้ของผม thematic map มีลักษณะเป็นแผนที่ๆบอกเรื่องราวเฉพาะในแต่ละเรื่อง ซึ่งมักจะเป็นแผนที่ๆใช้แสดงข้อมูลของเรื่องต่างๆในเชิงปริมาณหรือในเชิงคุณภาพในภาพรวม ในขณะที่ schematic map มีลักษณะเป็นแผนผังที่ใช้แสดงเรื่องราวหรือข้อมูลที่ต้องการจะบอกกล่าว ดังนั้น แผนที่ๆ อ.เทาชมพู นำมาแสดงนี้จึงไม่น่าจะเข้าข่ายเป็น thematic map ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ninpaat
|
ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อ 27 พ.ค. 21, 05:56
|
|
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ แผนที่แบบนี้ จัดเป็น schematic map นั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ 27 พ.ค. 21, 18:46
|
|
เรื่องของ ทิศ นี้ มีความเกี่ยวข้องกับผู้คน สังคม วัฒนธรรม และศาสนา อย่างไม่น่าจะเชื่อเลยทีเดียว แต่ส่วนมากจะอยู่ในเรื่องความเชื่อ บ้างก็เป็นเรื่องของพันธะ บ้างก็เป็นเรื่องของประเพณีนิยม บ้างก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกระบวนการทางธรรมชาติ บ้างก็อยู่ฐานทางวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ก็มีอาทิ เรื่องของการนอนหันหัวไปทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออก ไม่นิยมนอนหันหัวไปทางทิศใต้ และไม่พึงนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นเรื่องของคนตาย พระพุทธรูปควรจะตั้งวางให้ผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือหรือตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น
บนฐานทางวิทยาศาสตร์นั้น เกือบทั้งหมดจะเกี่ยวพันกับเรื่องของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นสุข เช่น การวางผังของบ้านที่อยู่อาศัยว่าควรจะมีลักษณะเช่นใด ในแนวของทิศทางใด... เพื่อให้มีการผสมผสาน (compromise) กันอย่างเหมาะสมระหว่างลักษณะทางกายภาพของที่ดิน สภาพของดินฟ้าอากาศในช่วงฤดูกาลต่างๆ กระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้นๆ ข้อจำกัดต่างๆ.... เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถอยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อ 27 พ.ค. 21, 19:33
|
|
ความรู้ในลิ้นชักของผู้คนในแต่ละเขตละติจูดต่างๆของโลก ก็จะต่างกันไป ลองพิจารณาจากความเป็นจริงของธรรมชาติ เส้นทางโคจรของดวงอาทิตย์มีอ้อมเหนือและอ้อมใต้ เมื่ออ้อมใต้ก็จะเป็นช่วงหนาวของคนที่อาศัยอยู่ในละติจูดเหนือ (เงาของเราจะทอดไปทางทางด้านทิศเหนือ) ดวงอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้าช้า แต่ตกลับขอบฟ้าเร็ว เมื่อพระอาทิตย์อ้อมเหนือก็จะเป็นช่วงร้อนของผู้คนในละติจูดเหนือ (เงาจะทอดไปทางด้านทิศใต้) ดวงอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้าเร็วมาก และตกลับขอบฟ้าช้ามาก ก็คงจะนึกภาพออกแล้วว่า การเก็บโกยแสงอาทิตย์มาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างมากที่สุดของพวกเขาจะต่างกันอย่างไรกับของเรา ของเรานั้นมีมากเกินพอจนต้องหลบเข่าร่ม ทิศของพวกเขาจะไปอิงอยู่กับแนวการวางตัวของโครงสร้างต่างๆ เพื่อให้ได้ใช้แสงแดดอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทิศของพวกเราจะไปอิงอยู่กับเรื่องทิศทางของลม พายุ ฝน และมรสุม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ดาวกระจ่าง
มัจฉานุ
ตอบ: 89
|
ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ 27 พ.ค. 21, 19:35
|
|
เห็นพูดคุยเรื่องทิศทำให้ดิฉันนึกถึงปรากฏการณ์หนึ่งคือตะวันอ้อมข้าวกับตะวันอ้อมโขง เป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ไม่ได้อยู่ทิศที่เห็นกันอยู่ทุกวันทำให้แอบสงสัยอยู่ว่าคนโบราณเขาจะมีมุมมองว่ามันดีหรือไม่เช่นไร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ 28 พ.ค. 21, 12:00
|
|
ในลิ้นชักของดิฉันคงไม่มีความรู้เรื่องแผนที่อยู่จริงๆ ค้นจนทั่วแล้วค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 28 พ.ค. 21, 18:19
|
|
ไม่หรอกครับอาจารย์ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องปกติครับ
ในการทำงานในภาคสนามของผมที่ต้องเดินสำรวจทำแผนที่ธรณีวิทยาไปในพื้นที่ต่างๆนั้น จะมีแผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1:50,000 อยู่ที่มือซ้ายตลอดเวลา มีเข็มทิศ มีสมุดบันทึก (field note) ส่วนมือขวาก็จะถือฆ้อนธรณีฯ เพื่อใช้กระเทาะหินให้ออกเป็นชิ้นเล็ก ใช้ hand lens ส่องดูเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆในเนื้อหิน (ซึ่งบอกเรื่องราวในอดีตของยุคที่มันกำเนิดมา) และใช้กระเทาะหรือย่อยมันเพื่อเก็บเอาไปเป็นตัวอย่างสำหรับวิเคราะห์ในสำนักงานหรือ lab ต่อไป มีวิถีชิวิตที่ต้องเกี่ยวข้องกับแผนที่ เข็มทิศ ทิศทาง พิกัด (ตำแหน่ง) และระยะ ที่อาจจะกล่าวได้ว่าค่อนข้างจะมีความสันทัดอยู่พอประมาณเลยทีเดียว ก็ยังไม่วายหลงทิศ หลงพิกัด หรือหลงระยะได้ง่ายๆเหมือนกัน กระทั่งนักบินก็ยังเกิดการหลงทิศได้เช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 28 พ.ค. 21, 19:28
|
|
จากประสบการณ์ของผม มีความเห็นว่า อาการงงกับแผนที่และอาการหลงทิศนี้ดูจะมีต้นตอหลักๆมาจากพิกัดต้นทางที่เราเอาตัวของเราเข้าไปตั้งอยู่ แล้วใช้ในการพิจารณาแผนที่นั้นๆ อีกสาเหตุหนึ่งดูจะเกี่ยวกับโครงสร้างในองค์รวมของพื้นที่ีๆเราดูนั้นๆไม่มีลักษณะเป็นสี่ทรงเหลี่ยม ครับ...เราเป็นคนในโลกยุคใหม่ ในลิ้นชักความจำของพวกเรา(สมอง)จะเห็น ถูกสอน และคุ้นเคยกับอะไรๆที่มีลักษณะเป็นเส้นตรง (linear) และที่เป็นทรงกล่อง (rectangular)
ก็จึงไม่แปลกนักที่เราจะค่อนข้างจะหลงทิศ/หลงทางเมื่อขับรถหรือเดินอยู่ในพื้นที่ส่วนที่เป็นเมืองเก่าทั้งหลาย(ในโลกและของไทย) หรือเมืองใหญ่ๆที่ผังเมืองได้ถูกกำหนดให้ต้องคดโค้งไปตามแม่น้ำสายหลักที่เมืองตั้งอยู่ ซึ่งถนนในเมืองเหลานั้นดูล้วนจะมาจากเรื่องทางพื้นฐานที่ถนนทุกสายมุ่งเข้าสู่/เชื่อมโยงกับใจกลางของมหานคร ถนนสายหลักจึงมีลักษณะเป็นดั่งเส้นใยหลักของใยแมงมุม เมื่อมีถนนสายรองตัดเชื่อมถนนสายหลักทั้งหลาย ก็จะเกิดเป็นโครงสร้างเส้นทางคมนาคมทรงสามเหลี่ยม ซึ่งเราซึ่งเป็นผู้ไปเยี่ยมเยือนไม่คุ้น การหลงทิศหลงทางจึงเกิดขึ้น หากจะลองทดสอบอาการหลงทิศหลงทางอย่างง่ายๆ ก็เพียงลองนำตัวเข้าไปอยู่ในพื้นที่บริเวณวงเวียน 22 กรกฎาฯ แล้วลองตั้งหลักคิดว่าจะใช้เส้นทางใหนไปสถานีหัวโพง เยาวราช เจริญกรุง บรรทัดทอง โอเดียน ... เป็นต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 29 พ.ค. 21, 19:52
|
|
มาถึงคำว่า "พิกัด" เมื่อได้ยินคำนี้ ส่วนมากจะนึกถึงพิกัดทางภูมิศาสตร์ แต่หากเป็นคำภาษาอังกฤษ (coordinate) ก็มักจะนึกไปนึกถึงตำแหน่งที่ตัดกันระหว่างแนวเส้นตรงของข้อมูลที่ลากมาตัดกัน หรือมิฉะนั้นก็จะนึกถึงในความหมายของ entity (นิติบุคคล) ที่ดำเนินการประสานความร่วมมือต่างๆ แท้จริงแล้ว การใช้คำว่า พิกัด ควรจะต้องมีสร้อยต่อท้าย เช่น พิกัดทางดาราศาสตร์ พิกัดฉาก พิกัด GPS พิกัดศุลกากร ฯลฯ พอมาถึงพิกัดศุลกากร ก็กลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง พิกัดศุลกากรหมายถึงระบบการจำแนกประเภทสินค้าที่มีการนำเข้าหรือส่งออกของแต่ละประเทศ แต่เดิมก็จะเป็นการจำแนกแบบของใครของมัน แต่ในปัจจุบันนี้ได้มีความตกลงร่วมกันว่าจะจำแนกสินค้าเหล่านั้นให้มีความเหมือนๆกัน เรียกกันสั้นๆว่า HS Code พิกัดศุลกากรมีลักษณะเป็นตัวเลขหลักอยู่หกหลักแต่มีรายละเอียดย่อยลงไปได้อีกหกหลัก การศุลกากรเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีที่เรียกว่า tariff
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อ 30 พ.ค. 21, 18:53
|
|
พิกัดทางภูมิศาสตร์ที่เรารู้จากการเรียนหนังสือตั้งแต่ระดับประถมวัยจนถึงระดับมหาวิทยาลัยนั้น อยู่ในเรื่องของละติจูด (Latitude) หรือเส้นรุ้ง และลองติจูด (Longitude) หรือเส้นแวง ซึ่งคุณครูจะสอนให้จำได้อย่างขึ้นใจว่า "รุ้งตะแคง แวงตั้ง" แล้วก็สอนให้รู้ว่ามันเหมือนตาข่ายคลุมโลกเรา ซึ่งมีการแบ่งตาข่ายเป็นเส้นตั้ง (แนวเหนือ-ใต้) เรียกว่าเส้นแวง ซึ่งเส้นแวงนี้มีจุดออกอยู่ที่ตำบล Greenwich ในประเทศอังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงลอนดอนนัก (หากมีโอกาสไปเที่ยวอังกฤษและแวะพักในกรุงลอนดอน ก็น่าจะลองหาโอกาสไปแวะเที่ยวดู มีตลาดที่ดี มีของอร่อยมากมาย โดยเฉพาะ beef stew puff หรือ pie) ตำแหน่งของกรุงเทพฯอยู่ที่เส้นแวงประมาณ 100 องศา 30 ลิบดา นับไปทางทิศตะวันออกจาก Greenwich เขียนสั้นๆว่า 100ํํ 30' E (east) ส่วนเส้นรุ้งจะเป็นเส้นในแนวนอนที่พาดผ่านในแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก นับออกจากเส้นศูนย์สูตรขึ้นไปทางเหนือหรือลงใต้ กรุงเทพฯของเราตั้งอยู่ที่เส้นรุ้งประมาณ 13ํํ องศา 30 ลิบดา ขึ้นไปทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร เขียนสั้นๆว่า 13ํํ 30' N (north)
พิกัด(ตำแหน่ง)ที่ตั้งของเมืองกรุงเทพฯบนแผนที่ ก็คือ 100ํํ 30' E 13ํํ 30' N (โดยประมาณ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 30 พ.ค. 21, 19:30
|
|
แต่พิกัดนี้หมายถึงเมืองกรุงเทพฯที่จุดใด
เพื่อให้มีความละเอียดมากขึ้น ระบบก็เลยต้องแบ่งย่อยระยะของลิบดาลงไปอีกเป็นหน่วยย่อยที่เรียกว่า ฟิลิบดา ก็มีข้อตกลงนาๆชาติกันว่า เราจะซอยแบ่งระหว่างแต่ละองศาออกเป็น 60 ส่วน แต่ละส่วนเรียกว่า ลิบดา และซอยแบ่งแต่ละลิบดาออกไป 60 ส่วนเรียกว่า ฟิลิบดา จะใช้วงกลมขนาดจิ๋วสำหรับหน่วยองศา ใช้เครื่องหมายฟันหนูหนึ่งเส้นสำหรับหน่วยลิบดา และใช้เครื่องหมายฟันหนูสองเส้นสำหรับหน่วยฟิลิบดา แต่เมื่อโลกเข้าสู่สังคมและเทคโนโลยีในลักษณะที่ต้องการความแม่นยำสูง (precise) มากกว่าในด้านของความถูกต้อง (accuracy) และยุคสมัยของตรรกะฐานสิบนิยม ก็จึงมีความนิยมที่จะหันจากการใช้พิกัดในระบบ องศา ลิบดา และฟิลิบดา เราก็เลยได้เห็นค่าพิกัดของที่ตั้งต่างๆในรูปของตัวเลขขององศาที่ตามมาด้วยจุดทศนิยม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|