ก่อนอื่น ขออนุญาตเรียนอาจารย์เทาชมพูให้ทราบก่อน
ว่าคนที่พูดถึงลายกำมะลอ มิใช่กรมพระยาดำรง
แต่เป็นกรมพระยานริศ นะครับ ขอให้อาจารย์ลองอ่านทวนดู
ข้อความที่ คุณ POJA ได้ quote มาเองก็ก็กล่าวเช่นนั้น
เรื่องที่สอง ที่อยากให้อาจารย์ลองอ่านทวนอีกเช่นกัน คือ
ข้อความที่ คุณ POJA ได้ quote มาบางส่วน ดังนี้
“ที่นี้จะสันนิษฐานตำนานลายกำมะลอ ทีแรกมีช่างจีนเข้ามาจากเมืองจีน มาเขียนของจีนในเมืองไทย ไทยบางคนเห็นว่างามกว่าลายรดน้ำ เพราะมีสีต่างๆ ออกไปได้ จึ่งเอาของไทยที่เคยเขียนลายรดน้ำไปให้เขียนลายกำมะลอ เพราะฉะนั้นลายกำมะลอชั้นแรกคงเป็นฝีมือจีนนอก ต่อมาทีหลังก็จำเป็นอยู่เองที่ครูจีนนอกจากจะต้องถ่ายทอดวิชาให้แก่ลูกจีนในนี้ทำเพื่อช่วยแรงตัว เหตุฉะนั้นวิชาเขียนลายกำมะลอก็มีขึ้นในพวกลูกจีนอีกด้วย พวกลูกจีนที่เกิดเมืองจีนย่อมมีตาติดรูปภาพและลวดลายไทยอยู่ ครั้นรับจ้างเขียนของไทย ก็ทำเรื่องและท่วงทีล้อไทยเพื่อให้ไทยชอบ แต่จะเหมือนฝีมือไทยที่เดียวนั้นหามิได้ เพราะมิได้หัดอย่างไทย
ถัดนั้นลงมาอีกรุ่นหนึ่ง พวกช่างไทยอยากทำบ้าง แต่เป็นการยากที่ผสมสีด้วยรัก เพราะรักนั้นดำทำให้สีมัวเสียไปเสมอ ช่างจีนมีวิธีผสมใส่อะไรบ้างปิดหนักหนา ช่างไทยขโมยสืบมาได้บ้างบางอย่างประกอบกับเดาลองผสม ก็ได้บ้างแต่ไม่ดี ฝีมือช่างไทยเขียนลายกำมะลอดูท่วงทีเป็นไทยแท้ เมื่อเป็นดั่งนี้ จะต้องจัดลายกำมะลอเป็นสามรุ่น รุ่นที่ ๑ ฝีมือจีนนอก รุ่นที่ ๒ ฝีมือลูกจีน รุ่นที่ ๓ ฝีมือไทย ทางสันนิษฐานดังนี้”
สำหรับผม ผมว่าย่อหน้าแรกก็ชัดเจนดีว่าพูดถึงคน ไม่ใช่ฝีมือ
แต่ถ้าอาจารย์จะคิดว่าเป็นฝีมือ ผมก็เห็นว่าเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของอาจารย์
เพราะที่จริงเรา 3 คนก็มีจุดยืนเดียวกันอยู่ คือ เชื่อว่า
'ว่าฝีมือช่างเปลี่ยนแปลงไปได้ในแต่ละช่วงชีวิต'
ที่ผมขัดแย้งออกไป คือ การตีความในพระอธิบาย ของสมเด็จนริศ
หรือที่อาจจะมากกว่านั้นสักหน่อย คือ หากจะพูดถึงฝีมือจริง ผมก็ยังเห็นว่ามีประเด็นอื่นๆ
ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของลายกำมะลอมากกว่าสิ่งที่สมเด็จฯท่านทรงตรัสถึง
เป็นต้นว่าคุณภาพสีที่เปลี่ยนแปลงไปตามความสามารถในการผลิตในแต่ละยุคสมัย
สำหรับประเด็นเรื่องการตีความสื่อ และสาร
อาจารย์อาจยืนยันที่จะไม่เห็นด้วยกับผม
ผมก็ต้องขอขอบพระคุณจากใจจริงครับ
สำหรับความมั่นคงในจุดยืนของอาจารย์
โดยส่วนตัวผมกลับคิดเห็นว่าการ 'ฟัง' หรือ 'อ่าน' ไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อครับ
หากมีการค้นพบหลักฐานใหม่ ที่น่าเชื่อถือกว่าแนวคิดอย่างเก่าและมีการนำเสนอออกมา
กรณีเช่นนี้ นอกจากวิธีคิดอย่างเก่าตกที่นั่ง
'ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด' แล้ว
ยังตกอยู่ในข่าย 'วิชาการเหลวแลก' อีกก็น่าจะได้
เมื่อผมเองคิดเห็นเช่นนี้ จึงเข้าใจต่อไปว่า
การสัมนาทางวิชาการต้องมีการถกเถียงกันอย่างไร
การอ่านกระทู้ทางวิชาการก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมชาติ
ส่วนผู้อ่านจะเลือกเชื่อข้างไหน เพราะอะไร ก็คงเป็นสิทธิ์ของผู้อ่าน
ไม่ต่างจากสิทธิ์ของผู้เข้าฟังงานสัมนานี่ครับ
อยากเรียนคุณผู้อ่านว่า ไม่ว่าจะเป็นข้อความในกระทู้นี้
หรือกระทู้อื่นๆที่เคยเกิดกรณีการถกเถียงกันขึ้น
หากมีผู้กล้าเข้ามาพิมพ์ตำหนิติเตียนผม เรื่องเถียงผู้ใหญ่
หรือความคิดเห็นขัดแย้ง ผมก็ยังรู้สึกขอขอบคุณท่านอยู่ดี
เพราะอย่างน้อย สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังทำให้ท่านสนใจในประเด็นที่พวกเราสนใจอยู่
ทำให้เรื่องที่เราพูดคุยกันไม่ใช่เรื่องจืดชืด หรือ 'เรื่องเก้าประโยค' ไปเสียหมดครับ