ความในคคห.117
ก่อนหน้าที่หลวงพิบูลจะลงมือปฏิบัติการกวาดล้างบุคคลน้อยใหญ่ที่ตนระแวง วันหนึ่งพระยาฤทธิ์อัคเณย์กำลังปฏิบัติราชการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการอยู่ที่กระทรวงเกษตรธิการ พ.ต.ท.ขุนศรีศรากร (ชลอ ศรีธนากร) ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล และ ลูกน้องอีกคนหนึ่ง ได้เข้าพบเพื่อแจ้งว่า “เจ้าคุณพหลให้เชิญใต้เท้าไปประชุมที่วังปารุสกวันเดี๋ยวนี้”
พระยาฤทธิ์ฯรู้สึกงงเล็กน้อย เมื่อพบกันแล้วพระยาพหลบอกว่าหลวงพิบูลจะเอาเรื่อง พระยาฤทธิ์เองก็ดูเหมือนจะรู้ตัวดีอยู่ เพราะหลวงพิบูลเคยเรียกไปกล่าวหาตรงๆว่ามีใจร่วมกับพวกกบฏบวรเดช โดยมีพยานหลักฐานว่า ได้ลงนามในฐานะรัฐมนตรีเกษตร อนุมัติให้รับอดีตนักโทษการเมืองชื่อพันโทพระเทวัญอำนวยเดชเข้าทำงานที่กรมสหกรณ์ และ เรืออากาศโทม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน เข้าทำงานที่กรมชลประทาน ท่านก็บอกว่าอ้าว นั่นเป็นมติของคณะรัฐมนตรีที่ให้รับผู้พ้นโทษกรณีนี้เข้ารับงานราชการได้ไม่ใช่เหรอ ท่านก็อนุมัติไปตามขั้นตอนที่ข้างล่างเสนอมา ไม่รู้จักใครเป็นการส่วนตัว ไม่เคยพบกันด้วยซ้ำ แต่อีกข้อกล่าวหาหนึ่งท่านไม่ได้แก้ตัว เพราะหลวงพิบูลบอกว่าท่านสนิทสนมกับพระยาทรง ก็แล้วจะให้ท่านทำอย่างไร พระยาพหลบอกว่าในเมื่อเขาจะลงมือกันอยู่แล้ว ท่านก็ขอไม่ได้ ให้พระยาฤทธ์รีบหลบไปต่างประเทศก่อนดีกว่า ว่าแล้วก็ให้นายตำรวจสันติบาลจัดการส่งให้พระยาฤทธิ์ออกไปปีนังอย่างปลอดภัย และเพื่อจะให้ออกไปแล้วไม่ย้อนกลับมาอีก รัฐบาลจึงแถลงการณ์ว่าพระยาฤทธิอัคเณย์ผู้ต้องหาคดีกบฏหนีไป ผู้ใดจับมาได้จะให้ค่าหัว 1หมื่นบาท พระยาฤทธิ์ก็เลยไม่กล้ากลับเมืองไทยจนกระทั่งหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ข้อเท็จจริงจากหนังสือ “ชีวิตทางการเมืองของพระยาทรง” ท่านเล่าไว้คล้ายกัน แต่ไม่เหมือนตรงที่ว่า เมื่อเข้าไปแล้วในห้องนั้นมิได้มีเฉพาะพระยาพหลผู้เป็นเพื่อน หากมีทั้งหลวงประดิษฐ์ หลวงพิบูล หลวงธำรง และนายดิเรก ชัยนาม เป็นเลขานุการจดบันทึกการประชุม พอท่านนั่ง หลวงพิบูลก็พูดขึ้นว่าที่ประชุมให้เป็นผู้เจรจา ตนได้รับมอบหมายจากหลวงอดุล รองอธิบดีตำรวจให้เอาหลักฐานเกี่ยวกับพระยาฤทธ์มาให้ที่ประชุมพิจารณา แล้วก็ว่าไปตามใจความล้อมกรอบข้างบน
เรื่องสำคัญที่ขาดไปคือ หลวงพิบูลบอกว่าตำรวจมีหลักฐานว่าพระยาฤทธิ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ตนถูกยิงที่สนามหลวงโดยฝีมือนายพุ่ม
นายพุ่มเป็นนักเลงกิ๊กก๊อกรับจ๊อบอยู่แถวสุพรรณ ติดคุกมาแล้ว7ครั้ง ตำรวจจับเป็นได้ทันทีและให้การว่ามายิงเพราะแค้นพี่ชายอาชีพโจรที่ถูกตำรวจจับตัดคอเสียบประจาน แต่โดนตำรวจใช้วิชามารไม่นานก็เปิดปากสารภาพ ได้ผู้ต้องหาหลายคนส่งฟ้องศาล ที่สุดแห่งคดีนี้ ศาลพิพากษาให้ประหารชีวิต พันตำรวจเอก พระยาธรณีธิเบศร์ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรกลางสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชที่ถูกคณะราษฎร ปลดออกจากราชการ แต่มีเหตุอันควรจึงลดโทษให้เป็นจำคุกตลอดชีวิต นายพุ่ม ทับสายทองมือปืนรับจ้าง พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ20ปีเพราะให้การเป็นประโยชน์ต่อคดี
หลวงพิบูลบอกพระยาฤทธิ์ว่า ตำรวจสืบมาแล้วว่าพระยาธรณีเป็นเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกับพระยาฤทธิ์ ท่านก็รับว่าจริง แต่ไม่สนิทกัน ทำงานไม่ได้พบกันเลย
หลวงพิบูลบอก มีรายงานตำรวจอีกฉบับหนึ่งว่า พระยาฤทธิ์ขึ้นเหนือไปปรึกษากับพระยาทรงเรื่องจะกบฏ
ท่านนั่งงงทบทวนเวลาตามที่ถูกกล่าวหาแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าท่านไปตรวจราชการพร้อมคณะข้าราชการผู้ใหญ่กรมป่าไม้ที่เชียงราย เวลานั้นพระยาทรงไปพักร้อนที่กว๊านพะเยาเลยเจอกันในร้านอาหารโดยบังเอิญ แล้วทานข้าวด้วยกันเป็นโต๊ะใหญ่ มีนายทวี บุณยเกตุสมาชิกคณะราษฎรที่ติดตามไปในคณะก็นั่งอยู่ด้วย แล้วจะไปคุยกันเรื่องจะกบฏได้อย่างไร
หลวงพิบูลบอกว่า ถ้าอย่างนั้นในฐานะผู้ต้องหา ท่านก็ต้องไปสู้คดีในศาลเพราะตำรวจจะสั่งฟ้องแน่นอน แต่ในฐานะเป็นผู้ก่อการผู้ใหญ่ ที่ประชุมเสนอทางเลือก2ทางให้ก็คือ หนึ่ง ลาออกจากราชการแล้วเดินทางไปอยู่เมืองนอกเสีย หรือสอง ยอมขึ้นพิสูจน์ข้อเท็จจริงในศาล ท่านย้อนถามว่า ศาลไหน หลวงพิบูลตอบว่า ศาลพิเศษที่รัฐบาลจะจัดตั้งขึ้นต่อไป ท่านเลยบอกว่า ถ้าเป็นศาลพิเศษละก็ ท่านลาออกแล้วไปอยู่ต่างประเทศดีกว่า
ตอนเลิกประชุมแล้วนั่นแหละ พระยาพหลจึงพูดกับพระยาฤทธิ์ว่า เสียใจด้วย ไม่มีทางจะช่วยได้ และตราบใดที่หลวงอดุลยังอยู่ ท่านเห็นจะไม่มีทางที่จะกลับบ้านได้
ขณะนั้น ท่านคิดถึงแต่ลูกชายที่สอบแข่งขันได้ทุนของทางราชการไปเรียนวิชาสัตวแพทย์ที่ฟิลลิปปินส์ ถามพระยาพหลว่า ถ้าพ่อโดนข้อหากบฏแล้ว จะเรียกลูกท่านกลับและให้ออกจากราชการด้วยไหม ที่ท่านถามอย่างนี้เพราะลูกๆของบรรดาผู้ที่มีโทษกบฏต้องออกจากมหาวิทยาลัย หรืองานราชการ ตามนโยบายคณะราษฎรที่ปฏิบัติอยู่ พระยาพหลบอกว่าไม่ และจะดูแลครอบครัวให้ด้วย
แต่หลังจากที่ท่านเดินทางไปแล้ว นายเสรี เอมะศิริก็ถูกเรียกกลับมาเดินเตะฝุ่นในกรุงเทพตามชะตากรรม