เรือนไทย

General Category => ระเบียงกวี => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 20 ธ.ค. 10, 09:22



กระทู้: กวีวิพากษ์ : กระจกส่องหน้า ของ ราตรี ประดับดาว
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ธ.ค. 10, 09:22
กวีวิพากษ์ : กระจกส่องหน้า
(แนวหน้า ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๓)

โบราณว่า “พูดไปสองไพเบี้ย”
หาก “นิ่งเสียตำลึงทอง” เป็นของขวัญ
วิถีไทยให้อ่อนน้อมถ่อมอาตมัน
นับเป็นทางสร้างสรรค์มรรยาทไทย

คนที่โต้ตอบใครไปทุกท่า
ไม่พิเคราะห์เหมาะปัญญามักสาไถย
ถึงหัวโขนสูงส่งมากโยงใย
ขึ้นวอใหญ่พวกคางคก มักราคี

รวงข้าวดีมีเม็ดเต็มเข้มคุณค่า
รวงจักน้อมค้อมโค้งมามีราศี
ตรงกันข้ามข้าวเม็ดลีบกลีบกลี
รวงมักชี้ตรงตั้งอหังการ


เหมือนนักปราชญ์ฉลาดรู้ผู้พรักพร้อม
มักอ่อนน้อมถ่อมกายาว่าอ่อนหวาน
ส่วนคนโง่มักโอ่อ่าท่าโอฬาร
บอกสันดานปัญญาทรามเหยียดหยามคน

ต่อให้รวยล้นฟ้าประชาแหนง
ให้ระแวงไม่เชื่อหน้ามาแต่ต้น
มักสับปลับกลับกลอกหลอกปวงชน
เหมือนหลักบนโคลนเลนเป็นหลักลอย

พวก “กูรู”ขายวิญญาณวันนี้มาก
มักสร้างฉาก “ผู้หวังดี”มีออกบ่อย
อีกระวังพวก “นายว่าขี้ข้าพลอย”
มักไม่คอยติติงตักเตือนกัน

จากมุมมองของผู้อยู่ภายนอก
แต่กล้าบอกความนัยด้วยใจมั่น
อาจเป็นความเห็นแย้งแตกต่างชั้น
ต้องแยกข้าง “สร้างสรรค์” หรือ “ประจาน”

อันคนดีที่มองจ้องกระจก
ต้องสาธกภาพตรงหน้าอย่างกล้าหาญ
หากเป็นนัก “ประชาธิปไตย” ในวิญญาณ
ควรน้อมรับคำขานด้วยยินดี

คนที่เห็นตนเลิศประเสริฐศักดิ์
ไม่เชื่อคำทายทักอ้างศักดิ์ศรี
หลงอำนาจวาสนาบารมี
นับวันที่เดินลงเหวเหลว-เท่านั้น !

คำยุคใหม่ “ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว”
อย่าหลงพวกเหลี่ยมพราวเล่ห์มหันต์
ทั้งประเภทดีแต่เห่าต้องเท่าทัน
วิสัยทัศน์(vision-มอง)อย่า “สั้น”แค่อัตตา !!!


ราตรี ประดับดาว