เราพบรูปถ่ายมุมเดียวกันอีกชิ้นในแฟ้มผลงานของวิลเฮล์ม เบอร์เจอร์ ซึ่งชวนให้ประหลาดใจ เพราะคนสองคนทำงานห่างกันหลายปีแต่สร้างรูปที่ละม้ายคล้ายกันออกมาได้ ที่สำคัญรูปของเบอร์เจอร์ยังมีความคมชัดเหนือว่าภาพพิมพ์ของทอมสันเข้าไปอีก ชัดเจนสามารถพิสูจน์ได้ว่าได้ถ่ายไว้ก่อนเบอร์เจอร์จะเข้ามาบางกอกในพ.ศ. ๒๔๑๒ เสียอีก
ขั้นแรก เรามาเปรียบเทียบก่อนว่ารูปใหนถ่ายก่อนหลังกว่ากัน ข้อนี้ง่าย เพราะโครงหลังคาวัดราชประดิษฐ์นั้น ชี้ว่ายังไม่เห็นในรูปของทอมสัน แสดงว่าถ่ายไว้ก่อน ก็็ตรงตามลำดับเวลา ในเมื่อทอมสันเข้ามาเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๐๘ เบอร์เจอร์เข้ามาหลังจากนั้นอีกสี่ปี อาคารที่ก่อสร้างอยู่ริมน้ำก็ยืนยันเช่นนั้น ในรูปทอมสัน เพิ่งจะก่อผนัง มาถึงรูปเบอร์เจอร์ได้ฉาบผนังปูนเห็นเป็นสีขาวไปทั้งผืน
แต่ที่แปลกก็คือ รูปของเบอร์เจอร์นั้นถ่ายไว้ก่อนปีที่ทอมสันจะเข้ามาเสียอีก รูปของทอมสันซึ่งเก่ากว่า ก็จะยิ่งถ่ายไว้ก่อนทอมสันเข้ามา มากยิ่งขึ้นไปอีกเรากล้ายืนยันเช่นนั้น ก็จากหลักฐานหลายประการ
เราทราบกันแล้วว่า รูปในแฟ้มเบอร์เจอร์ เป็นส่วนหนึ่งของภาพมุมกว้างแม่น้ำเจ้าพระยา กับปรากฏการณ์เรือสำเภาร้อยลำ อันเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๗ สอดคล้องกับสภาพหลังคาวัดราชประดิษฐข้างต้น วัดนี้สร้างเสร็จอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงปี คือทรงซื้อที่สวนกาแฟของหลวงเมื่อพ.ศ. ๒๔๐๗ โปรดให้พระยาราชสงคราม (ทองสุก) เป็นแม่กองดำเนินการก่อสร้าง ในวันศุกร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีชวด จุลศักราช ๑๒๒๖ ตรงกับวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๐๗ ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ ๗ เดือนจึงแล้วเสร็จ มีการฉลองวัดพร้อมทั้งเจ้าอาวาสใหม่ในปีรุ่งขึ้น ๒๔๐๘ รูปที่เห็นการสร้างโครงหลังคาพระอุโบสถ จึงน่าจะถ่ายระหว่างการก่อสร้าง แปลว่าก่อนทอมสันเข้ามาหนึ่งปี และก่อนเบอร์เจอร์ห้าปี
ภาพพิมพ์ของทอมสันยิ่งเก่ากว่ารูปเรือร้อยลำเข้าไปอีก เพราะถ่ายไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้มีการสร้างวัด อย่างน้อยก็ยังไม่เห็นโครงสร้างอาคาร และตึกสองชั้นริมน้ำก็ยังไม่ได้ฉาบปูน แต่ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นก็คือ เขาเป็นเจ้าของรูปที่สามารถต่อกันเป็นภาพมุมกว้างได้ ไม่ยักต่อ เก็บไว้เฉย ๆ จนตายไป จะบอกว่าเขาถ่ายไม่เป็นเห็นจะไม่ได้ เพราะเราพบภาพมุมกว้างอังกอร์วัดขนาดสามตอนต่อกันเป็น หลักฐานปรากฏอยู่ และเขายังเคยส่งรูปชุดบางกอกนี้ไปให้หนังสือพิมพ์ Illustrate London News ตีพิมพ์ โดยต่อกันเป็นภาพมุมกว้างด้วย แต่ไม่ต่อให้ครบขาดไปสองชิ้น นั่นอาจจะหมายความว่าเขา มิได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าใดกระมัง ถ้างั้นเขาจะถ่ายมาทำไมล่ะ มันไม่ใช่ทำได้ง่าย ๆ เลยยิ่งกว่านั้น คำอธิบายรูปที่เราพบที่สถาบันเวลคัมนั้น ก็ชวนสงสัย เพราะผิดปกติวิสัยของคนที่ถ่ายรูป มาเอง จะบอกอะไรผิด ๆ เพี้ยน ๆ อย่างนั้น โดยที่เรารู้อีกด้วยว่า ทอมสันมีฐานวิชาการอย่างดี เขาไม่ใช่ช่างภาพที่หลง ๆ ลืม ๆ เลอะ ๆ เทอะ ๆ เว้นแต่จะจงใจ หรือไม่รู้จริง ๆ เป็นต้นว่า เขาอธิบายรูปพระเมรุรัชกาลที่ ๔ ว่า The cremation pyre of the 1st King of Siam, King Mongkut, son (Brir ?)ซึ่งอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง หรือเรียกพระที่นั่งสุทไธสวรย์ว่า The Kings Buddhist temple คือเรียกพระที่นั่งเป็นวัด และเขาจะมีรูปเมรุรัชกาลที่ ๔ ได้อย่างไร ในเมื่อขณะนั้น (พ.ศ. ๒๔๑๒) เขาหากินอยู่ที่ลอนดอนแล้วข้อน่าสงสัยอย่าง ยิ่งก็คือ คนอื่น ๆ มีรูปของทอมสันได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ซื้อจากมือของเขา อย่างเช่นนางแอนนา ใช้รูปที่ตรงกันถึงหก-เจ็ดชิ้น โดยที่นางออกจากบางกอกก็ตรงไปสหรัฐ จะมีเวลาที่ใหนไปแวะซื้อรูปจากทอมสันที่ลอนดอน เช่นเดียวกันสุภาพบุรุษฝรั่งเศสและอเมริกันก็ใช้รูปเหล่านี้ เชื่อได้ยากเช่นกันว่าจะซื้อจากมือทอมสันเพราะเข้ามาหลังถึงสองสามปี คนเหล่านี้ควรจะได้รูปทั้งหลายจากแหล่งเดียวกันคือที่บางกอก ซึ่งทุกคนล้วนแวะมา และมีบางคนได้รูปที่สวยงามกว่าที่ทอมสันครอบครองอีกเสียด้วย
สุดท้าย ทอมสันเข้าไปถ่ายรูปในเขมรอยู่ ๔ เดือน ได้รูปมา ๖๐ ชิ้น ซึ่งเท่ากับกล่องไม้สามกล่อง แต่เราพบรูปที่ไมใช่เขมรเฉพาะที่ถ่ายสยามและบางกอกก็มากมายใกล้เคียงกัน แปลว่าเขาผลาญกระจกไปกับการถ่ายรูปนอกเป้าหมายเสียครึ่ง ๆ คิดอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล
สุดท้ายของสุดท้าย ทอมสันยังปล่อยไก่ฝูงใหญ่ เมื่อเขาวิจารณ์นางแอนนาที่อธิบายพระรูปโสกันต์ว่าเป็นเจ้าหญิง ในเมื่อเป็นพระราชพิธีของเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ที่เป็นเจ้าชาย เรื่องเหลือเชื่อก็คืองานนี้ นางแอนนาถูก ทอมสันที่อ้างว่าเป็นช่างภาพ กลับจำรูปตัวเองไม่ได้ นี่ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าทอมสันจะถ่ายรูปที่อยู่ในคลังสะสมของเขาทุกชิ้น
เราลองมาสันนิษฐานดู ทอมสันเข้ามาบางกอก วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๐๘ วันที่๒๗ มกราคม ๒๔๐๙ เข้าเขมร ระหว่างนั้นจะถ่ายรูปได้สักเท่าใด ในเมื่อต้องสงวนกระจกไปใช้ในป่าดงเขมร เสร็จงานก็ขนของกลับอังกฤษ ใครจะไปทราบว่าทอมสันจะไม่แวะเรือนแพของนายจิตซึ่งมีโฆษณาลงในหนังสือพิมพ์บางกอก รีคอร์เดอร์ ตั้งแต่สามปีก่อนว่ามีรูปจำหน่ายมากมาย ใคร ๆ ที่ฉลาดก็คงกว้านซื้อรูปถ่ายของนายจิตติดตัวไปด้วย ถ้าฉลาดยิ่งขึ้นก็อาจจะขอก๊อปปี้กระจกไปด้วย
เมื่อกลับถึงบ้านเกิดเมืองนอน ใครจะไปสืบรู้ได้ว่า รูปใหนใครถ่าย กว่าจะมีคนรู้ ก็ผ่านไปกว่าร้อยปีแล้ว
คุณพิพัฒน์เองก็เคยเป็นชาวเรือนไทยท่านหนึ่ง
ชาวเรือนไทยท่านอื่นมีความเห็นด้วยหรือแตกต่างจากคุณพิพัฒน์ประการใดบ้างหนอ