คุณนัทชายังมีความรู้เรื่องปืนเรือน้อยมาก พูดอย่างกับว่าปืนใหญ่ประจำร.ล.สุโขทัยติดตั้งระบบควบคุมการยิงด้วยคอมพิวเตอร์ ใช้ดาวเทียมเล็งเป้าไปที่ไหนก็แม่นราวกับจับวาง
ไม่ใช่หรอกครับ ปืนใหญ่เรือนั้น คุณ Superboy อุตส่าห์เข้ามาอธิบายขยายความว่า มีระยะยิงไกลสุดที่มุม 20 องศา ประมาณ20 กิโลเมตร ถ้ายิงด้วยมุม 45 องศา ก็จะไปได้ไกลกว่าก็น่าจะใกล้เคียง 25 กม. (นี่เอาตัวยิงไกลกว่ามาคิดนะครับ)
ผมต่อให้อีกหน่อย ระยะยิง ถ้ายิ่งไกลก็ยิ่งจะไม่แม่น จึงมีศัพท์กำหนด “ระยะยิงสูงสุด” ควบคู่กับ “ระยะยิงหวังผล”
ปืนใหญ่เรือออกแบบไว้สำหรับยิงต่อสู้เรือรบข้าศึกที่อยู่บนผิวน้ำด้วยกัน จึงต้องยิงเป็นวิถีราบ ระยะยิงหวังผลได้สักครึ่งเดียวของระยะยิงสูงสุด
แต่ถ้าระดมยิงชายฝั่ง สมัยนั้นก็ต้องการทำลายไม่จำกัดเป้า คือยิงวิถีโค้งสุ่มเข้าไปในเมือง กระสุนตกที่ไหนก็โดนที่นั่น อย่างนี้ก็อาจจะยิงโดยคำนวณสัก๗๐-๘๐ % ของระยะยิงสูงสุด ไม่มีใครหรอกนะครับที่จะนำเรือไปยิงโดยห่างจากเป้าเท่ากับระยะยิงสูงสุดที่ผู้ผลิตระบุ
แต่แม่นอย่างไรก็ไม่แม่นพอที่จะไปยิงเป้าหมายเคลื่อนที่เป้าเล็กๆ อย่างเช่นการรุกรบโจมตีของทหารราบ นอกจากว่าจะมีเรือไปร่วมระดมยิงนับสิบๆลำแบบปูพรม ก็จึงจะสะกัดศัตรูให้หาที่มุดหัวอยู่กับที่ได้ แต่ก็ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถ้าเขารบกันอยู่ในเมือง ขืนเอาปืนเรือไปยิงอีกฝ่ายหนึ่ง ก็อาจมีลูกหลงไปโดนฝ่ายของตัวเอง แต่ที่แน่ๆ ฝ่ายที่เสียหายที่สุดก็คือประชาชนผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ที่ต้องวิบัติทั้งชีวิตและทรัพย์สินแน่นอน
ใครที่ออกคำสั่งให้เอาปืนเรือไปยิงเป้าหมายบนบกก็ถือว่าเหี้ยมแล้ว แต่นี่ วังปารุศก์ ซึ่งหมายถึงกองบัญชาการปราบกบฎคราวนั้น ที่ผบ.คือพันโท หลวงพิบูลสงคราม นายทหารปืนใหญ่ ได้สั่งการให้ทหารเรือนำร.ล.สุโขทัยเคลื่อนไปที่สะพานพระราม ๖ เพื่อยิงกองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง นี่ต้องถือว่าเข้าขั้นบ้า
หากทหารเรือบ้าตามคำสั่ง ชาวบ้านตามแนววิถีกระสุนคงต้องตายเป็นเบือ เพราะการยิงสมัยนั้น หากไม่มีแผนที่พิกัดแน่นอนก็เหมือนยิงไปในความมืด
ประเด็นที่ยังไม่เคยพูดกันก็คือ นักบินทหารอากาศซึ่งถูกหลอกให้เอาเครื่องบินรบมาชุมนุมที่ดอนเมืองตอนนั้น เมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกให้มาร่วมปฏิวัติก็ใส่เกียร์ว่าง ประกาศความเป็นกลางสงบนิ่งอยู่ หากกระสุนปืนเรือนัดแรกมาตกแถวดอนเมืองเมื่อไหร่ก็คงเหมือนปาก้อนหินใส่รังมดแดง ร.ล.สุโขทัยก็มีหวังโดนเครื่องบินรุมกินโต๊ะ กลายเป็นเศษเหล็กจมน้ำเช่นเดียวกับ ร.ล.ศรีอยุธยาในสมัยต่อมา
นาวาเอก พระยาวิชิตชลธี ท่านตัดสินใจถูกที่สุดแล้วในสถานการณ์อย่างนั้น
ผมขอต่อในประเด็นที่ยังไม่เคยพูดอีกหน่อยหนึ่ง
ปกติหน่วยทหารทั้งทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ จะไม่ยอมให้มีการเก็บกระสุนจริงไว้กับปืน เมื่อถึงเวลาจะใช้นั่นแหละ จึงจะมีการเบิกเครื่องกระสุนออกจากคลังสรรพาวุธอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งนี้เพื่อป้องกันรักษาความปลอดภัยภายใน
ผมคิดว่าร.ล.สุโขทัยที่จอดอยู่ที่ฐานทัพเรือพระราชวังเดิม คงจะไม่มีเครื่องกระสุนหัวรบ แต่อาจจะมีลูกแบล้งค์สำหรับใช้ในการยิงสลุตบ้างเท่านั้น
การรับคำสั่งเอาเรือไปจอดี่สพานพระราม ๖ เพื่อที่จะยิงลูกแบล้งค์คงจะเป็นเรื่องตลกมากกว่าจะได้ผลทางจิตวิทยาจริงจัง
แต่ถ้าเครื่องบินโจมตีของกองทัพอากาศเบิกลูกระเบิดกับกระสุนปืนกลอากาศจากคลังแสงที่ดอนเมืองมาเล่นสงครามบ้าง ใครจะอยู่ใครจะไป คนอ่านก็น่าจะคิดเองได้
การถอยไปจอดที่กรมสรรพาวุธบางนาก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเรือสุโขทัยไปทำอะไรที่นั่นในระหว่างการประกาศตัวเป็นกลาง ไม่เข้ากับทั้งฝ่ายรัฐบาลและคณะกู้บ้านกู้เมือง
หลังจากนั้นก็ได้ไปลอยลำทำหน้าที่ของทหารของชาติ ที่หน้าวังไกลกังวล เพื่อคุ้มกันองค์พระประมุขของชาติตามที่คณะราษฎรเองนั่นแหละ เป็นผู้กำหนดในหลักการ
ตรงนี้สิ ที่ฝ่ายแอนตี้เจ้ากล่าวหานาวาเอก พระยาวิชิตชลธีว่าเป็นฝ่ายเจ้า
คุณนัทชาอยู่ร่วมแนวคิดนี้ด้วยหรือเปล่าครับ