เรือนไทย

General Category => ทันกระแส => ข้อความที่เริ่มโดย: naitang ที่ 18 พ.ค. 12, 20:07



กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 พ.ค. 12, 20:07
กระทู้นี้แยกมาจากเรื่องของคุณพวงแก้วในกระทู้เรื่อง แผ่นดินไหวและซึนามิครับ

น้ำบาดาลคงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลายท่านอยากทราบ ซึ่งผมเห็นว่าน่าจะเป็นความรู้พื้นฐานที่พึงรู้สำหรับคนทั่วไป จึงขอเริ่มกระทู้นี้ครับ ก็คงจะเป็นกระทู้สั้นๆและคงจะสั้นจริงๆ ในลักษณะของปกิณกะความรู้

จะขอบอกกล่าวเสียแต่แรกว่า ผมมิใช่นักอุธกธรณ๊วิทยา (Hydro geologist) ผมเป็นเพียงผู้ที่ได้เรียน พอมีความรู้ และได้ทำงานเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในระดับหนึ่งเท่านั้น 

น้ำบาดาลเป็นวิชาหนึ่งที่นักธรณ๊วิทยาทุกคนต้องเรียน แล้วก็เป็นหนึ่งในสาขาวิชาหลักที่แยกออกไปเรียนได้ถึงในระดับปริญญาเอก จัดเป็นศาสตร์ที่นานาชาติใช้เป็นเครื่องมือในการจัดหาน้ำเพื่อบรรเทาการขาดแคลนน้ำของมวลมนุษย์ ที่แย่ก็คือ เป็นเรื่องที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในทุกระดับ 

น้ำบาดาลจัดเป็นทรัพยากรของประเทศและเป็นสาธารณสมบัติของปวงชนในพื้นที่นั้นๆ จึงมีบทบัญญัติทางกฎหมายเพื่อควบคุมการเจาะนำขึ้นมาใช้อย่างเป็นธรรม

น้ำบาดาลในความหมายปัจจุบันนี้ อนุโลมได้ว่า คือ น้ำทั้งหมดที่พบอยู่ใต้ผิวดินลงไป ทั้งนี้ในเชิงของกฏหมาย อาจจะมีการกำหนดให้หมายถึงระดับน้ำที่ถูกขุดเจาะนำมาใช้จากความลึกที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวดินตั้งแต่ระดับความลึกเพียงใดเป็นต้นไป   แต่ดั้งเดิมนั้น น้ำบาดาลมักจะหมายถึงน้ำใต้ดินที่อยู่ลึกกว่าระดับน้ำในบ่อน้ำ (บ่อน้ำตื้น_water well) ที่เราสามารถขุดได้ ซึ่งน้ำในระดับนี้ คือ น้ำใต้พื้นผิวดินที่เรียกว่าน้ำผิวดิน (water table) 



 


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 12, 21:06
สโนไวท์ก็ใช้น้ำบาดาลเหมือนกัน
บ่อน้ำที่เธอใช้รอกสาวถังน้ำขึ้นมา คือ water well แบบโบราณค่ะ


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 พ.ค. 12, 21:38
มีเป็นจำนวนมากที่คิดว่าน้ำบาดาลที่กักเก็บอยู่ใต้ดินนั้น มีลักษณะเหมือนแอ่งน้ำ  มีครับ ไม่ผิดหรอก น้ำที่กักเก็บสะสมไว้ในลักษณะเหมือนสระน้ำใต้ดินนั้นพบได้ในพื้นที่ที่เป็นหินปูน  ซึ่งก็คืออ่างเก็บน้ำที่เป็นโพรงถ้ำนั่นเอง ในเมืองไทยก็พบอยู่มากพอควรทีเดียว
น้ำบาดาลเป็นส่วนมากกักเก็บอยู่ตามรูพรุนระหว่างเม็ดทรายที่อัดแน่นกันเป็นชั้นหิน   ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยพบอยู่ในลักษณะนี้เกือบทั้งหมด  
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีการกักเก็บที่อยู่ตามร่องรอยแยกรอยแตกของหินและในระหว่างชั้นหินต่างชนิดกัน

น้ำก็คือของเหลว ดังนั้น น้ำบาดาลจึงไหลถ่ายเทไปมาได้ แต่ด้วยอัตราการเคลื่อนที่และความเร็วที่ต่างๆกัน

เมื่อน้ำบาดาลกักเก็บอยู่ระหว่างเม็ดกรวดทรายและไหลถ่ายเทได้ จึงมีอีก 2 สิ่งที่เกียวข้อง คือ ความพรุนของหิน (porosity) และความสามารถในการไหลซึม (permeability)
ปริมาณน้ำที่สามราถกักเก็บอยู่ตามความพรุนนั้น ขอให้นึกถึงภาพเปรียบเทียบระหว่างกองลูกเทนนิสในปี๊บ กับกองลูกปิงปองในปี๊บ และกับกองลูกเทนนิสผสมคละกันกับลูกปิงปองในปี๊บที่มีขนาดเท่าๆกัน จะเห็นว่า เมื่อเอาน้ำใส่ในปี๊บ ใบที่ใส่ลูกเทนนิสจะจุน้ำในปริมาณที่มากกว่า ปี๊บที่ใส่ลูกปิงปอง ปี๊บในที่จุปริมาณน้ำน้อยที่สุดคือใบที่มีทั้งลูกเทนนิสและลูกปิงปองผสมคละกัน
ในเชิงของความสามารถในการไหลซึมนั้น ไปขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอของขนาดและความกลมมนของเม็ดดินทราย กล่าวคือ เม็ดดินทรายที่มีขนาดและความกลมมนเท่าๆกัน (well sorted and well roundness) จะสามารถให้น้ำไหลซึมผ่านได้สะดวกและรวดเร็วกว่าพวกคละขนาดและที่มีความมนกลมไม่สม่ำเสมอ   ทรายละเอียดที่มีขนาดเม็ดทรายเท่าๆกันจึงมีความสามารถให้น้ำซึมผ่านได้ดีและเร็วกว่าทรายหยาบคละขนาด (ทรายขี้เป็ด)

ด้วยสภาพดังกล่าวนี้ น้ำบาดาลในพื้นที่ราบลุ่ม เช่น ในแ่อ่งเจ้าพระยา ซึ่งยังคงเป็นทรายที่ยังไม่จับตัวแข็งเป็นหินจริงๆ (semi consolidated rock)  จึงมีน้ำบาดาลกักเก็บอยู่ในปริมาณมากกว่าพวกทรายที่จับตัวกันแข็งจนเป็นหินทรายแล้ว (sandstone) ดังที่พบรองรับอยู่ใต้พื้นดินของภาคอิสาน

ชั้นหินที่เป็นที่กักเก็บน้ำนี้ เรียกว่าชั้นหินอุ้มน้ำ (aquifer) ซึ่งจำแนกออกเป็นสองพวก คือพวกที่น้ำบาดาลไม่สามารถเคลื่อนที่ไปมาระหว่างชั้นหินได้ เรียกว่า confined aquifer หรือในอีกนัยหนึ่งคือ มีชั้นหินที่ไม่ยอมให้น้ำไหลซึมผ่านได้ปิดประกบอยู่ (impermeable strata)   และสำหรับชั้นน้ำบาดาลที่น้ำสามารถเคลื่อนที่ผ่านทะลุถึงผิวดินได้ เรียกว่า open aquifer    


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 พ.ค. 12, 22:15
สโนไวท์ก็ใช้น้ำบาดาลเหมือนกัน
บ่อน้ำที่เธอใช้รอกสาวถังน้ำขึ้นมา คือ water well แบบโบราณค่ะ

แบบโบราณ แต่ก็ยังพัฒนาแล้วนะครับ
 
บ่อน้ำตื้นของไทย นั้น ดูเหมือนทุกภาคจะใช้เรียกว่าบ่อน้ำ ในภาคเหนือนั้นน้ำที่ตักขึ้นมาใช้เรียกว่า น้ำบ่อ และภาชนะที่ใช้เชือกผูกหย่อนลงไปตักเอาน้ำขึ้นมาเรียกว่า น้ำคุ หรือน้ำทุ่ง ทำด้วยไม้ไผ่สานแล้วยาด้วยชัน เป็นรูปทรงก้นมนกลม ด้ามไม้ไขว้กัน  คนกรุงเทพในปัจจุบันเอามาใส่ไม้ดอกแขวนประดับไว้ให้สวยงาม

ของฝรั่งแบบที่สโนไวท์ใช้นั้น ในไทยไม่พบมากนัก ยกเว้นจะเป็นบ่อน้ำขนาดค่อนข้างใหญ่ที่ผนังบ่อก่อด้วยอิฐมอญ  ตั้งอยู่เป็นบ่อน้ำใช้ร่วมกันของชาวบ้าน หรืออยู่ในบริเวณวัด ซึ่งรอบๆบ่อจะดาดด้วยคอนกรีตหรือปูด้วยอิฐมอญ ที่ผมเห็นตามบ้านนอกจริงๆนั้น มักจะใช้คานไม้ไผ่ทำกระเดื่อง (เหมือนคานกั้นรถของยามเฝ้าทางเข้าหมู่บ้าน) ปลายด้านหนึ่งผูกเชือกแขวนน้ำคุ  อีกด้านหนึ่งถ่วงด้วยท่อนไม้ให้ได้น้ำหนักพอดีๆ  ผมยังชอบสังคมตอนเช้าของแม่บ้านทั้งหลายที่มานั่งเรียงรายซักผ้าอยู่รอบขอบบ่อ แต่ละคนมีอ่างน้ำและกระแป๋ง บางคนก็มีกระดานที่เป็นลอนคลื่นสำหรับขยี้ผ้าด้วย ภาพนี้หายไปจากภาคเหนือทั้งหมดในช่วงประมาณปี พ.ศ.2510  ครั้งสุดท้ายได้เห็นภาพนี้ที่ จ.น่าน แถวๆ อ.ท่าวังผา ซึ่งได้หายไปก่อนที่ตลาดสดตอนเช้ากลางเมืองน่านจะหายไป (ประมาณ 25 ปีที่แล้ว) เรื่องราวที่เหล่าแม่บ้านนำมาเม้าท์กัน ความลับในหมู่บ้านจะมีอะไรเหลือเหรอ   

 


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 18 พ.ค. 12, 23:00

ไปตั้งคำถามที่กระทู้โน่น...ขออนุญาตยกมาถามต่อในกระทู้นี้ค่ะ

ขอบคุณคะคุณตั้งที่ จะกรุณาตอบ...

น้ำบาดาลเป็นเรื่องใกล้ตัวคนไทยมาก ทั้งในกทม. และในต่างจังหวัด

สนใจวิธีการเก็บน้ำไว้ใต้ดินในระดับลึก เรามีน้ำจืดจากฟ้าฝนเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
แต่กลับปล่อยให้ไหลลงทะเลเสีย...ทั้งที่ในอนาคตก็พูดกันว่า เราอาจขาดแคลนน้ำจืด
สำหรับประเทศเกษตรกรรมอย่างไทย  น้ำมีค่ายิ่ง ถ้าในอนาคตจีนเขาทำเขื่อนกั้นน้ำ
ที่แม่น้ำโขง...อะไรจะเกิดขึ้นกับภาคอีสานของเรา รวมทั้งภาคเหนือด้วย

ความรู้เรื่องการเก้บน้ำแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับนักวิชาการด้านนี้ในบ้านเรา
แล้วทำไมจึงยังทำให้ทุกพื้นที่ที่ขาดน้ำ หรือแห้งแล้ง ดีขึ้นไม่ได้สักที

ถามมากมาย...ไม่รู้ขยายขี้เท่อหรือเปล่านะคะ  แต่เป็นความสงสัยที่มีมานานแล้วค่ะ


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 19 พ.ค. 12, 08:41
ให้ภาพลักษณะของแหล่งน้ำบาดาลที่จะอยู่ใต้ดินลึกกว่าน้ำใต้ดินอยู่ใต้ชั้นหิน และจะมีแรงดันสูง


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 พ.ค. 12, 15:40
มาเสริมอีกรูปค่ะ


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 พ.ค. 12, 15:41
น้ำใต้ดินอีกแบบหนึ่ง


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 พ.ค. 12, 19:00
นี่คือบ่อน้ำแห่งหนึ่งในอินเดีย
ลึกขนาดนี้ น้ำที่ใช้โซ่ผูกถังลงไปตัก เป็นน้ำใต้ดินระดับไหนกันนะคะ


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 19 พ.ค. 12, 21:41
ขอบพระคุณสำหรับภาพของคุณหนุ่มสยาม (คห.ที่ 5) และของคุณเทาชมพู (คห.ที่ 6) ผมจะขออนุญาตใช้ภาพเหล่านี้เพื่อเล่าความต่อไปนะครับ

ภาพทั้งสองภาพนี้เป็นภาพง่ายๆที่แสดงให้เห็นถึงน้ำที่อยู่ใต้ผิวดินในลักษณะต่างๆ

ในภาพของ คห.ที่ 6 มีคำอยู่หลายคำ
คำแรกคือ infiltration คือ ชั้นดินส่วนใกล้ผิวดินที่น้ำไหลซึมลงสู่ใต้ดิน จะเรียกว่า infiltration area ก็ได้   แต่หากเป็นบริเวณตำแหน่งทางสถานที่ (พิกัดตำบลภูมิศาสตร์) ที่เป็นพื้นที่เติมน้ำให้กับชั้นน้ำบาดาลที่เป็น confined aquifer ก็จะเรียกว่า recharge area   ชั้นน้ำบาดาลในแอ่งเจ้าพระยา (ที่ราบลุ่มเจ้าพระยา) มีพื้นที่เติมน้ำ (recharge area) อยู่รอบขอบแอ่งด้านทิศเหนือ ซึ่งก็คือแถบจังหวัดกำแพงเพชร

water table คือระดับน้ำใต้ผิวดิน ซึ่งภาพได้แสดงให้เห็นค่อนข้างชัดเจนแล้ว จะขอขยายต่อไปว่า ระดับน้ำนี้ คือระดับที่น้ำที่เห็นอยู่ในบ่อน้ำตื้น หรือที่เราขุดดินลงไปแล้วมีน้ำไหลออกมาขังอยู่นั่นเอง ระดับน้ำใต้ผิวดินนี้อยู่ในระดับลึกก็มี เช่น ดังภาพของคุณเทาชมพูใน คห.ที่ 8 หรืออยู่ในระดับตื้นก็มี เช่น ในพื้นที่ กทม.  ซึ่ง water table นี้จะพบต่อเนื่องขึ้นไปตามเนินหรือภูเขาต่างๆ ดังนั้น ในบริเวณลาดเชิงเขาก็สามารถขุดบ่อน้ำและมีน้ำใช้ได้ (อาจจะต้องขุดลึกหน่อย) บ่อน้ำตามลาดเอียงของเนินหรือเชิงเขานี้ เมื่อขุดแล้วอาจจะเห็นน้ำไหลเอ่อขึ้นมา ไม่แห้ง มีระดับน้ำค่อนข้างจะคงที่ไม่วาจะตักออกไปใช้มากเพียงใด ชาวบ้านจึงมักกล่าวกันว่าขุดเจอตาน้ำ ลักษณะบ่อน้ำที่มีน้ำไม่แห้งนี้ เรียกว่า artesian well ซึ่งต่างกับ water well ที่ระดับน้ำจะสูงต่ำตามฤดูกาล   ตามผนังข้างถนนที่ตัดไปตามเชิงเขาที่เราเห็นชาวบ้านเขาเอาท่อไม้ไผ่มาต่อและมีน้ำไหลรินตลอดเวลานั้น น้ำที่ไหลออกมานั้น (ชาวบ้านเรียกว่าน้ำดิบ) ก็คือการตัดผนังข้างทางที่ขุดดินออกไปในระดับที่ต่ำกว่าระดับของ water table จึงทำให้น้ำในระดับของ water table ไหลออกมา    water table นี้มีไปจนถึงชายหาดตามชายทะเล แนวระดับของมันจะต่อเนื่องไปเชื่อมต่อกับระดับน้ำทะเลที่บริเวณแนวน้ำขึ้นน้ำลง ดังนั้น หากจะหาน้ำจืดใช้แถวชายทะเล ก็ลองถอยมาขุดบ่อที่บริเวณที่เป็นตะพักชายหาด (berm) ก็จะได้น้ำจืดใช้ พวกชาวประมงและชาวเกาะก็มีน้ำจืดไช้จากบริเวณนี้แหละครับ  การนำน้ำจืดจากบริเวณนี้มาใช้ก็ต้องระวังเหมือนกัน คือ จะต้องไม่สูบไปใช้ในปริมาณมากๆอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เนื่องจากหากสูบออกไปใช้มากกว่าในอัตราที่น้ำจืดจะไหลเข้ามา น้ำทะเลก็จะแทรกเข้ามาแทนที่ บ่อน้ำนั้นๆก็จะเสียหายใช้การไม่ได้อีกต่อไป เหตุเช่นนี้เกิดตามแนวชายฝั่งทะเลของไทยมากมาย โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งอุตสาหกรรม แม้กระทั่งชั้นน้ำบาดาลบางชั้นในพื้นที่แถบสมุทรปราการยังมีน้ำเค็มเข้ามา เนื่องจากสูบเอาไปทำประปามากจนเกินไป

ในภาพของ คห.ที่ 5
จะเห็นชั้นน้ำสีฟ้าสลับกับชั้นหินหรือดินสีแดง ชั้นน้ำใต้ดินสีฟ้า (aquifer) ที่อยู่ในระหว่างชั้นดินหรือหินสีแดงนี้ จัดเป็นชั้นน้ำบาดาลที่เรียกว่า confined aquifer เป็นชั้นน้ำที่มีแรงดัน กล่าวคือ หากเจาะบ่อบาดาลลงไป สมมุติลึก 50 เมตร ระดับน้ำที่ไหลเข้ามาอยู่ในท่ออาจจะอยู่ที่ระดับเพียง 30 เมตร คือ น้ำมีแรงดันที่ดันระดับน้ำขึ้นมา หรืออีกนัยหนึ่ง คือการปรับระดับแรงดันให้เท่ากับชั้นบรรยากาศปรกติ (1 atm.) ดังนั้น แม้ว่าจะเจาะบ่อบาดาลลึกลงไปเป็นสองสามร้อยเมตร ระดับน้ำในบ่อบาดาลก็อาจจะอยู่ที่ระดับ 50 เมตรก็ได้  ทั้งนี้ เมื่อสูบน้ำออกมา ระดับน้ำก็จะลดลง ซึ่งหากสูบออกมาในปริมาณหนึ่งอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งแล้วระดับน้ำลดลงไปอยู่ในระดับที่คงที่  ณ.จุดนี้ก็คือปริมาณน้ำบาดาลเราสามารถสูบออกมาใช้ได้ (yield capacity) โดยไม่ทำให้บ่อนั้นเสียหาย แต่หากสูบออกมาใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานวันนานปี ระดับน้ำในบ่อบาดาลก็จะลดลง ที่จะแย่ไปกว่านั้นก็คือ หากมีบ่อบาดาลอื่นๆอยู่ใกล้กันเกินควรและสูบน้ำเหมือนกัน ระดับน้ำที่ลดลงก็จะเชื่อมต่อกัน ยิ่งมีบ่อใกล้ๆกันเป็นจำนวนมาก ระดับน้ำจึงลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาโดยเฉพาะเรื่องของแผ่นดินทรุดดังที่เห็นอยู่ใน กทม.
ในภาพของ คห.ที่ 5 นี้เช่นกัน จะเห็นชั้นหินอุ้มน้ำสีฟ้าเป็นกระเปาะอยู่ ชั้นน้ำนี้เรียกว่า perched aquifer คือมีลักษณะเป็นกระเปาะนั่นเอง ไม่ต่อเนื่องกับชั้นน้ำอื่นๆ น้ำบาดาลในชั้นพวกนี้สูบออกมาใช้ก็มีแต่วันจะหมดไปเท่านั้น

(ลืมไปครับ พูดถึงแต่เรื่อง confine aquifer ที่จริงก็มี unconfined aquifer เหมือนกัน ก็คือที่ผมได้กล่าวถึงและเรียกว่า open aquifer นั่นแหละครับ)

ผมคิดว่าถึงตอนนี้เราก็คงจะมีพื้นฐานพอที่จะเห็นภาพได้ตรงกัน เพื่อที่จะสามารถสื่อสารไปในเรื่องอื่นๆที่สามารถเข้าใจกันได้แล้วครับ


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 พ.ค. 12, 12:32
อ้างถึง
หากจะหาน้ำจืดใช้แถวชายทะเล ก็ลองถอยมาขุดบ่อที่บริเวณที่เป็นตะพักชายหาด (berm) ก็จะได้น้ำจืดใช้

นอกจากในมหาเวสสันดรชาดกแล้ว เพิ่งเห็นคำว่า "ตะพัก" ในครั้งนี้เองค่ะ     ทำให้รู้ว่าศัพท์นี้นักธรณีวิทยาใช้กันอยู่
ข้างล่างนี้คือตะพัก หรือ berm ที่อาศัยอินทรเนตรช่วยดูหน้าตาให้      ไม่รู้ว่าคุณตั้งหมายถึงแบบไหน


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 พ.ค. 12, 19:39
เพิ่งทราบว่า ตะพัก เป็นคำที่ไม่ค่อยมีคนใช้กัน

ิำberm ในทางกายภาพของพื้นที่ ก็คือลักษณะที่ปรากฎอยู่ในทั้งสามรูปที่คุณเทาชมพูนำมาแสดง แต่คำว่า berm จะใช้กับพื้นที่ชายทะเลเป็นส่วนมาก   
berm นี้หากไปเที่ยวชายทะเลและสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามีสองระดับ ระดับที่ตำ่เรียกว่า summer berm และระดับที่สูงกว่าเรียกว่า winter berm  ตะพักทั้งสองนี้เกิดจากการที่คลื่นกระทบกัดเซาะชายฝั่งในช่วงฤดูน้ำทะเลต่ำ (หน้าร้อน) และในช่วงฤดูน้ำทะเลสูง (หน้าหนาว) หรือในอีกนัยหนึ่งก็คือแนวของระดับน้ำทะเลที่เข้ามาในพื้นที่ชายหาดในช่วงฤดูกาลต่างๆนั้นเอง และในอีกนัยหนึ่ง berm ก็คือ step ที่เราเห็นตามชายทะเล   
berm จึงหมายถึงทิวของแนวขอบของระดับของระนาบที่ยกขึ้นมาตามชายหาด เป็นคำที่มีความหมายในเชิงของนามธรรมค่อนข้างจะตรงกันกับคำว่า step มีพื้นที่ราบเล็กให้เห็นอยู่ระหว่างขั้น  ไม่ใช่ลักษณะของ terrace
terrace มีความหมายถึงที่ราบที่แผ่กว้างในระดับต่างๆ ส่วนมากจะใช้กับลักษณะของพื้นที่ในแผ่นดิน เช่น ตะพักของแม่น้ำเจ้าพระยามีหลายชั้น ซึ่งหมายถึงที่ราบที่มีระดับเดียวกันทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ    ในอีกลักษณะหนึ่งก็ใช้เรียกพื้นที่ตามลาดเอียงของภูเขาที่ปรับใช้ในการทำนาหรือใช้ประโยชน์อื่นๆ เช่น เรียกว่าการทำนาแบบขั้นบันได      สำหรับในพื้นที่ชายทะเล (coastal area หรือ coastal zone) ก็มี terrace เหมือนกัน พื้นที่นี้จะอยู่ลึกเลยจากส่วนที่เป็น berm เข้ามาในแผ่นดินและอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลขึ้นลงตามปรกติประจำปี   โดยนัยง่ายๆ berm อยู่ในพื้นที่ส่วนที่เป็นหาดทราย (beach) อยู่ในเขตน้ำขึ้นน้ำลงสูงสุด (tidal area หรือ tidal zone)  แต่ terrace เป็นพื้นที่ราบที่มีต้นไม้ยืนต้นขึ้น (เป็นส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัยของคน) ซึ่งอาจจะเป็นพื้นที่ๆถูกน้ำทะเลในสมัยโบราณกัดเซาะ (wave cut terrace) หรือ เกิดมาจากคลื่นพายุหอบทรายเข้ามากองไว้ (wave built terrace) ก็ได้

พูดถึงเรื่องนี้ ทำให้ต้องแยกเข้าซอยไปแง้มประตูเรื่องของเฉลียง ระเบียง ฯลฯ ของคุณนวรัตน์    ภาษาไทยจะเรียกอย่างไรว่าอย่างไรก็ตาม  ในความเข้าใจของผม terrace นั้นเป็นส่วนของพื้นอาคารที่อยู่นอกผนังของอาคาร จะเป็นชั้นบนหรือชั้นล่างก็ได้  balcony นั้น คือส่วนพื้นที่เล็กๆที่ต่อยื่นออกไปจากตัวอาคาร อาคารหนึ่งๆอาจมีหลาย balcony แยกเป็นอิสระแก่กันและเป็นส่วนที่ยื่นออกมาในระดับสูง  patio คือส่วนที่ต่อเติมเพื่อเป็นใช้ที่ทำกิจกรรมนอกอาคาร ซึ่งมักจะมีไม้ประดับหรือสวนหย่อมร่วมอยู่ด้วย   ยังไม่ได้ไปค้นศัพท์บัญญัติว่าคำใดบัญญัติไว้ว่าอะไร

รีบหนีกลับเข้าถนนใหญ่ครับ ไม่รู้ว่าหนีทันหรือเปล่า  ;D   
   



กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 พ.ค. 12, 20:19
ลองเอารูปมาให้ดูอีกที  ว่าถูกไหมคะ
terrace + balcony+ patio


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 พ.ค. 12, 20:32
terrace เป็นพื้นที่ราบที่มีต้นไม้ยืนต้นขึ้น (เป็นส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัยของคน) ซึ่งอาจจะเป็นพื้นที่ๆถูกน้ำทะเลในสมัยโบราณกัดเซาะ (wave cut terrace) หรือ เกิดมาจากคลื่นพายุหอบทรายเข้ามากองไว้ (wave built terrace) ก็ได้


ส่งการบ้าน ค่ะ
ซ้าย wave cut terrace / ขวา wave built terrace


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 พ.ค. 12, 20:59
เรื่องน่ากังวล......carrying capacity ที่ลืมนึกถึงกัน

เมื่อเข้าไปใช้พื้นที่ๆเป็นตะพักตามชายทะเล ซึ่งในระยะแรกๆจะไม่มีน้ำ ก็จะทำการขุดบ่อหรือเจาะนำน้ำจืดมาใช้กัน   หากพัฒนากันจนเป็นหมู่บ้านหรือรีสอร์ท มีผู้คนมาใช้น้ำมากขึ้นอย่างหรูหราแบบในเมือง น้ำจืดก็ย่อมไหลเข้ามาทดแทนไม่ทัน น้ำทะเลก็จะเข้ามาแทนที่ สภาพเช่นนี้เรียกว่า เกินกว่าความสามารถในการรองรับของธรรมชาติ (carrying capacity)  ก็มักจะเกิดความเสียหายอย่างถาวรสำหรับทรัพยากรน้ำจืดในบริเวณนั้นๆ

ประเด็นแรก คือ พื้นที่บริเวณชายฝั่งนี้เป็นรอยต่อของน้ำจืดและน้ำเค็ม ในธรรมชาติตามปรกติในพื้นที่บริเวณนั้นๆ  water table ของน้ำจืดจะไปชนกับระดับของน้ำทะเล   น้ำจืดจะทับอยู่ส่วนบนในขณะที่ส่วนลึกจะเป็นน้ำเค็มในภาพของรูปทรงแบบลิ่ม (wedge shape)   ที่ผมได้กล่าวว่าหาน้ำจืดได้หลัง berm นั้น จริงๆแล้วหากขุดลึกไปมากๆก็จะได้น้ำเค็ม    ที่มันเป็นปัญหาก็คือ แทนที่ผู้รับเหมาเจาะบ่อน้ำจะเจาะลึกลงไปเอาน้ำใน confined aquifer  (เลยระดับน้ำเค็มที่อยู่ใน unconfined aquifer) เขาเจาะเพียงตื้นๆเอาน้ำจืดที่อยู่ใน unconfined aquifer ออกมาใช้   ดังนั้น ไม่นานก็จะได้น้ำกร่อยมาใช้ ซึ่งต่อไปก็จะได้แต่น้ำเค็ม  
ประเด็นที่สอง คือ เมื่อขยายกิจการลึกเข้าไปในแผ่นดิน มีการสร้างบังกะโล กระต๊อบ น้ำเสียทั้งหลายที่ปล่อยลงในบ่อเกรอะใต้ถุนบ้านก็จะซึมผ่านชั้นทรายเข้าไปในบ่อน้ำ แล้วก็สูบออกมาใช้อีก
ดังนั้น จึงควรระวังในการไปพักผ่อนในหาดส่วนบุคคลที่เป็นเอกเทศอยู่หุบใดๆ  ซึ่งเราเรียกพื้นที่ในลักษณะนี้ว่า pocket beach

น้ำบาดาลเป็นน้ำที่สามารถถูกปนเปื้อนได้ครับ
 


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 พ.ค. 12, 21:09
ลองเอารูปมาให้ดูอีกที  ว่าถูกไหมคะ
terrace + balcony+ patio

รูปซ้ายสุดกับขวาสุด ใช่ครับ terrace กับ patio
แต่รูปกลางนั้น ผมยังเห็นว่ากำกวม    balcony เป็นลักษณะของพื้นที่ที่ยื่นลอยออกมามากกว่า เหมือนกับชั้น box ในโรงละครโอเปร่า  ลักษณะดังในภาพของรูปกลางนั้น ผมเห็นว่าเป็นการออกแบบประยุกต์ผสมผสานระหว่าง balcony กับ porch ครับ


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 พ.ค. 12, 21:19
อ้าว  สอบตกไปข้อหนึ่งแล้ว  :-\ ถ้าท่านอาจารย์ใหญ่กระทู้โน้นมาเห็นอาจจะถูกสั่งให้คัด ๑๐ ที    โทษฐานเรียนแล้วไม่จำ
ไม่เป็นไรค่ะ  re-exam แก้ตัวใหม่
balcony เป็นอย่างนี้หรือเปล่าคะ


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 พ.ค. 12, 21:46
ส่งการบ้าน ค่ะ
ซ้าย wave cut terrace / ขวา wave built terrace

รูปทางขวามือเป็น wave cut terrace แน่นอน ซึ่งจะเห็นว่ามีอยู่สองระดับ คือระดับที่อยู่ใกล้เคียงกับระดับน้ำทะเล และระดับบนที่เห็นเป็นแหลมหินยื่นออกไป

สำหรับภาพซ้ายมือนั้น ดูกำกวม คิดว่าแต่แรกเริ่มนั้นเป็น wave cut terrace และคงจะอยู่ในระดับที่ไม่สูงจากระดับน้ำทะเลมากนัก ต่อมามีคลื่นพายุนำทรายเข้ามากองทับ ซึ่งยังไม่น่าจะเรียกว่า wave built terrace ชายฝั่งในลักษณะนี้แสดงถึงชายฝั่งทะเลที่มีการยกตัวขึ้นอีกด้วย ซึ่งสังเกตเห็นได้จากระดับพื้นที่ของลานจอดรถเทียบกับระดับน้ำทะเลที่เห้นอยู่ไกลๆ สำหรับทรายที่เห็นอยู่บนพื้นนั้น เมื่อดูทางด้านขวามือของภาพจะเห็นเป็นเนินอยู่ กองทรายนี้อาจะเกิดมาจากลมพัดพามาสะสมอยู่ เรียกว่า sand dune    พวก beach dunes นี้ มักจะพบอยู่ตามชายฝั่งทะเลที่หันหน้าสู่ทะเลเปิด ที่พบในไทยที่ชัดเจนและอยู่ใกล้ๆก็คือตามถนนที่ตัดเข้าไปหาบ้านเขาเต่าที่หัวหิน จะสังเกตเห็นถนนตัดผ่านกองทรายสูงๆ   สำหรับ wave built terrace นั้น ในไทยที่พอจะเห็นได้ชัดก็คือ ที่ราบที่อยู่บนเส้นทางถนนสุขุมวิทเลยจากพัทยาใต้ไปทางบางสะเหร่จนถึงสัตหีบ หรือช่วงที่เลยจากสัตหีบไปจนถึงบ้านเพ ซึ่งจะเห็นพื้นที่ทั้งสองฝั่งถนนเป็นทราย
ชายทะเลในภาพนี้ จะเห็นว่ามีหน้าผาอยู่ติดกับทะเล แสดงว่าตัวที่เป็นหาดทรายจะแคบ ความเอียงเทของหาดทรายลงไปในทะเลจะชัน ลงน้ำไปนิดเดียวก็จะท่วมหัว คลื่นลมแรง มีโขดหินโผล่และอยู่ใต้น้ำเป็นลักษณะของ rocky coast ที่ค่อนข้างจะอันตราย



กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 พ.ค. 12, 21:49
อ้าว  สอบตกไปข้อหนึ่งแล้ว  :-\ ถ้าท่านอาจารย์ใหญ่กระทู้โน้นมาเห็นอาจจะถูกสั่งให้คัด ๑๐ ที    โทษฐานเรียนแล้วไม่จำ
ไม่เป็นไรค่ะ  re-exam แก้ตัวใหม่
balcony เป็นอย่างนี้หรือเปล่าคะ

อย่างนี้แหละครับ


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 พ.ค. 12, 21:53
^
รอดตัวไปข้อหนึ่ง
มา re-exam วิชา wave cut terrace ค่ะ     กรุณาผ่อนปรนให้คนเรียนสายศิลป์ที่ต้องมาลงวิชาธรณีวิทยานะคะ


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 พ.ค. 12, 22:54
ส่วนที่อยู่ตีนหน้าผาติดๆกับระดับน้ำทะเลนั้น ใช่ครับ จะเห็นเป็นที่ราบๆอยู่สูงกว่าระดับน้ำ
สำหรับพื้นที่ด้านบนที่เห็นราบๆนั้น เกิดจากการวางตัวของชั้นหินในแนวราบ

ในไทยก็มีครับ หากเดินทางใช้เส้นทางสุขุมวิทสายเก่า จากศรีราชามุ่งสู่พัทยา พอลงจากช่วงที่เป็นเขาเข้าสู่หุบพื้นที่ฝึกงานของ ม.เกษตร ลองมองไปทางด้านหน้าทางขวา จะเห็นพื้นที่ราบๆอยู่ในระดับเดียวกันเป็นผืนใหญ่ นั่นก็เป็นที่ราบที่เป็น wave cut terrace

คุณเทาชมพูอย่าได้วิตกไปเลยครับ ผมเรียนมายังบอกถูกบอกผิดมากมาย มันเป็นอีกวิชาหนึ่งที่บังคับต้องเรียน เรียกว่าวิชา Geomorphology การจะบอกได้นั้นต้องมีองค์ประกอบของความรู้ในวิชาอื่นๆอีกมาก เท่าที่คุณเทาชมพูได้แสดงมานั้นก็จัดว่าวิเคราะห์ได้เก่งมากแล้วครับ จริงๆ  ;D

ต้องขออภัยท่านผู้ติดตามอ่านทั้งหลายด้วยนะครับ ที่มีภาษาอังกฤษเต็มไปหมด  ซึ่งที่จริงแล้วก็คือคำภาษาที่ใช้กันในชีวิตประจำวันนั้นเอง เพียงพยายามให้และอธิบายไว้เพื่อให้เกิดสุนทรีย์มากขึ้นเมื่ออ่านบทความหรือคำบรรยายต่างๆที่บรรยายธรรมชาติ

ทำให้นึกถึงคำภาษาอังกฤษอีกสองคำ (ขอแยกเข้าซอยไปนิดเีดียว เพื่อการผ่อนคลายครับ)
คำแรก Outstanding payment  ดูเป็นคำในเชิงบวกนะครับ เหมือนกับว่าจ่ายให้อย่างมากมายเด่นชัดกว่าคนอื่นๆ แท้จริงแล้วมีความหมายในทางลบ คือ ยังไม่ได้จัดการกับเงินที่พึงจะต้องจ่ายให้ในระยะเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งระยะเวลานั้นได้ล่วงเลยมาแล้ว
อีกคำหนึ่ง arrears ซึ่งออกเสียงเหมือนกับ area ต่างกันที่ไม่มีเสียงตัวเอส The arrears of .... is....กับ The area of .... is....วลีแรกเป็นเรื่องของการทวงเงิน คือ ภาระที่จะต้องชำระเงินจำนวน...ตามที่ตกลงกันไว้ยังไม่ได้กระทำ และยังไม่มีการประสานใดๆ กับวลีที่สอง เป็นเรื่องของปริมาณพื้นที่มากน้อยเพียงใด     



กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ค. 12, 19:13
คุณตั้งโดดจากวิชาธรณีวิทยามาวิชาไฟแนนซ์เสียแล้ว    ดิฉันโดดตามไม่ไหว   ต้องปักหลักรออยู่ข้างบ่อบาดาลตามเดิม

อย่างหนึ่งที่จำได้แม่นเมื่อมาสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยภูธรใหม่ๆ  คือรู้จักน้ำบาดาลเป็นครั้งแรก   หลังจากรู้จักแต่น้ำประปา น้ำฝน น้ำคลองและน้ำแม่น้ำ  ตามแบบคนเมืองหลวงทั้งหลาย
มหาวิทยาลัยมีแท้งค์น้ำอยู่บนหลังคา  สูบขึ้นไปแล้วปล่อยลงมาตามห้องน้ำของนักศึกษา  บ้านพักอาจารย์ก็มีน้ำมาตามท่อจากบ่อบาดาลเหมือนกัน  น้ำแรงดีเวลาไฟฟ้าดี   แปลได้อีกอย่างคือถ้าไฟดับเมื่อไรน้ำก็หยุดกึกเมื่อนั้น      แล้วไฟฟ้าก็ขยันดับบ่อยเสียด้วย 
โดยมากดับตอนค่ำๆ ในเวลาที่นศ.กำลังอาบน้ำกัน   ทำให้ห้องน้ำต้องมีถังพลาสติคขนาดใหญ่สำรองน้ำเอาไว้

สิ่งที่มาพร้อมน้ำบาดาลเป็นศัพท์ใหม่ที่เพิ่งเคยได้ยิน คือคำว่า ตะกรัน   มันเป็นตะกอนสีแดงเหมือนสนิม   มาพร้อมกับน้ำ  ถ้าเปิดน้ำขังไว้ในอ่างซักผ้าหรือโอ่ง ตะกรันจะจับตัวจมอยู่ตรงก้น
ห้องน้ำทั้งหลายมีตะกรันจับเป็นครามสนิมอยู่ตามอ่างล้างมือ  ชักโครก  พื้นห้อง และทุกอย่างที่น้ำบาดาลไปถึง      เมื่อซักผ้า  ผ้าขาวจะกลายเป็นผ้าสีน้ำตาลขุ่น   เป็นที่หวาดหวั่นสำหรับอาจารย์หญิงและนศ.สาวๆมาก  ถ้าใครอยากให้เสื้อขาวคงความขาวอยู่ได้ ต้องหอบกลับไปซักที่กรุงเทพเวลากลับบ้าน


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 พ.ค. 12, 19:14
ชั้นน้ำบาดาลในแอ่งกรุงเทพฯและปริมณฑลมีทั้งหมด 8 ชั้น แต่ละชั้นหนาประมาณ 50 เมตร แต่ละชั้นจะแยกจากกันและถูกขั้นดั่นด้วยชั้นดินเหนียว   น้ำบาดาลชั้นแรกเริ่มต้นที่ระดับประมาณ 50 เมตรจากผิวดิน ให้น้ำกร่อย ใช้ไม่ได้    ชั้นสุดท้ายเิ่ริ่มที่ระดับความลึกประมาณ 500 เมตร ซึ่งชั้นสุดท้ายนี้น้ำที่สูบขึ้นมาจะมีความร้อน (อุ่น) ที่ประมาณ 45 องศา

การสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ในขณะที่ยังไม่มีการควบคุม (ขออนุญาต) อย่างค่อนข้างเข้มงวด ได้ทำให้เกิดแผ่นดินทรุดทั่วไป จึงมีการออกกฏหมายควบคุมเืพื่อแก้ไขปัญหา โดยหลักการ คือ ให้มีบ่อกระจายอยู่ห่างกัน สูบน้ำขึ้นมาใช้ในปริมาณที่พอควรแก่ความต้องการ แยกการใช้น้ำในระดับต่างๆให้เหมาะสมตามลักษณะการใช้และคุณภาพ ของน้ำ ผนวกกับการไม่อนุญาตให้มีการเจาะบ่อน้ำบาดาลในพื้นที่ๆมีการบริการน้ำประปา   ผลสุดท้ายในปัจจุบันก็สามารถลดอัตราการทรุดตัวของแผ่นดินได้ในระดับที่น่าพอใจอย่างยิ่ง จนเกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีการทรุดตัวในพื้นที่ของ กทม.เกือบทั้งหมดแล้ว ก็อดทนแก้ไขอยู่ 20 กว่าปี ในทุกรูปแบบ มีทั้งผ่อนหนักผ่อนเบาและการเข้มงวด

ชั้นน้ำบาดาลระดับลึกสุดเป็นชั้นน้ำคุณภาพดีที่มีการอนุญาตให้เจาะนำมาใช้ในการอุตสาหกรรมบางชนิด รวมทั้งการเอามาทำน้ำดื่ม (ตามที่คุณพวงแก้วได้ปุจฉามาใน คห.ที่160 ในกระทู้เรื่องแผ่นดินไหวและซึนามิ) ชั้นน้ำบาดาลนี้มีการอณุญาตให้ใช้น้อยมากครับ

เนื่องจากการเจาะบ่อบาดาลที่ลึกต้องเสียค่าใช้จ่ายมากทั้งในขั้นการเจาะและการพัฒนาบ่อเพื่อนำน้ำมาใช้ (ในระดับประมาณ 2-3 ล้านบาท) ดังนั้น บ่อลึกๆจึงมักจะเป็นของภาคอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นจริงๆในเรื่องของคุณภาพน้ำและเป็นพวกมีฐานะการเงินดี โดยทั่วไปแล้วก็จะเจาะกันในระดับความลึกประมาณ 100 และ 150 เมตร ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายหลายแสนบาททีเดียว ด้วยค่าใช้จ่ายในระดับนี้ ผู้ขอเจาะบ่อบาดาลจึงมักเป็นหมู่บ้านและอุตสาหกรรมขนาดย่อม  อย่างไรก็ตามเมื่อการประปานครหลวงได้ขยายระบบอย่างมีแบบแผน ก็ได้มีการปิดบ่อและเลิกใช้บ่อบาดาลทั้งหลายกันเป็นจำนวนมากมายแล้ว



กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 พ.ค. 12, 20:52
.....สิ่งที่มาพร้อมน้ำบาดาลเป็นศัพท์ใหม่ที่เพิ่งเคยได้ยิน คือคำว่า ตะกรัน   มันเป็นตะกอนสีแดงเหมือนสนิม   มาพร้อมกับน้ำ  ถ้าเปิดน้ำขังไว้ในอ่างซักผ้าหรือโอ่ง ตะกรันจะจับตัวจมอยู่ตรงก้น
ห้องน้ำทั้งหลายมีตะกรันจับเป็นครามสนิมอยู่ตามอ่างล้างมือ  ชักโครก  พื้นห้อง และทุกอย่างที่น้ำบาดาลไปถึง      เมื่อซักผ้า  ผ้าขาวจะกลายเป็นผ้าสีน้ำตาลขุ่น   เป็นที่หวาดหวั่นสำหรับอาจารย์หญิงและนศ.สาวๆมาก  ถ้าใครอยากให้เสื้อขาวคงความขาวอยู่ได้ ต้องหอบกลับไปซักที่กรุงเทพเวลากลับบ้าน

ขออนุญาตเห็นต่างนี๊ดๆๆๆๆๆเดียวนะครับ
ตะกรันน่าจะตรงกับคำว่า sludge ซึ่งก็คือตะกอนที่ตกทับถมกันอย่างหนาแน่นอยู่ที่ก้นภาชนะโดยน้ำหนักของตัวตะกอน ซึ่งในบางกรณีก็เป็นการตกผลึก (เช่น กรณีหินปูนที่ตกผลึกอยู่ที่ก้นกาต้มน้ำ เป็นต้น)    สำหรับกรณีสนิมแดงที่เกาะเป็นคราบตามอ่างล้างมือหรือคอห่านของชักโครกนั้น น่าจะตรงกับคำว่า stain ซึ่งก็คือคราบสนิม ซึ่งเป็นการเกาะจับโดยตามผิว
อย่างไรก็ตาม มันก็ก้ำกึ่งกันอยู่ที่จะเป็นทั้ง sludge (หากพบคราบหนามากในที่เป็นแ่อ่ง) หรือ stain (หากเป็นคราบเกาะตามผิวผนัง)

ไม่น่าจะผิดเพี้ยนเลยที่จะบอกว่า น้ำที่ใช้นั้นเป็นน้ำบาดาล จึงทำให้ผ้าขาวที่ซักแล้วจะกลายเป็นสีน้ำตาลดังที่กล่าวมา 
ซึ่งผมเห็นว่า มีมากกว่านั้นอีกที่คุณเทาชมพูไม่ได้บรรยาย คือ ข้าวที่ก้นหม้อหุงข้าวก็จะเห็นหย่อมข้าวสีน้ำตาล หรือที่ก้นถังน้ำที่รองไว้ใช้ก็จะมีคราบสีน้ำตาล หรือแม้กระทั่งก้นขวดน้ำที่รองเก็บไว้ก็จะมีคราบสีเหลืองแดง อีกทั้งอาจจะรู้สึกว่าน้ำมีกลิ่นคาวน้อยๆอีกด้วย ซึ่งก็คือคราบของสนิมเหล็กทั้งนั้น  ซึ่งก็ไม่ใช่จะไม่ดีเสมอไปนะครับ ผมคิดว่าผลการตรวจสภาพของเม็ดเลือดด้วย smear test ของบุคคลที่ใช้น้ำในระบบนั้น น่าจะปรากฎว่ามีเ็ม็ดเลือดที่แข็งแรงสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ผิวเนื้อมีน้ำมีนวลสีฝาดเปล่งปลั่ง ไม่ซีด  สาเหตุก็เพราะว่าใช้น้ำที่มีธาตุเหล็กนั่นเอง

วิิธีกำจัดกลิ่นคาวและน้ำที่มีปริมาณเหล็กปนอยู่สูงนี้ ทำได้ง่ายมาก คือ ต้องให้น้ำไหลผ่านอากาศก่อนจะเข้าเก็บในถังเก็บน้ำของระบบประปา สารประกอบที่มีเหล็กละลายอยู่ในน้ำนั้นจะเกิดปฏิกริยากับอากาศ เรียกวิธีการนี้ว่า aeration ซึ่งจะทำให้เกิดปฏิกริยา oxidation ทำให้สารประกอบธาตุเหล็กซึ่งแขวนลอยอยู่ในน้ำนั้นตกตะกอน น้ำที่ปล่อยออกมาใช้ก็จะไม่มีกลิ่นคาวและมีปริมาณเหล็กที่ทำให้เกิดคราบเหลืองแดงน้องลง   ดังนั้น น้ำบ่อหรือน้ำบาดาลในถิ่นที่มีเหล็กสูงนั้น เมื่อสูบขึ้นมาก่อนที่จะปล่อยลงถังเก็บ เขาก็จะทำใ้ห้มันเป็นฝอยผ่านอากาศ (aeration) ก่อนที่น้ำจะตกลงมาผ่านกรองถ่านกัมมันต์ (activated carbon) หรือถ่านไม้ธรรมดา (charcoal) เพื่อการกำจัดกลิ่น จากนั้นจึงไหลเข้าสู่ถังเก็บน้ำ สนิมเหล็กจะตกตะกอนในถังเก็บน้ำเกือบทั้งหมด ทำให้เราได้ใช้ืั้น้ำค่อนข้างดีที่ปลายทาง

สภาพที่คุณเทาชมพูเล่ามานั้น ค่อนข้างจะแสดงว่า มีการขาดการเอาใจใส่บำรุงรักษาระบบใหญ่อย่างจริงจัง

กระบวนวิธีการที่ทำให้เกิดคราบสีแดงเกาะในอ่างล้างมือล้างหน้าหรือในโถส้วมนั้น สามรถอธิบายได้ด้วยวิชาทางเคมี ซึ่งจะไม่กล่าวถึงนะครับ  เอาเป็นเพียงว่าประสิทธิภาพของระบบใหญ่ในการกำจัดสนิมเหล็กนั้นยังไม่ดีพอหรือขาดการบำรุงรักษาตามสมควร         

 


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ค. 12, 21:18
มีมากกว่านั้นอีกที่คุณเทาชมพูไม่ได้บรรยาย คือ ข้าวที่ก้นหม้อหุงข้าวก็จะเห็นหย่อมข้าวสีน้ำตาล หรือที่ก้นถังน้ำที่รองไว้ใช้ก็จะมีคราบสีน้ำตาล หรือแม้กระทั่งก้นขวดน้ำที่รองเก็บไว้ก็จะมีคราบสีเหลืองแดง อีกทั้งอาจจะรู้สึกว่าน้ำมีกลิ่นคาวน้อยๆอีกด้วย ซึ่งก็คือคราบของสนิมเหล็กทั้งนั้น  ซึ่งก็ไม่ใช่จะไม่ดีเสมอไปนะครับ ผมคิดว่าผลการตรวจสภาพของเม็ดเลือดด้วย smear test ของบุคคลที่ใช้น้ำในระบบนั้น น่าจะปรากฎว่ามีเ็ม็ดเลือดที่แข็งแรงสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ผิวเนื้อมีน้ำมีนวลสีฝาดเปล่งปลั่ง ไม่ซีด  สาเหตุก็เพราะว่าใช้น้ำที่มีธาตุเหล็กนั่นเอง

ไม่กล้าใช้น้ำบาดาลหุงข้าวค่ะ    เกรงข้าวขาวจะกลายสีเป็นข้าวกล้อง    ต้องใช้น้ำดื่มหุงแทน
จำได้แต่ว่าน้ำบาดาลกลิ่นเหม็นค่ะ  แต่บอกไม่ถูกว่าเหม็นคาวหรืออะไร  รู้แต่ว่ามันเหม็นเหมือนสารเคมี
ไม่ยักมีใครบอกว่าดื่มเข้าไปแล้วจะมีน้ำมีนวล   มีแต่คนเตือนว่าอย่าดื่มเป็นอันขาด  จะเป็นโรคนิ่ว   เลยอดมีเลือดฝาดแข็งแรงสมบูรณ์จนบัดนี้    :) 


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 26 พ.ค. 12, 21:07
เว้นวรรคไปพักใหญ่ครับ  จะขอเล่าต่อให้จบ
ไปท่องเน็ตดูก็ได้เห็นว่า มีเรื่องเกี่ยวกับน้ำบาดาลอยู่มากมาย ซึ่งเมื่อได้อ่านดูแล้วก็เห็นว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องตรงกัน ยกเว้นในเรื่องของความละเอียดของข้อมูล ซึ่งหากเอามาประมวลแล้วก็จะได้เป็นข้อมูลและความรู้ที่ครบถ้วนเลยทีเดียว ผมจึงจะเว้นไม่กล่าวถึง

จะขอไปในเรื่องเกล็ดความรู้บางประการ

น้ำที่เรียกว่าน้ำบาดาลที่อยู่ในการควบคุมกำกับดูแลโดยกรมทรัะยากรน้ำบาดาลตามกฏหมายของไทย คือ น้ำที่อยู่ลึกกว่าระดับ 15 เมตรลงไป

หน่วยงานที่เจาะบ่อบาดาลแต่เดิมนั้น มีหลายหน่วยงาน คือ กรมทรัพยากรธรณ๊ (หัวสูบโยกสีเขียว) กรป.กลาง (หัวสูบโยกสีแสด) รพช. (หัวสูบโยกสีฟ้า) กรมโยธาธิการ (หัวสูบโยกสีเหลือง) กรมอนามัย กรมชลประทาน ซึ่งทั้งสองหน่วยหลังนี้จำสีไม่ได้    เมื่อมีการใช้ระบบสูบด้วยปั้มไฟฟ้า (submersible pump) และมีการทำระบบประปาหมู่บ้าน ถังปรับคุณภาพน้ำและถังเก็บเพื่อจ่ายน้ำก็ยังคงใช้สีตามที่กล่าวมา      ในปัจจุบันนี้ใช้ระบบการสูบด้วยไฟฟ้าทั้งหมด หัวสูบโยกจึงหายไปหมดแล้ว และสีที่แสดงถึงหน่วยงานที่มาเจาะและพัฒนาระบบก็หายไปหมดแล้วเช่นกัน 

บ่อน้ำบาดาลของทางราชการส่วนมากจะมีขนาด 3, 4 และ 5 นิ้ว บ่อขนาดใหญ่กว่านี้มักจะเป็นบ่อที่เจาะลึกสำหรับงานทางวิชาการ

ภารกิจการเจาะน้ำบาดาลเพื่อใช้ในทางสาธารณะสำหรับชุมชน ในปัจจุบันได้ถ่ายโอนไปให้กับหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ (เครื่องเจาะ) เป็นไปนโยบายและบทบัญญัติตามกฎหมายในบริบทเรื่องการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น แต่ด้วยการขาดความพร้อมที่จะรองรับภารกิจ การขาดบุคลากรทางเทคนิคและการขาดงบประมาณ ทำให้เครื่องเจาะเป็นจำนวนมากถูกละทิ้งและขาดการบำรุงรักษา จึงกำลังเข้าสู่สภาพความเป็นเศษเหล็กอย่างสมบูรณ์

บ่อน้ำบาดาลเองก็มีอายุและจะต้องมีการบำรุงรักษา เช่น การเป่าล้างบ่อ ฯลฯ ตามระยะเวลาอันควร  ในปัจจุบันนี้บ่อน้ำบาดาลที่ทางราชการได้เจาะใว้ให้กับชุมชนต่างๆเป็นจำนวนมากมายหลายหมื่นบ่อได้ถูกละเลยการซ่อมบำรุงจนเข้าสู่สภาพความเสียหายอย่างถาวร

หลายๆพื้นที่ทั่วประเทศได้มีการเจาะน้ำบาดาลเพื่อใช้ในการเกษตร ทั้งเพื่อใช้ในการทำนา ทำไร่ และทำสวน

มีเอกชนเป็นจำนวนมากที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเจาะน้ำบาดาล  ซึ่งคงจะต้องระวังให้มากในเรื่องของเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ สัญญาส่วนมากจะผูกมัดกันที่ปริมาณน้ำว่าจะต้องสามารถสูบน้ำได้ในเพียงใดต่อชั่วโมง ซึ่งหมายถึงจะต้องมี Pumping test ตามหลักวิชาการ (ใช้เวลาเป็นวัน) ซึ่งก็อาจจะถูกหรอกหรือเบี่ยงเบนไป เช่น เอาน้ำกรอกบ่อแล้วสูบให้ดูในช่วงสั้นๆ (ปรกติคือความสามารถในการสูบได้น้ำในปริมาณที่ต้องการต่อเนื่องเป็นเวลานาน มิใช่สูบแล้วจะต้องพักให้น้ำไหลเข้าบ่อ) หรือเสนอการเจาะให้ลึกมากขึ้นเพื่อจะให้ได้น้ำในปริมาณมากๆ (ค่าใช้จ่ายจะแพงมากขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้วขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของชั้นหินอุ้มน้ำ และความยาวของการวางท่อกรุว่าจะวางตลอดความหนาชองชั้นหินอุ้มน้ำหรือไม่) เหล่านี้เป็นต้น 

น้ำบาดาลนั้น ถึงแม้จะมีมากแต่ก็มิได้หมายความว่าจะมีให้ใช้อย่างฟุ่มเฟีอย หรือมีให้ใช้เกินกำลังที่มันสามารถจะเข้ามาทดแทนหรือฟื้นตัวเองได้ น้ำบาดาลช่วยปัดเป่าปัญหาภัยแล้งได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่จะต้องมิใช่เป็นการใช้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาทุกวันทั้งปีหลายๆปี เมื่อมีน้ำฟ้าและน้ำท่ามากพอก็ควรจะหยุดใช้ให้เขามีโอกาศฟื้นตัว

ที่ได้กล่าวใว้ว่ากระทู้นี้จะสั้น ก็จึงขอจางเลือนไปเพียงเท่านี้   


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 27 พ.ค. 12, 10:35
ถึงกระทู้นี้จะสั้นแต่ก็แยกออกจากซอยมาให้ความรู้ ...

ขอบคุณมากคะ

หวังว่าคุณตั้งจะไปตั้งกระทู้ใหม่ตามที่ขอไว้นะคะ

อ.เทาชมพู กำลังเดินทาง เมื่อถึงแล้วจะเข้ามาในเรือนไทยคะ

อ.ก็คอยให้คุณตั้งเปิดกระทู้ใหม่เช่นกันคะ


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ค. 12, 21:43
ตอนนี้มาถึงจุดหมายปลายทางแล้วค่ะ
ก็เลยเข้ามากล่าวคำขอบคุณคุณตั้ง ค่ะ
รอกระทู้ใหม่เช่นกัน


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: Dr.PPP ที่ 17 พ.ค. 13, 21:48
 อยาก ทราบ จังครับ ว่า ถ้า เราเจาะ ที่ความลึก 50 เมตร ที่ อิสาน ถือว่าลึกพอไหมครับ ...ผมก็ใช้อยู่

 แต่หน้าฝน มันมี คราบลอย หน้า


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 ส.ค. 13, 19:33
ขออภัยที่ตอบช้ามาหลายเดือน เว้นไปป่วยมาครับ

ความลึกโดยเฉลี่ยของบ่อน้ำบาดาลในภาคอิสาน ในเชิงของการปฎิบัติการนั้น เราจะประมาณกันอยู่ที่ 40+/- เมตร  ลึกไปมากๆกว่านี้ก็จะเลยชั้นหินอุ้มน้ำที่ให้น้ำบาดาล และบางบริเวณก็อาจได้น้ำที่มีความกร่อยสูงมากจนใช้ไม่ได้

ความลึกของบ่อบาดาลมิได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณน้ำที่ต้องการ ปริมาณและคุณภาพของน้ำขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของชั้นหินอุ้มน้ำที่เราจะไปดูดเอาน้ำออกมาใช้ ความลึกของการเจาะบ่อบาดาลจึงไปอยู่ที่เราจะเจาะไปเอาน้ำจากชั้นหินอุ้มน้ำที่ระดับความลึกใหน ปริมาณน้ำเพียงใด และคุณภาพใด  สำหรับในอิสานนั้น ลึกมากก็เลยชั้นหินที่ให้น้ำที่เหมาะสมทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ มีแต่จะกร่อยมาก สนิมเหล็กมาก

สำหรับกรณีที่มีฝ้าหรือมีคราบลอยหน้านั้น ตามปรกติก็คือที่เราเรียกว่าสนิมเหล็ก เป็นไปได้ทั้งที่มีอยู่ในชั้นน้ำบาดาลอยู่แล้ว หรือปนเปื้อนมาจากน้ำผิวดินที่ไหลซึมนำพาเข้าไปปนเปื้อน หากเป็นสนิมเหล็กจริงๆ น้ำนั้นจะมีกลิ่นคาว  วิธีแก้ไขง่ายๆ ก็คือให้น้ำนั้นไหลผ่านอากาศ (เช่น ผ่านฝักบัวก่อนลงสู่ถังเก็บ) แล้วให้ผ่านชั้นถ่านไม้ (เช่น ในกะละมัง) เพื่อดูดกลิ่นคาวออกไป ก่อนที่จะไปเก็บในแท๊งค์เพื่อใช้ต่อไป

   


กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 ส.ค. 13, 21:24
ดีใจที่กลับมานะครับ



กระทู้: ทรัพยากรน้ำบาดาล
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 11 ส.ค. 13, 19:20
ยินดีต้อนรับกลับสู่เรือนไทยนะคะ