เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 29 มิ.ย. 04, 09:43



กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 มิ.ย. 04, 09:43

เอกสารที่สแกนมาให้อ่านกัน มาจากหนังสือ The Kingdom and People of Siam Vol.1    ของ   Sir John Bowring เจ้าเมืองฮ่องกงผู้เป็นทูตอังกฤษ เดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและทำสนธิสัญญาในสมัยรัชกาลที่ ๔  

ข้อความภาษาอังกฤษข้างบนนี้ เป็นพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีถึงเซอร์จอห์น เบาริง  

ทรงเล่าถึงบรรพชนฝ่ายชายของราชวงศ์จักรี ที่ย้อนกลับไปได้ถึงสมัยเสียกรุงครั้งที่ ๑       เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะได้กล่าวถึงกันนักในตำราประวัติศาสตร์   จึงขอลอกมาให้อ่านกัน
และจะได้อ่านถึงสำนวนโวหารของพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ศึกษาภาษาตะวันตกทั้งละตินและอังกฤษ จนสามารถติดต่อสื่อสารกับชาวอังกฤษได้


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 มิ.ย. 04, 09:51

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงเล่าว่า
ต้นตระกูล(ทางฝ่ายชาย)ของราชวงศ์จักรี เป็นชาวเมืองหันสวัตตี  หรือที่บิชอปปาเลอกัวส์เรียกเพี้ยนไปว่า "หงสาวดี"  เมืองหลวงของอาณาจักรพะโค
Pegu ก็คือพะโค หรือมอญ
ในรัชสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง หรือ Jumna ti cho (ออกเสียงอย่างมอญ)
(คำนี้ เจ้าพระยาภาสกรวงศ์(พร บุนนาค) ผู้ถอดความพระราชหัตถเลขา ท่านถอดออกมาว่า ยุมนาติโช  
ส่วนดิฉันเข้าใจว่า Jumna ถ้าสะกดด้วยอักษรโรมัน(ไม่ใช่อังกฤษ) อ่านว่า ชุมนะ หรือชำนะ  
ส่วน ti cho อ่านว่า ติโช   หรือบาลีเรียกว่า เตโช   ไทยเราเรียกว่า เดช)
เรียกว่าพระเจ้าเดชชำนะ ก็คงได้...ถ้าถอดออกมาได้ถูก

คำต่อมาคือ  Dusadisawijay  เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ ออกเสียงว่า ดุษดีวิชัย  ส่วนดิฉัน อ่านว่า ทุศทิศวิชัย  (หรือทศทิศวิชัย แปลว่าผู้ชนะสิบทิศ)อันเป็นสมญาของพระเจ้าบุเรงนอง  (ยาขอบก็ใช้คำนี้)


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 มิ.ย. 04, 09:52
 ตระกูลนี้เป็นขุนนางฝ่ายทหาร  สังกัดในกองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง ผู้เคยตีอยุธยาได้ประมาณ ค.ศ. ๑๕๕๒ และแต่งตั้งพระมหาธรรมราชา  อุปราชผู้ครองหัวเมืองเหนือขึ้นเป็นกษัตริย์อยุธยา


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 มิ.ย. 04, 09:57

ต่อมาพระเจ้าบุเรงนองพาพระราชโอรสของพระมหาธรรมราชาไปยังพะโคเพื่อเป็นตัวประกัน  ด้วยกษัตริย์สยามทรงยินยอมเป็นเมืองขึ้นของพะโคในสมัยนั้น พระราชโอรสสยามจึงได้ตามเสด็จไปพะโค
พระราชโอรสพระองค์นั้นทรงพระนามว่า พระนเรศ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 มิ.ย. 04, 10:18

พระราชโอรสทรงพระนามว่า พระนเรศร์  ก็ได้ประทับอยู่ที่หงสาวดีจนสิ้นรัชกาลของพระเจ้าบุเรงนอง  
เมื่อพระเจ้าบุเรงนองเสด็จสวรรคต  บ้านเมืองก็เริ่มปั่นป่วนแบ่งแยกออกเป็นหลายฝ่าย ตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะได้ครองราชสมบัติต่อไป เป็นเวลาร่วมครึ่งเดือน
พระนเรศร์จึงเกลี้ยกล่อมหลายตระกูลในหงสาวดี ให้มาสวามิภักดิ์    รวมทั้งขุนนางฝ่ายทหารที่ว่ามานี้  ก็ตกลงใจออกจากหงสาวดี ตามเสด็จกลับมาอยุธยา
แล้วพระนเรศร์ก็ทรงประกาศอิสระภาพ ไม่ขึ้นกับพะโคอีกต่อไป
นายทหารดังกล่าวก็ได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงศรีอยุธยาในที่ดินพระราชทาน  
***********************************
ขอหยุดแค่นี้ก่อนนะคะ  แล้วจะนำเอกสารส่วนที่เหลือมาลงให้อีก

จะเห็นว่า สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงเล่าถึงปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี  ตามที่ทรงได้ยินจากคำบอกเล่าของพระญาติพระวงศ์ สืบต่อๆกันมา  เป็นการบอกเล่าด้วยการจดจำ
น่าสังเกตว่า ทรงกล่าวถึงบรรพบุรุษรุ่นแรกที่มาตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยาว่า มาจากหงสาวดี เมืองหลวงของพะโค  หรือมอญ  รับราชการกับบุเรงนอง พระองค์ไม่ทรงใช้คำว่า "พม่า" เลยสักคำ ทั้งที่บุเรงนองเป็นกษัตริย์พม่า
ในตอนนั้นพม่ามีอำนาจเหนือมอญ
จะทรงเข้าพระทัยว่าบรรพชนจากหงสาวดีเป็นมอญ มิใช่พม่า หรือเปล่า?
หรือทรงใช้คำว่า พะโค ในความหมายเดียวกับ พม่า?

พงศาวดารไทยเคยกล่าวถึงพระยาเกียรติและพระยาราม แม่ทัพมอญที่ติดตามสมเด็จพระนเรศวรกลับมาอยุธยา ในคราวประกาศอิสรภาพ    บรรพชนของราชวงศ์จักรีจะเป็นพระยาเกียรติหรือพระยาราม ก็ไม่อาจทราบได้
หรือไม่ใช่  อาจ เป็นหนึ่งในแม่ทัพนายกองที่มาด้วยกับพระยาเกียรติหรือพระยาราม ก็เป็นได้เช่นกัน  
สมเด็จพระจอมเกล้าฯมิได้ทรงระบุชื่อเสียงเรียงนามไว้

อย่างไรก็ตาม  พระราชหัตถเลขานี้ ได้กล่าวทำนองว่าสมเด็จพระนเรศวรได้ตัดสินพระทัยกลับมาอยุธยาเอง  เมื่อบ้านเมืองพม่าเกิดวุ่นวายเพราะบุเรงนองสวรรคต ยังตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่  

น่าจะเป็นการหนีกลับมาด้วยซ้ำ    เพราะมีการกล่าวถึงการเกลี้ยกล่อมทหารหลายกลุ่มให้มาสวามิภักดิ์     เหตุการณ์แบบนี้   ไม่น่าจะเป็นการขออนุญาตใครกลับมา  
และถึงขอกลับ ทางพม่าก็คงไม่ยอมให้มีแม่ทัพนายกองฝ่ายทหารในหงสาวดีกลับมาด้วยตั้งหลายกลุ่ม  เป็นกำลังทางฝ่ายอยุธยาเปล่าๆ

นอกจากนี้  พระราชหัตถเลขามิได้กล่าวเลยว่า พระมหาธรรมราชาส่งพระสุพรรณกัลยาไปขอแลกตัวกับพระราชโอรสเพื่อกลับมาอยุธยา


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เรียบๆเรื่อยๆ ที่ 29 มิ.ย. 04, 12:50
 
สวัสดีค่ะคุณเทาชมพู
แอบเข้ามาอ่านหลายสัปดาห์แล้วค่ะทั้งกระทู้เก่าและใหม่
วันนี้จึงตัดสินใจสมัครสมาชิกเข้ามาเพราะติดบทความคุณเทาชมพูนี้ล่ะค่ะ
โดยเฉพาะบทความบทใหม่นี้..ทึ่งมากเลยค่ะ..รออ่านอยู่นะคะ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 มิ.ย. 04, 18:25
 มาต้อนรับสมาชิกใหม่ด้วยความยินดีค่ะ  
เชิญร่วมวงสนทนากันตามสบายเลยนะคะ  

นิสัยดิฉันมักเถลไถลออกนอกทางบางครั้งบางคราวค่ะ
ทำให้คนนั่งร่วมวง นั่งรอเก้อบ้างก็มีในบางกระทู้
เพราะมัวไปตอบกระทู้อื่นหรือไม่ก็หายหน้าจากเรือนไทยไปเป็นพักๆ
จะพยายามรักษาวินัยให้ดีกว่านี้  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 29 มิ.ย. 04, 22:33
 สวัสดีค่ะ คุณเทาชมพู  เป็นเอกสารที่น่าในใจไม่น้อยเลยค่ะ  ดิฉันยังคิดตามไปไม่ตลอดนะคะ  แต่ติดใจตรงที่ชื่อ Dusadi sawijay ท่านทรงเว้นวรรคระหว่างคำ  ราวกับว่า  เสียงตัว s เป็นอิสระ ไม่ได้มาจากตัว di  จะเป็นไปได้มั้ยคะ  หรือจะเป็นว่าพิสูจน์อักษรไม่ได้แก้ตรงนี้

แต่ถ้าจะเดาๆเอาล้วนๆเลยนะคะ  ดิฉันว่าเป็นไปได้ว่าท่านจะมีเชื้อมอญ  เพราะจากภาพวาดก็ดูจะไปทางลักษณะของคนมอญอยู่นะคะ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 มิ.ย. 04, 07:35
 หน้ากระดาษที่ถ่ายมาเป็นการพิมพ์จากพระราชหัตถเลขาของจริงอีกทีค่ะ   เลยมองไม่เห็นว่า ในพระราชหัตถเลขาเว้นคำหรือเปล่า  

ดิฉันสงสัยมากกว่าคุณพวงร้อยถึงขั้นว่า พิมพ์ผิดหรือเปล่าด้วยซ้ำ

คำนี้ น่าจะเป็นคำเดียวกันนะคะ  ถ้าแยกเป็น 2 คำ น่าจะเป็น Dusadi Sawijay  
นี่ก็เดาเหมือนกันค่ะ  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 มิ.ย. 04, 09:51
 ขอถอดความ ต่อ นะคะ

นายทหารตระกูลนั้นได้สร้างพระพุทธรูปใหญ่  พร้อมด้วยคำจารึกอักขระโบราณ ขึ้นที่วัดใกล้ที่ดินแห่งนั้น  ซึ่งยังอยู่มาจนบัดนี้( หมายถึงจนรัชกาลที่ ๔)
(พระพุทธรูปในวัดที่ว่ามานี้ ดิฉันเข้าใจว่าหมายถึงวัดสุวรรณดาราราม ซึ่งเป็นวัดของบรรพชนของราชวงศ์จักรี )

หลังจากนั้น ตระกูลนี้ก็ไม่ปรากฏเรื่องราวอีกชั่วระยะหนึ่งจนมาถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ผู้ครองศรีอยุธยาและละโว้(ลพบุรี) เชื้อสายของตระกูลจึงปรากฏชื่อขึ้นอีกครั้ง มีสองคนพี่น้อง ล้วนแต่มีคุณสมบัติอันยอดเยี่ยม เป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่งของพระเจ้าแผ่นดิน
คนพี่ได้ว่าการด้านต่างประเทศ มีตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาพระคลัง  ทำหน้าที่ต้อนรับราชทูตฝรั่งเศสที่มาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยาม คนน้องชื่อปาล เป็นราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 มิ.ย. 04, 09:58
 ขณะเดินทาง เรือได้อับปางลงในบริเวณแหลมกู๊ดโฮป ทำให้ท่านและขบวนผู้ติดตามจำต้องพำนักอยู่ที่นั่นนานพอประมาณ ก่อนจะสามารถลงเรือเดินทางต่อไปยังฝรั่งเศสได้

ราชทูตสยาม ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากรัฐบาลฝรั่งเศส  เมื่อท่านเดินทางกลับมาสยาม  พี่ชายของท่านถึงแก่อสัญกรรมแล้ว  สมเด็จพระนารายณ์ฯจึงทรงแต่งตั้งท่านขึ้นเป็นเจ้าพระยาพระคลังแทน

กล่าวกันว่า บรรพบุรษของข้าพเจ้าสืบเชื้อสายมาจากท่าน  แต่ว่าลูกหลานมิได้ดำรงตำแหน่งนี้ หรือการงานในด้านการต่างประเทศอีกในรัชสมัยต่อๆมาของศรีอยุธยา    
*********************
(เรื่องราวในตอนนี้ ตรงกับประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระนารายณ์    พี่น้องทั้งสองที่กล่าวมา   ก็คือเจ้าพระยาโกษาธิบดี(เหล็ก) กับเจ้าพระยาโกษาธิบดี(ปาน) หรือเรียกกันสั้นๆว่าโกษาเหล็ก และโกษาปาน)  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 มิ.ย. 04, 10:28
 สมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงว่างเว้นการลำดับถึงเชื้อสายของเจ้าพระยาทั้งสองมาอีกในหลายรัชกาล  จนกระทั่งถึงปลายอยุธยา ในรัชสมัยของพระเจ้าแผ่นดินอยุธยา ที่ทรงเรียกในพระราชหัตถเลขานี้ว่า พระเจ้าภูมินทรราชาธิราช ครองราชย์อยู่ระหว่าง พ.ศ. 2245 ถึง 2275  
(ดิฉันนับจากพ.ศ.แล้ว หมายถึงพระเจ้าท้ายสระ  เป็นลำดับที่สามของราชวงศ์บ้านพลูหลวง  พระองค์แรกคือพระเพทราชา  พระองค์ที่สองคือพระเจ้าเสือ   ส่วนพระองค์ที่สี่ต่อจากพระเจ้าท้ายสระคือพระเจ้าบรมโกศ พระราชบิดาของพระเจ้าอุทุมพรและพระเจ้าเอกทัศ)
สมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงเล่าว่าบรรพบุรุษผู้เป็นเชื้อสายตระกูลนี้ได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่บ้าน “สะแกตรัง” ซึ่งเป็นท่าริมแม่น้ำน้อย (ของอยุธยา)

บรรพบุรุษพระองค์นี้มีนามว่าพระอักษรสุนทร  มีตำแหน่งเป็นเสมียนตรา  มีหน้าที่แต่งพระราชสาส์นและท้องตราที่มีไปมากับหัวเมืองฝ่ายเหนือ และรักษาพระราชลัญจกรของพระเจ้าแผ่นดิน
พระอักษรสุนทรได้สมรสกับบุตรีงามของเศรษฐีจีนในกรุงศรีอยุธยา  มีบุตรธิดาด้วยกัน ๕ คน  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 มิ.ย. 04, 10:41
 โพสต์ได้ทีละท่อนค่ะ
เรื่องราวของพระอักษรสุนทรอยู่ในหน้าที่สแกนมานี้

คำว่า Phra Aksom Sundom Samiantra   หนังสือสะกดผิดจากพระราชหัตถเลขา  
ตัว rn เขียนอย่างบรรจงแบบลายมือคนโบราณที่ลากเส้นติดกันไป  อาจจะมองเป็น m ไปได้ง่ายๆ
ถ้าอ่านว่าพระอักษมสุนดม ก็ไม่มีความหมายเลยในภาษาไทย
แต่ถ้าอ่าน อักษรสุนทร  เป็นราชทินนามของเสมียนตราได้ลงตัวเหมาะเจาะ  
หน้าที่ของท่านก็บอกแล้วว่าแต่งพระราชสาส์น   ก็คงคล้ายๆกองเลขานุการหรือสารบรรณ ในสมัยนี้

ในประวัติบอกว่า พระอักษรสุนทรมีบุตรธิดากับภรรยาคนแรก 5 คน   เมื่อเธอถึงแก่กรรม ท่านก็สมรสกับน้องสาวของภรรยาและมีธิดาด้วยกัน 1 คน

ใครเป็นใคร จะอธิบายต่อไปค่ะ  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เรียบๆเรื่อยๆ ที่ 30 มิ.ย. 04, 12:17

ขออนุญาติ....มาบอกว่านั่งฟังตาแป๋วอยู่ค่ะ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.ค. 04, 14:47
 มาแปลต่อ ค่ะ

บุตรธิดา 5 คนจากภรรยาคนแรก คือ
คนหัวปีเป็นชาย รับราชการสังกัดวังหน้า หรือกรมพระราชวังบวรสถานมงคล   ท่านมีธิดา ๑ คน   พี่ชายคนโตท่านนี้ถึงแก่กรรมก่อนเสียกรุงแก่หม่าข้าศึก
คนที่สองและที่สาม เป็นหญิง  ลูกหลานของท่านอีกหลายคนยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้     ท่านคนหลังนี้เป็นมารดาของพระชนนีของพระเจ้าแผ่นดินสยามและสมเด็จพระปิ่นเกล้า( หมายถึงข้าพเจ้าและพระอนุชาของข้าพเจ้า)มารดาของข้าพเจ้าเป็นบุตรคนที่สามของท่าน
คนที่สี่ คือบุตรชายผู้ประเสริฐ   ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรี  ประสูติเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1736  ข้าพเจ้าและพระเชษฐาผู้เสด็จสวรรคาลัย (หมายถึงสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ) เป็นนัดดาของพระองค์ท่าน
คนที่ห้า ประสูติเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1743  ทรงได้เป็นวังหน้าในรัชกาลของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของท่าน   และสิ้นพระชนม์ก่อนพระเชษฐา 6 ปี

ขออธิบาย และขยายความนะคะ
บุตรทั้ง 5 ที่ทรงเล่าถึงในย่อหน้านี้  คนแรกไม่ทราบพระนามเดิม แต่ว่ารับราชการได้เป็นขุนรามณรงค์   ถึงแก่กรรมเสียก่อนจะเสียกรุงครั้งที่สอง  มีธิดาคนเดียวต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ได้รับสถาปนาเป็นกรมขุนรามินทรสุดา  
บุตรหญิงคนที่สอง   ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมสมเด็จพระยาเทพสุดาวดี
บุตรหญิงคนที่สาม  ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์    เป็นพระชนนีของเจ้าฟ้าบุญรอดหรือสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีในรัชกาลที่ 2 ซึ่งเป็นพระบรมราชชนนีในสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
พูดอีกทีคือกรมพระศรีสุดารักษ์เป็น "สมเด็จยาย"ของสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
บุตรคนที่สี่ คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
บุตรคนที่ห้า   คือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท

บุตรหญิงที่เกิดจากหลวงอักษรสุนทร  และภรรยาคนที่สอง(น้องสาวของภรรยาคนแรก) ต่อมา คือเจ้าฟ้าหญิงกุ   หรือกรมหลวงนรินทรเทวี  
ชาวบ้านเรียกกันว่าเจ้าครอกวัดโพธิ์  
ทรงบันทึกเรื่องราวตั้งแต่ปลายธนบุรีจนถึงรัชกาลที่ 1 ไว้  เป็นเรื่องที่เรียกกันว่า บันทึกหรือจดหมายเหตุของเจ้าครอกวัดโพธิ์

ในพระราชหัตถเลขา ยังกล่าวถึงบุตรชายคนเล็กสุดที่เกิดจากอนุภรรยาของหลวงอักษรสุนทร  
ต่อมาคือเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา   พระนามเดิมว่า ลา  เป็นนักรบฝีมือเยี่ยมคนหนึ่งในรัชกาลที่ 1  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: นักอ่านเมืองมอนต์ ที่ 02 ก.ค. 04, 13:18

มาตามสัญญาค่ะ แต่ต้องเปลี่ยนชื่อโลจิ้น เพราะชื่อเก่า เข้าไม่ได้ค่ะ ท่านเวบมาสเตอร์ท่านเลยให้สมัครมาใหม่ พอใช้ชื่อเก่า เครื่องก็ว่า
ชื่อนี้มีคนใช้แล้ว.................จ๊ากกก???


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 02 ก.ค. 04, 14:37
 พม่าตีมอญแตกในรัชสมัยของเมงตยาชเวตี(ตะเบ็งชเวตี้) การเข้ายึดครองในครั้งนั้นไม่ได้มีการฆ่าทำลายล้าง แต่รับเอาข้าราชการและพระสงฆ์มอญเข้ามาถ่ายทอดวิชาความรู้เป็นอันมาก

รัชสมัยของบุเรงนองหลังจากการสิ้นพระชนม์โดยกระทันหันของเมงตยาชเวตี ก็เป็นยุคต่อเนื่องที่มีชาวมอญรับราชการอยู่มากครับ พระจอมเกล้าฯท่านน่าจะทรงเชื่อว่าต้นตระกูลของท่านเป็นข้าราชการมอญพะโคหรือหงสาวดีนี่แหละครับ มิใช่พม่าแต่อย่างใด


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ก.ค. 04, 08:18
 มาต้อนรับคุณนักอ่านเมืองมอนต์ค่ะ   อ่านชื่อเมืองก็จำได้แล้วว่าใคร
ลงนั่งร่วมวงคุยตามสบายเลยค่ะ

ขอบคุณคุณ CH หายเงียบไปนาน  กลับเข้ามาก็ให้คำตอบชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ต้องถามต่อเลยค่ะ
อย่าเพิ่งไปไหนนะคะ เชิญร่วมวงด้วยอีกคน

ตอนนี้ขอพักเรื่องแปลพระราชหัตถเลขาไว้ชั่วระยะก่อน   ย้อนกลับไปชวนคุยเรื่องต้นตระกูลของราชวงศ์จักรี สักนิดค่ะ

มีหนังสืออีก 2 เล่ม ที่เล่าถึงต้นตระกูลของราชวงศ์จักรี คือ อภินิหารบรรพบุรุษ  และ ปฐมวงศ์   มีเนื้อความคล้ายคลึงกันมากจนอาจจะพูดได้ว่ามาจากแหล่งเดียวกัน  หรือไม่เล่มหนึ่งก็อ้างมาจากอีกเล่มหนึ่ง

อภินิหารบรรพบุรุษ  และปฐมวงศ์ เล่าตรงกันเป๊ะถ้อยคำแทบจะลอกกันมาคำต่อคำ   ว่าในสมัยพระเจ้าปราสาททอง พระราชบิดาของสมเด็จพระนารายณ์     เมื่อทรงพระเยาว์ พระนารายณ์ทรงมีแม่นมเป็นหม่อมเจ้าหญิงในราชนิกูล    ทรงเคารพนับถือดังพระมารดา
เมื่อขึ้นครองราชย์ก็ทรงเลื่อนหม่อมเจ้าหญิงองค์นี้ขึ้นเป็นพระองค์เจ้า  สร้างตำหนักให้อยู่ที่ริมวัดดุสิดาราม นอกกำแพงพระนคร
ชาวบ้านเรียกกันว่าเจ้าแม่วัดดุสิต
เจ้าแม่วัดดุสิตมีบุตร 2 คนชื่อเหล็ก กับ ปาน

หลักฐานข้อนี้  ศุภร บุนนาคได้นำไปอ้างไว้ใน ฟ้าใหม่

นอกจากนี้ยังมีกล่าวไว้ในหนังสือ ขอโทษจำไม่ได้แล้วว่าหนังสืออะไร ว่าเจ้าแม่วัดดุสิตนี้มีเชื้อสายพระมหาธรรมราชา   ซึ่งย้อนกลับไปได้ถึงราชวงศ์พระร่วงแห่งสุโขทัย

แต่ไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องนายทหารมอญจากหงสาวดีแต่อย่างใด

เมื่อย้อนกลับมาดูพระราชหัตถเลขา   สมเด็จพระจอมเกล้าฯมิได้เอ่ยถึงเจ้าแม่วัดดุสิต  หากแต่ข้ามตอนนี้ไปถึงโกษาเหล็กและโกษาปานเลย  โดยมิได้ระบุว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร
ทรงสรุปให้เซอร์จอห์นฟังเพียงว่า ช่วงที่ขาดหายไป(ตั้งแต่สมัยพระเอกาทศรถถึงพระเจ้าปราสาททอง)มิได้ปรากฏหลักฐานเรื่องราวของบรรพชน

เป็นไปได้ว่า เท่าที่สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงฟังมาจากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่  ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ อาจไม่มีการเอ่ยถึงตัวตนของเจ้าแม่วัดดุสิตเลยก็เป็นได้
แต่มีการแต่งเติมในหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งขึ้นมาทีหลัง    เปลี่ยนจากนายทหารมอญชาวหงสาวดีมาเป็นหม่อมเจ้าหญิงไทยราชนิกูล  หนังสืออีกเล่มก็เลยอ้างอิงตามนี้

หรืออาจเป็นไปได้ว่า
ถ้าหลักฐานทั้งหมดถูกต้อง  ก็อาจจะรวมสองเรื่องเข้าเป็นเรื่องเดียวกันได้
มีทางสันนิษฐานได้หลายทาง
1)ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี เป็นนายทหารมอญที่ตามสมเด็จพระนเรศวรมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา  หลังจากนั้นอีกสักสามสี่ชั่วคน   ลูกหลานก็ได้ไปสมรสกับเจ้าแม่วัดดุสิต  มีบุตรคือโกษาปาน
น่าสังเกตว่าไม่มีการระบุชื่อสามีของเจ้าแม่วัดดุสิต    ทั้งที่ไทยทั้งอยุธยาและรัตนโกสินทร์นับการสืบเชื้อสายตามทางพ่อ มากกว่าแม่

2)ลูกหลานหญิงคนใดคนหนึ่งของนายทหารมอญ ได้ไปเป็นเจ้าจอมหม่อมห้ามในวังของเจ้านายองค์ใดองค์หนึ่ง หรืออาจจะเป็นในพระบรมมหาราชวังเลยก็ได้   แล้วเป็นยาย หรือมารดาของเจ้าแม่วัดดุสิต

สามีของเจ้าแม่วัดดุสิตจะเป็นใครก็ตาม   ย่อมมีฐานันดรศักดิ์ไม่เกินหม่อมเจ้า    เพราะลูกชายทั้งสองไม่ใช่เจ้า     สมัยอยุธยาไม่มีหม่อมราชวงศ์และหม่อมหลวง
หรือท่านอาจจะเป็นสามัญชน มาแต่กำเนิด    แต่ก็ค่อนข้างยาก เพราะหม่อมเจ้าหญิงจะไม่สมรสกับสามัญชน

น่าแปลกที่สามีเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งควรจะเป็นต้นราชวงศ์จักรีโดยตรงกลับเป็นบุคคลลึกลับ  ไม่มีการเอ่ยถึงในหนังสือทั้งสองเล่มว่าเป็นใครมาจากไหน  กลับไปเอ่ยถึงทางแม่    

วิเคราะห์ฐานะความเป็นอยู่ของสามี จากฐานันดรศักดิ์ของภรรยา ก็น่าจะเป็นบุคคลที่ไม่ด้อยไปกว่าภรรยา ถึงจะสมรสกันได้    ถ้าอย่างนั้นท่านเป็นเจ้ามาจากราชวงศ์ไหน ตำแหน่งการงานอะไร   ทำไมไม่ยักบันทึกเอาไว้
ทำให้ดิฉันออกจะสงสัยอยู่หน่อยๆในตัวตนของท่าน ตลอดจนเจ้าแม่วัดดุสิต ว่ามีจริงหรือเปล่า


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.ค. 04, 10:03
 อีกเรื่องหนึ่งในพระราชหัตถเลขา ก็คือทรงเล่าว่าพระอักษรสุนทร สมรสกับลูกสาวเจ้าสัว ที่ร่ำรวยที่สุดในอยุธยา   เพราะฉะนั้น   ถ้าเป็นอย่างนี้ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ก็ทรงเป็นลูกครึ่งจีน นับทางมารดา

แต่หลักฐานนี้ไม่ค่อยจะได้รับการอ้างอิงกันนัก    ส่วนใหญ่  ดิฉันอ่านพบว่า  พระมารดามีพระนามเดิมว่า ดาวเรือง    ในอภินิหารบรรพบุรุษและปฐมวงศ์บอกว่าเป็นบุตรีเสนาบดีผู้ใหญ่   พระอักษรสุนทร (หรือที่อื่นเรียกว่าพระพินิจอักษร) นามเดิมว่า ทองดี  ท่านและภรรยาจึงได้สร้างวัดนามว่า วัดสุวรรณดาราราม จากนามเดิมของท่านทั้งสอง  ไว้ที่อยุธยา

พูดถึงหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษและปฐมวงศ์ ซึ่งยกมาอ้างในกระทู้นี้  ขอหมายเหตุว่า เป็นหนังสือที่เล่าถึงบรรพชนของราชวงศ์จักรี   ก็จริง แต่เจ้านายอย่างสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเห็นว่าเป็นหนังสือที่ผิดพลาด เชื่อถือไม่ได้
สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะปฐมวงศ์ เป็นหนังสือที่ผ่านมือนายกุหลาบ  หรือ ก.ศ.ร. กุหลาบ ซึ่งถูกกริ้วว่าบิดเบือนพงศาวดารและประวัติศาสตร์ไทย
ทำให้ชวนคิดว่า ปฐมวงศ์ ซึ่งนายกุหลาบนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายโดยอ้างว่าคัดมาจากฉบับของกรมพระปรมานุชิตชิโนรส นั้น    แกอาจจะเล่าเติมเสริมต่อขึ้นมาเองก็ได้
อย่างเช่นเรื่องเจ้าแม่วัดดุสิต  และเรื่องท่านดาวเรือง  นี่ละค่ะ

เอ  หายไปไหนกันหมดทั้งวงคะ เงียบเชียว  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 05 ก.ค. 04, 13:32
 สงสัยดูบอล อดนอนกันเลยเบี้ยว lecture เป็นแถว  ผมก็ใช่จะเป็นเด็กดี หากเป็นเด็กอนามัย ตั้งนาฬิกาปลุกไว้แต่ไม่ตื่น ได้นอนเต็มอิ่ม มาฟัง lecture สบาย

เคยอ่านที่ไหนก็ไม่รู้ มีผู้วิเคราะห์ว่าเจ้าแม่วังดุสิต น่าจะมีถึง 2 ท่าน ท่านแรก คือ แม่นมของสมเด็จพระนารายณ์ และเป็นมารดาของเจ้าพระยาโกษาทั้งสอง  คลับคล้ายคลับคลามีพระนามว่า ม.จ.บัว

เพราะการกล่าวถึงบทบาทของเจ้าแม่วังดุสิตนั่นมียาวนานต่อเนื่องหลายรัชกาล แม้กระทั่งในรัชกาลของพระเจ้าเสือ

ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ หลวงสรศักดิ์กระทำผิดให้ทรงกริ้ง ก็อาศัยเจ้าแม่วังดุสิตทูลขอพระราชทานอภัยโทษ ครั้นขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว กริ้วโกรธพระราชโอรสถึงกับจะประหาร ก็ได้เจ้าแม่วังดุสิตปลอบประโลมให้หายกริ้วโทษขอพระราชทานอภัย จนราชโอรสได้สืบบัลลังค์ทั้งสองพระองค์

เสียดายที่ครั้งเจ้าฟ้ากุ้งถูกโบยจนสิ้นพระชนม์ เจ้าแม่วังดุสิตคงไม่มีชีวิตแล้ว มิฉะนั้นอาจเป็นผู้ทูลทัดทานจนประวัติศาสตร์ไทยพลิกไปอีกโฉมเลยก็ได้


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 06 ก.ค. 04, 00:48
 ไม่ได้เบี้ยวครับ แต่อย่างที่คุณเทาชมพูว่านั่นแหละ กศร.กุหลาบ กลายเป็นชื่อต้องห้ามไปแล้ว เนื้อเรื่องมันมีรายละเอียดมากเหลือเกิน คือดูว่ามันทั้งเหลือ ทั้งเกิน แถมอภินิหารอีกต่างหาก หึหึ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ก.ค. 04, 08:57
 คุณถาวภักดิ์บอกว่าเจ้าแม่วัดดุสิตน่าจะมี 2 คน  แต่ไม่ได้บอกว่าคนที่สองคือใคร
ถ้าเจ้าแม่วัดดุสิตเป็นแม่นมของพระนารายณ์   ในรัชสมัยพระนารายณ์ลูกชายทั้งสองก็อายุมากจนเป็นเจ้าพระยาพระคลังและราชทูต  ตัวเจ้าแม่ก็น่าจะ50 กว่า ใกล้ๆ 60 เข้าไปแล้วเป็นอย่างน้อยในตอนนั้น
ไม่น่าจะมีอายุยืนยาวมาอีกสองรัชกาล  ถึงกับช่วยพระราชโอรสของพระเจ้าเสือ(ซึ่งก็โตเป็นหนุ่มแล้ว) ให้พ้นถูกกริ้ว
อีกข้อหนึ่ง ก็มีเรื่องว่าเจ้าพระยาโกษาเหล็กและโกษาปานก็ประสบชะตากรรมที่เลวร้ายในบั้นปลาย     เจ้าแม่ก็ไม่น่าจะมีบารมีอะไรเหลืออยู่มากนักในสายตาของพระเจ้าแผ่นดิน

ขอเล่าถึงก.ศ.ร. กุหลาบ สักนิดนะคะ
ก.ศ.ร. กุหลาบ เป็นปัญญาชนสามัญชนสมัยรัชกาลที่ 5  ที่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์และพงศาวดาร   ออกหนังสือของตัวเอง  ชื่อสยามประเภท    เผยแพร่ความรู้ทางด้านนี้
ในเมื่อพงศาวดารเก่าๆของหอหลวงเป็นของต้องห้าม ไม่ให้นำออกมาคัดลอก   นายกุหลาบก็หาทางลักลอบคัดลอกจนได้   แต่ว่าดัดแปลงบางตอนให้ผิดเพี้ยนไป  เพื่อไม่ให้ผู้ใหญ่จับได้ว่ามาจากฉบับหอหลวง ทำทีว่ามาจากฉบับอื่นที่ตัวเองได้มาครอบครอง
ข้อหนึ่งที่นายกุหลาบอ้าง เป็นเรื่องเท็จ คือเคยเป็นศิษย์ของกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส   ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้ว     หนังสือเรื่องราวหลายอย่างก็อ้างว่าได้มาจากพระองค์ท่าน
แต่เมื่อเกิดการสอบสวนขึ้นมา   นายกุหลาบก็สารภาพว่าไม่ได้เป็นศิษย์แต่อย่างใด
นอกจากนี้ นายกุหลาบยังแต่งประวัติของตระกูลต่างๆให้ผู้อ่านที่สนใจใคร่รู้ เขียนไปถามในหนังสือของนายกุหลาบ ว่าปู่ย่าตาทวดเป็นใคร  นายกุหลาบก็แต่งให้ฟังซะเป็นคุ้งเป็นแคว  เพราะมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์อยุธยาอยู่แล้ว แต่อ้างว่ามาจากหลักฐานที่ตัวเองมีอยู่

ดิฉันยังสงสัยอยู่เลยว่า ประวัติของสกุลบุณยรัตพันธุ์ ที่ว่าต้นสกุลเป็นพราหมณ์พฤติบาศมาจากอินเดียสมัยอยุธยาตอนกลางนั้น ฝีมือนายกุหลาบหรือเปล่า  เพราะมันมีช่วงที่ขาดหายไปหลังจากนั้น  แล้วมาอีกทีก็อยุธยาตอนปลาย   ไม่มีอะไรเกี่ยวเนื่องกับตอนต้น

อย่างไรก็ตาม  อภินิหารบรรพบุรุษและปฐมวงศ์ ถ้าอ่านในเชิงตำนาน ก็สนุกสนานตื่นเต้นอยู่หลายตอน  ว่างๆจะเก็บมาเล่าให้ฟังค่ะ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เรียบๆเรื่อยๆ ที่ 06 ก.ค. 04, 10:30

เข้ามาทุกวันเลยค่ะ
แต่คอม 2วันนี้เกเรไม่ยอมพูดภาษาไทย
เลยล็อคอิน(ชื่อภาษาไทย)เข้ามาไม่ได้ค่ะ
........................?
แต่จู่ๆ  เกิดพูดได้  เลยต้องรีบโพส (โอกาสทองมาถึง)
???????????
นำดอกไม้มาให้กำลังใจค่ะว่าเข้ามาทุกวันเลยค่ะ..เล่าต่อนะคะ  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 06 ก.ค. 04, 10:59
 จำไม่ได้แล้วครับอาจารย์เทาฯ  เวลาคุยในกระดานไม่มีหนังสืออยู่ใกล้มือ  คุยจากความจำล้วนๆ  ถือว่าอยู่ใกล้ครู ผิดพลาดอย่างไรก็มีครูใหญ่ช่วยแก้ผ้าเอาหน้ารอดให้ได้

หนังสือที่กล่าวถึงเจ้าแม่วังดุสิตท่านที่เป็นมารดาของเจ้าพระยาโกษาทั้งสองน่าเป็นคนละท่านกับเจ้าแม่วังดุสิตที่ทูลขอพระราชทานโทษตายให้พระราชโอรสทั้งสองของพระเจ้าเสือ  คงจะเป็นของ น.พ.วิบูลย์ วิจิตรวาทการนะครับ  แต่ก็ไม่รับรองเพราะครั้งสุดท้ายที่จับหนังสือของท่านมาอ่านก็หลายปีโขแล้ว

อยากฟังอาจารย์เทาฯวิเคราะห์เทียบกับตำราของขุนวิจิตรมาตราด้วยครับ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ก.ค. 04, 14:59
 หลังจากกรุงแตก    บุตรชายทั้งสองของพระอักษรสุนทร ก็หลบหนีไปอยู่ตามที่ต่างๆหลายแห่ง  จนได้เข้ารับราชการกับพระเจ้าตากสิน    ในที่สุดผู้พี่ได้เป็นเจ้าพระยาจักรี  ตำแหน่งสมุหกลาโหม และภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น(เจ้าพระยา)มหากษัตริย์ศึก ซึ่งหมายความว่า "ราชาแห่งสงคราม"  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ก.ค. 04, 15:04
 หมายเหตุ  :  
คุณถาวภักดิ์คะ  
"ขาย" ผ้าเอาหน้ารอดค่ะ   ไม่ใช่ แก้ผ้าเอาหน้ารอด   โธ่  เห็นชาวเว็บนี้เป็นหนูตั๊กไปได้ลงคอ    


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ก.ค. 04, 19:30
 ซึ่งได้ต้านทานทัพพม่าที่ยกมารุกรานสยามเป็นประจำทุกปี
ส่วนผู้น้องชายเป็นเจ้าปกครองหัวเมืองเหนือทั้งหมด ได้รับพระราชทานตำแหน่ง เจ้าพระยาสุรสีห์  ประจำอยู่ที่พิษณุโลก  ซึ่งบิดาของท่านเคยอยู่และถึงแก่อนิจกรรมที่เมืองนั้น
สยามในเวลานั้นจึงมีเจ้าปกครอง 3 องค์คือพระยาตากเป็นเจ้าแผ่นดิน     เจ้ากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ครองหัวเมืองเหนือทั้งปวง

ในค.ศ.1781 เจ้าพี่น้องทั้งสององค์  ได้รับพระบรมราชโองการให้ไปปราบปรามเขมรซึ่งก่อการกระด้างกระเดื่องเป็นกบฏ   พระเจ้าตากประทับอยู่ทางนี้ เกิดเสียพระสติคลุ้มคลั่ง  อ้างว่าพระองค์สำเร็จพระโพธิญาณ    ทรงสั่งประหารผู้บริสุทธิ์เสียกว่า 10000 คน  และบังคับเอาเงินทองจำนวนมากราษฎร ทั้งจากเก็บภาษาและเรื่องอื่นๆ   เป็นเหตุให้เกิดกบฎครั้งใหญ่ขึ้น   ผู้ต่อต้านจับพระเจ้าตากและประหารเสีย   แล้วจึงส่งคนเดินสารไปเขมร  อัญเชิญเจ้ากษัตริย์ศึกและเจ้าครองหัวเมืองเหนือกลับมาครองสยามและหัวเมืองทั้งปวง

น่าสังเกตว่า   สมเด็จพระจอมเกล้าฯ มิได้ทรงนับเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์เป็น "ขุนนาง" แต่ทรงเรียกว่า "kings" หรือ "เจ้า "    อาจจะเพื่อทำให้เซอร์จอห์นเข้าใจง่ายขึ้นถึงความสำคัญของทั้งสองท่านว่าไม่ใช่ขุนนางทั่วไป     แต่เป็นผู้มีอำนาจรองลงมาจากพระเจ้าตาก  เหนือกว่าขุนนางทั้งหมด
และเรื่องที่สองคือ ทรงระบุว่าพระเจ้าตากถูกประหารไปเรียบร้อยแล้ว   ด้วยฝีมือผู้ที่ก่อการกบฎ   ก่อนหน้าที่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์จะกลับจากเขมรมาถึงธนบุรี  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 07 ก.ค. 04, 12:05
 ขออภัยครับอาจารย์ ไม่มีเจตนาจะชักเรือให้ใบเสียเล้ย แบบว่ามันหลุดปาก ต้องโทษเจ้าเพื่อนร่วมก๊วนวงเหล้าสมัยมหาภรตยุทธ ชอบพูดคำพังเพยแบบวิบัติจนเราติดปากไปด้วย  แต่จะว่าไปก็เข้ากับยุคสมัยมากกว่านะครับ  ผ้าสมัยก่อนแพง ถือเป็นสมบัติที่ต้องหวงแหน  เอาไปจำนำก็ได้  ก็พอเอาไปขาย เพื่อเอาหน้ารอดได้อยู่  แต่เดี๋ยวนี้ต้องแก้ผ้า ถึงจะดัง ได้เงินมาก รอดได้ยกครัวเลย

พอหนังสือการเมืองสมัยพระเจ้าตากของอาจารย์นิธิออกมา  คนก็ฮือฮาเอนเอียงไปยอมรับทฤษฎี ร.1 กบฎต่อพระเจ้าตากของ อ.นิธิ กันมาก

อยากชี้ให้เห็นความบกพร่องในความไม่สามารถเข้าถึงศรัทธาความเชื่อ ความผูกพันในพระพุทธศาสนา อย่างพุทธศาสนิกชนที่แท้จริง  หนังสือ-ตำราประวัติศาสตร์ที่ละเลยองค์ประกอบอันเป็นหัวใจอย่างนี้ จึงออกมาเหมือนอัลบัมนักร้อง คือดังเป็นพลุได้ แต่ก็ต้องตก เพราะไม่มีวันเป็นสัจจธรรมได้

เพราะถ้า อ.นิธิ เข้าใจในพระศาสนาดุจเดียวกับพุทธศาสนิกชนที่มุ่งตามรอยพระบาทแห่งพระบรมศาสดาแล้ว อ.นิธิ จะรู้ชัดว่าผู้ที่สามารถปลุกเสกผ้ายันต์อุณาโลมให้ทหารทั้งกองทัพบูชาติดตัว รบจนชนะสงครามอย่าง ร.1 และกรมพระราชวังบวรฯ ไม่มีวันที่จะตระบัดสัตย์ผิดคำปฏิญาณที่ถวายแด่พระเจ้าตากได้เลย

สยามประเทศเป็นรัฐแห่งพระพุทธศาสนานับพันปี ผูกพันฝังลึกอยู่ในทุกอณูแห่งวัฒนธรรมประเพณี ไม่ผิดอะไรกับประเทศตะวันตกที่ผูกพันอย่างแยกไม่ได้กับศาสนาคริสต์ แม้แต่ประเทศเกิดใหม่อย่างอเมริกา ในธนบัตรเขายังพิมพ์ไว้เลยว่า In God We Trust  ในศาลก็ต้องปฏิญาณตนกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ปฏิญาณจบก็บอกว่า So help me God  หรือในอังกฤษก็ร้องเพลง God save the Queen อย่างภาคภูมิ

เพราะผู้ที่อยู่แถวหน้าในสังคมไทยปัจจุบันไม่เข้าใจในพระพุทธศาสนา ก็เท่ากับละเลยจิตวิญญาณของประเทศ  แค่อ้าปากพูดก็ผิดแล้ว

น่าน้อยใจแทนบรรพบุรุษนักที่ลูกหลานไทยยุคนี้ทำตัวยิ่งกว่าข้าศึกศัตรูใดอดีต คอยจองเวรล้างผลาญทำลายจิตวิญญาณของชาติไม่รู้จบ ตั้งแต่แก้รัฐธรรมนูญ ลบทิ้งศาสนาพุทธไปจากความเป็นศาสนาประจำชาติ ตั้งฆราวาสขึ้นมาปกครองสงฆ์-ควบคุมสมบัติของสงฆ์ อย่างไม่คำนึงถึงพระธรรมวินัยที่พระบรมศาสดาประทานไว้   ล่าสุดก็ลุกขึ้นมาแสวงหาความดังทำเป็นเรียกร้องสิทธิสตรีด้วยการเหยียบย่ำหัวใจคนท้องถิ่น เอาจารีตประเพณีในพระศาสนาของเขามาย่ำยี

รอมาทั้งชีวิตแล้ว ก่อนสิ้นใจจะได้เห็นแผ่นดินไทยที่รักยิ่งนี้เป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองไหมหนอ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 07 ก.ค. 04, 17:04
 พระราชปรารภของพระเจ้ากรุงธนบุรี

อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
แด่ศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม
ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
สมณะพราหมณ์ ปฏิบัติ ให้พอสม
เจริญสมถะ วิปัสนา พ่อชื่นชม
ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา
คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา
พระพุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา
พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน

_______________________________________________

จากนิราศท่าดินแดง พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1  


.....ให้ทหารเข้าหักโหมโรมรัน
สามวันพวกพม่าก็พังพ่าย
แตกยับกระจัดพลัดพราย
ทั้งค่ายคอยน้อยใหญ่ไม่ต่อดี
ให้ติดตามไปจนแม่กษัตร
เหล่าพม่ารีบรัดลัดหนี
บ้างก็ตายก่ายกองในปัถพี
ด้วยเดชะบารมีที่ทำมา
ตั้งใจจะอุปถัมภก
ยอยกพระพุทธศาสนา
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา
รักษาประชาชนแลมนตรี.....

_______________________________________________

เพลงยาว พระนิพนธ์ในสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท(บุญมา)


.....คิดมาก็เป็นน่าอนิจจัง
ด้วยกรุงเป็นที่ตั้งพระศาสนา
ทั้งอารามเจดีย์ที่บูชา
ปฏิมาฉลององค์พระทรงญาณ
ก็ทลายยับยุ่ยเป็นผุยผง
เหมือนพระองค์เสด็จดับสังขาร
ยังไม่สิ้นศาสนามาอรธาน
ทั้งเจดีย์วิหารก็สูญไป.........

....อันกรุงรัตนะอังวะครั้งนี้ฤา
จะพ้นเนื้อมืออย่าสงสัย
พม่าจะมาเป็นข้าไทย
จะได้ใช้สร้างกรุงอยุธยา
แม้นสมดังจิตไม่ผิดหมาย
จะเสี่ยงทายตามบุพเพวาสนา
จะได้ชูกู้ยกนัครา
สมดังปรารถนาทุกสิ่งอัน
ถ้าเสร็จการอังวะลงตราบใด
จะพาใจเป็นสุขเกษมสันต์
อ้ายชาติพม่ามันอาธรรม์
เที่ยวล้างขอบขันฑ์ทุกพารา
แต่ก่อนก็มิให้มีความสุข
รบรุกฆ่าฟันเสียหนักหนา
แต่บ้านร้างเมืองเซทั้งวัดวา
ยับเยินเป็นป่าทุกตำบล
มันไม่คิดบาปกรรมอ้ายลำบาก
แต่พรัดพรากจากกันทุกแห่งหน
มันเหล่าอาสัตย์ทรชน
ครั้งนี้จะป่นเป็นธุลี...........


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 07 ก.ค. 04, 17:22
 ผมว่าหนังสือการเมืองสมัยพระเจ้าตากของอาจารย์นิธิเป็นแค่การต่อยอดนะครับ เพราะอย่างน้อยงานเขียนของอ.ปรีชา ศรีชลาลัยก็มีรายละเอียดการศึกษากรณีนี้อย่างละเอียดมาก่อนหน้านั้นนานมากแล้ว ถึงแม้จะใส่อารมณ์มากไปหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นงานค้นคว้าที่ดีในหลายๆแง่มุม

พงศาวดารในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เอง ก็เขียนไว้ชัดเจนในประเด็นที่ว่า ร.1 รับสั่งให้ประหารพระเจ้าตาก แถมด้วยเหตุการณ์แวดล้อมหลายอย่าง เช่น
- เรื่องพระเจ้าจากขอเข้าเฝ้า "ท่านผู้สำเร็จราชการ" ซึ่งหมายถึง ร.1 ก่อนที่เพชฌฆาตจะนำพระองค์ไปประหาร แต่ ร.1 ปฏิเสธ
- เรื่องที่ร.1 และกรมพระราชวังบวรฯ ไปทอดพระเนตรการพระราชทานเพลิงศพ และรับสั่งให้เฆี่ยนนางในที่ร้องไห้อาลัยพระเจ้าตาก
- เรื่องที่ร.1 สั่งประหารขุนนางที่จงรักต่อพระเจ้าตาก(รวมถึงพระยาพิชัย"ดาบหัก") พระโอรส แต่ทรงละเว้นโอรสเล็กๆบางพรองค์ ทั้งที่ กรมพระราชวังบวรฯรับสั่งให้ "ตัดบัวอย่าเหลือใย"
- รายการบัญชีการปลดและแต่งตั้งใหม่ซึ่งข้าราชการ, พระสงฆ์ ทันทีที่ทรงปราบดาภิเษก
ฯลฯ

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เรื่องการปราบดาภิเษกของร.1 นั้นทำอย่างสง่าผ่าเผย ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังหรือละอายใดๆ

ความพยายามที่จะเอาความเชื่อยุคใหม่เข้าไปจับและเขียนประวัติศาสตร์ตอนนี้ใหม่"แก้เก้อ"นั้น น่าจะเริ่มเอาในสมัยหลวงวิจิตรวาทการนี่เอง ซึ่งปรากฎเรื่องสั้นที่จับเอา Plot มาจาก"ความจริง"จากการนั่งสมาธิของแม่ชีวรนัย กบิลสิงห์มา reproduce สร้างความสับสนให้กับประวัติศาสตร์ช่วงนี้อย่างต่อเนื่องยาวนานมาถึงปัจจุบัน

ผมเองมองภาพการชิงอำนาจทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องจำเป็นด้วยซ้ำสำหรับการปกครองแบบราชาธิปไตย เพราะการถ่ายโอนอำนาจทางสายเลือดไม่ได้รับประกันความสามารถของผู้สืบทอดอำนาจ ซึ่งการชิงอำนาจทางการเมืองเป็นกลไกปรับแก้จุดอ่อนตรงนี้ครับ

เรื่องนี้เป็นเหตการณ์ปกติมาตลอดช่วงเวลาที่ใช้ระบอบการปกครองแบบนี้นะครับ เพียงแต่ว่าการชิงอำนาจนั้นไม่ได้สำเร็จทุกครั้ง และระดับความพยายามเข้าถือครองอำนาจก็แตกต่างกัน บางครั้งเป็นแค่การเข้าครอบครอง"อำนาจ" ไม่ได้ครอง"บัลลังก์" ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในตำราเรียนครับ

ส่วนที่ว่า ร.4ทรงระบุไว้ในพระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริงว่าพระเจ้าตากถูกประหารไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยฝีมือผู้ที่ก่อการกบฎ ก่อนหน้าที่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์จะกลับจากเขมรมาถึงธนบุรีนั้น ผมขอสดุดีพระอัจฉริยภาพของพระองค์ครับ

แผ่นดินสยามพ้นเงื้อมมือนักล่าอาณานิคมได้เพราะการทรงงานหนักของพระองค์โดยแท้ครับ

เราน่าจะเคารพบรรพบุรุษของเราด้วยความเข้าใจในสิ่งที่ท่านได้ทำไว้ ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงที่จะยอมรับในสิ่งที่ท่านทำ เพียงเพราะไปเข้าใจว่าท่านไร้คุณธรรมนะครับ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 07 ก.ค. 04, 18:06
 ชื่นชม อ.นิธิ เช่นกัน ในแง่ความกล้าหาญที่กล้าคิดใหม่ทำใหม่ แหวกม่านประเพณีครับ

แต่ดังที่เรียนไว้ข้างต้น สิ่งที่ผมเน้นว่าปัจจุบันมีการละเลยมาก เพราะขาดความเข้าใจในองค์ประกอบที่เป็นหัวใจ คือ พระพุทธศาสนา

หากไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ไม่มีวันเข้าใจสยามประเทศ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 09 ก.ค. 04, 15:48

จากพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน (On Line)

1. ค้น :  อุณาโลม
คำ :  อุณาโลม
เสียง :  อุ-นา-โลม
คำตั้ง :  อุณา
ชนิด :  น.
ที่ใช้ :  
ที่มา :  
นิยาม :  ขนหว่างคิ้ว.
ภาพ :  
อ้างอิง :  
ปรับปรุง :  98/4/2



--------------------------------------------------------------------------------
2. ค้น :  อุณาโลม
คำ :  อุณาโลม
เสียง :  อุ-นา-โลม
คำตั้ง :  อุณา
ชนิด :  น.
ที่ใช้ :  
ที่มา :  
นิยาม :  เครื่องหมายอย่างรูปหน้าหมวกทหารบก.
ภาพ :  
อ้างอิง :  
ปรับปรุง :  98/4/2

ส่วนรูปที่ยกมาแสดง  ซ้ายคือพระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระ"พุทธ"ยอดฟ้าจุฬาโลก  กลางคือพระราชลัญจกรใน ร.9  ขวาคือตรากองทัพบก

ด้วยอุณาโลมหรือขนระหว่างคิ้วเป็นหนึ่งในพุทธลักษณะ จึงมีความนิยมแต่โบราณใช้อักขระตัวอุเป็นนิมิตหมายแทนองค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้า

ปี 2427 มีข่าวศึกพม่า จึงโปรดเกล้าให้ระดมพลจัดทัพเพื่อรับศึกที่ต่อมารู้จักกันดีในนามสงครามเก้าทัพ  ขณะประชุมพล ทหารจากที่ต่างๆคุยอวดทับถมกันเรื่องเครื่องรางของขลังประจำตน ยั่วยุให้มีการลองดีกัน และลุกลามเป็นการทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นทำร้ายร่างกาย เรรวนไปทั้งกองทัพ

เมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ ก็โปรดให้ริบเครื่องรางของขลังหมดทั้งกองทัพ  ร.1และกรมพระราชวังบวรก็ทรงจัดทำพิธีพุทธาภิเษกผ้ายันต์อุณาโลมในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วยพระองค์เอง แจกให้เหล่าทหารทุกคนบูชาติดตัวประจำกาย  ก็บังเกิดความสามัคคี ทั้งยังเป็นเครื่องหมายแห่งการเป็นทหารในกองทัพไทย ให้เป็นหนึ่งเดียวจนมีชัยชนะในมหายุทธเหนือกองทัพข้าศึกที่มีจำนวนมากกว่ามหาศาลเป็นเด็ดขาด  ให้อัศจรรย์ในพระราชกฤษฎาภินิหารในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททั้งสองพระองค์  สมดังพระราชปณิธาน

".....ด้วยเดชะบารมีที่ทำมา
ตั้งใจจะอุปถัมภก
ยอยกพระพุทธศาสนา
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา
รักษาประชาชนแลมนตรี..... "

สืบทอดพระราชปณิธานในแผ่นดินก่อน

"....ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา
พระพุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา
พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน...."

โดยปรากฎหลักฐานเริ่มใช้พระราชลัญจกร(อุณาโลม)เป็นครั้งแรกตั้งแต่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในปี 2528 หลังได้ชัยชนะสงครามเก้าทัพ

เท่าที่คุยกันคนรุ่นหลังๆ ดูจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย ทั้งลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับตราต่างๆที่ปรากฎอักขระตัวอุ เท่าที่มีอยู่ในอินเตอร์เน็ต กลับอธิบายไปคนละทางสองทาง

รู้สึกแปลกใจว่าสิ่งที่ได้เรียนและจำติดหัวมาตั้งแต่เด็กๆ  เดี๋ยวนี้ดูเหมือนไม่มีเด็กรุ่นใหม่รู้เรื่องนี้เลย  หรือเขาไม่สอนให้เด็กไทยได้รับรู้แล้วหรือว่า  บรรพบุรุษไทยได้ตั้งใจมอบมรดกอะไรให้เรารักษาและสืบทอดต่อไปให้ครบ 5,000 ปี

หากเลือกที่จะลืมเลือน ไม่รับรู้ในมรดกที่มีค่าสูงสุดเป็นดังจิตวิญญาณทั้งหมดที่เหล่าบรรพบุรุษทุ่มเทแลกมาด้วยเลือดเนื้อแล้ว  จะเรียกตนเองว่าลูกหลานไทยได้อย่างไร


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 09 ก.ค. 04, 16:55
 ใส่เลข พ.ศ.ผิดครับ  ขออภัย

ข่าวทัพพม่า ปี 2327

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในปี 2328


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ก.ค. 04, 12:17
 โดยส่วนตัว  ดิฉันเชื่อว่าผู้ที่บวชเรียนมาแล้วถึง 27 ปี  
รู้บาลีและพระไตรปิฎกแตกฉาน  
คงไม่จงใจเขียนข้อความที่ผิดศีลห้าข้อสี่  อันเป็นศีลชั้นต้น
แต่ว่าน่าจะทรงได้ยินได้ฟังมาตามนั้นมากกว่า  

ส่วนพระราชพงศาวดารที่มาเรียบเรียงให้เราได้อ่านกัน
อย่างของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ หรือสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ  
ก็มาเรียบเรียงกันในช่วงเวลาหลังจากพระราชหัตถเลขานี้แล้ว  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ก.ค. 04, 13:43
 จะเล่าถึงเกร็ดรื่องราวสั้นๆบางตอนใน "อภินิหารบรรพบุรุษ"  ขอให้ถือว่าเป็นตำนานนะคะ     ไม่มีในพระราชพงศาวดาร  

ในสมัยพระเจ้าบรมโกศ    เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินยังทรงเป็นนายสิน  ชายหนุ่มบุตรบุญธรรมของเจ้าพระยาจักรี   ครบปีบวชก็ได้ไปบวชอยู่ที่วัดโกษาวาศน์   ซึ่งเป็นวัดที่เจ้าพระยาจักรีสร้างไว้   ส่วนสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ หรือนายทองด้วง บุตรหลวงพินิจอักษร( ในหนังสือเรียกแตกต่างไปจากในพระราชหัตถเลขา) บวชอยู่ ณ วัดมหาทลาย

วันหนึ่ง พระหนุ่มทั้งสองรูปออกไปบิณฑบาต   มาพบกันเข้าก็หยุดยืนสนทนากันอยู่   พอดีมีจีนชราผู้หนึ่งเดินมาถึงตรงนั้น    หยุดยืนดูหน้าพระสงฆ์ทั้งสองอยู่นานแล้วก็หัวร่อ   แล้วเดินห่างไป ก็เหลียวกลับมามองหลายครั้ง  หัวร่ออีก   เดินห่างไปแล้วเหลียวมามองแล้วก็หัวร่อ ทำดังนี้ซ้ำๆกัน

พระเจ้าตากสินหรือพระภิกษุสิน สงสัย ก็กวักมือเรียกให้จีนชราเดินกลับมาแล้วถามว่า ท่านแลดูหน้าเราแล้วหัวร่อด้วยเหตุอันใด     ก็ได้ความว่า จีนชรานั้นเป็นซินแสหมอดู ชำนาญในการดูลักษณะและชะตา    เมื่อดูหน้าและขอดูดวงชะตาวันเดือนปีเกิดแล้ว  ก็บอกว่าทั้งสองจะได้เป็นกษัตริย์เหมือนกัน    เมื่อมาอยู่คู่กันอย่างนี้ ไม่เคยเห็นมาก่อนจึงเกิดความขบขัน  

น.ม.ส. หรือกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ฯ ทรงเล่าไว้ในพระนิพนธ์ "สามกรุง" บรรยายคำพูดของซินแสว่า
 เกิดมาข้าพเจ้าไม่..................เคยเห็น
สองสหายหลายประเด็น...........เด่นชี้
ภายหน้าว่าจักเป็น..................จอมกษัตริย์
นั่งอยู่คู่กันฉะนี้........................แน่ล้วนชวนหัว
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯหรือนายทองด้วง ฟังแล้วก็หัวเราะ ตอบว่า เราอายุอ่อนกว่าแค่ 2 ปีเท่านั้นจะเป็นกษัตริย์พร้อมกันได้อย่างไร    ไม่เคยได้ยิน  สัดตวงข้าวดอกกระมัง  แล้วทั้งสองก็เดินกันต่อไป

ส่วน ปฐมวงศ์ ฉบับนายกุหลาบ เล่าไว้ตรงกัน  และมีอีกตอนเพิ่มขึ้นว่า  เมื่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯและกรมพระราชวังบวรฯยังทรงพระเยาว์  พระบิดาพาไปที่วัดมหาทลาย  เพื่อนำของไปถวายเจ้าอาวาส  ณ  ที่นั้นได้พบจีนชราอายุ 80 เศษ  เจ้าอาวาสดูลักษณะของเด็กชายทั้งสองแล้วทำนายว่า  บุตรของท่านจะได้เป็นกษัตริย์ต่อไปภายหน้า     พระบิดาก็ว่าเจ้าคุณว่าอะไรยังงั้น กษัตริย์ในกรุงศรีอยุธยายังมีอีกมากนัก
เจ้าอาวาสตอบว่า เจ้าไม่รู้อะไร อีกหน่อยไม่ช้า กษัตริย์ในกรุงก็จะหมดไป   จีนชราจึงจับมือจีนเรืองที่เป็นบุตรชายมาส่งให้ ทั้งสองพระองค์  แล้วทูลว่าเสียดายที่ข้าพเจ้าชรามากแล้ว    ถ้าท่านได้เป็นเจ้าต่อไปภายหน้า ขอให้ตั้งจีนเรืองบุตรข้าพเจ้าเป็นเจ้าด้วย   จีนเรืองก็กล่าวขอโทษแทนบิดาว่าท่านอายุมากแล้ว  พูดอะไรก็อาจพลาดพลั้งไป
จีนเรืองนี้ต่อมาคือกรมขุนสุนทรภูเบศร์   ต้นราชสกุลสุนทรกุล ณ ชลบุรี  
อ่านได้ที่
 http://www.vcharkarn.com/snippets/vcafe/show_message.php?Pid=14184  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.ค. 04, 12:43
 ตอนนี้ขอหยุดคุยเรื่องนี้ก่อนนะคะ
ขอลงนั่งพัก
อยากฟังความเห็น
หรือข้อมูลจากท่านอื่นๆที่ร่วมวงมากกว่าค่ะ  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 14 ก.ค. 04, 14:24
 ต้องขอโทษคุณเทาฯเจ้าเรือนด้วยครับ ผมมาชักใบให้เรือเสียละมังครับ คิดว่าพระราชหัตถเลขาถึง Sir John Bowring น่าจะใกล้จบแล้ว น่าจะต่อให้จบไปเลยนะครับ

ในความคิดเห็นของผมว่าด้วยเรื่องการศึกษาประวัติศาสตร์นั้น เราชาวพุทธเองมีเครื่องมือสำคัญที่น่าหยิบยกมาใช้ได้อย่างเหมาะเจาะทุกเมื่ออยู่แล้ว นั่นคือกาลามสูตร

เอกสารทางประวัติศาสตร์นั้นมีหลากหลายที่มา เรื่องที่จะพิจารณาให้เชื่อหรือไม่อย่างไรนั้น ถือเป็นสิ่งที่ต้องใช้วิจารณญานอยู่มาก

อภินิหารบรรพบุรุษของกศร.กุหลาบนั้น จะสรุปว่าเป็นเท็จไปเสียทั้งหมดก็คงจะไม่ได้ ในเมื่อหลายๆเรื่องก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดที่จะมาแย้ง แต่จะให้เชื่อเลยนั้น ก็ต้องยอมรับว่าลำบากใจอยู่มาก เพราะหยิบยกมาจากไหนไม่มีใครรู้ ที่แย่กว่านั้นคือ บางทีแม้แต่คนในตระกูลเองก็ยังไม่เคยรู้ แล้ว กศร.กุหลาบเป็นใครจึงมารู้ได้

จะว่าไปแล้วเรื่องราวประวัติของตระกูลนั้นเป็นเรื่องที่แม้แต่คนในตระกูลเองยังสับสน เพราะส่วนมากจะเล่ากันปากต่อปาก ไม่มีการจดบันทึกไว้ ถึงจะมีบันทึกไว้ หากไม่ได้บันทึกในรุ่นนั้นชั้นนั้น ก็ยังเป็นสิ่งที่เขียนจากคำบอกเล่าอยู่ดี ซึ่งอาจจะถูกหรืออาจจะผิดก็ได้

โดยสามััญสำนึก ผมว่าพระราชประวัติในพระราชหัตถเลขายังมีเหตุให้เชื่อได้มากกว่าอภินิหารบรรพบุรุษ (ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นจริงมากกว่า-โยนลูกเต๋าให้ออก 6 มีโอกาสแค่ 1/6 แต่ไม่ได้หมายความว่าจะออก 6 ไม่ได้) เพราะอย่างน้อยก็เป็นคำบอกเล่าของคนในตระกูลเอง

ในเมื่อ กศร.กุหลายไม่มีหลักฐานอ้างอิงถึงที่มา คงต้องนับอายุของเรื่องที่เล่าแค่ในยุค ปลาย ร.5 - ร.6 เท่านั้น รายละเอียดระดับนี้ย้อนหลังไป 200-300 ปี มีรายละเอียดมากมาย ถึงไม่ปฏิเสธทันทีก็ต้องยอมรับว่าน่าเคลือบแคลงอยู่มาก อีกทั้งพระราชประวัติที่เล่าขาดท่อนขาดตอนหายไปเฉยๆ มันก็น่าที่กรมพระยาดำรงฯจะกริ้วอยู่ไม่น้อย

สรุปว่า สำหรับผม อภินิหารบรรพบุรุษ อ่านได้ เก็บข้อมูลได้ แต่อย่ารีบเชื่อ จนกว่าจะพบอะไรที่ยืนยันได้มากกว่านี้


ว่าแต่ว่าพระราชปรารภของพระเจ้ากรุงธนบุรีที่คุณถาวศักดิ์ได้ิ์ยกมา

อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
แด่ศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม
ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
สมณะพราหมณ์ ปฏิบัติ ให้พอสม
เจริญสมถะ วิปัสนา พ่อชื่นชม
ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา
คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา
พระพุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา
พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน

ผมพบเห็นอยู่บ่อยๆ ข้องใจทุกครั้งว่าสำนวนภาษา สำนวนกวี และคำศัพท์ที่ใช้ ดูไม่สอดคล้องกับยุคสมัยเท่าใด ไม่ทราบว่ามีที่มาจากที่ไหนหรือครับ รบกวนขอทราบเป็นวิทยาทานด้วยครับ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ก.ค. 04, 16:53
 พระราชหัตถเลขายังมีตอนท้ายอีกเล็กน้อยค่ะ    แต่มีเนื้อความย่อๆ ทรงเล่าอย่างที่รู้ๆกันแล้วคือรัชกาลที่ 1 2 และ 3 ครองราชย์เมื่อไร  ลำดับพระญาติกันอย่างไร   ก็เลยไม่ได้แปลต่อ   เพราะไม่ได้มีเนื้อหาเจาะจงเรื่องใดเป็นพิเศษ

เรื่องอภินิหารบรรพบุรุษ   เห็นเป็นส่วนตัวว่า แบ่งเนื้อหาได้เป็น 2 ส่วน  ส่วนหนึ่งคือที่ตรงกับพระราชพงศาวดารหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ    
อีกส่วนคือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแทรกเข้าไป   อย่างเรื่องซินแสหมอดู  
ทำให้ดิฉันสงสัยว่าเกร็ดพวกนี้แหละคือฝีมือแต่งแทรกของนายกุหลาบ   ดูลักษณะเป็นนิยายมากทีเดียว และมีการออกตัวไว้ด้วยว่าทำไมไม่ปรากฎหลักฐานในหนังสืออื่น

อีกเรื่องหนึ่ง น่าสังเกตว่า   เมื่อเทียบกับพระราชหัตถเลขาฯ    จะเห็นว่า เนื้อความส่วนที่ทรงเอ่ยถึงบรรพชนที่มีเชื้อสายมอญและจีน  ไม่ปรากฏใน "อภินิหารบรรพบุรุษ" และ "ปฐมวงศ์"  แต่มีการระบุเป็นเจ้านายและขุนนางยศศักดิ์สูงแทน
เช่นนายทหารมอญจากพะโคหายไป  มาเริ่มที่เจ้าแม่วัดดุสิต
พระชนนีในรัชกาลที่ 1 ที่เป็นธิดาเศรษฐีจีนในอยุธยา ก็กลายเป็นบุตรีเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ของอยุธยา แทน


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 14 ก.ค. 04, 18:45
 ผมเองก็พบบ่อย หลายที่ และต่อเนื่องมานาน จนไม่ได้เก็บหลักฐานเอาไว้ใกล้มือ เพื่อเตรียมโต้วาทีนะครับ ต้องขออภัยคุณอาชาผยองด้วย

จำได้ว่ามีระบุอ้างอิงว่าเป็นจารึกที่วัดทางฝั่งธน

ถ้าคุณอาชาผยองสนใจศึกษา ก็เชิญใช้ search engine ค้นดูเองได้ จะพบหลายเว็บที่ระบุพระราชนิพนธ์นี้ไว้

คงต้องออกตัวว่าผมไม่ได้ทำตัวเป็นนักวิชาการในเว็บแห่งนี้ จึงไม่คิดจะตอบโต้ผู้ที่ต้องการแสดงตนเป็นนักวิชาการ หรือผู้พิพากษาตามเว็บ ท้าทาย สั่งให้ไปค้นโน่นค้นนี่มาแสดงประกอบความเห็น  ถ้าจะให้ลงทุนเสียเวลาขนาดนั่น ก็สู้เขียนเป็นผลงานทางวิชาการเสียเลยย่อมมีประโยชน์กว่ามาก

แต่เดิมผมคุยเล่น เล่านั่น บ่นนี่ตามประสาคนอยู่มานานพอควรที่โต๊ะมองอดีตของพันทิพ  จนรับคำเชิญให้เขียนอะไรเป็นวิทยาทานให้ที่นี่ จึงทำโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน หากด้วยความรัก ความภูมิใจในความเป็นไทย  ตั้งแต่นั่นจึงเข้ามาคุย แสดงความเห็นเป็นครั้งคราว  เวลาของผมมีค่าเกินกว่าจะมาเอาชนะแบบเด็กๆ

ถ้าสนใจจะศึกษาในสิ่งที่ตนไม่รู้อย่างแท้จริง  ก็ถามมาดีเถิดๆ  เหมือนครั้งหนึ่งที่น้องๆ หลานๆมาเกาะแงเกาะขาฉะอ้อนถามอย่างใฝ่รู้เป็นน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก

ยินดีจะมอบความรู้เท่าที่มีเป็นวิทยาทานให้ครับ

แต่ถ้าการแสดงออกเป็นเหตุให้ผมเชื่อได้ว่า อาจมีเจตนาต้องการ เอาชนะ เอามัน แอบแฝง อย่างไม่สนใจว่าจะเป็นตัวอย่างที่แสนเลวแก่เยาวชน ทำลายซึ่งจารีตประเพณีอันงดงามของไทย ทั้งอาจสร้างทัศนคติที่ชื่นชอบความก้าวร้าว หยาบคาย เอาเด่นเอาดังเข้าว่า โดยเห็นเป็นของเท่ เป็นแฟชั่นในการแสดงความอกตัญญู จาบจ้วงผู้ใหญ่ บรรพบุรุษ ไปถึงพระมหากษัตริยาธิราชผู้มีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม  อย่างนี้ผมไม่คบด้วย  และจะตำหนิ ติเตียน ทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งถ้าอยู่ในอำนาจ ก็อยากจะขุดลอกนิสัย สันดานเช่นนี้ ออกไปให้สิ้นจากผู้ที่ใช้สัญชาติไทย


ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มิได้กล่าวหาคุณอาชาผยองในทางลบใดๆทั้งสิ้นนะครับ

เพียงแต่แสดงจุดยืนให้ชัดเท่านั้น  ก่อนที่จะมีผู้พยายามนำเข้าสู่แง่มุมที่ผมรังเกียจ  เพราะปฏิกิริยาของผมอาจจะเงียบไปดื้อๆ ด้วยไม่ต้องการไปต่อล้อต่อเถียงกับผู้มีวุฒิภาวะเช่นนั้น

เกรงว่าอาจารย์เทาจะหาว่านักเลงโบราณไม่มีน้ำยา


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 14 ก.ค. 04, 23:27
 เรียนคุณถาวศักดิ์ ด้วยความเคารพ

ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมมิได้มีเจตนาใดที่จะท้าทายหรือเอาชนะแต่อย่างใดนะครับ เพียงแสดงความคิดเห็นเพราะเท่าที่ผ่านมาบรรยากาศทางวิชาการที่นี่เปิดกว้างสำหรับทุกคนมาตลอด (อย่างน้อยในความรู้สึกของผม)

ซึ่งทั้งนี้ผมเองไม่ใช่นักวิชาการแต่อย่างใด เพียงสนใจเรื่องราวของประวัติศาสตร์ชาติไทยในฐานะคนไทยคนหนึ่งเท่านั้น

ผมต้องชี้แจงตรงนี้ว่า เมื่อได้อ่านความคิดเห็นก่อนหน้านี้ของคุณถาวศักดิ์ ผมคิดแต่เพียงว่าคุณถาวศักดิ์ได้หมายถึงบุคคลจำนวนหนึ่งในสังคมปัจจุบัน โดยมิได้หมายถึงเจาะจงถึงใคร(ผม?)แต่อย่างใด และก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะท้าทายหรือโต้วาที แต่อย่างใดครับ

ซึ่งเมื่อได้ทราบดังนี้แล้ว หากผมได้กล่าวสิ่งใดที่คุณถาวศักดิ์รู้สึกว่าเป็นการล่วงเกิน ก็ต้องขออภัยอย่างจริงใจไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

สำหรับเรื่องพระราชปรารภของพระเจ้ากรุงธนบุรี ผมได้ไปสืบค้นดูหลังจากที่ post ความคิดเห็นของผมไปแล้ว และ ได้ข้อมูลมาว่าเป็นจารึกที่ศาลพระเจ้ากรุงธนบุรี ในวัดอรุณราชวรารามครับ แต่ยังไม่พบข้อมูลว่าได้จารึกขึ้นในยุคสมัยใดนะครับ

ตั้งใจว่าจะมา post เป็นข้อมูลแก่ผู้สนใจไว้ ณ ที่นี่ดังนี้ครับ

หวังว่าบรรยากาศการแลกเปลี่ยนความรู้อย่างเป็นกันเองจะยังคงอยู่เหมือนเดิมนะครับ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ก.ค. 04, 09:19
 " เกรงว่าอาจารย์เทาจะหาว่านักเลงโบราณไม่มีน้ำยา "
มิบังอาจค่ะ  แฮ่ะ  แฮ่ะ

ดิฉันเห็นว่าบรรยากาศในเรือนไทย นอกจากเปิดกว้างให้แสดงความคิดเห็นแล้ว  ก็ยังสุภาพถ้อยทีถ้อยอาศัยกันพอสมควรนะคะ    ไม่ได้เปลี่ยนจากการเถียงเรื่อง" ประเด็น" มาเป็น "บุคคล" กันด้วยถ้อยคำรุนแรง

คุณ CH เองก็ได้ขออภัยแล้ว หากว่าทำให้คุณถาวภักดิ์เข้าใจว่าล่วงเกิน   ดิฉันขอให้ทั้งสองท่านยังคงอยู่   อย่าได้หายหน้ากันไปเลย

เรามีกันอยู่น้อยคน   ดิฉันเองก็ได้ความรู้และนวคิดจากท่านทั้งหลายที่เข้ามาร่วมวงไปมิใช่น้อย  เป็นบรรยากาศที่หาไม่ได้เวลาดิฉันเปิดตำราอ่านอยู่คนเดียว   จึงไม่อยากจะให้ใครหายหน้าหายตาไป
แล้วยังอยากจะกวักมือเรียกอีกหลายๆคนที่เคยป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ ให้มานั่งร่วมวงส่งเสียงกันบ้างด้วย

บทกลอนที่ว่า ดูเหมือนดิฉันเคยพูดแล้วแต่จำไม่ได้ว่ากระทู้ไหน  ว่าน่าจะแต่งขึ้นในชั้นหลัง  สงสัยจะรัชกาลที่ 9 นี้เอง
ที่สงสัยอย่างนั้น  เพราะคำว่า "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ "เคยเป็นคำขวัญเรียงต่อกัน ในช่วงสัก 50 ปีมานี้   สมัยหนึ่งเคยต่อด้วย "รัฐธรรมนูญ" แต่พอปฏิวัติกันบ่อย รัฐธรรมนูญถูกฉีกบ้าง   ร่างใหม่ยังไม่เสร็จสักทีบ้าง   คำว่า"รัฐธรรมนูญ" ที่ต่อท้ายเลยหายไป
สมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น   ไทยยังไม่มี"ชาติ"นะคะ มีแต่อาณาจักร    คำว่า"ชาติ" ตั้งแต่อยุธยาตอนปลายจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น แปลว่า " เกิด "ค่ะ

ตอนนี้กำลังรองานวิจัยสำคัญเรื่องหนึ่ง จะส่งมาถึงมือในสัปดาห์นี้    เกี่ยวกับการวิเคราะห์ศิลาจารึกหลักที่ 1 ในเชิงภาษา  คงจะตอบคำถามได้อีกแง่หนึ่ง ว่าศิลาจารึกนั้นสร้างกันเมื่อไม่ถึงสองร้อยปีก่อน หรือว่าเจ็ดร้อยปีก่อนกันแน่  


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 15 ก.ค. 04, 13:41
 ขอบคุณครับที่กรุณาให้ความสำคัญและให้เกียรติ  คำกล่าวออกตัวของผมข้างต้นสะท้อนความกร้าวเกินกว่าเหตุจนเป็นที่ตกอกตกใจ ก็ต้องขออภัยด้วยเช่นกัน

คงเป็นเพราะอัดอั้นกับพวกชอบทำตัวเป็นนักวิชาการด้วยการจาบจ้างเบื้องสูงและบรรพบุรุษมามาก  จะบอกกล่าวอย่างกระชับด้วยข้อจำกัดของเวลาจึงไม่สามารถขัดเกลาให้นุ่มนวลได้เท่าที่ควร

คงไม่มีใครปฏิเสธในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ของปวงชนชาวไทย  ปกติเราเคารพรักผู้ใหญ่ท่านใด ก็เป็นการปฏิบัติอย่างปกติโดยสามัญสำนึกแห่งวิญญูชนทั่วไปอยู่แล้ว ที่จะยกย่องให้เกียรติด้วยทั้งกริยาและคำพูดไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง คงไม่มีผู้ใดบ้าพอที่จะกล่าวร้ายจาบจ้วงบรรพบุรุษของผู้ใหญ่ท่านนั้นอย่างแน่นอน  แต่นี่เป็นถึงองค์ปฐมบรมมหากษัตริยาธิราชเจ้าแห่งราชวงศ์จักรี  พูดภาษาง่ายๆก็เป็นถึงต้นตระกูลของในหลวงที่คนไทยล้วนรักและบูชา  จะพูดคุยแบบมือสมัครเล่นย่อมควรต้องรู้ที่สูงที่ต่ำ

พวกนักวิชาการที่จำเป็นต้องทำงานเพื่อวิชาการจริงๆ หากกระทำอย่างรอบคอบระมัดระวัง และเทิดไว้ซึ่งพระราชเกียรติยศตามจารีตประเพณีอันควร  ก็พอเข้าใจและทำใจได้

แต่หากรักจะศึกษาจริงก็ต้องสังวรในมุมมองให้กว้างและทำใจเป็นกลางจริงๆ ข้อสรุปที่นักวิชาการไม่ว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังสักเพียงใด ล้วนก็คือทฤษฎีที่อนุมานจากหลักฐานที่มี ณ เวลานั้น หาใช่ความเป็นจริงในทุกกรณีไม่  เหมือนครั้งหนึ่งที่เซเดสผู้มีเชื่อเสียงโด่งดังได้รับการยกย่องประหนึ่งเป็นบิดาแห่งวิชาประวัติศาสตร์โบราณคดีของเอเซียอาคเนย์ บอกว่าชนชาติไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต แต่ปัจจุบันกลายเป็นทฤษฎีที่ล้าสมัย ไม่เป็นที่ยอมรับอีกต่อไป

ครั้งหนึ่ง อ.ศรีศักดิ์ ได้นำผลงานของท่านที่สรุปว่าพระเจ้าพรหมมหาราชไม่มีจริง ออกมาตีพิมพ์เผยแพร่ หลังจากนั้นไม่นานในการบรรยายอย่างเป็นสาธารณะครั้งหนึ่ง จำได้ว่าอาจารย์ได้กล่าวเตือนทำนองว่าอย่าหมิ่นในคุณค่าของตำนานและนิทานพื้นบ้าน  

ชาวยิวสิ้นชาติไปถึงสองพันปี ผ่านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ยังสามารถกลับมาสร้างชาติได้อีกครั้ง ซ้ำเมื่อตั้งประเทศได้ใหม่ๆยังสามารถผนึกกำลังรบชนะการรุมของหลายประเทศในสงคราม 7 วัน  เพราะอะไรถ้าไม่ใช่เพราะความเชื่อมั่นศรัทธาในจารีตประเพณี ในความดีของบรรพบุรุษ ในศาสนาและในคำสอนที่ถ่ายทอด บอกเล่าต่อๆกันมา

ด้วยเหตุนี้ผมจึงมั่นใจ ศรัทธาในความดีของบรรพบุรุษ พระบารมีแห่งพระบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า และพระพุทธศาสนา ว่าเป็นเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ผมสามารถเรียกตนเองว่าเป็นคนไทยอย่างภาคภูมิในวันนี้

ไม่สมเหตุสมผลที่ความสับปลับ ทรยศ หลอกลวง มักใหญ่ใฝ่สูงเป็นสามารถเป็นเหตุปัจจัยให้บังเกิดความเป็นชาติที่มีประวัติยาวนานและมีเกียรติภูมิอันน่าภูมิใจเช่นนี้  แต่ใครไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ไม่ภูมิใจในความเป็นไทย จะย้ายออกไปเสียโดยเร็ว ก็จะเป็นที่น่ายินดีมาก

ขอย้ำว่าช่องโหว่สำคัญที่นักวิชาการปัจจุบันมองข้ามด้วยความไม่เดียงสาในพระพุทธศาสนา คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไม่ได้นำทุกชิ้นส่วนมาใส่ในภาพให้ครบถ้วนก่อนจะตีความปริศนาตรงหน้า  ทฤษฎีเหล่านั้นจึงไม่เป็นสัจจธรรมในการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ของสยามประเทศ  เพราะพระพุทธศาสนาคือจิตวิญญาณแห่งสยามประเทศ

และจะถกเถียงกันนานสักเท่าใด จะเพียรค้นคว้า เพียรยกตัวอย่างมามากสักเพียงไหน  คนที่ไม่เข้าใจก็จะยังไม่เข้าใจต่อไป  เพราะพุทธศาสนาแห่งศาสนาแห่งการปฏิบัติ ปัญญาที่ได้จากการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาเป็นภาวนามัยปัญญาอันรู้ได้เฉพาะตน  มิใช่ปัญญาที่เกิดจากการรู้มาก อ่านมาก หรือความสามารถหยิบยกข้อมูลต่างๆขึ้นมาใช้ได้อย่างรวดเร็วและถูกที่ถูกเวลา

ตราบใดที่นักวิชาการยังรู้สึกโก้เก๋ สนุกกับการดื่มไวน์ หรือสาโท ตลอดจนสุราเมรัยทั้งปวง ไม่เข้าใจในคุณค่าแห่งศีลบริสุทธิ์แม้เพียงห้าข้อด้วยตนเอง  ไม่เคยได้ลิ้มรสความสุขจากความสงบในองค์ฌานสมาธิ  ไม่เข้าใจว่าทำไมพระอมตนิพพานจึงเป็นที่น่าปรารถนาสูงสุด  ทฤษฎีที่เกี่ยวกับสยามประเทศของนักวิชาการท่านนั้นยังคงเป็นที่น่ากังขา น่าคลางแคลงอยู่มาก


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 15 ก.ค. 04, 14:33
 และผมได้ยกหลักฐานสำคัญชิ้นเอกมาให้ดูแล้วคือ บทบาทแห่งยันต์อุณาโลมตั้งแต่ตั้งกรุงมาจนแม้ปัจจุบัน ที่ผนึกรวมความเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์โดยครบถ้วนสมบูรณ์ตลอดมากระทั่งทุกวันนี้

นี่คือประเด็นที่มีความมุ่งหมายยกมาประกอบกระทู้นี้ครับ

ทั้งมีความประสงค์ให้ปวงชนชาวไทยมีความรู้นี่ไว้ เพราะนี่คือรากฐานแห่งความเป็นชาติไทย เช่นเดียวกับศรัทธาในพระเจ้าและดินแดนแห่งพันธสัญญาคือรากฐานสำคัญแห่งประเทศอิสราเอล  หรือความเชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลคือรากฐานสำคัญของธรรมนูญแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา

หากทำลายศรัทธาอันเป็นรากฐานแห่งจิตวิญญาณของชาติไทยให้สูญสิ้นไปโดยสิ้นเชิง แผ่นดินนี้จะเหลือดีอะไร คงจะเหลือแต่โสเภณี คนติดยาเสพติด และอาชญากรกระมัง


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: คนอ่าน ที่ 17 ก.ค. 04, 20:02
 เป็นกระทู้ที่ดีมาก  ได้ความรู้ว่าเราเป็นใคร   มีการค้นคว้า  แลกเปลี่ยน  บ้างครั้ง  ผู้คน  เรื่องราว   เวลา  สถานที่  กับความหมายในอดีตกับปัจจุบันไม่เหมือนกัน  เรื่องของผู้คนที่มีอดีต
ให้เราได้รับรู้ถึงปัจจุบัน  แสดงว่าเรามีอารยธรรมการดำรงค์
อยู่การรับรู้เพื่อเราจะได้ก้าวต่อไป  เราอยู่ในโลก Vcharkarn
ศาสนาแก่นคือความรู้ปัญญา  เพื่อการอยู่รอดของมนุษย์ชาติ
น่าจะมีการแลกเปลี่ยนต่อไป  เพื่อเป็นชุมชนทางวิชาการ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: kennametal ที่ 01 มิ.ย. 07, 00:45
เข้ามานั่งแอบ ความรู้ดีดีแบบนี้อ่านนามมากแล้ว..เลยเข้ามาขอบคุณทุกท่านที่ให้ความรู้ครับ...


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: พระยาสุเรนทร์ ที่ 01 มิ.ย. 07, 03:10
<table cellspacing="0" cellpadding="0" width="100%">
<tr><td>
 <img src=" rtimages/RW1748x14.jpg" align="left">  มาแปลต่อ ค่ะ


บุตรธิดา 5 คนจากภรรยาคนแรก คือ

คนหัวปีเป็นชาย รับราชการสังกัดวังหน้า หรือกรมพระราชวังบวรสถานมงคล   ท่านมีธิดา ๑ คน   พี่ชายคนโตท่านนี้ถึงแก่กรรมก่อนเสียกรุงแก่หม่าข้าศึก

คนที่สองและที่สาม เป็นหญิง  ลูกหลานของท่านอีกหลายคนยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้     ท่านคนหลังนี้เป็นมารดาของพระชนนีของพระเจ้าแผ่นดินสยามและสมเด็จพระปิ่นเกล้า( หมายถึงข้าพเจ้าและพระอนุชาของข้าพเจ้า)มารดาของข้าพเจ้าเป็นบุตรคนที่สามของท่าน

คนที่สี่ คือบุตรชายผู้ประเสริฐ   ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรี  ประสูติเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1736  ข้าพเจ้าและพระเชษฐาผู้เสด็จสวรรคาลัย (หมายถึงสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ) เป็นนัดดาของพระองค์ท่าน

คนที่ห้า ประสูติเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1743  ทรงได้เป็นวังหน้าในรัชกาลของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของท่าน   และสิ้นพระชนม์ก่อนพระเชษฐา 6 ปี


ขออธิบาย และขยายความนะคะ

บุตรทั้ง 5 ที่ทรงเล่าถึงในย่อหน้านี้  คนแรกไม่ทราบพระนามเดิม แต่ว่ารับราชการได้เป็นขุนรามณรงค์   ถึงแก่กรรมเสียก่อนจะเสียกรุงครั้งที่สอง  มีธิดาคนเดียวต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ได้รับสถาปนาเป็นกรมขุนรามินทรสุดา  

บุตรหญิงคนที่สอง   ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมสมเด็จพระยาเทพสุดาวดี

บุตรหญิงคนที่สาม  ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์    เป็นพระชนนีของเจ้าฟ้าบุญรอดหรือสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีในรัชกาลที่ 2 ซึ่งเป็นพระบรมราชชนนีในสมเด็จพระจอมเกล้าฯ

พูดอีกทีคือกรมพระศรีสุดารักษ์เป็น "สมเด็จยาย"ของสมเด็จพระจอมเกล้าฯ

บุตรคนที่สี่ คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

บุตรคนที่ห้า   คือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท


บุตรหญิงที่เกิดจากหลวงอักษรสุนทร  และภรรยาคนที่สอง(น้องสาวของภรรยาคนแรก) ต่อมา คือเจ้าฟ้าหญิงกุ   หรือกรมหลวงนรินทรเทวี  

ชาวบ้านเรียกกันว่าเจ้าครอกวัดโพธิ์  

ทรงบันทึกเรื่องราวตั้งแต่ปลายธนบุรีจนถึงรัชกาลที่ 1 ไว้  เป็นเรื่องที่เรียกกันว่า บันทึกหรือจดหมายเหตุของเจ้าครอกวัดโพธิ์


ในพระราชหัตถเลขา ยังกล่าวถึงบุตรชายคนเล็กสุดที่เกิดจากอนุภรรยาของหลวงอักษรสุนทร  

ต่อมาคือเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา   พระนามเดิมว่า ลา  เป็นนักรบฝีมือเยี่ยมคนหนึ่งในรัชกาลที่ 1  
</td></tr></table>

ขอแก้หน่อยนะครับ
กรมหลวงนรินทรเทวี เป็น พระองค์เจ้า(กุ) ไม่ใช่ เจ้าฟ้า ถึงเรียกว่า เจ้าครอก
(เจ้าฟ้า=เจ้าครอกฟ้า)

ส่วนเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา ได้เป็นเจ้าฟ้าเป็นกรณีพิเศษ เพราะมีความชอบเป็นผู้ดูแลพระปฐมบรมราชชนกขณะอยู่ที่พิษณุโลกและเป็นผู้อัญเชิญพระบรมอัฐิมาถวายรัชกาลที่ ๑


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: พระยาสุเรนทร์ ที่ 01 มิ.ย. 07, 03:22
คุณถาวภักดิ์บอกว่าเจ้าแม่วัดดุสิตน่าจะมี 2 คน  แต่ไม่ได้บอกว่าคนที่สองคือใคร

ถ้าเจ้าแม่วัดดุสิตเป็นแม่นมของพระนารายณ์   ในรัชสมัยพระนารายณ์ลูกชายทั้งสองก็อายุมากจนเป็นเจ้าพระยาพระคลังและราชทูต  ตัวเจ้าแม่ก็น่าจะ50 กว่า ใกล้ๆ 60 เข้าไปแล้วเป็นอย่างน้อยในตอนนั้น

ไม่น่าจะมีอายุยืนยาวมาอีกสองรัชกาล  ถึงกับช่วยพระราชโอรสของพระเจ้าเสือ(ซึ่งก็โตเป็นหนุ่มแล้ว) ให้พ้นถูกกริ้ว

อีกข้อหนึ่ง ก็มีเรื่องว่าเจ้าพระยาโกษาเหล็กและโกษาปานก็ประสบชะตากรรมที่เลวร้ายในบั้นปลาย     เจ้าแม่ก็ไม่น่าจะมีบารมีอะไรเหลืออยู่มากนักในสายตาของพระเจ้าแผ่นดิน

ถ้าจำไม่ผิด(ถ้าผิดก็ขออภัยอย่างสูง)
เจ้าแม่วัดดุสิตองค์ที่สอง คือ กรมพระเทพามาตย์ พระอัครมเหสีของพระเพทราชา(ตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์)และเป็นพระมารดาเลี้ยงของพระเจ้าเสือ
โดยเสด็จย้ายออกจากวังหลวงไปยังตำหนักวัดดุสิตภายหลังพระเพทราชาสวรรคต
พระเจ้าเสือทรงเกรงใจมาก เมื่อครั้งที่พระเจ้าเสือกริ้วเจ้าฟ้าเพชร เจ้าฟ้าพร(พระเจ้าท้ายสระ พระเจ้าบรมโกศ) เจ้าแม่วัดดุสิตองค์นี้ก็เป็นผู้ทูลขอโทษให้
(เหมือนเมื่อครั้งที่พระนารายณ์กริ้วหลวงสรศักดิ์(พระเจ้าเสือ) เจ้าแม่วัดดุสิต(มารดาโกษาเหล็กและโกษาปาน)ก็เป็นผู้ทูลขอโทษให้)


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 มิ.ย. 07, 09:13
เอามาจากพระราชพงศาวดารเล่มไหนคะ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: ต้นไผ่ใบว่าน ที่ 05 มิ.ย. 07, 14:03
มานั่งอ่านขอความรู้จากพี่ๆ ด้วยคนนะคะ :-[


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: natch ที่ 07 มิ.ย. 07, 13:31
อยู่ดีๆ เว็บศิลปวัฒนธรรมเกิดเข้าไม่ได้หรือเน็ตไม่ดีก็ไม่ทราบ

ใน www.matichon.co.th/art.php (http://www.matichon.co.th/art.php) มีคอลัมน์ที่กล่าวถึงเจ้าแม่วัดดุสิต อ้างอิงหลักฐานว่าท่านเป็นหม่อมเจ้าในราชวงศ์สมเด็จพระนารายณ์ และก็หาข้อมูลมาสนับสนัน ก.ศ.ร. กุหลาบ ด้วยค่ะ

แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับไม่เคยได้อ้างถึงเจ้าแม่วัดดุสิตไว้ในพระราชหัตถเลขา...


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 07 มิ.ย. 07, 15:28
ลิงก์ของศิลปวัฒนธรรมคือ

http://www.matichon.co.th/art (http://www.matichon.co.th/art) ครับ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 12 มิ.ย. 07, 01:04
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ เมื่อ พ.ศ.๒๓๐๖ ที่ให้ถือว่าชาวมอญเป็นพลเมืองที่มีสิทธิเท่าเทียมคนไทยตลอดจนหล่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอยู่ในสังคมไทย เช่น กรณีเจ้าแม่วัดดุสิต หรือหม่อมเจ้าหญิงอำไพ ราชธิดาของสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ซึ่งสมรสกับขุนนางผู้สืบตระกูลมาจากนายทหารมอญที่ติดตามสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเข้ามา บุตรของเจ้าแม่วัดดุสิตคือเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)  ผู้เป็นบรรพชนของพระปฐมบรมราชชนกในจักรีวงศ์ ทำให้ชาวมอญและชาวไทยมีความกลมกลืนใกล้ชิด ทั้งด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรม
(ประวัติศาสตร์มอญ) ;)


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 12 มิ.ย. 07, 01:18
การอพยพของมอญเข้าสู่ประเทศไทยมีหลายครั้ง แต่ครั้งที่น่าจะเกี่ยวกับหัวข้อ  น่าจะมี ๒ ครั้ง
     ครั้งที่ ๑ การอพยพที่ปรากฏในหลักฐานของมอญก็คือ เมื่อ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ตีหงสาวดีแตกใน พ.ศ.๒๐๘๒  ชาวมอญจำนวนมากหนีเข้ามากรุงศรีอยุธยา พระเจ้าแผ่นดินโปรดฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบตัวเมืองกรุงศรีอยุธยาชั้นนอก พระยาเกียรติพระยารามและครัวเรือน ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบตัวเมืองชั้นใน ใกล้พระอารามวัดขุนแสน และขุนนางของมอญก็เริ่มเข้ารับราชการในกรุงศรีอยุธยานับตั้งแต่นั้นมา  เมื่อถึง พ.ศ.๒๐๘๔  ราชวงศ์ตองอูตีเมืองเมาะตะมะแตก มีการฆ่าฟันชาวมอญลงขนาดใหญ่  ก็เข้าใจว่ามีมอญหนีเข้ามาสู่กรุงศรีอยุธยาอีก ถือเป็นระลอกแรกของมอญอพยพ
       ครั้งที่ ๒ ในพระราชพงศาวดารไทยพูดถึงการอพยพอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระนเรศวรเสด็จไปพม่าเมื่อคราวพระเจ้าบุเรงนองสิ้นพระชนม์ แล้วประกาศเอกราช  ทรงชักชวนมอญที่เข้าสวามิภักดิ์ ให้อพยพเข้ามาพร้อมกัน ราว พ.ศ.๒๑๒๗ ในการอพยพครั้งนี้ไม่ปรากฏว่าพระเจ้าแผ่นดินโปรดฯ ให้ตั้งบ้านเรือนที่ใด แต่คาดว่าคงเป็นย่านเดียวกับการอพยพคราวแรก
(ประวัติศาสตร์มอญ) :)


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 12 มิ.ย. 07, 01:56
เจ้าแม่วัดดุสิต(๒)  คือ กรมพระเทพามาตย์ (รัชกาลขุนหลวงสรศักดิ์-พระเจ้าเสือ)
สมเด็จพระอัยกี กรมพระเทพามาตย์ ในรัชกาลพระเจ้าเสือ คือ พระมเหสีเดิมของพระเพทราชา ซึ่งทรงเลี้ยงดูพระเจ้าเสือมาแต่ยังทรงพระเยาว์ คือเป็นแม่เลี้ยงนั่นเอง พระเจ้าเสือนี้ตามพระราชพงศาวดาร ว่าเป็นพะราชโอรสสมเด็จพระนารายณ์ฯ แต่ทรงยกให้พระเพทราชา แต่ครั้งยังเป็นขุนนางผู้ใหญ่รับไปเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม พระอัครมเหสีเดิมของพระเพทราชา ที่พระบัณฑูรใหญ่(เจ้าฟ้าเพชร-พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ)และพระบัณฑูรน้อย (เจ้าฟ้าพร-พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์)ตรัสเรียกว่า สมเด็จพระอัยกี ท่านเป็นผู้ทรงคุณูปการใหญ่หลวงแก่พระเจ้าเสือ ทรงเคารพนับถือท่านเป็นอันมาก พระอิสริยยศ กรมพระเทพามาตย์ เป็นพระอิสริยยศของ พระพันปี พระบรมราชชนนี ในสมัยโบราณ กรมพระเทพามาตย์ แผ่นดินพระเจ้าเสือ หรือ ขุนหลวงสรศักดิ์ นี้ โดยทั่วไปเรียกกันว่า ‘เจ้าแม่วัดดุสิต’ เพราะเสด็จไปประทับทรงศีลอยู่ ณ พระตำหนักริมวัดดุสิต

ขอรบกวนถามครับ
๑.พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์  ที่เขียนให้ถูกต้องควรเขียนอย่างไรครับ  บางทีเห็นเขียน โกศ,โกษ  แล้วแปลว่าอะไรครับ
๒.ขุนหลวง  เป็นชั้นของตำแหน่งหรือเปล่าครับ  ท่านเป็นระดับราชนิกูล  ทำไมไม่ทรงกรม


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มิ.ย. 07, 10:11
ตัวสะกดในยุคก่อนจะมีพจนานุกรม   สะกดหลากหลายกันไปในเอกสารต่างๆ  เช่นตัวอย่างที่คุณยกมา    ที่จริงก็คำเดียวกันละค่ะ
คนไทยสมัยปลายอยุธยา   มาจนต้นรัตนโกสินทร์ เรียกพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลก่อน ที่สวรรคตไปแล้ว ว่า พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ   หมายถึงว่าทรงเข้าพระโกศไปแล้ว
โกศ ก็คือที่ใส่ศพ รูปร่างคล้ายกล่องตั้งขึ้น มียอด   ทุกวันนี้ก็ยังมีให้เห็นในงานพระราชทานเพลิงศพบุคคลสำคัญ
ขุนหลวง เป็นคำเรียกอย่างไม่เป็นทางการ    สำหรับเรียกพระเจ้าแผ่นดินสมัยอยุธยา    ทำนองเดียวกับเราเรียก "ในหลวง" สมัยนี้ค่ะ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 13 มิ.ย. 07, 13:35
ขอบพระครุณมากครับอาจารย์


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: bun ที่ 24 มิ.ย. 07, 20:03
ขอบคุณที่สรรมาให้คนไทยได้อ่าน  ช่วยสร้างคนให้รับรู้และตระหนักในคุณค่ามากยิ่งขึ้น ดีกว่าจะเก็บไว้ในพิพธภัณฑ์ อาจารย์ทำได้ดีจริงๆ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 มิ.ย. 07, 09:30

    เพิ่งได้อ่านนบทความเกี่ยวกับ หนังสือ "ในหลวง" ในดวงใจ ที่แต่งโดย คุณพลาดิศัย สิทธิธัญกิจ
บทความนั้นกล่าวว่า      ในหนังสือเล่มนี้เขียนไว้ว่า ราชวงศ์จักรีสืบสายมาจากราชวงศ์เชียงแสน และ
ต่อมาในราชวงศ์พระร่วงทางสายโลหิตพระเอกาทศรถ คือ เจ้าแม่วัดดุสิต

      พระราชบิดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์ในอดีต
อาทิ สมเด็จพระมหาธรรมราชาและสมเด็จพระเอกาทศรถในสมัยอยุธยา รวมถึงกษัตริย์ในราชวงศ์สุโขทัย
เมื่อกว่า 700 ปีมาแล้ว อีกทั้งยังอาจนับย้อนขึ้นไปถึงกษัตริย์ราชวงศ์เชียงแสนเมื่อกว่า 900 ปีมาแล้วได้ด้วย

       ได้เก็บบทความเรื่องเจ้าแม่วัดดุสิตของเว็บหนังสือ ศิลปวัฒนธรรมไว้ ขอตัดตอนบางส่วนนำมาแสดงไว้
ณ ที่นี้ สำหรับบางท่านได้อ่าน ครับ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 มิ.ย. 07, 09:37

          ปริศนาเจ้าแม่วัดดุสิต ต้นราชวงศ์จักรี "เจ้า" หรือ "สามัญชน"???

ปรามินทร์ เครือทอง

          .............................................
         
        การเปิดเผยพระนาม รวมไปถึงอธิบายความหมายของพระนามพระมหากษัตริย์ เกิดขึ้นจริงๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๔
ไม่เพียงแต่ทรงเปิดเผยพระนามเท่านั้น ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เปิดเผยประวัติความเป็นมาของราชตระกูล
อีกด้วย โดยมีพระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาว์ริง ไว้อย่างค่อนข้างชัดเจน ตรงไปตรงมา ทรงยอมรับที่จะไม่ใช่
"ไทยแท้" หากแต่เป็น "มอญ" ผสม "จีน" ในชั้นบรรพบุรุษต้นตระกูล

          ทรงอ้างถึงต้นตระกูลชาวมอญหงสาวดี ได้ติดตามสมเด็จพระนเรศวรหรือที่ทรงเรียกว่าพระนเรศร (King Phra Naresr)
มายังกรุงศรีอยุธยา

           "ในตอนนี้คนในตระกูลที่รับราชการเป็นทหารของพระเจ้ากรุงหงสาวดีได้ติดตามมากับสมเด็จพระนเรศรด้วย
แล้วตั้งหลักแหล่งอยู่ในอยุธยา"

        ทรงบรรยายต่อว่า หลังจากนั้นเรื่องราวของตระกูลก็ขาดหายไปราวครึ่งศตวรรษหรือประมาณ ๘ รัชกาล จนกระทั่ง
มาปรากฏขึ้นอีกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งทรงเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Narayu
        ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์นี่เองที่ "ต้นตระกูล" ได้รับโอกาสรับราชการสำคัญของแผ่นดินคือ
เจ้าพระยาโกษาเหล็ก และเจ้าพระยาโกษาปาน [ในพระราชหัตถเลขาใช้ปาล (Pal) แต่ในพระราชพงศาวดารใช้ปาน]

         "กล่าวกันว่าบุพการีของพวกเราสืบสายเลือดต่อลงมาจากท่านผู้เป็นอภิชาตบุตรนี้เอง"

         จากนั้นก็ทรงเล่าสืบสายตระกูลลงมาจนถึงสมเด็จพระบรมมหาชนก (คือพระราชบิดารัชกาลที่ ๑)

         "ต้นตระกูลผู้เป็นบิดาของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรก และเป็นปู่ของพระราชบิดาในพระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน
(ตัวข้าพเจ้า) กับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน (พระเชษฐาผู้ทรงล่วงไปแล้วของข้าพเจ้า) แห่งสยาม เป็นอภิชาตบุตร
ของตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากเสนาบดีต่างประเทศที่ได้กล่าวมาแล้ว ท่านได้ย้ายหลักแหล่งจากอยุธยามาเพื่อความสุขของชีวิต
และตั้งบ้านเรือนที่ "สะกุตรัง" เป็นท่าเรือบนลำน้ำสายเล็ก อันเป็นสาขาของแม่น้ำใหญ่ ตรงรอยต่อของราชอาณาจักรสยาม
ตอนเหนือกับตอนใต้"

           พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงเรื่องราวของตระกูลที่ขาดหายไปราวสองสามชั่วอายุคน
จนกระทั่งมาถึงเรื่องของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี)
            แต่ในเอกสารอื่นได้เชื่อมรอยต่อตระกูล "ทอง" ตรงนี้ไว้บ้างแล้ว คือ
                       บุตรคนใหญ่ของโกษาปานชื่อ นายขุนทองหรือนายทอง ได้เป็นเจ้าพระยาวรวงศาธิราช
                       บุตรนายทองคนใหญ่ คือ นายทองคำ รับราชการเป็นพระยาราชนกูล
                       บุตรคนใหญ่ของนายทองคำ คือ นายทองดี คือ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกนาถ เป็นที่หลวงพินิจอักษร
หรือพระอักษรสุนทรศาสตร์ บิดานายทองด้วง คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 มิ.ย. 07, 09:44

        "ท่านได้ออกจาก "สะเกตรัง" ไปยังอยุธยา ที่ซึ่งได้รับคำแนะนำให้เข้ารับราชการและได้สมรสกับธิดารูปงามของ
ครอบครัวคหบดีจีนที่ร่ำรวยที่สุดในย่านที่อยู่อาศัยของชาวจีน ภายในกำแพงเมืองตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของอยุธยา"

         แม้แต่ในพระราชนิพนธ์ประถมวงศ์ ก็มิได้กล่าวยอกย้อนขึ้นไปถึงบรรพบุรุษรุ่นโกษาปาน ไม่ว่าเรื่องใดๆ รวมถึง
เรื่องความเป็นเจ้า แต่ทรงกล่าวย้อนเพียงพระปฐมบรมมหาชนกเท่านั้นว่าเป็น "ตระกูลใหญ่" คือเป็นการอธิบายถึง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ว่าได้ประสูติในชาติตระกูลที่ยิ่งใหญ่และร่ำรวย

             "ได้เสดจมายังมนุษยโลกย์นี้ อุบัติมีขึ้นในมหามาตย์คฤหบดีสกูลอันมั่งคั่งพร้อมมูลด้วยไอยสูริยสมบัติ ถ้าเปน
มัทธยมประเทศก็ควรจะเปนสกูลมหาสาลได้ เพราะเปนสกูลใหญ่ที่มีนิเวศนสฐานตั้งอยู่นานใน ภายในกำแพงพระมหานคร
กรุงเทพทวารวดีศรีอยุทธยา"

         เอกสารชั้นหลังพบได้หลายต่อหลายชิ้น ที่พยายามสืบเสาะค้นหาและ "ผูก" พระราชวงศ์จักรีเข้ากับพระราชวงศ์สุโขทัย
ในสมัยอยุธยา หรือวงศ์พระมหาธรรมราชา โดยเฉพาะที่สมเด็จพระนเรศวร
                     บุคคลที่เป็นสายโซ่สำคัญเชื่อมต่อสองสาแหรกนี้เข้าด้วยกันคือ "เจ้าแม่วัดดุสิต"


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 มิ.ย. 07, 09:52

       ด้วยเหตุที่เจ้าแม่วัดดุสิตเป็นสายสกุลที่สืบได้สูงสุดของพระราชวงศ์จักรี สามารถอ้างอิงได้และเชื่อได้ว่ามีตัวตนจริง
โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ท่านผู้นี้เป็นมารดาของโกษาปาน มีปรากฏอยู่ในเอกสารต่างประเทศและพระราชพงศาวดาร
           ลาลูแบร์ได้พูดถึงเจ้าแม่วัดดุสิตว่าเป็นมารดาของราชทูตโกษาปานไว้ดังนี้

           "มารดาของท่านเอกอัครราชทูต ที่เราได้เห็นตัวกันที่นี้ (ในประเทศฝรั่งเศส) เป็นพระนมเหมือนกัน"

เหตุที่ลาลูแบร์เรียกเจ้าแม่วัดดุสิตมารดาของโกษาปานว่าเป็น "พระนม" ก็เพราะท่านผู้นี้ได้เป็นพระนมสมเด็จพระนารายณ์
ส่วนที่ว่า "เป็นพระนมเหมือนกัน" ก็คือ สมเด็จพระนารายณ์นั้นทรงมีพระนมตามที่มีชื่อในพงศาวดารอยู่ ๒ ท่าน คือ
เจ้าแม่วัดดุสิตท่านหนึ่ง และมารดาของพระเพทราชาอีกท่านหนึ่ง
         ทั้งนี้ตามกฎมนเทียรบาลได้กำหนดตำแหน่ง "พระนม" ไว้ ๓ ตำแหน่ง คือ แม่นมเอก แม่นมโท แม่นมตรี กล่าวกันว่า
เจ้าแม่วัดดุสิตนั้นได้เป็นพระนมเอก

         พระราชพงศาวดารกรุงเก่าได้กล่าวถึงความสนิทสนมกันระหว่างสมเด็จพระนารายณ์กับสองพี่น้องโกษาเหล็กและ
โกษาปานลูกเจ้าแม่วัดดุสิตในฐานะที่ได้ดื่มน้ำนมร่วมกัน ในคราวที่โกษาเหล็กต้องล้มป่วยถึงแก่ชีวิตดังนี้

          "ลุศักราช ๑๐๒๓ ปีฉลูตรีศก ขณะนั้นเจ้าพระยาโกษาธิบดีป่วยลง ทรงพระกรุณาให้พระ หลวง ขุน หมื่น แพทย์ทั้งหลาย
ไปพยาบาล และโรคนั้นเป็นสมัยกาลแห่งชีวิตขัยก็ถึงแก่อนิจกรรม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิอาจกลั้นน้ำพระเนตรไว้ได้
ทรงพระอาลัยในเจ้าพระยาโกษาเป็นอันมาก และเจ้าพระยาโกษาขุนเหล็กคนนี้ เป็นลูกพระนมและได้รับพระราชทานนม
ร่วมเสวยมาแต่ยังทรงพระเยาว์"

          พระราชพงศาวดารกรุงเก่ายังได้กล่าวถึงนาม "เจ้าแม่วัดดุสิต" ไว้เมื่อหลวงสรศักดิ์ (ต่อมาคือพระเจ้าเสือ) วิวาท 
กับเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ จนต้องไปขอให้มารดาโกษาเหล็กช่วยเกลี้ยกล่อมสมเด็จพระนารายณ์ให้ทรงเว้นพระราชอาญา         

           ต่อมาภายหลังแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ พระราชพงศาวดารกรุงเก่าได้เอ่ยถึงเจ้าแม่วัดดุสิตในนาม "เจ้าแม่ผู้เฒ่า"

      กล่าวโดยรวมก็คือ ทั้งพระราชนิพนธ์ประถมวงศ์ จดหมายเหตุลาลูแบร์ และพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ไม่ได้กล่าวถึง
สายตระกูลของเจ้าแม่วัดดุสิตไว้ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์สายไหน นอกจากนี้ยังไม่ได้ยกย่องบุตรของท่านทั้งสองว่ามีเชื้อสายเจ้า
แต่ประการใด
 


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 มิ.ย. 07, 10:11
       เอกสารทั้งหลายนี้ไม่พบเบาะแสใดที่พอจะอนุมานได้ว่าเจ้าแม่วัดดุสิตหรือเจ้าแม่ผู้เฒ่า เป็นเชื้อพระวงศ์หรือไม่
เหลือเพียงเบาะแสเดียวซ่อนอยู่ ที่อาจจะชี้ได้ว่าท่านผู้นี้เป็นเจ้านาย และเป็นเบาะแสเดียวเท่านั้นที่ยึดเป็นหลักฐานได้ คือ
ที่มาของชื่อ "วัดดุสิต" ในชื่อเจ้าแม่วัดดุสิตนั่นเอง
          เบาะแสนี้อยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า เมื่อคราวที่พระราชมารดาเลี้ยงของสมเด็จพระเจ้าเสือขอย้ายออกจาก
วังหลังจากที่สมเด็จพระเพทราชาสวรรคต ทรงขอย้ายไปประทับที่ที่เคยเป็นที่อยู่ของเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งไม่ใช่บ้านธรรมดา
แต่เป็นที่ประทับเสมอด้วยวังเจ้า
         
          "ในขณะนั้น สมเด็จพระอรรคมเหสีเดิมแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศ ซึ่งเป็นพระราชมารดาเลี้ยงของ
สมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ได้อภิบาลบำรุงรักษาพระองค์มาแต่ยังทรงพระเยาว์นั้น ครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว
จึงทูลลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน เสด็จออกไปตั้งพระตำหนักอยู่ในที่ใกล้พระอารามวัดดุสิต และ
        ที่พระตำหนักวัดดุสิตนี้เป็นที่พระตำหนักมาแต่ก่อน ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า และ เจ้าแม่ผู้เฒ่าซึ่งเป็น
พระนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า และเป็นมารดาเจ้าพระยาโกษาเหล็ก โกษาปาน ซึ่งได้ขึ้นไปช่วยกราบทูลขอ
พระราชทานโทษสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ขณะเป็นที่หลวงสรศักดิ์ และชกเอาปากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ครั้งนั้น และ
เจ้าแม่ผู้เฒ่านั้นก็ได้ตั้งพระตำหนักอยู่ในที่นั้น
           ครั้นแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้และสมเด็จพระราชมารดาเลี้ยงก็เสด็จไปตั้งพระตำหนักอยู่ในนั้นสืบต่อกันไป"

       หลักฐานชิ้นนี้เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าเจ้าแม่วัดดุสิตต้องเป็น "เจ้า" ค่อนข้างแน่ แต่อย่างไรก็ดียังมีปริศนาอีกชิ้นหนึ่ง
ที่ไม่สามารถจะหาคำตอบได้คือ  สามีของเจ้าแม่วัดดุสิต หรือ พ่อของโกษาปานเป็นใคร หากท่านผู้นี้เป็น "เจ้า" ด้วย ก็สมควร
ที่จะเรียกที่อยู่ว่าตำหนักเช่นกัน น่าเสียดายว่าท่านผู้นี้ไม่ปรากฏหลักฐานที่เชื่อถือได้พอให้ระบุว่าท่านเป็นใคร ในทำนองกลับกัน
นั่นอาจแสดงว่าท่านไม่ได้มี "เชื้อ" พอที่จะให้อ้างอิงก็เป็นได้ เพราะการอ้างอิงการสืบเชื้อสาย "เจ้า" ทางสายบิดาย่อมหนัก
แน่นกว่าทางสายมารดา

        แต่เอกสารในชั้นหลังคือหลังรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา กลับมีการกล่าวอ้างถึงสกุลยศว่าท่านเป็น "หม่อมเจ้า"
ในราชวงศ์สุโขทัยพระมหาธรรมราชา เช่น
          ในหนังสือโครงกระดูกในตู้ ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้อ้างถึงหนังสือราชินิกุลบางช้าง พิมพ์แจกในงานฉลอง
พระราชสมภพครบ ๒๐๐ ปี รัชกาลที่ ๒ ดังนี้

           .............. เจ้าพระยาโกศาปานเป็นบุตรเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์ เจ้าแม่วัดดุสิต
มีศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าในราชวงศ์พระมหาธรรมราชา ซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่ราชวงศ์พระร่วงสุโขทัย

          ในประวัติตระกูล "อิศรางกูร" ระบุชื่อของเจ้าแม่ผู้เฒ่าไว้และยังระบุนามพระราชบิดาไว้อีกด้วย

          "เจ้าแม่วัดดุสิตจะมีนามว่ากระไรแน่นั้น หลักฐานกล่าวไว้ไม่ตรงกัน บางแห่งกล่าวว่าชื่อหม่อมเจ้าหญิงบัว
มีเชื้อสายพระร่วงสุโขทัย บางหลักฐานก็กล่าวว่าชื่อหม่อมเจ้าหญิงอำไพ ราชธิดาของสมเด็จพระเอกาทศรถ"
            ตรงกับพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ในหนังสือ ราชินิกูล รัชกาลที่ ๕ ดังนี้

               "พระบุรพชนทางพระชนก พระบุรพชนเป็นพระบรมราชวงศ์จักรี มาแต่หม่อมเจ้าบัว คือที่สมญาว่า
"เจ้าแม่วัดดุสิต" เป็นราชตระกูลครั้งกรุงทวารวดี"


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 มิ.ย. 07, 10:31

        นอกจากนี้ยังมีเอกสารของ ม.ล.มานิจ ชุมสาย ที่กล่าวว่าเป็น "บันทึกของบรรพบุรุษ" ตกทอดมายังท่าน
มีเรื่องราวของเจ้าแม่วัดดุสิตดังโดยพิสดารอีกสายหนึ่ง

           "แม่ทัพมอญคนหนึ่งมีนามว่า พระยาเกียรติ ได้ติดตามสมเด็จพระนเรศวรเข้ามารับราชการกับไทย ลูกหลาน
คนหนึ่งของพระยาเกียรติ (ไม่ได้บอกว่ามีชื่อว่าอะไร) ได้แต่งงานกับเจ้าแม่วัดดุสิต (ไม่ได้บอกชื่อเดิมอีกเหมือนกัน)
ซึ่งเป็นพระนาง มีตำแหน่งสูงในพระราชวัง" (ประวัติโกษาปานและบันทึกการเดินทางไปฝรั่งเศส)

         ตามหลักฐานที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าเจ้าแม่วัดดุสิตนั้นหมดโอกาสที่จะเป็นพระเจ้าลูกเธอของพระเจ้าแผ่นดินแน่
              เนื่องจากสกุลยศต่ำสุดของพระเจ้าลูกเธออันเกิดแต่นางสนมนั้นก็เป็นถึงพระเยาวราช ตำแหน่งนามไม่ใช่น้อยเช่นนี้
ไม่สมควรที่ผู้จดพระราชพงศาวดารจะละเลยกล่าวถึงสกุลยศของพระองค์ หรือไม่ควรละเว้นการกล่าวย้อนไปถึงพระราชบิดา
ของพระองค์

             อีกกรณีหนึ่งคือทรงเป็นหม่อมเจ้า คือเป็นหลานเธอของพระเจ้าแผ่นดิน
หากเป็นในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชา เจ้าแม่วัดดุสิตก็มีโอกาสเป็นพระธิดาของพระนเรศวร หรือพระเอกาทศรถ
ก่อนที่ทั้งสองพระองค์นี้จะทรงครองราชย์ หากเป็นในแผ่นดินรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร ก็ไม่น่าจะเข้าข่ายที่จะเป็นหม่อมเจ้าได้
ด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเป็นวังหน้าอยู่ในขณะนั้น พระธิดาสมควรที่จะได้เป็นพระองค์เจ้า
             หากเป็นในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ ก็มีโอกาสที่พระธิดาของเจ้าฟ้าสุทัศน์หรือพระศรีเสาวภาคย์ได้ เพียงแต่
พระราชพงศาวดารจดเรื่องของสองพระองค์นี้ไว้น้อยนัก ยากจะสันนิษฐานประการใดได้

              แต่ยังมีปัญหาตามมาอีกคือ หากทรงมีพระชาติกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดเอกสารชั้นกรุงศรีอยุธยาหรือ
เอกสารตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ขึ้นไปจึงไม่พยายามเอ่ยถึงที่มาที่ไปของพระองค์ พระนามจริง แม้แต่พระนามของพระสวามี
และหากทรงมีพระชาติกำเนิดสูงถึงระดับลูกหลวง หลานหลวง จะเป็นไปได้หรือที่พระสวามีจะเป็นเพียงขุนนางมอญ
ที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ โอกาสเช่นนี้แทบจะไม่เกิดขึ้นในธรรมเนียมราชตระกูลในสยามประเทศ

             ในทำนองเดียวกันหากพระสวามีเป็นเชื้อพระวงศ์ ก็จำเป็นจะต้องมีศักดิ์เสมอด้วยพระองค์จึงจะมีพระราชานุญาต
ให้อภิเษกสมรสได้ ซึ่งถ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เหตุใดพระราชพงศาวดารจึงเว้นที่จะกล่าวถึง "ฝ่ายชาย" อย่างน่าสงสัย
เพราะโอกาสที่ "ผู้หญิง" จะปรากฏในพระราชพงศาวดารไทยนั้นมีน้อยยิ่งนัก

           ข้อน่าสังเกตถึงเรื่องราวของเจ้าแม่วัดดุสิตที่ก่อให้เกิดความแตกต่างเป็น ๒ ส่วนอย่างชัดเจน
           
           ส่วนแรกคือหลักฐานตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ ขึ้นไป คือประเภทจดหมายเหตุชาวต่างประเทศ หรือพระราชพงศาวดารกรุงเก่า
ฉบับต่างๆ ไม่ได้กล่าวถึงที่มาที่ไปของเจ้าแม่วัดดุสิตไว้แม้แต่น้อย รวมไปถึง "ความเป็นเจ้า" ของพระองค์ด้วย รวมไปถึง
พระราชนิพนธ์ พระราชหัตถเลขารัชกาลที่ ๔ ที่ไม่มีการกล่าวถึงเจ้าแม่วัดดุสิตเลย

            อีกส่วนหนึ่งคือเอกสารหลังรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา กลับกล่าวถึงเจ้าแม่วัดดุสิต ทั้งพระนาม เชื้อสาย และความเป็น
วงศ์พระร่วงของพระองค์


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 มิ.ย. 07, 10:38

        ผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้หลักฐานหลังรัชกาลที่ ๔ มีการกล่าวถึงเจ้าแม่วัดดุสิตอย่างละเอียดลออมากขึ้น และ
อาจเป็นต้นเหตุของเรื่อง "เชื้อเจ้า" ทั้งปวงนี้ ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ในพระราชวงศ์พระองค์ใด แต่กลับเป็นบุคคลที่
นักประวัติศาสตร์ในพระราชวงศ์ไม่เคยยอมรับและประณามว่าเป็นจอมโกหก บุคคลที่ว่านี้คือ ก.ศ.ร.กุหลาบ!

       หนังสือปฐมวงศ์ ฉบับ ก.ศ.ร.กุหลาบ กล่าวถึงต้นสายราชวงศ์จักรีไว้คล้ายกับหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ โดยกล่าวถึง
ความเป็นมาของเจ้าแม่วัดดุสิตไว้ เหมือนกับเอกสารชั้นหลังที่คงจะอาศัยหนังสือ ๒ เล่มนี้เป็นต้นแบบอ้างอิง
เรื่องเจ้าแม่วัดดุสิตในหนังสือปฐมวงศ์ มีดังนี้

           "เริ่มความในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระศรีสรรเพชญ บรมราชาธิราชปราสาททอง ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ ๒๕
พระองค์ ในกรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุทธยา ปรากฏเป็นข้อต้น

          พระเจ้าปราสาททองมีพระราชโอรสกับพระราชเทพีพระองค์หนึ่ง เป็นพระราชกุมารทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมาร ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นพระราชบิดา จึ่งพระราชทานพระนมนางองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นหม่อมเจ้าหญิง
ในราชนิกูลพระเจ้าแผ่นดิน พระราชทานให้เป็นพระนมของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมาร เป็นพระนมเอกนั้น
ไว้ทรงอภิบาลทะนุบำรุงเจ้าฟ้านารายณ์มาแต่ทรงพระเยาว์จนทรงพระเจริญ เป็นทั้งพระพี่เลี้ยง แลพระนม ด้วยพระราชชนนี
ของพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมารนั้น ทิวงคตแต่เมื่อประสูติได้เก้าวัน เพราะเหตุนั้นสมเด็จพระนารายณ์จึ่งได้ทรงรักใคร่
นับถือเหมือนพระราชมารดา

             ครั้นเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้านารายณ์ได้เสด็จขึ้นเถลิงสิริราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินในที่ ๒๘ พระองค์ ในกรุงศรีอยุทธยา
ทรงพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระบรมราชา รามาธิบดีศรีสรรเพชญ พระนารายณ์เป็นเจ้าๆ จึ่งทรงตั้งหม่อมเจ้าพระนมนาง
ขึ้นเป็นพระองค์เจ้า แล้วทรงสร้างวังมีตำหนักตึก ที่ริมวัดดุสิดารามนอกกำแพงพระนคร ถวายพระองค์เจ้าพระนมนางให้เสด็จ
ประทับเป็นที่สำราญพระทัย ครั้งนั้นคนเรียกว่าเจ้าแม่วัดดุสิต ตามที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงเรียกว่า เจ้าแม่วัดดุสิตๆ มีบุตร
มาแต่เดิมนั้น ๒ คนเป็นชาย คนใหญ่ชื่อคุณเหล็ก คนที่ ๒ ชื่อคุณปาล"

          หนังสือปฐมวงศ์กับหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ ของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้ให้คำตอบเรื่องความเป็น "เจ้า" ของเจ้าแม่วัดดุสิตไว้
คือนอกจากจะบอกให้รู้ว่าทรงเป็นหม่อมเจ้าอยู่แต่เดิมและได้ยกเป็นพระองค์เจ้าภายหลัง และเรื่องนี้น่าจะเป็น "ต้นทาง" ให้
เอกสารรุ่นหลังใช้เป็นแนวทางในการเดินตาม คือต่อเติมลากสายสัมพันธ์กับพระราชวงศ์ต่างๆ จนสับสนไปหมด

           สำหรับพระนามแท้จริงของเจ้าแม่วัดดุสิตนั้นถึงบัดนี้ยังคงต้องถือว่าเป็นปริศนาชิ้นโตของประวัติราชวงศ์จักรีที่ยังคลี่คลายไม่ได้
จะอาศัยอ้างอิงพระนามจากเอกสารรุ่นหลังก็เลื่อนลอยเต็มที

           ส่วนคำตรัสเรียกว่า "เจ้าแม่วัดดุสิต" ของสมเด็จพระนารายณ์ ก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดอีกชั้นหนึ่ง คือเป็นพระนามโดยตำแหน่ง
ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมนิยมที่คนรุ่นก่อนจะไม่เรียกชื่อกันตรงๆ เช่น สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ เป็นต้น และคำตรัสเรียก "เจ้าแม่วัดดุสิต"
ก็ถือเป็นการยืนยันจากสมเด็จพระนารายณ์เป็นอย่างดีว่าท่านผู้นี้เป็น "เจ้า" จริงๆ

           คือ คำเรียก "เจ้าแม่" นั้นไม่ได้หมายความอย่างเดียวกับ "เจ้าพ่อ" นักเลงโต แต่ย่อมหมายถึงเจ้าที่เป็นแม่นั่นเอง หากนำไป
รวมกับเรื่องการเรียกที่อยู่ว่าพระตำหนัก ตามหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ก็ย่อมแสดงถึงที่ประทับของเจ้านาย ทำให้เรื่องนี้
ชัดเจนยิ่งขึ้น

          เหลือปริศนาเรื่องการเป็น "หม่อมเจ้า" ของเจ้าแม่วัดดุสิตว่าสมควรจะยุติได้หรือไม่นั้น ปัญหาอยู่ที่ว่าคราวนี้จะยอมเชื่อ
ก.ศ.ร.กุหลาบ หรือไม่เท่านั้นเอง?!?

        จบแล้วครับ
     


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 มิ.ย. 07, 14:30
ส่วนตัวแล้วไม่เชื่อค่ะ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 25 มิ.ย. 07, 14:39
ปัญหาของ กศร.กุหลาบ คือเรื่องที่เขียนจะอ้างว่าได้จากเอกสารเก่าลับเฉพาะ

และไม่เคยมีใครได้เห็นเอกสารเหล่านั้นเลย

ผมว่าเผลอๆ กศร.กุหลาบเองก็ไม่เคยเห็นด้วยเหมือนกัน


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 มิ.ย. 07, 10:39
พระประวัติของพระราชวงศ์จักรีตามที่ปรากฏอยู่ในพระราชหัตถเลขา มีความสอดคล้องอยู่อย่างหนึ่ง คือเป็นการสืบสายสกุลทาง ฝ่ายชายตั้งแต่ต้นจนจบ
พระประวัติที่ว่ามีความแม่นยำแค่ไหนดิฉันไม่ทราบ   เพราะเป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาปากต่อปาก ถ่ายทอดสู่รุ่นต่อรุ่น  แต่ดิฉันเชื่อว่าเป็นเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงทราบมาอย่างนั้นจริงๆ
เห็นได้ว่ามีประวัติที่ขาดหายเป็นช่วงๆ  ท่านก็ทิ้งค้างไว้อย่างนั้นเป็นช่วง ไม่ได้พยายามปะติดปะต่อกันให้เป็นเรื่องเดียว  อันเป็นการสันนิษฐานเพิ่มเติม   ซึ่งทำให้ยากต่อการแยกแยะว่าตรงไหนเป็นของจริงดั้งเดิมและตรงไหนเป็นข้อคิดเห็น
แต่ว่าประวัติที่นายกุหลาบเรียบเรียง  มี"โดด" อยู่อย่างหนึ่ง คือเริ่มต้นด้วยบรรพชนฝ่ายชาย แต่พอกลางเรื่อง โดดข้ามฟากไปเป็นฝ่ายหญิง ได้แก่ตัวเจ้าแม่วัดดุสิต 
นับว่าประหลาดมาก  เพราะทางไทยเรา นับชายเป็นใหญ่  การสืบเชื้อสายจากฝ่ายชาย ไม่ใช่หญิง

ถ้านับกันจริงๆ  ต้องเริ่มนับกันใหม่คือนับจากบรรพชนของสามีเจ้าแม่วัดดุสิต ถึงจะถูกต้อง   ไม่ใช่บรรพชนของเจ้าแม่  ส่วนตัวสามีซึ่งเป็นบรรพชนโดยตรงของท่านโกษาเหล็กและโกษาปาน กลายเป็นตัวลึกลับ มาจากไหนก็ไม่รู้  เชื้อสายย้อนขึ้นไปเป็นใครก็ไม่รู้    แม้แต่ตัวท่านสามีเองเป็นเจ้าหรือสามัญชน ก็ยังคลุมเครืออยู่   ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือว่ามีตัวตนจริงด้วยซ้ำ

ดิฉันเข้าใจว่าเจ้าแม่วัดดุสิตนั้นมีตัวจริงที่เอ่ยถึงในพงศาวดาร คือเจ้าแม่ที่กระทู้นี้เรียกว่าเจ้าแม่วัดดุสิตคนที่สอง    แต่เจ้าแม่วัดดุสิตคนแรกที่ว่าเป็นแม่นมพระนารายณ์  เป็นการเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาของนายกุหลาบ    ยืมชื่อเจ้าแม่วัดดุสิตมาแต่งใหม่ให้เป็นบรรพสตรีของราชวงศ์จักรี 
เพื่อจะแสดงถึงเชื้อสายของพระราชวงศ์ว่าเป็น"เจ้า" มาก่อน   ทำให้ประชาชนคนอ่านยอมรับหนังสือของแกง่ายขึ้น  เพราะทุกคนเคารพนับถือพระราชวงศ์กันอยู่แล้ว
แต่แกจะบอกชื่อว่าเป็นเจ้านายฝ่ายชายองค์ใดองค์หนึ่งของราชวงศ์ปราสาททอง หรือสุพรรณภูมิ  ก็เกรงว่าจะถูกนักประวัติศาสตร์สมัยร. ๕ จับได้  ว่าไม่มีตัวจริงหรือผิดเพี้ยน
เลยอ้างว่าเป็นผู้หญิง  ได้สืบหตุยากหน่อย  แต่ก็ทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้นมาจนได้ ว่าสามีท่านทำไมเป็นสามัญชน  เห็นได้จากลูกเป็นสามัญชนกันทั้งคู่
ผลของการแต่งเรื่อง ก็คือไม่เนียน   การสืบเชื้อสายเลย"โดด"แบบนี้ไงคะ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: aha_s ที่ 19 ก.ค. 07, 00:57
มานั่งอ่านวันละนิด แต่อ่านยังไม่จบสักทีครับ ชื่นชมความรู้จากทุกท่านจริงๆครับ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: หนอนบุ้ง ที่ 03 ก.ย. 07, 22:13
คุณแม่หนูมีหนังสือ กศร กุหลาบหลายเล่ม
อายุกว่า ๑๐๐ ปี
ขอบอกว่า กศร กุหลาบ ไม่ได้บ้าอย่างที่ใครเข้าใจ

ไอ้ที่เพี้ยน นั้นแกล้งเพี้ยน เพื่อให้พ้นโทษ
เป็นแต่ส่วนน้อยเท่านั้น
ส่วนใหญ่ ไม่เพี้ยน ขอบอก

ให้หนูว่างอีกสักนิด จะชวนคุย เรื่องพระอภัยมณี ตอนที่สุนทรภู่ไม่ได้แต่ง

ไม่ได้โม้นะคะ คุณพี่ขา


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 04 ก.ย. 07, 05:50
สวัสดีค่ะ

ก.ศ.ร. กุหลาบ  เห็นความสำคัญของหนังสือ   เก็บหนังสือโบราณไว้มาก  มีมานานแล้ว

ในงานนิทรรศการ ในงานพระราชพิธีสมโภชพระนครครบร้อยปี พ.ศ. ๒๔๒๕
ตอนนั้น ก.ศ.ร. กุหลาบอายุ ๔๘ ปี  นำหนังสือไปแสดงถึง ๑,๐๐๐ เล่ม

เป็นหนังสือชุบเส้นหมึกถึง ๑๒๖ เรื่อง
หนังสือไทยตีพิมพ์ว่าด้วยข้อราชการ ๒๓ เรื่อง

หลังจากนั้น ก็พินอบพิเทาไปยืมหนังสือกรมมหมื่นบดินทรไพศาลไปลอกด้วยการลงทุนอย่างมหาศาล
แก้ไขปีพ.ศ.  และเติมความลงให้พิสดาร  เพื่อหลีกเลี่ยงความผิด ฐานมีหนังสือของราชการ

เล่มแรกที่ถูกเปิดเผยว่ามีการแก้ไขเติมความ คือ คำให้การของขุนหลวงหาวัด  ครูสมิทพิมพ์เมื่อ ๒๔๒๖

ก.ศ.ร. กุหลาบ หาหนังสือโบราณให้ชาวต่างประเทศค่ะ  บางฉบับก็ใช้ลูกชายคนเดียวไปคัด
ก็คงคัดมาเป็นสมบัติตนบ้าง


สามัญชน ลูกจ้างโรงสี  ที่เก็บหนังสือ  จะไปหาที่ไหน

สงสัย แต่แทบไม่มีทางจะตรวจสอบ  คือ  ขายอะไรไปบ้าง


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ก.ย. 07, 20:40
เคยมีกระทู้เก่า เล่าเรื่องก.ศ.ร. กุหลาบ  แต่หาไม่เจอว่าอยู่ไหน

ดิฉันไม่คิดว่านายกุหลาบบ้าหรอกค่ะ  คิดว่าปกติ   แต่จะให้คิดว่าเป็นปัญญาชนปราดเปรื่องควรยกย่องเสียเหลือเกิน  ก็ไม่คิดอย่างนั้น
คิดว่าบางเรื่องก็น่าตำหนิ แต่บางเรื่องก็น่าเห็นใจ

การที่ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลบ้าไปพักหนึ่ง   ก็คือการลงโทษอย่างเบา ในสมัยนั้น
เรียกว่าไม่เอาผิด เพียงแต่ทำให้ได้อาย ในความผิดที่ทำลงไป เท่านั้นเอง

พระอภัยมณีฉบับที่สุนทรภู่ไม่ได้แต่ง   สนุกสู้ฉบับสุนทรภู่แต่งไม่ได้  ตัวละครรุ่นลูกไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจเท่า
แต่ก็อยากให้คุณหนอนบุ้งนำมาให้อ่านกันบ้างค่ะ

 


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: หนอนบุ้ง ที่ 04 ก.ย. 07, 21:51
หนูเห็นด้วยว่าพระอภัยมณีฉบับที่สุนทรภู่ไม่ได้แต่ง
สนุกสู้ฉบับสุนทรภู่แต่งไม่ได้ และที่กรมศิลป์กล้าฟันธง
ก็เพราะเห็นว่าสัมผัสสระและอักษรมันเพี้ยนจากของท่านภู่อยู่โข

เชื่อไหมคะว่า สุนทรภู่ลอกพระอภัยมณีมาจากพงศาวดารจีนทั้งกระบิ
ที่มาเติมก็ขิง ข่า ตะไคร้ ออกกลิ่นจักรๆ วงศ์ๆ พอไม่ให้มีสีสันแนว “ไฮ้สุ่ย” มากเกินไป

หนังสือเล่มละสองกะหลึงของคุณแม่
นิทานวัดเกาะ เช่น โกมินทร์กุมาร ก็ลอกมาจากจีนทั้งดุ้น เหมือนกัน

กระทู้นายกุหลาบอันนี้มังคะ
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=1343.0


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 05 ก.ย. 07, 08:52
ขอเห็นแตกต่างกับคุณหนอนบุ้ง

สุนทรภู่เป็นอาลักษณ์  คงมีโอกาสได้อ่านเรื่องพงศาวดารจีน ก่อนที่จะนำมาแปลจริงๆหลายปี

ตัวละครหลักบางตัว  ได้แรงบันดาลใจมาจากพงศาวดารจีน

พระอภัยมณี   ก็เตียวเหลียง
ผีเสื้อสมุทร    กำเนิดเดียวกับหงอคง
นางวาลี        นางจงลีฉุน
ศรีสุวรรณ     
อ้อ...มหิงสิงขร อีกตัว


ไฮ้สุยนั้น เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างดีที่สุุด เล่มหนึ่งเลยค่ะ
ถ้าเข้าใจว่า ใครสั่งให้แปล  ในปีไหน  หนังสือเป็นตัวแทนอะไร


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.ย. 07, 09:12
หนูบุ้ง search หากระทู้เก่ง เหมือนอดีตสมาชิกเรือนไทยหลังเก่า

ไม่น่าแปลกใจหรอกค่ะ หนูบุ้ง  สุนทรภู่เป็นนักอ่านพงศาวดารจีนตัวยง
เข้าใจว่าจะได้อ่านพร้อมกับบรรดาอาลักษณ์ที่แปลพงศาวดารจีน ตามพระราชประสงค์  หรืออาจจะช่วยเกลาภาษา สำนวน ทำงานอยู่ในกลุ่มนักแปล ก็ได้
เพราะผู้แปลพงศาวดารจีนในรัชกาลที่ ๑ จนถึง ๔  เป็นอาลักษณ์เสียเป็นส่วนใหญ่

เนื้อหาในพระอภัยมณี ที่เป็นการรบระหว่างกรุงผลึกกับกรุงลงกา ก็ถอดเค้ามาจากการรบแบบจีน ไม่ใช่รบแบบไทยรามเกียรติ์
ตัวละครหญิงเก่งกล้าสวมชุดศึกออกบัญชาการรบ หรือแม้แต่รบตัวต่อตัวกับผู้ชาย  นี่ก็นางเอกจีน ไม่ใช่นางเอกไทย

หลักฐานสำคัญอีกอย่าง คือบทละครเรื่อง อภัยนุราช   เอาโครงเรื่องมาจาก ห้องสิน  ที่แปลในรัชกาลที่ ๒ เป๊ะๆเลย


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 05 ก.ย. 07, 10:07
สวัสดีค่ะ คุณเทาชมพู  ที่เคารพ


สมาชิกใหม่ค่ะ   ติดตามอ่านอยู่นานแล้ว
ยังไม่มีโอกาสได้แนะนำตัวเลย


พยายามจะอ่านวรรณคดี   ไม่ได้เรียนมาทางนี้เลย   รู้จักไม่กี่เล่ม

เมื่อมาอ่านการสนทนาใน เรือนไทย  ก็อยากเข้ามาขอคุยด้วยบ้าง  ขอความรู้ด้วย
เป็นการสนทนาที่ตื่นเต้นเร้าใจมาก

สนใจประวัติศาสตร์สมัยปลาย ร ๓ ถึง ร ๕ ค่ะ
เป็นคนไม่แม่น ปีที่อ้างอิงค่ะ
พยายามอยู่


อ่านเรื่อง ก.ศ.ร. กุหลาบแล้วค่ะ  ที่ในลิ้งค์  ก็สมบูรณ์์ครบถ้วน
เรื่อง  บาดหลวงดิป๋อง นั้น  ก็ตามค้นตามที่ต่างๆ  ไม่ปรากฏเลยค่ะ


ถ้าคุยออกนอกเรื่อง  ขอประทานโทษด้วยนะคะ



กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.ย. 07, 10:18
สวัสดีค่ะคุณ Wandee
ขอต้อนรับเข้าวงเสวนาค่ะ  ไม่ได้คุยออกนอกเรื่องค่ะ  เรียกว่าคุยแยกซอย คือบางทีก็ออกจากถนนใหญ่เลี้ยวเข้าซอยย่อยไปบ้าง
คุณคงอ่านวรรณคดีมาเยอะ   ถึงรู้จักไฮ้สุย

ไฮ้สุยนั้น เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างดีที่สุุด เล่มหนึ่งเลยค่ะ
ถ้าเข้าใจว่า ใครสั่งให้แปล  ในปีไหน  หนังสือเป็นตัวแทนอะไร

ถ้าถือว่าวรรณคดีเป็น"สาร" ทางการเมืองสมัยต้นรัชกาลที่ ๕  หุหุ  ก็ต้องอ่านนิทานต่างๆ ดรุโณวาท  ด้วยค่ะ
จะมองเห็นคลื่นใต้น้ำที่กระแสปะทะกันกลายๆ  ระหว่างคลื่นลูกเก่ากับคลื่นลูกใหม่
แล้วคลื่นลูกใหม่ก็มีชัย   
แต่ดิฉันก็นึกชมน้ำใจของคลื่นลูกเก่านะคะ   ขอยกย่องท่านได้เต็มปาก ว่าในที่สุด ท่านเห็นแก่แผ่นดินมากกว่าประโยชน์ส่วนตน


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 05 ก.ย. 07, 11:36
โอ...ดรุโณวาท  ไม่เคยมีโอกาสได้อ่านเลยค่ะ

รายละเอียดของไฮ้สุย  เล่าให้เพิ่อนๆฟัง  หัวเราะกันกลิ้งเลยค่ะ

ตอนแรกอ่านหนังสือ  ก็อ่านเอา ความสนุก  ถ้าสนุก ก็จำได้

ต่อมาก็พยายามจะรู้จักคนเขียน หรือประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นๆ

ยังจำสับสนอยู่บ้าง

ขอคำแนะนำจากคุณเทาชมพูด้วยนะคะ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.ย. 07, 12:10
ดรุโณวาท แปลว่า คำสั่งสอนของคนหนุ่ม   สมัยนี้อาจจะพอแปลได้ว่า "คนรุ่นใหม่ให้ข้อคิด" ทำนองนี้มั้งคะ
ผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง คือพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์  กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์  ต้นราชสกุลเกษมสันต์
พระชนม์ ๑๘ เท่านั้นเองเมื่อทรงทำหน้าที่บรรณาธิการวารสารเรื่องนี้
พระเจ้าน้องยาเธอในต้นรัชกาลที่ ๕  เจริญพระชนม์ขึ้นมาเป็นกำลัง เป็นแขนเป็นขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ หลายพระองค์   
บ้านเมืองเปลี่ยนมาอยู่ในมือของคนรุ่นใหม่   สะท้อนเงาใต้น้ำไว้ในวรรณคดีพวกนี้ละค่ะ
ถ้าให้สนุกต้องไปหาอ่านเองที่หอสมุดแห่งชาติ ในอินเตอร์เน็ตมีใครเอาลงไว้บ้างหรือเปล่าก็ยังค้นไม่เจอ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 05 ก.ย. 07, 12:53
ขอบคุณค่ะ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: หนอนบุ้ง ที่ 05 ก.ย. 07, 19:53
แต่ดิฉันก็นึกชมน้ำใจของคลื่นลูกเก่านะคะ   ขอยกย่องท่านได้เต็มปาก ว่าในที่สุด ท่านเห็นแก่แผ่นดินมากกว่าประโยชน์ส่วนตน

หนูก็อยากนึกอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ ว่าคลื่นลูกเก่ารักบ้านเมือง
ช่วงผลัดแผ่นดินนั้นบัลลังก์ง่อนแง่นโงนเงนเต็มที
“พ่อคุณ พ่อจะอยู่ไปได้อีกกี่วัน”
เหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือแท้ๆ

แต่ข้อมูลอีกแง่มุมหนึ่งที่ทำให้หนูตะลึง ตะลึง ตะลึง คือ
เอกสารฝรั่ง ประมาณการณ์ว่าคลื่นลูกเก่า เม้มเงินพระคลังหลวงเข้าพก
ประมาณแปดล้านบาท งบประมาณแผ่นดินสมัย รัชกาลที่ 4
อย่างมากก็แค่ยี่สามสิบล้าน!!
แสดงว่าคลื่นลูกเก่า เก็บเกี่ยวเข้าชายคาตัวเองบานตะไทเชียว


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: หนอนบุ้ง ที่ 05 ก.ย. 07, 19:54
แต่คลื่นลูกใหม่ก็ทรงแสดงความเป็นพระอัจฉริยะภาพทางการบริหาร
ในการเด็ดปีก พระยาอาหารบริรักษ์ (นุช) เสนาบดีกรมนา แต่หัวลม
โทษฐานส่งเงินให้ขิงแก่ แทนส่งมาถวายหลวง
การปลดกลางอากาศเสนาบดีเช่นนี้ เท่ากับว่าเป็นการลองกำลังเจ้าเก่าแท้ๆ

หนังสือพิมพ์การเมืองฉบับแรกของไทย “ดรุโณวาท” ก็ลงบทความของพวกคลื่นลูกใหม่
ซัดกระหน่ำคลื่นลูกเก่า ที่ถือบังเหียนบ้านเมืองยิ่งขึ้นทุกที

ที่หนูเห็นว่า สะใจจริงๆ ก็คือคลื่นลูกใหม่เขียนบทความลงตีพิมพ์
เล่นงานพี่ชาย ผู้เป็นกุลเชษฐ์ของตนเองด้วยซ้ำ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.ย. 07, 20:21
แต่ข้อมูลอีกแง่มุมหนึ่งที่ทำให้หนูตะลึง ตะลึง ตะลึง คือ
เอกสารฝรั่ง ประมาณการณ์ว่าคลื่นลูกเก่า เม้มเงินพระคลังหลวงเข้าพก
ประมาณแปดล้านบาท งบประมาณแผ่นดินสมัย รัชกาลที่ 4
อย่างมากก็แค่ยี่สามสิบล้าน!!
แสดงว่าคลื่นลูกเก่า เก็บเกี่ยวเข้าชายคาตัวเองบานตะไทเชียว

คุณหนอนบุ้งส่งหมัดหนักมาเสียแล้ว      เอกสารฝรั่งที่ว่านั้นอ้างหลักฐานอะไรบ้างคะ  อยากฟังมากๆ
เหมือนเรื่องสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงถูกวางแผนลอบปลงพระชนม์ ตีพิมพ์เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ฝรั่งหรือเปล่า

คุณ Wandee คงอยากฟังเรื่องดรุโณวาท ต่อ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: หนอนบุ้ง ที่ 06 ก.ย. 07, 19:42
หนูขอออกตัวซักนิดเถอะค่ะ คุณเทาชมพูขา ว่าอ่านบันทึกฝรั่งหลายเรื่องอยู่
ผ่านตาเรื่องนี้เข้าขณะมองหาเรื่องอื่นๆ
บังเอิญมาเข้าเรื่องเข้าโดยไม่ทันได้จำว่าเขาใช้หลักฐานอะไรด้วยซี ฮือๆๆ
(จะแก้ตัวแถมแก้ผ้าผ่อนไปด้วย คุณเทาชมพูจะเอ็ดเอามั้ยเนี่ยะ  ;D)
ขอเวลาสักนิด เล่มไหนซักเล่มแถวๆ นี้แหละ ว่างแล้วจะค้นให้ค่ะ
นึกว่าเวทนาหนูตัวน้อยๆ คลานกระดึ้บๆ เถอะค่ะ กำลังเมามันในการค้นคว้า ประมาณว่าคว้าอะไรได้ ก็รีบจำๆ เอาไว้
คิดว่าจะอัพเกรดฮาร์ดไดร์ฟในหัว แต่เจ้ากรรม ร้านคอมพ์แถวบ้าน เค้าว่าหัวหนูรุ่นนี้ not compatible เอิ๊กกก เอิ๊กกกก

ว่าแต่ขออนุญาตหนูลองคิดดูเล่นๆ นะ
คลื่นลูกเก่าเป็นคนแต่งตั้งพระมหากษัตริย์

สมัยก่อนเมื่อนายอากรนำเงินมาส่งแก่เสนาบดีจตุสดมภ์
ท่านเสนาบดีก็มิได้แยกเงินรัฐกับเงินส่วนตัวออกจากกัน
ใช้จ่ายปนเปกันไป เสนาบดีก็ต้องนำเงินส่วยส่งลูกพี่
เผอิญลูกพี่หยั่งรากมาตั้งแต่ ๒๓๙๐ กว่าๆ จนถึง ๒๔๑๗
กี่ปีกันละเนี่ย (ตกปีละสามแสนก็ได้แล้ว)

มิเช่นนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คงไม่ปลดพระยาอาหารฯ
เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดูหรอกค่ะ เมื่อทรงยกเลิกระบบผูกขาดภาษีโดยนายอากร และจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์
รายได้พระคลังหลวงมากขึ้นมหาศาล
ส่วนต่างของรายได้พระคลังแบบยุคเก่าและยุคใหม่ก็มากอยู่
ส่วนต่างนี้เคยอยู่ในกระเป๋าใครล่ะคะ? น่าคิด


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: หนอนบุ้ง ที่ 06 ก.ย. 07, 20:00
เรียนถามคุณพี่วันดีค่ะ
หนังสือเรื่องพระถังซำจั๋ง หงอคง เห้งเจีย ตือโป๊ยไก่
ของคุณแม่หนูมันเก่ามาก
อยากซื้อไว้ที่บ้านอีกชุดหนึ่ง
พอทราบไหมคะว่าที่ไหนมีขาย ราคาสักเท่าไร

(หนูเดาว่าคุณพี่คงอ่านพงศาวดารจีนเยอะน่ะค่ะ เลยลองถามดู)


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ก.ย. 07, 20:38
เอารูปข้างล่างมาฝากหนูบุ้ง    นุ่งผ้าซะหน่อยก็ดีนะคะ  หนูบุ้ง


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: หนอนบุ้ง ที่ 06 ก.ย. 07, 21:12
ก๊ากกกกกกกก ๕๕๕๕ ชอบของฝากคุณเทาชมพูจัง ขอบพระคุณค่ะ

ต่อจ้า

หนอนบุ้งมาสะดุดที่หนังสือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ
วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย เล่าว่า

ช่วงผลัดแผ่นดิน สมัย ร. ๔ ต่อ ร. ๕ พ.ศ. ๒๔๑๔ ปีมะแม
เงินในพระคลังแห้งขอด บ้านเมืองสยามเป็นหนี้ถึงแสนชั่ง

อ่านไปก็ถึงตอนสิงห์มือไวทั้งหลาย....

ในบัญชีของเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เจ้ากรมท่า
ซึ่งได้เก็บเงินที่ได้จากภาษีอากรไว้ในกำปั่นใหญ่
และได้ใช้จ่ายเงินไปในทางราชการและกิจการส่วนตัว
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อไม้สร้างประภาคารอันเป็นทรัพย์สินราชการ
หรือจ้างจีนเลื่อยไม้ทำเมรุศพส่วนตัวของวงศาคณาญาติ
ก็ล้วนแต่ใช้เงินจากกำปั่นใบนี้ทั้งสิ้น ตลอดรวมไปถึงค่าใช้จ่ายในบ้าน
เช่นสร้างบ้านให้บุตรชาย ให้ภรรยาหลวงไปทำบุญ
หรือให้ภรรยาน้อยไว้ใช้จ่าย หรือให้คนใช้…

ตอนที่กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ (กรมนครบาล) ทรงประชวรได้กราบทูล ร. ๕ ว่า
บ้านขอเป็นกรรมสิทธิ์ เงินภาษีที่เอาไปใช้สอยขอให้ยกเสีย
ร. ๕ ทรงตรัสตอบว่าบรรดาเจ้านายที่เอาเงินภาษีไปใช้จ่ายในทางไม่ถูกต้องนั้น
ไม่สมควรกระทำ บ้านไม่เรียกคืน แต่เงินภาษีควรเอามาคืนพระคลัง


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: pipat ที่ 07 ก.ย. 07, 21:29
ผมชอบอ่านคนที่เขียนเรื่องกวนๆ ทีเล่นทีจริง
แต่ไม่ชอบอ่านคนที่ยกเมฆเลย

มันบาปกรรมแท้ๆ จริงเทียว


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 08 ก.ย. 07, 11:41
เนื่องจากสมาชิกท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) แจ้งลบคคห.ของคุณหนอนบุ้งด้วยเหตุผลดังนี้

Stating name of a public figure like Khun Wimonphan Pitathawatchai is most inappropriate and uncalled for.  I believe it is not in good taste.

ผู้ดูแลบอร์ดพิจารณาแล้วเห็นสมควรลบตามที่แจ้งมาครับ

ขอบคุณครับ


กระทู้: ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี: พระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริง
เริ่มกระทู้โดย: หนอนบุ้ง ที่ 08 ก.ย. 07, 14:57
โอเคค่ะ  ;D