เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 15 16 [17] 18 19 ... 31
  พิมพ์  
อ่าน: 21741 รำลึกถึงดาวเสียงต่างชาติต่างภาษาที่ดับแสงไปแล้ว [2]
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 240  เมื่อ 06 ต.ค. 23, 20:02

คุณ วีจี นำเพลงของวงนี้มาร้องใหม่หลายเพลง  แสดงว่าเธอคงมีแผ่นเสียงของวงนี้ทุกแผ่นละมัง  มันอาจมีมากกว่านี้แต่ที่อยู่ในความทรงจำของผมมีเท่านี้  นอกจาก คุณ วีจี แล้วผมยังเคยได้ยินนักร้องคนอื่นเอาเพลงของ PP&M มาร้องใหม่อีกเช่น Felicia Wong เธอร้องเพลง Blowin’ in the wind โดยใช้เครื่องดนตรีต่างไปจากต้นฉบับซึ่งผมว่าแหวกแนวได้ดีทีเดียว



เพลงนี้ผมได้ยินครั้งแรกจากเพื่อนสาวของผม เธอร้องให้ฟังสมัยอยู่มหา’ ลัย



มาถึงเพลงโปรดของผม











ส่วนเพลงนี้ดังมากในบ้านเรานะ  คงจำกันได้



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 241  เมื่อ 07 ต.ค. 23, 20:45

แผ่น Peter, Paul and Mommy เป็นแผ่นเสียงบันทึกการแสดงสดที่ทางวงร้องให้เด็กฟัง  แผ่นฯ ออกวางตลาดในปี 1969 (แต่ผมซื้อหลังจากนั้นนานน้านนาน  มันวางขายอยู่ในแผนกแผ่นเสียงของห้างเซ็นทรัล ชิดลม)  บรรจุเพลงน่ารักที่พวกเราไม่เคยได้ยิน (ทางวิทยุ)  นอกจากจะซื้อแผ่นฯ มาฟัง

ผลงานชุดนี้ทำให้วงฯ ได้รับรางวัล Grammy สาขา Best Recording for Children  รวมถึงรางวัลแผ่นเสียงทองคำ



ป่านนี้เด็ก 3 คนนี้คงแก่งั่กประมาณผม (เผอิญเป็นแผ่นประเภท gatefold เลยรอดจากการคิดสั้น...  เอาไปขาย)





ฉบับอัดสดคุณภาพไม่ดี  ฉบับที่ฟังจากแผ่นเสียงเพราะกว่านี้มาก 
















บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 242  เมื่อ 08 ต.ค. 23, 20:44

ผมรู้จัก Patty Duke มาตั้งแต่ยังตัวกะเปี๊ยก  ช่อง 4 บางขุนพรหมเคยเอาหนังทีวีของเธอมาฉาย  ผมจำชื่อไทยไม่ได้  แต่ชื่อดั้งเดิมคือ  The Patty Duke Show  ตัวละครที่เธอเล่นเป็นคู่แฝด  ผมนั่งดูด้วยความสนุกสนานปนทึ่งว่า  ‘นักแสดงฝาแฝด 2 คนนี้ช่างเหมือนกันดิก’ 

เรื่องลวงเด็กน้อยอย่างผมเคยเกิดขึ้นอีกกับหนังทีวีชุด ‘แม่มดเจ้าเสน่ห์’  วันหนึ่งผมก็เห็นลูกพี่ลูกน้องของ ซาแมนต้า  เธอชื่อ เซรีน่า  หน้าตาเหมือนกันเด๊ะ  และกับอีกครั้งในหนังทีวีชุด ทรามวัยกายสิทธิ์  ที่วันหนึ่ง จีนนี่ ก็พาน้องสาวมาให้ผมดูที่หน้าจอทีวี  หน้าตาเหมือนกันยังกับแกะ 

แต่ที่พิเศษกว่าคือ วันหนึ่งขณะนั่งอ้าปากบ๋อดู แม่มดเจ้าเสน่ห์ อยู่ก็ให้นึกประหลาดใจว่า  วันนี้ทำไม แดริน ถึงหน้าตาแปลก ๆ  มันแค่เป็นความสงสัยของเด็ก ๆ  จนกระทั่งโตจนเปรียบอุปมากับควายได้แล้วถึงได้รู้ที่มาที่ไปจากหนังสือ Starpics ว่า  มีการเปลี่ยนตัวนักแสดง  ซึ่งก็ควรอยู่ที่เด็กจะสับสน  ส่วนเรื่องฝาแฝดนั้น  รู้ความจริงเอง  ในเวลาต่อมา  ยังไม่โง่ขนาดต้องรู้มาจากหนังสือ






จากหนังสือ Starpics  ที่เล่าเรื่องราวของ Patty Duke ทำให้รู้ว่า  ก่อนมาเล่นหนังทีวีเธอเคยเล่นหนังโรงมาก่อนชื่อ The Miracle Worker (1962) ข้อมูลบอกว่าเป็นหนังที่ดังมาก  ได้ทั้งเงินและรางวัล  ตัว PD ได้ Oscar จากบทในเรื่องนี้  ในฐานะที่ชอบเธอผมก็เลยอยากดู๊อยากดูมาตั้งแต่รู้เรื่องนี้   มามีโอกาสได้ดูเอาทางช่อง TCM ของทีวี IBC  พอได้ดูแล้วถึงกับจิตตกเพราะเนื้อเรื่องหดหู่มาก  แถมเป็นหนังขาวดำที่ช่วยเพิ่มความเครียดเข้าไปอีก 

หนังเล่าเรื่องชีวิตช่วงหนึ่งของตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริง 2 คนในช่วงรอยต่อของศตวรรษที่ 19 และ  20 คนแรกคือ Anne Sullivan เธอเป็นครูที่ไม่เหมือนใครคือตอนเด็ก ๆ เป็นโรคทำให้สูญเสียการมองเห็นแต่ยังไม่ถึงกับตาบอด  อีกคนคือ Helen Keller เด็กหญิงที่เป็นใบ้และตาบอดมาตั้งแต่เด็ก ๆ   ยังผลให้เธอเป็นเด็กก้าวร้าวและเจ้าอารมณ์  พ่อแม่ของเธอจ้าง AS มาเป็นครูสอน  ตลอดทั้งเรื่องเป็นการรบราขับเคี่ยวกันอย่างถึงพริกถึงขิง  เนื่องจากหนู HK เปรียบเสมือนม้าพยศ  ที่ AS จะต้องปราบให้ได้

HK นี้เมื่อโตขึ้นเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของประวัติศาสตร์อเมริกา 

Young Helen Keller communicated primarily using home signs until the age of seven, when she met her first teacher and life-long companion Anne Sullivan. Sullivan taught Keller language, including reading and writing. After an education at both specialist and mainstream schools, Keller attended Radcliffe College of Harvard University and became the first deafblind person in the United States to earn a Bachelor of Arts degree.

แต่ก่อนหน้านี้ทั้งคู่แทบจะฆ่ากันตาย





ฉากท้าย ๆ เรื่อง



ตอนจบ  เมื่อปราบพยศได้สำเร็จ



ขณะดูหนังเรื่องนี้หัวผมหนักเหมือนกับมีใครเอาลูกนิมิตมาวางทับ  ใจก็คิดว่าดูไปทำไมวะ  ไม่มีความบันเทิงตรงไหนเลย  อีกใจก็ เฉย ๆ เหอะน่า  ชั้นอยากรู้ว่ามันจะจบอย่างไร  หลังจากจบหนังเรื่องนี้  แทนที่จะเข็ดผมกลับทนดูหนังขาวดำประเภทนี้อีกเช่น I want to live, What ever happened to baby Jane? ฯลฯ ประมาณว่า ดูไปก็ทุกข์ทรมานไป  เหมือนต้องสาป

มีต่อ... (เอ้อ... ไม่ได้หลงกระทู้นะครับ  เป็นการโหมโรงน่ะ)
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 243  เมื่อ 09 ต.ค. 23, 20:29

ในช่วงเวลาที่ผมเสพย์หนังสือ Starpics นั้น  ผมเริ่มสนใจเพลงฝรั่งแล้ว  รายการ Golden oldies เป็นรายการประจำแรก ๆ ที่ผมฟังทางวิทยุ

วันหนึ่งดีเจก็บอกว่าเพลงต่อไปนี้ร้องโดย Patty Duke  ผมฟังแล้วก็งงงวยเป็นปกติ (ความจริงแม่น่าจะตั้งชื่อผมว่า งงงวยศักดิ์ นะ)  คาดว่าสมองยังพัฒนาไปไม่ทันหรือเป็นเพราะโง่อย่างใดอย่างหนึ่ง  เพราะผมเข้าใจว่ามี 2  Patty Duke  คนหนึ่งเป็นนักแสดง  อีกคนเป็นนักร้อง

นี่คือเพลงที่ดีเจเปิดให้ฟัง  เพราะมาก



PD ไม่ใช่นักร้องอาชีพ  ผลงานของเธอจึงมีน้อยนิด  หาจาก youtube มานำเสนออีกหน่อย







ปิดท้ายด้วยเพลงดังของเธออีกครั้งในฉบับเสียงสดใส



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 244  เมื่อ 10 ต.ค. 23, 20:32

สำหรับศิลปินหญิงคนนี้อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับ Patty Duke  แต่เส้นทางอาชีพของเธอไม่รุ่งโรจน์เท่า เธอไม่ได้เป็นนักแสดง  ส่วนในด้านร้องเพลง  เธอก็ไม่ประสบความสำเร็จ...

นักร้องหญิงในรายการวิทยุ golden oldies (ของบ้านเรา) มี 2 คนที่ชื่อ Diane เหมือนกันแถมมีนามสกุลคล้ายกันอีกคือ Diane Renay กับ Diane Ray  ดังนั้นเวลาดีเจรายการฯ ประกาศชื่อเธอ  สมองเด็ก ๆ อย่างผมจึงไม่เคยจำได้ว่าใครเป็นใคร  ใครร้องเพลงไหน 

ข้อมูลจากกูรูเพลง Joel Whitburn บอกไว้ว่า  Diane Ray เธอเป็นนักร้องที่ไม่ดังเอาเลย  มีเพลงเข้าอันดับ billboard อยู่เพลงเดียวแล้วก็ไม่ใช่เพลงฮิตด้วย  แต่บ้านเราเปิดกันสนั่น



ในขณะที่อเมริการู้จักเพลงของเธอเพียงเพลงเดียว  แต่บ้านเราแน่กว่า  คือรู้จักถึง 2 เพลง  เพลงนี้ดังกว่าเพลงแรกเสียอีก  ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเพลงสำรองของเพลงแรก (หน้า B ของแผ่น single) ใครเป็นแฟนรายการ golden oldies จะต้องจำเพลงนี้ได้ทุกคน



คัดเอามาจาก youtube







บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 245  เมื่อ 11 ต.ค. 23, 20:24

ส่วนคนนี้แค่โฉบไปมาบนจอ  แต่ในด้านเสียงเพลง  เธอดังมาก ๆ ทั้งที่บ้านของเธอและที่บ้านเรา

Lesley Gore เป็นนักร้องในยุคเดียวกับ 2 คนแรก  ในวัยเพียง 17 ขวบ เธอประเดิมอาชีพนักร้องด้วยเพลงดังสนั่นที่อเมริกาในปี 1963 ชื่อเพลง It’s my party

(เธอเกิดปี 1946  อ่อนกว่า Helen Reddy, Carly Simon  และเท่ากับ Linda Ronstadt  แต่ความที่เธอดังเร็วกว่า  เลยกลายเป็นนักร้องในยุค 60s  ขณะที่ HR (เกิด 1941)  CS (เกิด 1943)  เกิดก่อนแต่ดังช้ากว่าจึงกลายเป็นนักร้องในยุค 70s  ซึ่ง 2 ยุคนี้มีแนวเพลงต่างกัน  ส่วน LR เกิดปีเดียวกันแต่ดังทีหลังก็เลยกลายเป็นนักร้องในยุค 70s เช่นกัน)

ความดังของเพลง It's ฯ นี้นอกจากทำนองติดหูแล้ว เนื้อร้องยังน่าสนุก แถมน้ำเสียงของเธอก็ไปกันได้ดี  เนื้อเพลงกล่าวถึงสาวน้อย Lesley (ในเนื้อเพลงไม่ได้บอกว่าเธอชื่ออะไรก็เลยเหมาเอาว่าคือคนร้องนั่นแหละ) ที่โดนแฟนหนุ่ม Johnny และเพื่อนสาวคนสนิท Judy พร้อมใจกันหักหลังด้วยการแอบไปคั่วกันเอง  หนำซ้ำยังควงกันมาหยามหน้าในงานวันเกิดของเธอ

เนื้อเพลงน้ำเน่าแบบนี้ถูกใจวัยรุ่นวุ่นรักโดยเฉพาะสาว ๆ ในยุคนั้นต่างกรี๊ดกันสลบ  ส่งผลให้ยอดขายพุ่งหน้าตั้งไปติดอันดับหนึ่งของตารางเพลง billboard  และค้างอยู่นานถึง 2 สัปดาห์ซึ่งในยุคนั้นหานักร้องหญิงทำสถิติแบบนี้ได้ยาก

กระแสรุนแรงแบบนี้ทำให้ บ. แผ่นเสียงต้นสังกัด  ใช้กลยุทธ์น้ำขึ้นให้รีบตัก  ไม่รอช้าที่จะจับเธอมาร้องเพลงที่ 2  ออกสู่ตลาดตามมาติด ๆ ภายในช่วงเวลาห่างกันเพียง 2 เดือน
 
เนื้อเพลงของเพลงที่ 2  Judy’s turn to cry นี้เป็นตอนต่อจากเพลงแรก  กล่าวถึงในที่สุด Johnny แฟนหนุ่มของเธอก็กลับใจแล้วทิ้งโค้งวกกลับมาหาเธอ (ด้วยสาเหตุอะไรต้องฟังเพลงเอา) เป็นชัยชนะของสาวน้อย Lesley เหนือนัง Judy  เพื่อนจอมหักหลัง  (เป็นผมละก็ขอตบไอ้ ‘หน้าหม้อ’ Johnny ซัก 40 ทีก่อนแล้วค่อยรับกลับเข้ามาในอ้อมกอด)

เพลงที่ 2 นี้ดังตามคาดแม้จะไม่ถล่มหูเท่าเพลงแรก  อย่างไรก็ตาม 2 เพลงดังกล่าวความที่เป็นเพลงที่มีเนื้อหาต่อเนื่องกันเหมือนหนังชุดทางทีวี และออกอากาศในเวลาไล่หลังกันไม่นาน  เหล่าดีเจวิทยุจึงสนุกกับการเปิดเพลงทั้งสองติดต่อกันไป

นี่คือเรื่องราวความรักของสาวน้อย Lesley ที่ชาวอเมริกันร่วมยุคล้วนได้ยินมานมนาน

ในปี 1986 เพื่อนผมคนหนึ่งซื้อแผ่นเสียง Lesley Gore, the Anthology มาให้  ผมดีใจจนเนื้อเต้น  ที่ถึงกับเนื้อเต้นเพราะเธอไม่เอาตังค์  ถ้ามาคิดตังค์ทีหลัง  ผมคงต้องเปลี่ยนจาก ดีใจจนเนื้อเต้น เป็น ดีใจมาก

แผ่นเสียงชุดนี้ทำออกมาในโอกาสพิเศษเพราะปี 1986 นั้นหมดยุคของ LG ไปแล้ว  มันเป็นแผ่นคู่  คือมี 2 แผ่นเสียงอยู่ในซอง  ซึ่งหมายความว่าซองเป็นแบบ gatefold  คือเปิดกางได้  ชื่อแผ่นถ้าแปลแบบกันเองก็คือแผ่นรวมเพลงของเธอนั่นเอง  



เมื่อเปิดแผ่นฯ กางออกมานอกจากมีรูปของนักร้องแล้วยังมีตัวหนังสือยุ่บยั่บ  ผมลงมืออ่านโดยยังไม่ต้องฟังเพลง  ตัวหนังสือเล่าความเป็นมาของเพลง singles ต่าง ๆ ที่ LG ร้องเริ่มตั้งแต่เพลงแรกคือ It’s ฯ และเพลงที่สองคือ Judy’s ฯ ความเป็นมาของทั้ง 2 เพลงนี้ก็รู้ ๆ กันอยู่แล้ว  แต่พอมาเพลงที่ 3 นี่ซิ  ผมอ่านอย่างขะมักเขม้น  ข้อมูลบอกว่า เนื้อเพลงของเพลงที่ 3 นี้คือส่วนที่หายไปอันเป็นตอนกลางของเรื่องความรักของหนู Lesley  

เนื้อของเพลงที่ 3 นี้เริ่มต้นหลังจาก Johnny แฟนหนุ่มหน้าหม้อทรยศไปหลงระเริงกับเพื่อนซี้ Judy  ทำให้หนู Lesley อกหักดังเป๊าะ  ต้องไปนั่งคร่ำครวญหวนไห้ฟาดงวงฟาดงากับดวงดาวบนท้องฟ้า  ความจริงนี่ลำดับของเพลงนี้ต้องเป็นเพลงที่ 2  แล้วจึงตามมาด้วยเพลง Judy’s ฯ เป็นเพลงที่ 3  อันเป็นตอนจบแบบ happy ending   แต่ทำไม บ.แผ่นเสียงถึงเน้นเพลงแค่ 2 ตอนจบก็ไม่รู้  

พล่ามมานาน  ตานี้มาฟังชีวิตรัก (เน่า ๆ) ที่ครบชุดของหนู Lesley กัน

ตามลำดับเหตุการณ์  นี่คือเพลงแรก It’s my party



มาเพลงที่สองชื่อ Just let me cry นี้เป็นเพลงที่วิทยุบ้านเราเอามาเปิดและกระหน่ำเปิดจนนักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุครู้จักเป็นอย่างดี  ในขณะที่บ้านเขาไม่เคยได้ยินเพราะมันไม่ใช่ single  ดีเจวิทยุจึงไม่มีสิทธิเปิดออกอากาศ  เพราะติดลิขสิทธิ์  

สำหรับ 2 singles ที่เล่ามาเมื่อนั่นผมไม่เคยได้ยินในยุคของมัน  ไม่รู้มีใครเคยได้ยินบ้าง  ที่ผมไม่เคยได้ยินอาจเป็นเพราะยังเด็ก  ยังไม่รู้จักการหมุนปุ่มหาคลื่นบนหน้าปัดวิทยุ  แต่เพลง Just ฯ นี้ฮิตมายาวนานหลายปี  ไม่ว่าจะหมุนปุ่มไปทางซ้ายหรือขวาเป็นต้องได้ยิน  ได้ยินตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งผมโตอยู่ ม. ต้นแล้วก็ยังคงได้ยินอยู่ประปราย  มันกลายเป็นอีกหนึ่งเพลงโปรดตลอดกาลของผม

ตอนที่เพื่อนซื้อแผ่นเสียงมาให้ผมถึงดีใจจนเนื้อเต้น เพราะนอกจากจะได้ฟรีแล้วยังมีเพลงนี้ของเธอรวมอยู่ด้วย  ความจริงผมก็มีเพลงนี้อยู่แล้วแต่อยู่ใน cassette tape  เพลง It’s ฯ นั้นเคยได้เห็นเพียงชื่อกับรู้ความดังของมัน ไม่เคยได้ยินตัวเพลง  ส่วนเพลง Judy's ฯ นี่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ทำนองเพลง Just ฯ นี้ผมว่าเพราะไม่แพ้ 2 เพลง singles นั้นเลย  



และจบด้วยเพลงที่ 3 คือ Judy’s turn to cry



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 246  เมื่อ 12 ต.ค. 23, 20:20

อย่างที่เล่าว่า Lesley Gore  เธอดังมาก  เธอออก singles มาให้ (บ้านเขา) ฟังมากมาย  แต่เท่าที่จำได้ไม่มีเพลงไหนเล็ดลอดมาเข้าหูผมเลย


เพลงนี้ดังเป็นอันดับ 2 ของอาชีพนักร้องของเธอ













ในปี 1966 LG ได้รับเชิญไปเล่นหนังทีวี Batman ผมจำไม่ได้ว่าตอนนี้มาฉายในบ้านเรารึเปล่า  นี่คือเพลงดังเพลงสุดท้ายของเธอ





Fun fact คือ ในเนื้อเพลงชุดที่กล่าวถึงเมื่อวาน  หนู Lesley เป็นสาวน้อยถวิลรัก  แต่ LG สาวน้อยคนร้องเป็น lesbian จากการสัมภาษณ์เธอเล่าว่ารู้สึกชอบผู้หญิงมาตั้งแต่ก่อนอายุ 20 โน่น  วงการมายานี่สนุกจริง ๆ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 247  เมื่อ 13 ต.ค. 23, 20:51

The Vogues เป็นวงร้องประสานเสียง

ตอนเด็ก ๆ เมื่อได้ฟังเพลงฝรั่งทีไรไม่มีทางรู้ว่าคนร้อง (ไม่ว่าหญิงหรือชาย) เป็นศิลปินเดี่ยวหรือกลุ่ม  แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเพลงนี้ใครเป็นคนร้อง  รู้อย่างเดียวว่าเพราะหรือไม่เพราะ  แล้วก็จดจำ (ทั้งที่เพราะและไม่เพราะนั่นแหละ)
แต่เพลงของวงนี้เพราะถูกใจ



ต่อมาอีกแสนนาน  เมื่อผมสมัครเป็นสมาชิก IBC  วันหนึ่งก็มีละครสั้น sit-com ชื่อ The Drew Carey Show มาฉาย  เป็นละครเนื้อหาตลกสนุกสนานฉายอยู่หลาย season  แต่มี season หนึ่งคณะผู้จัดทำเปลี่ยนฉากนำเรื่องเป็นตามที่เห็นใน clip ข้างล่าง 

ผมติดใจในเพลงประกอบ  แต่ไม่รู้ว่าเพลงชื่ออะไร  ตอนนั้น อตน. ยังไม่เกิด  สรุปคือหารายละเอียดไม่ได้

แล้วต่อมาอีกวันหนึ่ง (ซึ่งไม่ใช่วันถัดมา) เมื่อ CD ตีตลาด  ผมก็ควานหาแผ่นของนักร้องเก่า ๆ  ที่เคยได้ยินสมัยเด็ก ๆ มาสะสม  ถึงคราวได้แผ่นฯ ของวงนี้  พอเปิดฟังเพื่อหาเพลงเพราะ ๆ  ก็พบกับเพลงนี้  มันเป็นเสียงร้องของวงนี้นั่นเอง  เพลงนี้เป็นเพลงเก่าแก่แต่ผมไม่เคยได้ยินตอนเด็ก  ถ้าได้ยินคงไม่มีทางลืมเพราะทำนองติดหู



นำเสนอ








Bill Burkette died 2018 (75)
Don Miller died 2021 (80)

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33596

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 248  เมื่อ 14 ต.ค. 23, 13:01

คุณโหน่งรู้จักคนนี้และเพลงนี้ไหมคะ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 249  เมื่อ 14 ต.ค. 23, 20:27

คุณโหน่งรู้จักคนนี้และเพลงนี้ไหมคะ



รู้จักเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ยังตัวเล็ก ๆ เลยครับ  รายการ golden oldies เปิดเพลงของเธออยู่ 2 เพลง  เพลงที่ 'จาร ส่งมากับเพลงนี้ครับ



มารู้ทีหลังว่าที่บ้านเขา  2 เพลงนั่นไม่ใช่เพลงดัง  เพลงดัง (เพลงหนึ่ง) ของเธอคือเพลงนี้



เลยรำลึกถึงเธอไปนานมากแล้วครับ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 250  เมื่อ 14 ต.ค. 23, 20:34

ผมโตขึ้นมากับยุคต้น 70s  ดังนั้นจะหาสถานีวิทยุที่เปิดเพลงในยุค 60s ช่วงกลางถึงปลายนี่ยากมาก  เพราะสถานีวิทยุเพลงฝรั่งบ้านเรานิยมเพลงทันสมัย  จะมีก็รายการ golden oldies ที่เปิดเพลงย้อนไปไกลเลย  ผมก็เลยจำไม่ได้ว่าได้ยินเพลงยุคนี้จากคลื่นไหนบ้าง พอมายุคครึ่งหลังของ 2530s  ถึงได้มีโอกาสฟังเพลงในช่วงเวลาที่ว่าจากรายการ Soft 105 อย่างเป็นล่ำเป็นสัน

คลื่นนี้เอาเพลงของวงนี้มาเปิดอยู่เนือง ๆ  นี่เป็น 2 เพลงดัง

(เพลงที่ 2 เป็นเพลงที่ดังที่สุดของวง  สำหรับผมฟังแล้วไม่เห็นเพราะเลย  ตอนแก่ ๆ มาฟังอีกก็ยังไม่รู้สึกเพราะอยู่ดี)

The Cowsills ประกอบด้วยพี่น้องจำนวน 6 คน  ต่อมามีคุณแม่เข้ามาร่วมด้วย  วงนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวง The Partridge Family  ที่เคยนำเสนอไปแล้ว

นำเสนอ







(หมายเหตุ – youtube นี่ชั้นหนึ่งเลย  ทำให้ผมได้เห็นนักร้องเพลงต่าง ๆ in action  ที่ในยุคนั้นได้ยินแต่เสียง)


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 251  เมื่อ 15 ต.ค. 23, 20:28

ถ้าไม่ได้ทำงานนี้ก็จะไม่รู้หรอกว่า นักร้องนำตัวหลักของวง Dave Clark Five ไม่ใช่ตัว DC อย่างที่เข้าใจมาแต่นานนม ผมเข้าใจว่าวงที่ตั้งชื่อ ด้วยชื่อสมาชิกเดี่ยว ๆ แล้วตามด้วยอะไรก็ตามจะ ‘and’ หรือตามด้วย Five  อะไรทำนองนี้  ตัวสมาชิกที่มีชื่อนำควรจะเป็นนักร้องตัวหลัก  แต่ของวงนี้นักร้องตัวหลักคือ Mike Smith  ซึ่งตายแล้วเมื่อ 28 ก.พ. 2008 (เกิด 1943)  ส่วน DC คือมือกลอง

เพลงของวงนี้ที่ได้ยินมานานน้านนาน  โดยเฉพาะเพลงแรก  ได้ยินมาตั้งแต่ยังไม่ตัดสินใจว่าชอบเพลงฝรั่ง







นำเสนอเพลงที่ผมมาพบทีหลังเมื่อซื้อ CD ของพวกเขา  แต่ละเพลงสั้น ๆ และจังหวะติดหู











บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33596

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 252  เมื่อ 16 ต.ค. 23, 15:41

 ชินจิ ทานิมูระ (Shinji Tanimura) เจ้าของเพลงดัง "Subaru " จากไปเสียแล้วในวัย 74 ปี
  เขาเริ่มดังตั้งแต่ปี 1971 ในฐานะสมาชิกวง Alice   ได้โกอินเตอร์หลายๆ ประเทศ  จนปี 1980 โด่งดังจากเพลง "ซูบารุ" กลายเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ 
เพลงนี้  ดอน สอนระเบียบ ได้นำมาทำเพลง “ดาวประดับใจ”

ทานิมูระดังทั้งญี่ปุ่นและจีน ส่วนทางไทย เพลง "Hana" (ดอกไม้) ที่เขาประพันธ์สำหรับงาน Tokyo Music Festival 1989 วง สาว สาว สาว นำมาทำเป็นภาษาไทยในเพลง "ดอกไม้ของน้ำใจ" แต่งเนื้อโดย แอม-เสาวลักษณ์ ลีละบุตร



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33596

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 253  เมื่อ 16 ต.ค. 23, 15:43

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33596

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 254  เมื่อ 16 ต.ค. 23, 15:45

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 15 16 [17] 18 19 ... 31
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.062 วินาที กับ 20 คำสั่ง