เมื่อคุณมนันยาอยากจะศึกษาเรื่องนายกุหลาบ ได้ไปเรียนถามคุณหลวงอภิบาลฯ
ขออ่านหนังสือของนายกุหลาบที่คุณหลวงอาจจะมีอยู่บ้าง ก็ได้คำตอบว่า
" ไม่มีหรอก ในบ้าน 'ท่าน' สั่งให้ทำลายหมด"
แต่ ' ท่าน' ที่ว่านี้คือท่านไหน คุณหลวงฯไม่ได้บอก คุณมนันยาก็ไม่ทราบ
ไม่รู้ว่าคำบอกเล่าของคุณหลวงอภิบาลฯ จะถือเป็นหลักฐานชั้นที่หนึ่งได้หรือไม่
แต่คุณมนันยายืนยันว่าเรื่องนี้เป็นที่รู้กันในบรรดาลูกหลานเครือญาติ
ไม่มีใครมีหนังสือนายกุหลาบอยู่ในครอบครองสักคน
แม้แต่ตอนที่คุณมนันยาไปที่หอสมุดแห่งชาติเพื่อหาหนังสือของนายกุหลาบมาอ่าน
ก็ได้รับแจ้งว่าอยู่ในห้องหนังสือต้องห้าม(ภาษาราชการเรียกว่าอะไรไม่ทราบ ภาษาบอกเล่าเป็นคำนี้)
ถ้าจะเข้าไปอ่านต้องขออนุญาตจากผอ.หอสมุด ในขณะนั้นคือคุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ
คุณมนันยาก็ไปขออนุญาตคุณหญิง ก็ได้รับอนุญาต พบว่าหนังสือนายกุหลาบที่ถูกต้องห้ามนั้น
มีอยู่หลายเล่ม หลายประเภท ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือประเภทใดประเภทหนึ่ง
ห้ามถ่ายเอกสาร ต้องจดด้วยมือ ลอกข้อความออกมา
ถ้อยคำของพยานที่เคยใช้ชีวิตร่วมสมัยกับนายกุหลาบย่อมเป็นหลักฐานชั้นที่ ๑ ได้
และน่ารับฟังอยู่ แต่ก็ควรพิจารณาบริบทแวดล้อมจากการให้การของคุณหลวงอภิบาลฯ ด้วย
ผมไม่ทราบว่า คุณมนันยาไปสอบถามจากหลวงอภิบาล เมื่อหลวงอภิบาลอายุได้เท่าไร
แต่คงจะห่างจากปีที่พิมพ์หนังสือ ก.ส.ร.กุหลาบ ครั้งแรก ๒๕๓๙ พอสมควรทีเดียว
อย่างไรก็ดี สิ่งไม่ควรมองข้าม คือ ข้อมูลประวัติหลวงอภิบาลฯ (ทราบว่า นักสะสมตามหากันนัก)
ที่คุณวันดีได้เอามาลงไว้ บ่งบอกว่า นายชาย บิดา และหลวงอภิบาลฯ ไม่ได้อาศัยอยู่กับนายกุหลาบ
ในระยะเริ่มแรกที่นายกุหลาบเริ่มพิมพ์หนังสือสยามประเภท กล่าวอย่างนี้ บางคนอาจจะแย้งว่า
ก็นายกุหลาบอ้างนายชายเป็นคนถามเอาความรู้ต่างๆ จากนายกุหลาบ ลงในสยามประเภทไม่ใช่หรือ
ข้อนี้แก้ได้ว่า นายกุหลาบคงแต่งเอาชื่อนายชายมาเป็นตัวละครดำเนินเรื่องเท่านั้น
ตัวจริงนายชายคงรับราชการอยู่ต่างจังหวัด เมื่อคุณหลวงอภิบาลฯ ติดตามบิดาไปอยู่ต่างจังหวัด
โอกาสที่จะได้รู้เห็นกิจการของนายกุหลาบก็คงเมื่อคุณหลวงอภิบาลเติบโตได้หลายขวบ
ถึงกระนั้นก็คงไม่ได้คลุกคลีอาศัยอยู่กับนายกุหลาบมากนัก เพราะนายชายมีเรือนแล้ว
คงจะอาศัยอยู่บ้านต่างหาก แต่คงได้ไปเยี่ยมนายกุหลาบบ้าง
ส่วนเรื่องทำลายหนังสือที่นายกุหลาบพิมพ์ไว้นั้น ผมคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นภายหลังที่นายกุหลาบถึงแก่กรรม
เมื่อ ปี ๒๔๖๔ ตามที่มีคนค้นคว้าไว้ บอกว่า นายกุหลาบเลิกออกสยามประเภท เมื่อปี ๒๔๕๑
แต่จากนั้นก็ยังพิมพ์หนังสืออื่นๆ ออกมาอีก ส่วนสยามประเภทที่เหลืออยู่ คงจะส่งขายตามร้านหนังสือ
แต่คงจะขายไม่สู้ดีนัก เพราะสยามประเภทรวมเล่มรายปีแต่ละเล่ม มีราคาสูง ประกอบกับ
หนังสือที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ พงศาวดาร หรือเรื่องเก่าๆ ในปลายรัชกาลที่ ๕ ก็มีพิมพ์ทยอยกันออกมา
โดยเฉพาะหนังสือของพอพระสมุด มีทั้งพิมพ์แจกในงานศพสามัญชน และงานพระศพเจ้านาย
และโรงพิมพ์ต่างๆ ขอไปพิมพ์จำหน่าย ซึ่งน่าจะถูกกว่าหนังสือสยามประเภทมาก
นั่นอาจจะเป็นเหตุให้นายกุหลาบหันมาพิมพืหนังสือเล่มเล็กและบางลง เพื่อจะได้ขายได้ราคาไม่แพง
แต่เรื่องเก่าๆ ที่นายกุหลาบพิมพ์ขายนั้น ก็ไม่ใช่เทรนด์ ที่คนที่พออ่านออกเขียนได้ในสังคมตอนนั้นสนใจ
เพราะในช่วงนั้น หนังสือพิมพ์ก็มีออกมามากหัว หนังสือนิยายแปลก็เริ่มมีบ้างแล้ว
เรื่องอ่านเล่น ก็มีหนังสือวัดเกาะเพราะหนักหนา ที่ราคาย่อมเยา หนังสือนายกุหลาบจึงตกเทรนด์
เมื่อนายกุหลาบไม่มีทุนพิมพ์หนังสือต่อไปได้ อาจจะยุติกิจการโรงพิมพ์สยามประเภท
ประกอบกับอายุมากขึ้น จึงไม่สะดวกที่จะทำงานโรงพิมพ์ต่อไป กระนั้นหนังสือที่พิมพ์แล้ว
คงจะค้างอยู่ในโรงพิมพ์พอสมควร แน่นอนว่า ลูกหลานของนายกุหลาบคงจะไม่มีใครสนใจ
ที่จะดำเนินกิจการโรงพิมพ์ต่อจากบิดา เพราะต่างมีกิจการอาชีพอื่นที่ดีกว่า ชำนาญกว่างานโรงพิมพ์
เมื่อนายกุหลาบถึงแก่กรรมแล้ว มรดกในโรงพิมพ์ จึงไม่มีใครรับ อาจจะต้องขายโรงพิมพ์ไป
แต่หนังสือในโรงพิมพ์นั้น หากไม่ได้เอาไปให้โรงพิมพ์ใดรับไปขายต่อ ลูกหลานก็คงทำลายหมด
เพื่อไม่ให้คนอื่นที่ไม่ใช่ลูกหลานเอาไปหาประโยชน์ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการเผาทำลาย
นั่นอาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้หนังสือนายกุหลาบหมดสิ้นในครั้งนั้น
ส่วนต้นฉบับหนังสือนายกุหลาบ หากไม่ถูกทำลาย ก็คงจะเอาไปถวายวัดหรือหอพระสมุด
เพื่อเป็นกุศลอุทิศแก่นายกุหลาบ
ส่วนโรงพิมพ์นายกุหลาบนั้น ต่อมาก็กลายเป็นโรงพิมพ์ชื่อดังที่ออกหนังสือดีมีสาระประโยชน์
ซึ่งสมัยหนึ่งเจ้าคุณหนึ่ง คุณพระหนึ่ง คุณหลวงหนึ่ง เป็นนักประพันธ์มีชื่อได้ส่งผลงานไปลงพิมพ์
อยู่บ่อยๆ