การที่ ส. ศิวรักษ์ ถูกดำเนินคดีหมิ่นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นอกจากสะท้อนปัญหาในการมีและการใช้ ม.๑๑๒ แล้ว ยังมีปัญหาในเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในเมืองไทยอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
นับตั้งแต่เริ่มมีการศึกษาประวัติศาสตร์แบบตะวันตกในเมืองไทย ก็ดูเหมือนนักประวัติศาสตร์จะให้ความสำคัญแก่การสงครามมาแต่ต้น สงครามมีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของทุกประเทศจริง เพราะสงครามสะท้อนอะไรอื่นอีกหลายอย่างเช่น ระดับเทคโนโลยี, สังคม, เศรษฐกิจ หรือแม้แต่การเมือง ฯลฯ แต่นักประวัติศาสตร์ไทยสนใจสงครามอยู่เรื่องเดียวคือ การรบ และใครแผ่อำนาจไปถึงไหนได้บ้าง
เนื้อหาสำคัญของประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่โบราณมาจนถึงรัชกาลที่ ๔ จึงเป็นสงครามตลอด น่าเบื่อเข้าไส้แก่ทุกคน เพราะมองไม่เห็นว่าสงครามโบราณเหล่านั้นจะช่วยให้เข้าใจชีวิตจริงในอดีตหรือปัจจุบันได้อย่างไร ซ้ำร้ายยังช่วยส่งเสริมบทบาทครอบงำทางการเมืองของกองทัพเสียอีก คนไทยจำนวนมากยอมรับทันทีเมื่อกองทัพบอกว่าตนคือแนวหน้าในการปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะเขาถูกประวัติศาสตร์สอนมาว่า ชาติคือการรบ และเมื่อจะรบกันแล้ว ใครจะไปสำคัญกว่ากองทัพเล่า
ประวัติศาสตร์สงคราม (อันเป็นวิชาบังคับของโรงเรียนทหารทั่วโลก) ที่สอนในโรงเรียนทหารไทยนั้น กลายเป็นประวัติศาสตร์สงครามที่ตื้นเขิน เพราะประกอบด้วยศาสตร์ของการรบต่าง ๆ เช่นเทคโนโลยี, กำลังคน, ผู้นำทัพ, ยุทธวิธี มากกว่ายุทธศาสตร์ด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายของสงครามนั้นย่อมกว้างใหญ่ไพศาลกว่าการรบ เช่นชิงเมืองท่าของข้าศึกเพื่อกีดกันการค้ามิให้มาแข่งขันได้ เช่นที่อยุธยาเคยทำแก่จตุรพักตร์หรือพนมเปญ และหงสาวดีทำแก่เมืองท่าฝั่งตะวันตกของอยุธยา และส่วนนี้แหละที่ประวัติศาสตร์สงครามแบบไทยไม่ได้สอน
สงครามก็เหมือนกิจกรรมทางสังคมอื่น ๆ ของมนุษย์ เช่นการปกครอง, การปฏิบัติศาสนา, การค้าขาย, การขนส่ง ไปจนถึงการเลือกคู่ และการทำมาหากิน กล่าวคือไม่ใช่อากัปกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งที่อยู่โดด ๆ แต่เป็นการกระทำที่เชื่อมโยงไปถึงด้านอื่น ๆ เกือบทุกด้านของสังคม ถ้าเราย่นย่อประวัติศาสตร์สงครามให้เหลือเพียงมิติเดียวคือการรบ เรากำลังสอนเทวปกรณัมที่เทวดาองค์ต่าง ๆ ทำสงครามกันเท่านั้น ไม่สามารถสร้างนายทหารที่รบเป็นขึ้นมาได้ ไม่พักต้องพูดถึงแม่ทัพใหญ่ที่สามารถนำชัยชนะมาสู่กองทัพได้
ไม่ว่าพระนเรศวรจะได้ทรงทำยุทธหัตถีหรือไม่ หรือทรงทำในลักษณาการใด พระนเรศวรก็เป็นกษัตริย์ที่สำคัญพระองค์หนึ่งของอยุธยาอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะทรงมีพระชนมชีพในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของราชอาณาจักรอยุธยา ในช่วงเวลาที่อยุธยาอาจพัฒนาไปเป็นราชอาณาจักรขนาดใหญ่ หรือถอยกลับไปเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย (principalities) เหมือนรัฐไทยอื่น ๆ เช่นล้านช้าง, ล้านนา, รัฐชานในพม่า, รัฐไทในสิบสองจุไท, ฯลฯ
และเป็นเพราะสมเด็จพระนเรศวรนี่แหละที่ทำให้อยุธยาไม่มีวันถอยกลับไปเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยได้อีก
แม้ว่ากษัตริย์ก่อนหน้าสมเด็จพระนเรศวรพยายามสร้างราชอาณาจักรขนาดใหญ่ โดยการปราบปรามหรือผนวกแคว้นเล็กแคว้นน้อยมาไว้ในอำนาจ แต่แว่นแคว้นที่ขึ้นอยุธยาไม่เคยประสานกันได้สนิท การเสียกรุงแก่พระเจ้าบุเรงนองเป็นพยานให้เห็นว่าหัวเมืองเหนือหรือแคว้นสุโขทัยเดิม พร้อมจะแยกตัวกลับไปเป็นรัฐอิสระ (ที่อาจเปลี่ยนนายได้ตามจังหวะ)
ในช่วงที่อยุธยาตกเป็นประเทศราชของหงสาวดีภายใต้รัชกาลพระมหาธรรมราชา ไม่เฉพาะละแวกเท่านั้นที่ยกกำลังมาโจมตีกวาดต้อนผู้คนถึงอยุธยา แต่หัวเมืองในเขตที่เคยขึ้นต่ออยุธยาเองก็ทำอย่างเดียวกัน เช่นเพชรบุรี, ญาณพิเชียรได้กำลังคนจากลพบุรีก่อกบฏ และเจ้าเมืองพิชัยและสวรรคโลกเลือกจะขึ้นหงสาวดีแทนอยุธยา (นี่ว่าเฉพาะเท่าที่มีหลักฐานบอกให้รู้ได้) นี่คืออาการล่มสลายของราชอาณาจักรใหญ่ของพวกไทย-ลาวซึ่งเคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่สมเด็จพระนเรศวรสามารถหยุดยั้งกระบวนการนี้ได้ ซ้ำเสริมสร้างให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
มหายุทธนาการที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐต่าง ๆ ในช่วงนี้ เป็นไปได้ก็เพราะความเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้มาเป็นเวลากว่า ๑๐๐ ปีแล้ว ซึ่งมีผลต่อเทคโนโลยีทางทหาร สรุปได้สามอย่างคือ หนึ่งปืนไฟ (ทั้งปืนใหญ่และปืนประจำกายทหาร) ซึ่งฝรั่งพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจากเทคโนโลยีจีน สองทหารจ้าง ซึ่งกลายเป็นกำลังหลัก (elite force) ของกองทัพ ทหารจ้างเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญการรบยิ่งกว่าทหารเกณฑ์ในกองทัพชาวพื้นเมือง เพราะวิถีชีวิตในวัฒนธรรมหรืออาชีพก็ตาม และสามคือความสามารถที่จะเกณฑ์ช้างและม้าและผู้คนจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเพื่อใช้ในการสงครามได้
สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างเต็มที่ ทรงเสริมสร้างให้กำลังทหารและกำลังการบริหารของอยุธยาแข็งแกร่งเหนือหัวเมืองทั้งหมดอย่างเทียบกันไม่ได้ ปราศจากพลังกดดันอย่างใหญ่จากอำนาจภายนอก ก็ยากที่ราชอาณาจักรอยุธยาจะแตกสลายลงได้
ทรงกวาดต้อนผู้คนในแคว้นสุโขทัยเดิมลงมาไว้ในภาคกลางภายใต้อยุธยา เพื่อรวบรวมกำลังในการป้องกันตนเองจากทัพหงสาวดี ทำให้รอยแยกระหว่างสุโขทัยและอยุธยาสลายไปหมดในทางปฏิบัติ การเมืองเรื่องแย่งอำนาจระหว่างราชวงศ์ที่ครองอยุธยากับราชวงศ์ท้องถิ่น ต้องย้ายมาอยู่ในราชสำนักอยุธยาเพียงจุดเดียว
การเอาคนที่ยังวางใจสนิทไม่ได้จำนวนมากมาไว้ใกล้ตัว ด้านหนึ่งก็ทำให้ควบคุมได้ง่าย แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจก่ออันตรายให้แก่ตนเองได้ง่ายด้วย กวาดต้อนจึงไม่ใช่แค่เรื่องใช้กำลังทหาร แต่ต้องใช้วิธีอื่น ๆ อีกมากที่จะทำให้ภัยใกล้ตัวไม่เกิดขึ้น สงครามจึงไม่ใช่เรื่องการรบอย่างเดียวดังที่สอนกันในโรงเรียนทหาร มีเงื่อนไขอื่น ๆ ที่ทหารไม่ชำนาญอีกมาก ที่จะทำให้กองทัพประสบชัยชนะได้
การที่ทรงยกทัพไปปราบหัวเมืองใกล้เคียงและทำสงครามกับหงสาวดีเกือบตลอดรัชกาล ทำให้กองทัพจากส่วนกลางเหยียบย่ำไปทั่วพระราชอาณาจักร สะกดหัวเมืองให้สยบยอมต่ออยุธยาสืบต่อมาอีก ๒๐๐ ปี ก็เป็นผลให้อยุธยาเข้มแข็งขึ้นและใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์เหนือหัวเมืองทั้งหมดได้อย่างมั่นคง จริงอยู่ กษัตริย์นักรบที่ทำสงครามตลอดรัชกาลย่อมนำบ้านเมืองสู่หายนะ (อย่างเช่นกษัตริย์ราชวงศ์ตองอูระยะแรก ราชอาณาจักรอันไพศาลล่มสลายลงในพริบตาเมื่อสิ้นพระเจ้าบุเรงนอง) แต่ก็บังเกิดผลในระยะยาว หากผู้นำต่อ ๆ มารู้จักใช้ประโยชน์จากอำนาจครอบงำที่เกิดขึ้นได้อย่างสร้างสรรค์ เช่นสร้างระบบปกครองที่รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางยิ่งขึ้น
แต่ความสำคัญของสมเด็จพระนเรศวรที่เรียนและสอนกันในประวัติศาสตร์ไทย เหลืออยู่แค่เรื่องชนช้าง จนทหารบางคนเดือดร้อนที่มีคนพูดว่าท่านไม่ได้ชนช้าง ต้องไปฟ้องร้องให้เป็นคดีความว่าหมิ่นพระนเรศวร ซึ่งไม่รู้ว่าผิดกฏหมายข้อไหน (กลับไปอ่าน ม.๑๑๒ให้ดี ไม่ว่าจะยืดความหมายอย่างไร ก็คลุมไม่ถึงพระนเรศวรอยู่นั่นเอง)เก็บความจาก
นิธิ เอียวศรีวงศ์ : คุณค่าอื่นนอกจากรบไม่ขลาด (๑)