เคยอ่านนิตยสาร
สารคดี มีบทความเรื่อง
ศรัทธาและเงินตราในโลกธุรกิจพระเครื่องโดย คุณเกษร สิทธิหนิ้ว ลองหาจากเว็บได้ที่อยู่ -
http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=469 บางส่วนคัดมา ความว่าดังนี้ครับ
จากหลักฐานบรรดามีเท่าที่นักประวัติศาสตร์-โบราณคดีสืบค้นได้ในปัจจุบัน พอจะสรุปไปในทางเดียวกันได้ว่า
“พระเครื่อง” ซึ่งเป็นคำที่ย่อมาจากคำ “พระเครื่องราง” อันหมายถึงพระองค์เล็กๆ สำหรับนำติดตัวไปบูชานั้น ไม่ได้เป็น
ของที่มีอยู่ในสังคมไทยมาแต่เดิม หากเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่เกินร้อยปีมานี้เอง
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการอาวุโส ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ใน พระเครื่องในเมืองสยาม ว่า
“ความเชื่อเรื่องพระเครื่องเป็นสิ่งไม่พบเห็นในสังคมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา และก็ไม่น่าจะมีในสมัยกรุงธนบุรี และ
กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นๆ ด้วย
ถ้าจะให้เดากันตามความรู้ความเข้าใจของข้าพเจ้าในขณะนี้ ก็เชื่อว่าคงเกิดขึ้นราวสมัยรัชกาลที่ ๔ ลงมา
เพราะสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้นมีกันแล้ว”
คนไทยสมัยก่อนไม่มีใครนำพระพิมพ์มาห้อยคอหรือเก็บรักษาไว้ในบ้าน ด้วยถือว่าพระพุทธรูปต่างๆ เป็น
ของศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์ จึงควรอยู่ที่วัด การนำพระพุทธรูปเข้าบ้านถือเป็นเรื่องไม่สมควร
ขุนช้าง ขุนแผน พลายชุมพล และตัวละครทุกตัวในวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ซึ่งมีชีวิตโลดแล่นอยู่ใน
สมัยอยุธยาตอนปลาย-ต้นรัตนโกสินทร์ ก็ไม่มีใครนำพระมาห้อยคอ จะมีก็แต่เครื่องรางจำพวกตะกรุด ผ้ายันต์
ผ้าประเจียด ลูกอม เท่านั้น ที่พกติดตัว
ภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดต่างๆ นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาลงมาก็ไม่ปรากฏรูปทหารที่เอาพระมาห้อยคอ มีแต่
ที่ใส่เสื้อลงยันต์เท่านั้น
ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ช่วงที่กล่าวถึงครั้งโกษาปานไปฝรั่งเศส และได้แสดงการอยู่ยงคงกระพันโดย
ให้ทหารไทยยืนแอ่นอกให้ทหารฝรั่งเศสยิง ก็ไม่มีการกล่าวถึงพระพิมพ์ และพระเครื่องแต่อย่างใด
พระพิมพ์ได้เริ่มกลายสถานะมาเป็นพระเครื่องก็ในราวสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา โดยเฉพาะเมื่อเกิดความนิยม
ใน “พระกริ่ง” ซึ่งนับเป็น “พระเครื่องรางของขลัง” ขนานแท้
ความนิยมนับถือในพระกริ่งซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อในเรื่องการไม่นำพระพุทธรูปเข้าบ้าน
การนำพระมาไว้กับตัว ประกอบกับความนิยมในการเล่นของเก่าที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตกในช่วงเวลานั้น
ทำให้มีการขุดกรุหาสมบัติเก่าตามวัดร้าง และโบราณสถานต่างๆ กันอย่างแพร่หลาย .....