อาจารย์รู้สึกอย่างไรบ้างที่เรื่องราวของกระบวนการเสรีไทยนั้นเลือนหายไปจากสังคมก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะเรื่องกระบวนการเสรีไทยเป็นเรื่องที่คนไทยทุกหมู่เหล่าได้ประสานร่วมแรงร่วมใจกันเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ เป็นการปรองดองกันของคณะราษฎรกับคณะฝ่ายเจ้าเพื่อเอกราชของประเทศ
การพยายามจะเป็นระบอบประชาธิปไตยหลังสงคราม โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและทรงอยู่เหนือการเมือง และกระบวนการเสรีไทยก็ให้ความสำคัญกับประชาชนธรรมดาในท้องถิ่นที่เป็นพลพรรคหรือกำลังทำให้ประชาชนมีจิตสำนึกที่จะร่วมมือกันได้ คนในอีสานหรือในภาคอื่นก็เข้าร่วมด้วย ผมยังไปพบเจอตามท้องที่ต่าง ๆ เขายังพูดถึงเรื่องนี้อยู่ด้วยความภูมิใจ ที่ จ.แพร่ ก็มีพิพิธภัณฑ์เสรีไทย ที่คุณภุชงค์ กันทาธรรม (ทายาทของนายทอง กันทาธรรม อดีตเป็นเสรีไทยในจังหวัดแพร่ ถึงแก่กรรมแล้ว) ได้ทำไว้ ซึ่งดีมาก
แสดงให้เห็นถึงกลุ่มของชาวบ้านสามัญธรรมดาว่าเป็นกำลังหลักของประเทศชาติ เหมือนกับที่จำกัดพูดกับนายเตียง ศิริขันธ์ว่า “ท่านคือกำลังที่เป็นจริงของประเทศ ต้องพึ่งท่านแล้ว”
เมื่อความทรงจำร่วมกันที่สำคัญนี้ถูกข้ามมันก็มีผลต่อเส้นทางประชาธิปไตยและการปรองดองกันของผู้คนในช่วงหนึ่งที่เผด็จการทหารได้หวนกลับคืนมา จนกระทั่งระยะหลังถึงได้รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ก็เสียดายที่เราไม่ได้ศึกษาเรื่องคุณูปการของขบวนการอันสำคัญนี้
ละครเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะสื่อสารและรื้อฟื้นจิตวิญญาณของผู้คนที่รู้สึกว่าจะซึมซับได้มากกว่าเขียนหนังสือ ผมสนใจงานวิชาการที่จะเสนอแก่คนจำนวนมาก ผมจึงเขียนหนังสือ และอีกวิธีหนึ่งที่คนเขาบอกว่าจะสื่อต่อคนจำนวนมากได้คือละคร เสนอวิชาการที่มีการ commitment ด้วยใจ จะนำไปสู่ความเป็นจริงที่ทำให้ผลักดันสังคมไปสู่ Utopia ได้ ความมีประสิทธิภาพ ความมีเหตุมีผลที่เป็นความมุ่งมั่นของคนที่ตั้งใจ
ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์จาก
siamintelligence.com