เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 60 เมื่อ 15 ก.พ. 14, 11:05
|
|
ล่วงมาจนถึงปี 1928 แอลแมนโซอายุ 71 อาการเดินเขยกๆไม่ถนัดก็ชักจะมากขึ้นทุกที จากเท้าขึ้นไปสู่ขาจนทำให้เคลื่อนไหวได้ช้ามาก ลอร่าก็ปาเข้าไป 61 โรสเห็นว่างานในฟาร์มหนักเกินไปสำหรับพ่อแม่เสียแล้ว ทั้งสองควรได้อยู่สบายๆสมกับที่เหนื่อยมาตั้งแต่หนุ่มสาว ประกอบกับเธอขายลิขสิทธิ์เรื่องได้เงินมาถึงหนึ่งหมื่นดอลล่าร์ ซึ่งเป็นเงินก้อนโตในยุคนั้น เธอก็เลยสร้างบ้านใหม่ให้พ่อแม่อยู่ในเนื้อที่ของฟาร์มร็อคกี้ริดจ์นั่นเอง บ้านหลังใหม่เป็นบ้านแบบอังกฤษ ห้าห้องนอน ก่อด้วยหินสีน้ำตาลเหลือบอ่อนแก่หลายสี เป็นแบบบ้านที่โก้และแปลกตาไม่ซ้ำกับบ้านนาแถวมิสซูรี่ จึงเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของชาวบ้านมาก ขนาดยังสร้างไม่เสร็จ เจ้าของยังไม่ทันย้ายไปอยู่ ก็มีคนเข้ามาขอชมแล้ว เมื่อสร้างเสร็จ โรสสั่งเครื่องเรือนใหม่ทั้งหมดมาจากเมืองสปริงฟิลด์ ติดไฟฟ้าให้แทนตะเกียงน้ำมันอย่างเมื่อก่อน ส่งกุญแจบ้านให้แม่เป็นของขวัญวันคริสต์มาส ส่วนเธออยู่ในบ้านนาสีขาวหลังเดิม บัดนี้ทาสีใหม่ ติดไฟฟ้าสว่างไสวเช่นกัน มีเพื่อนฝูงในแวดวงหนังสือมาเยี่ยมเยียนและพำนักอยู่ด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 61 เมื่อ 15 ก.พ. 14, 11:08
|
|
ในปีที่ลอร่าและแอลแมนโซย้ายมาอยู่บ้านใหม่ คือครบรอบปีที่ 35 ที่เธอย้ายมาอยู่ที่มิสซูรี่พอดี เธอจ่ายค่าผ่อนชำระที่ดินงวดสุดท้ายที่กู้ยืมแบงค์มาเสร็จสิ้น ฟาร์มร็อคกี้ริดจ์ตกเป็นของเธอและแอลแมนโซโดยสมบูรณ์ มันก็น่าจะเป็นตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งของลอร่า เธอก้าวล่วงเข้าสู่วัยปลายอย่างเป็นสุข ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรกับสามี มีลูกสาวคนเดียวก็รุ่งโรจน์ในอาชีพอย่างน่าปลื้มใจ แถมยังเป็นลูกกตัญญูอีกด้วย เป็นชีวิตที่จบลงอย่างสวยงามเหมือนฝัน แต่พระเจ้าไม่ยอมให้ชีวิตของลอร่าจบเพียงแค่นี้ ในวัยหกสิบกว่า เธอเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 62 เมื่อ 18 ก.พ. 14, 10:59
|
|
กระท่อมแบบอังกฤษที่โรสสร้างให้พ่อแม่ (ภาพใหญ่)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 63 เมื่อ 18 ก.พ. 14, 11:55
|
|
ภาระต่างๆถูกปลดเปลื้องลงไปจากบ่าของสามีภรรยา เมื่อไม่ต้องผ่อนธนาคาร และแอลแมนโซก็ขายฝูงแกะรุ่นสุดท้ายไป ได้เงินมาอีกก้อนหนึ่ง สามีภรรยาก็ค่อยสบายขึ้น มีเวลาว่างมากขึ้นกว่าเก่า แอลแมนโซมีเวลาไปสังสรรค์กับชาวบ้านมากขึ้น ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก แค่ฆ่าเวลาด้วยการไปเล่นพูลในเมืองบ้าง แนะนำชาวบ้านเรื่องการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มบ้าง ตามประสาผู้สูงอายุที่ไม่มีห่วงเรื่องทำมาหากินอีกแล้ว
ส่วนลอร่าเมื่อมีเวลาว่างมากขึ้น เธอเริ่มย้อนนึกถึงอดีตในวัยเด็กที่ไม่เหลือร่องรอยอีกแล้วในชีวิตของคนยุคนี้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เทคโนโลยี่ใหม่ๆเกิดขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน รถยนต์ ไฟฟ้าตามบ้านเรือน เมืองขยายใหญ่ขึ้น วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมากมาย แต่ความทรงจำในเรื่องดีๆเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนยังแม่นยำอยู่ในใจ เธอก็เลยไม่อยากให้ชีวิตในอดีตเหล่านั้นสูญหายไปกับกาลเวลา
ลอร่าหยิบสมุดนักเรียนที่ซื้อมานมนานแล้วขึ้นมาเปิด เหลาดินสอ แล้วเริ่มเขียนต้นฉบับอย่างบรรจง ถ่ายทอดชีวิตของเธอตั้งแต่เริ่มจำความได้ที่บ้านในป่าใหญ่รัฐวิสคอนซิน โยกย้ายอพยพไปหลายแห่งจนลงเอยที่เมืองเดอสเม็ต เมื่อเธอเป็นสาวและได้แต่งงานกับแอลแมนโซ เธอตั้งชื่อหนังสือเรื่องนี้ว่า Pioneer Girl
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 64 เมื่อ 18 ก.พ. 14, 12:12
|
|
โรสช่วยแม่อ่านและตรวจสอบแก้ไข เพราะเธอเคยทำหน้าที่บรรณาธิการมาก่อน จนกระทั่งต้นฉบับแก้ไขปรับปรุงจบบบริบูรณ์ เธอพิมพ์ต้นฉบับเป็นตัวพิมพ์ดีดทั้งเล่ม แล้วนำไปเสนอสำนักพิมพ์ต่างๆ แม้ว่าบรรณาธิการหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องราวชีวิตของลอร่าน่าสนใจมาก แต่ก็ไม่มีที่ไหนรับซื้อเพื่อตีพิมพ์รวมเล่มอยู่ดี
เหตผุลสำคัญ หนังสือเล่มนี้แน่นเอี้ยดไปด้วยรายละเอียดข้อเท็จจริง จนกลายเป็นสารคดีอัตชีวประวัติมากกว่ามีรสชาติสนุกสนานอย่างนวนิยาย ลอร่าเน้นการบันทึกเหตุการณ์เสียมากกว่าจะสร้างพัฒนาการของตัวละคร หลังจากต้นฉบับถูกส่งกันไปมาอยู่หลายแห่ง เพื่อนในวงวรรณกรรมของโรสก็ออกความเห็นว่า เจ้าของเรื่องน่าจะดัดแปลงเสียใหม่ ให้เป็นวรรณกรรมสำหรับเด็กจะอ่านง่ายกว่า และสนุกดีด้วย
ลอร่าเอาต้นฉบับกลับมาแก้ไขอีกครั้ง เธอตัดตอนออกเหลือแต่ชีวิตวัยต้นที่ป่าใหญ่ในรัฐวิสคอนซิน เขียนถึงชีวิตของชาวบ้านสมัยนั้นที่ดำเนินไปในแต่ละรอบปี เริ่มจากฤดูหนาวที่ต้องหาและกักตุนอาหารไว้กินตลอดฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิที่เด็กๆเริ่มออกมาเล่นนอกบ้านได้ กับไปพบปะญาติๆในงานเต้นรำตามบ้าน ฤดูร้อนที่เพื่อนบ้านไปมาหาสู่กัน และฤดูใบไม้ร่วงที่เก็บเกี่ยวพืชผลเพื่อเตรียมสะสมไว้กินในฤดูหนาวอีกครั้ง สำนักพิมพ์ Harper&Brothers ตกลงรับพิมพ์เรื่องนี้ในค.ศ. 1931 ทั้งตัวบรรณาธิการและลอร่าเองก็ไม่คิดว่าหนังสือเล็กๆเขียนขึ้นสำหรับเด็กวัยประถมอ่านกันเล่มนี้ จะเป็นหนังสือที่เลื่องลือไปทั่วโลก พาเอาชีวิตชาวนาจนๆครอบครัวหนึ่งที่ไร้ความสลักสำคัญใดๆ สมัยเขายังมีชีวิตอยู่ กลายเป็นบุคคลอมตะในที่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หลงลืม
อสุรผัด
ตอบ: 4
|
ความคิดเห็นที่ 65 เมื่อ 19 ก.พ. 14, 22:55
|
|
ขอบคุณ อ.เทาชมพูมากๆค่ะ เคยอ่านชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่เมื่อครั้งเป็นวัยรุ่น และซื้อเก็บไว้ย้ายบ้านหลายครั้งหอบหิ้วมาตลอด จนลูกโตเป็นสาววัยรุ่น เลยหยิบมาอ่านอีกครั้ง แต่การอ่านครั้งนี้มีความรู้สึกว่าเหมือนไม่จบ อยากรู้จักครอบครัวลอร่ามากกว่านี้ พยายามค้นหาข้อมูลก็ได้มาเพียงเล็กน้อย จนมารู้จักเรือนไทย มาเจอหัวข้อนี้ ดีใจมากค่ะ เหมือนคนกินข้าวเต็มกระเพาะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 66 เมื่อ 20 ก.พ. 14, 10:46
|
|
ดีใจมาก ที่เจอคนชอบหนังสือเรื่องเดียวกัน กระทู้นี้ทำให้รู้ว่าแฟนหนังสือของลอร่าในประเทศไทยมีไม่น้อยเลยค่ะ เห็นได้จากค.ห.ที่โพสเข้ามา และจากสถิติคนอ่านที่ขึ้นไปเรื่อยๆทุกวัน
ย้อนกลับไปที่ลอร่า เมื่อหนังสือเล่มแรกของเธออยู่ระหว่างตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ในค.ศ. 1931 เธอกับแอลแมนโซก็ตัดสินใจจะเดินทางกลับไปสู่ความหลัง ด้วยการขับรถบูอิคสีน้ำเงินที่โรสซื้อให้ ออกจากมิสซูรี่ไปตามเส้นทางที่ทั้งสองเคยนั่งเกวียนอพยพกันมาเมื่อ 37 ปีก่อน ย้อนกลับไปเมืองเดอสเม็ต อันเป็นที่ที่พ่อตั้งหลักแหล่งอยู่เป็นครั้งสุดท้าย ลอร่ากลับไปเดอสเม็ตครั้งสุดท้ายเพื่อดูใจพ่อ หลังจากนั้นเธอไม่ได้กลับไปอีกเลย แม้แต่ตอนที่แม่และแมรี่ถึงแก่กรรม ทั้งสองป่วยกะทันหันและสิ้นลมหายใจไปในเวลาไม่กี่วัน ก่อนที่แครี่และเกรซจะทันส่งข่าวถึงพี่สาว บัดนี้ก็เหลือแต่น้องสาวสองคน อยู่กันคนละเมืองในรัฐดาโกต้าใต้
ลอร่ากลับไปถึงเมืองเล็กที่เธอเคยอยู่ตั้งแต่เห็นเมืองก่อตัวขึ้นกลางทุ่งกว้าง พ่อเป็นผู้อพยพมาตั้งถิ่นฐานคนแรก บัดนี้ก็ยังเป็นเมืองเล็กไม่ต่างจาก 37 ปีก่อนที่เธอจากที่นี่ไป อากาศในฤดูร้อนยังคงร้อนและแห้งแล้งเช่นเก่า เพื่อนนักเรียนและเพื่อนบ้านบางคนยังตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เดิม แต่หนุ่มสาววัยเดียวกันในสมัยโน้นกลับกลายเป็นคนแก่ในวัยเกษียณกันหมดแล้ว แปลกตาจนลอร่าต้องบันทึกเอาไว้ในสมุดความจำของเธอ ว่า ทุกคนที่เธอรู้จักกลายเป็นคนชรากันไปทั้งหมด
เดอสเม็ตในปัจจุบันยังคงทิ้งร่องรอยเมื่อลอร่าเคยอยู่ แม้ว่าเกวียนและรถม้า กลายเป็นรถยนต์ ถนนก็ขยายกว้างขึ้นแทนที่จะเป็นถนนดินปนฝุ่นของเดิม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
visitna
|
ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อ 20 ก.พ. 14, 11:11
|
|
ดูภาพเก่าในอเมริกาที่นี่มีภาพเยอะมาก คมชัด http://www.shorpy.com/
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 68 เมื่อ 20 ก.พ. 14, 11:39
|
|
^ เข้าไปดูแล้วค่ะ ภาพสวยน่าทึ่งมาก ถ้าจะตั้งกระทู้เล่าถึงบ้านเมืองของอเมริกาในยุค 1950s หรือก่อนนั้น ใช้ภาพประกอบในเว็บนี้เว็บเดียวก็พอ
กลับมายังลอร่าในเดอสเม็ต เธอแวะไปเยือนสถานที่ต่างๆในอดีต ขับรถออกนอกเมืองไป 7 ไมล์เพื่อเยี่ยมเกรซที่เมืองแมนเชสเตอร์ เธอย้ายจากบ้านเดิมของพ่อไปอยู่ที่บ้านฟาร์มของสามีนับแต่แมรี่ถึงแก่กรรม ลอร่าแวะไปเยือนที่ดินเคยจับจองไว้ ไม่มีเพิงหรือบ้านเดิมเหลืออยู่ กลายเป็นที่ดินว่างๆ ต้นไม้เหลือไม่กี่ต้น บ้านเพิงที่เคยอยู่ตอนโรสเกิดก็กลายเป็นนาข้าวสาลี ทำให้ลอร่าคิดถึงคนเก่าๆจับใจ เวลาผ่านไป 37 ปี พ่อ แม่ แมรี่ สามีภรรยาโบ๊สต์ที่เป็นเพื่อนสนิทของครอบครัว และแค้ป การ์แลนด์ล้วนจากไปหมดแล้ว แครี่ก็อยู่ห่างไกล มีแต่เกรซเท่านั้นที่ยังอยู่ในละแวกบ้านเดิม
ลอร่ากลับไปที่บ้านเดิมในเมืองที่พ่อสร้างไว้ เมื่อเกรซย้ายออกไปอยู่บ้านนาของสามี ก็ให้บ้านนี้เช่า พร้อมกับขนข้าวของเครื่องใช้เดิมขึ้นไปเก็บไว้ในห้องใต้หลังคา ลอร่าเสียดายมากพบว่าของใช้หลายอย่างหายสูญไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 69 เมื่อ 20 ก.พ. 14, 11:43
|
|
บ้านที่พ่อสร้างไว้ในเมือง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 70 เมื่อ 20 ก.พ. 14, 11:45
|
|
มีคำบรรยายว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของลอร่าในเมืองเดอสเม็ต แต่ดูหน้าตาแล้วเป็นคนละหลังกับบ้านข้างบนนี้ เป็นไปได้ไหมว่าเป็นบ้านที่ลอร่ากับแอลแมนโซเคยมาเช่าอยู่ หลังจากขายฟาร์มไปแล้ว แต่ยังไม่ได้อพยพไปมิสซูรี่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 71 เมื่อ 21 ก.พ. 14, 20:43
|
|
หลังจากไปเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงเก่าๆที่ยังเหลืออยู่ในเมืองเดอสเม็ต ลอร่ากับแอลแมนโซก็เดินทางไปที่เมืองคีย์สโตน ใกล้เชิงเขารัชมอร์ เพื่อไปเยี่ยมแครี่กับสามี น้องสาวของลอร่าแต่งงานกับพ่อม่ายเจ้าของเหมือง อาศัยอยู่ที่นั่น เธอพาพี่สาวพี่เขยท่องเที่ยวไปในละแวกนั้นจนกระทั่งถึงเวลาลอร่ากลับไปมิสซูรี่ ลอร่าเรียกรัฐดาโกต้าใต้ว่า "ดินแดนแห่งอดีตที่ไม่คืนกลับมา" ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเคยรู้จักและผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านฟาร์ม บ้านในเมือง พ่อ แม่ พี่สาวคู่ใจ เพื่อนสนิทมิตรสหาย ล้วนแต่ลับหายไปกับกาลเวลา เดอสเม็ตที่ยังอยู่ก็กลายเป็นบ้านอื่นเมืองอื่น ไม่เกี่ยวกับอดีตของเธออีกต่อไป เธอจึงโล่งใจเมื่อถึงเวลาเดินทางกลับมาแมนสฟิลด์ มาสู่บ้านในปัจจุบันของเธอ
ไม่กี่เดือนต่อมา พอถึงค.ศ. 1932 "บ้านเล็กในป่าใหญ่ "นิยายเรื่องแรกในชีวิตของลอร่าก็ตีพิมพ์เสร็จสมบูรณ์ ออกวางจำหน่าย ลอร่าดีใจมากที่เห็นผลงานของตัวเองปรากฏเป็นจริงขึ้นมา แม้ว่าเธอไม่ได้คาดหวังมากนัก เพราะมันก็เป็นเพียงหนังสือเด็กเล่มเล็กๆเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่เธอก็ภูมิใจที่ทำให้ชีวิตของพ่อ แม่ แมรี่และแครี่น้องสาวพลิกฟื้นขึ้นมาอีก จากอดีตในป่าใหญ่วิสคอนซินเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน
" บ้านเล็กในป่าใหญ่" ฉบับพิมพ์ครั้งแรก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 72 เมื่อ 21 ก.พ. 14, 20:52
|
|
1932 เป็นยุคเศรษฐกิจตกต่ำของอเมริกา ธนาคารล้ม โรงงานปิด ผู้คนตกงาน ทำให้การจำหน่ายหนังสือออกจะฝืดเคืองอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม นิยาย"บ้านเล็ก" กลับเป็นที่ต้อนรับอย่างดีตามโรงเรียน ห้องสมุด และร้านหนังสือ หนังสือเล่มนี้ถูกนำไปอ่านประกอบในวิชาประวัติศาสตร์ของอเมริกาเมื่อเรียนถึงยุคบุกเบิก สถิติการจำหน่ายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่หยุดยั้ง ลอร่ารับเช็คครั้งแรกเป็นจำนวนกว่า 500 ดอลล่าร์ด้วยความสุข แต่สิ่งที่ดีกว่านั้นก็คือ จดหมายจากเด็กๆเริ่มหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ กระหายอยากจะอ่าน และอยากจะรู้ถึงชีวิตหนูน้อยในกระท่อมไม้ซุงมากกว่านี้อีก
ในวัย 65 ปี ที่คนทั่วไปเกษียณจากงาน เริ่มพักผ่อนรอรับบั้นปลายชีวิตกัน ดาวประจำตัวของคุณยายชาวนาคนหนึ่งในมิสซูรี่ก็เริ่มฉายแสงขึ้นสว่างไสวในฟากฟ้าวรรณกรรมของอเมริกา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 73 เมื่อ 22 ก.พ. 14, 11:14
|
|
ในเมื่อส้มทองคำหล่นลงมาทั้งเข่งในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ สำนักพิมพ์ Harper&Brothers จึงไม่ยอมให้โอกาสทองผ่านมือไปง่ายๆ แต่เสนอให้ลอร่าเขียนวรรณกรรมเด็กเรื่องต่อไป เกี่ยวกับชีวิตในยุคเดียวกันเช่นเดียวกับเล่มแรก ลอร่ายังนึกไม่ออกว่าเธอจะเขียนตอนต่อไปในชีวิตวัยเยาว์อย่างไร ก็เหลียวซ้ายแลขวาไปเจอชีวิตของสามีเข้าก่อน แอลแมนโซเคยเป็นเด็กชาวนามาอย่างเดียวกับเธอ ชีวิตวัยเด็กของเขาสมบูรณ์พูนสุขอยู่ในเมืองมาโลน รัฐนิวยอร์ค เขาเคยเล่าถึงชีวิตประจำวันให้เธอฟัง ประกอบกับลอร่าเองก็เป็นชาวนามาตลอดชีวิต เธอจึงเข้าใจวิถีชีวิตของชาวนาเจ้าของฟาร์มอย่างดี เสียแต่แอลแมนโซเป็นคนขี้อายและถ่อมตัว เขาก็เฝ้าแต่ตอบคำถามภรรยาว่า "ชีวิตฉันไม่มีอะไร" " ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องเล่านี่" แต่ผู้หญิงอย่างลอร่าก็ไม่ยอมแพ้ เธอไม่เล่า ฉันเล่าแทนเธอก็ได้ ผลก็คือ นิยายเล่มที่สอง Farmer Boy หรือ "เด็กชายชาวนา" เปิดตัวสู่โลกวรรณกรรมในปีต่อมาคือปี 1933 ได้รับการต้อนรับอย่างดีเช่นกัน สำหรับเด็กๆทั่วอเมริกาที่กระหายอยากรู้จักชีวิตเมื่อหกสิบปีก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 74 เมื่อ 23 ก.พ. 14, 20:16
|
|
โรสเองก็ขะมักเขม้นผลิตงานวรรณกรรมในช่วงนี้ เธอเขียนเรื่องที่ใช้ฉากยุคบุกเบิก ส่วนหนึ่งจากคำบอกเล่าของแม่เมื่อวัยเยาว์ ลงเป็นตอนๆในหนังสือพิมพ์ชื่อ Let the Hurricane Roar (สุคนธรสแปลเป็นไทยว่า "ไม่ระย่อมรสุม" ) กลายเป็นหนังสือดังอีกเล่มหนึ่งของวงวรรณกรรม ส่วนลอร่าเอง ความสำเร็จของหนังสือสองเล่มเป็นกำลังใจให้เธอมุมานะจะเขียนเล่มที่สามขึ้นมาจนสำเร็จ เธอยังเลือกเนื้อเรื่องจากชีวิตวัยเด็กของเธอ ตามคำร้องขอทั่วสารทิศจากเด็กๆและผู้ใหญ่ บ่อยครั้งเธอตื่นขึ้นในตอนดึก สมองเต็มไปด้วยความคิดที่จะเขียนตอนใหม่ๆในหนังสือเล่มใหม่ เธอก็จะลุกจากเตียงอย่างเงียบกริบ ลงมาเขียนหนังสือด้วยดินสอ ลงในสมุดนักเรียนราคาถูกๆที่เธอซื้อมาจากร้านในเมือง เมื่อจบตอนลงไปเธอก็ส่งให้ลูกสาวอ่าน และแก้ไขขัดเกลา แต่โรสก็จะให้กำลังใจแม่เสมอว่า "แม่เขียนอะไรก็น่าอ่านทั้งนั้นละจ้ะ"
เมื่อเขียน "บ้านเล็กในป่าใหญ่" ลอร่าไม่ได้คิดว่าจะมีภาค 2 ชีวิตของหนูน้อยลอร่าในป่าใหญ่จบลงอย่างผาสุก เมื่อฤดูหนาวเวียนมาอีกครั้ง ในฉากสุดท้ายเธอเข้านอนพร้อมกับแมรี่และน้องน้อยแครี่ เมื่อไฟยังลุกอบอุ่นอยู่ในเตา แม่นั่งถักไหมพรม พ่อสีซอไวโอลินขับกล่อมลูกน้อยด้วยเพลง Auld Lang Syne ซึ่งหมายถึง "เวลานมนานมาแล้ว" แต่เมื่อเสียงเรียกร้องระดมกันมาหนักเข้า เธอก็ตัดสินใจเล่าถึงชีวิตช่วงต่อไป เมื่อพ่อแม่พาลูกๆอพยพจากป่าใหญ่ไปตั้งถิ่นฐานในรัฐแคนซัส เรื่องนี้คือ Little House on the Prairie บ้านเล็กในทุ่งกว้าง ต่อมาเป็นชื่อที่แพร่หลายที่สุดในชุด "บ้านเล็ก"
ซ้ายคือฉบับพิมพ์ครั้งแรก ขวาคือฉบับพิมพ์ปัจจุบัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|