เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.ค. 02, 10:39



กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.ค. 02, 10:39

สุนทรภู่เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙
ครบรอบ ๒๑๖ ปีในวันนี้

ขอรำลึกด้วยบทกลอนจากผลงานของท่าน ในลีลาโวหาร
ตามแบบที่นับกันในวรรณคดีไทย ว่ามี ๔ แบบใหญ่ๆคือ

๑)เสาวรจนี    พรรณาความงาม

ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย
ยังไม่เคยชมชิดพิศมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย
จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย

พระจันทรจรสว่างกลางโพยม
ไม่เทียบโฉมนางงามพี่พราหมณ์เอ๋ย
แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย
ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน
(จาก  พระอภัยมณี)

๒)นารีปราโมทย์ บทเกี้ยวผู้หญิง

สายสุดใจไม่หลับจะรับขวัญ
ร้องโอดพันพัดชาช้าลูกหลวง
ประโลมแก้วแววตาสุดาดวง
ให้อุ่นทรวงไสยาสน์ไม่คลาดคลาย
(จาก รำพันพิลาป)

๓)พิโรธวาทัง บทขุ่นเคืองหรือตัดพ้อ

บางหว้าน้อยน้อยจิตด้วยพิศมัย
น้อยหรือใจจืดจางให้หมางหมอง
หมายว่ารักจักได้พึ่งเหมือนหนึ่งน้อง
เห็นเจ้าของขายหน้าทั้งตาปี
(จาก นิราศพระประธม)

๔) สัลลาปังคพิสัย  บทโศก

ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าให้เหงาหงิม
สุชลปริ่มเปี่ยมเหยาะเผาะเผาะผอย
โอ้เย็นย่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย
น้องจะลอยลมบนไปหนใด

(จาก นิราศอิเหนา)

ขอเชิญท่านที่จำเกี่ยวกับสุนทรภู่ได้ ไม่ว่าจะกลอน หรือประวัติ มาแจมกระทู้ด้วยค่ะ

อ่านเว็บเกี่ยวกับสุนทรภู่ได้ที่นี่ค่ะ
 http://www.geocities.com/tthida/  


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 26 มิ.ย. 02, 15:41
 อีกบทความหนึ่งของอ.ศานติ ภักดีคำในศิลปวัฒนธรรมฉบับล่าสุดครับ น่าสนใจมากกกกก.......

 http://www.matichon.co.th/magazine/art/ac_story.asp?selectdate=2002/06/01&stid=350


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 26 มิ.ย. 02, 16:06
 เรื่องภูมิศาสตร์พระอภัยมณีที่อาจารย์ศานติเขียนไว้ในศิลปวัฒนธรรมที่คุณ CH ทำลิ้งก์ให้ เป็นเรื่องสนุกครับ มีคนเคยเขียนถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้วหลายท่าน ตามบทความของอาจารย์ศานติพูดถึงชื่อเมืองต่างๆ ไว้หลายเมือง พยายามเทียบว่าเป็นเมืองอะไรจริงๆ และบอกไว้ด้วยว่ามีกลุ่มชื่อเมืองจีนกลุ่มหนึ่งที่อาจารย์ยังไม่ได้ถอดว่าเป็นเมืองอะไรของจริง

ผมได้อ่านบทความนี้แล้วเมื่อสักอาทิตย์ก่อน และชอบมาก ได้เขียนอีเมล์ไปหา บก. ศิลปวัฒนธรรมแล้วด้วยว่าผมขออนุญาตร่วมวงเดาว่า อ้ายมุ้ยของท่านสุนทรภู่ คือเมืองท่าของจีนแถวๆ มณฑลฮกเกี้ยน (ฟุเจี้ยน) ที่ฝรั่งแต่ก่อนเรียกว่า Amoy และคนไทยเคยเรียกว่า เอ้หมึง ในภาษาจีนกลางเรียกว่า เซี่ยเหมิน ส่วนกึงตั๋งนั้นผมเดาว่าเป็นเมืองเดียวกับกังตั๋งในสามก๊ก คือที่ตั้งก๊กของซุนกวน อยู่ทางมณฑลเสฉวน ริมมหานทีแยงซีเกียง

จอมยุทธ CH จะร่วมสนุกเดากับผมไหมล่ะครับ เมืองชื่อฝรั่งชื่อแขกอาจารย์ศานติท่านเดาไว้แยะแล้ว เหลือแต่เมืองชื่อจีนๆ


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 26 มิ.ย. 02, 18:25
 ชอบบทกลอนสอนใจบทนี้มากค่ะ
ถ้าจำไม่ผิดพระฤๅษีสอนสุดสาคร
ไว้ในเรื่องพระอภัยมณีใช่ไหมคะ

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

กับบทนี้ค่ะ แต่จำไม่ได้ว่ามาจากเรื่องอะไร รบกวนท่านผู้รู้กรุณาช่วยบอกด้วยค่ะ

อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก
แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
ถึงเจ็บอื่นหมื่นแสนคงแคลนคลาย
เจ็บจนตายเพราะเขาเหน็บให้เจ็บใจ


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: อ้อยขวั้น ที่ 27 มิ.ย. 02, 13:09
 นึกถึงบทที่บอกใบ้ว่าอยากฉันอะไรตอนที่บวชอยู่น่ะค่ะ  แต่จำไม่ได้


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 27 มิ.ย. 02, 15:49
 เมื่อวานไปที่ห้องเพื่อนเห็นมีหนังสือกรที่สุนทรภู่แต่งไว้ด้วยค่ะเลยลองเปิดอ่านดู  ชอบกลอนของท่านเกือบทุกบทเลยโดยเฉพาะกลอนสอนหญิง  เพื่อนพูดว่านี่ขนาดท่านเป็นผู้ชายนะยังรู้จักมารยาทหญิงที่ดีเลย


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 27 มิ.ย. 02, 15:50
 พิมพ์ผิดค่ะข้อแก้จากกรเป็นกลอนค่ะ


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 28 มิ.ย. 02, 01:02
 ชอบกลอนบทนี้น่ะครับใช่ของท่านสุนทรภู่หรือเปล่าครับเนี่ย
ผมคาดว่าใช่ แฮะ ความรู้ด้านกลอนผมเนี่ย น้อยกว่าหางอึ่งซะอีก
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันขโมง
มีพันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจืออกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งว่าจะบ้าตาย
ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดฉไน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน
ผมจำกลอนชุดนี้ได้เท่านี้เองครับ ใช่ของท่านสุนทรภู่หรือเปล่าก็ไม่แน่ ผมคิดว่า ท่านสุนทรภู่นี่แหละ ที่เป็นผู้ทำให้กลอนแปดเป็นที่นิยมขึ้นมาใช่มั้ยครับ
เพราะว่า บทกวีในสมัยก่อน อย่างสมัยอยุธยาเนี่ย น่าจะเป็นโคลง หรือกาพย์มากกว่า
อย่างกาพย์ที่นิพนธ์โดยเจ้าฟ้ากุ้ง
กลอนที่ผมชอบอีกของท่านสุนทรภู่นั้น ก็อย่าง กลอนจากสุภาษิตสอนหญิง  แต่พอดีผมจำไม่ได้ซะแล้ว
ส่วนละครและนิยายที่ท่านสุนทรภู่แต่งไว้ นั้นดังที่สุดก็
พระอภัยมณี ส่วนอีกเรื่องที่ผมชอบเหมือนกันก็ เรื่อง สิงหไรภพ (หวังว่าใช่นะเนี่ย)
ต้องขอหยุดไว้ก่อนล่ะครับ ขืนนึกต่อไปเรื่อย ๆ คงหน้าแตกไม่เหลือแน่เลย


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: ภูวง ที่ 28 มิ.ย. 02, 06:50
 ผมก็ชื่นชอบกวีท่านนี้มาก แต่มีความรู้เกี่ยวกับท่านน้อยจนไม่ต้องขอมาฟังท่านผู้รู้ทั้งหลาย

ชอบเอกลักษณ์การแต่งกลอนของท่านครับ ที่ต้องมีสัมผัสในมากๆ คำที่ใช้ไม่ยากแต่น่าฟัง

เรื่องสิงหไกรภพ มังครับคุณพระนาย


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 28 มิ.ย. 02, 09:30
 ว้า   ที่พอจะจำได้  ก็ถูกแสดงหมดแล้ว
งั้นขอต่อของคุณทองรักแล้วกัน  ในส่วนพระฤาษีสอนสุดสาคร

มนุษย์นี้มีรักอยู่สองสถาน
คือบิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน
เกิดเป็นคนควรคิดเห็นจึงเจรจา

ไม่รับรองว่าจะถูกทุกคำนะครับ  เพราะมาจากความทรงจำที่ออกจะเลือนๆ  ส่วนบทต่อจากนี้เป็นทีเด็ด  เสียดายที่จำไม่ค่อยได้  แต่ถ้าใครมีหนังสือพระอภัยมณี  ลองเปิดหาดูจะเป็นจุดที่บอกให้รู้ว่าไม้เท้าของสุดสาครนั้นชื่ออะไร

สุนทรภู่เป็นกวีสามัญชนครับ   มีปฏิภาณ ไหวพริบเป็นเลิศ  นอกจากจะคิดค้นปรับปรุงหลักฉันทลักษณ์ของกลอนตลาด  ให้สละสลวยไพเราะมากยิ่งขึ้น  จนเป็นที่รู้จักแพรหลายในนามกลอนแปดบ้าง  กลอนสุนทรภู่บ้าง  ยิ่งกว่านั้นยังสร้างผลงานไว้มากมายอันเป็นที่ประทับใจของผู้คนมาตั้งแต่ยุคสมัยที่ท่านยังมีชีวิต


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 28 มิ.ย. 02, 09:57
 จำบทนั้นไม่ได้เหมือนกันเลยค่ะ คุณถาวภักดิ์ แต่จำได้ว่าเคยมีคนบอกว่าไม้เท้าของสุดสาครชื่อ "เถิด" ;_) มีใครจำตอนนี้ได้กรุณามาแปะให้อ่านหน่อยได้ไหมคะ

เอากลอนบทเต็ม ๆ มาฝากคุณพระนายค่ะ
จากเรื่องนิราศภูเขาทอง

ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
สรรเพชรโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 28 มิ.ย. 02, 14:34
 แฮ่  เป็นมุขครับคุณทองรัก  คุณทองรักเล่นรับต่อเป็นตุเป็นตะ  เดี๋ยวเด็กเล็กมาเจอ  เชื่อเป็นจริงเป็นจัง  จะเสียยี่ห้อหมด

ด้วยวรรคต่อมามีความว่า  "เจ้าจงไปเอาไม้เท้าเถิด"   คุณมนันยาจึงนำไปเป็นมุขในหนังสือชุดชาวเขื่อนอันเลื่องชื่อของเธอ  ว่าไม้เท้าของสุดสาครมีชื่อว่าเถิด

นอกจากนี้ในตอนเดียวกันนั้น  คุณมนันยายังเล่นมุขอีกว่าพระฤาษีของสุดสาครนั้นอ้วน  ด้วยเหตุว่าวรรคก่อนหน้าที่ยกมาให้อ่านกัน อันเป็นตอนที่พระฤาษีโผล่มาช่วยสุดสาครที่ถูกชีเปลือยผลักตกเหว  มีความว่า  "พระฤาษีขี่รุ้งพุ่งออกมา"  แต่แบบเรียนของกระทรวงฯยุคนั้นพิมพ์ตกไม้เอก  จึงกลายเป็น "พระฤาษีขี่รุ้งพุงออกมา"  ทำให้เห็นภาพพระฤาษีอ้วนพุงปลิ้นเหาะตุปัดตุเป๋ด้วยแรงเฉื่อย ตะกายมาช่วยพระเอกของเราด้วยความทุลักทุเล


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 28 มิ.ย. 02, 16:48
   ถ้าอ้วนขนาดนั้นเหาะได้ก็เก่งแล้วค่ะ เพิ่งจะนึกออกเดี๋ยวนี้เองว่า ไปจำมาจากใครว่าไม้เท้าสุดสาครชื่อ "เถิด" ที่แท้จากชาวเขื่อนนี่เอง เรื่องสั้นชุดโปรดซะด้วยซิคะ

เอาสุภาษิตสอนหญิงบางบทมาฝากเพื่อน ๆ ค่ะ

เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก.....จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา......จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ
-------

มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท.......อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง...อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน
---------

เป็นผู้หญิงสิ่งใดจะล้ำเลิศ......สุดประเสริฐก็แต่ใจไม่เสื่อมสลาย
ถึงรูปทรงนงคราญจะพาลคลาย..ก็จะกลายส่งสวยด้วยใจงาม
------

เกิดเป็นหญิงให้เห็นว่าเป็นหญิง...อย่าทอดทิ้งกริยาอัชฌาศัย
เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งอย่าพึงใจ..ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์


กระทู้: สุนทรภู่ ๒๑๖ ปี
เริ่มกระทู้โดย: วรณัย ที่ 02 ก.ค. 02, 10:39
นอกจากเป็นนักกวีที่แต่งเรื่องราวที่มหัศจรรย์แล้ว
ท่านยังเป็นนัก" ท่องเที่ยว" ที่บันทึกเรื่องราวการท่องเที่ยว เป็นคนแรกของสยาม ด้วยท่วงทำนองกลอนนิราศที่มองเห็นภาพและอารมณ์ของผู้เขียนได้อย่างชัดเจน

ยกตัวอย่างในนิราศพระบาท ในช่วงที่มาถึงอยุธยาครับ
๏ อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์                  เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน            จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
     มโหรีปี่กลองจะก้องกึก                 จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง                          ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
      ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก          ชะตาตกสูญสิ้นพระชันษา
แต่ปู่ย่ายายเราท่านเล่ามา                  เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ
     กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ดำรงโลก          ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ
เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน       เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ
    กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก           ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย          โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย
    หรือธานินสิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค           ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย
เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย            ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวง ฯ...