อ่านแล้วครับผม ทั้งนี้ผมขอความรู้ว่าสู้กันมาถึง ๒ ศาล คือ ศาลชั้นต้นตัดสินแล้ว ศาลอุทรณ์เห็นพ้องด้วย ยืนตามศาลชั้นต้น แสดงว่าโจทก์ และ จำเลย ยังจะสู้ต่อได้อีกถึงศาลฎีกาเลยใช่หรือไม่
ทั้งนี้จำเลยได้กระทำการหนีไป ยังมีคดีหมายจับอีก ทำให้มูลเหตุความผิดหนาแน่นขึ้นไปอีก แบบนี้จะฟ้องได้ถึงศาลฎีกาได้หรือ
เพื่อตอบคำถามของคุณหนุ่มสยาม และเป็นความรู้ของบุคคลทั่วไป ผมจึงได้ค้นคำตอบมาให้ดังนี้ครับ
โดยปกติศาลต้องอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยฟัง จำเลยจึงต้องมาฟังตามวันเวลาที่ศาลนัด ถ้าจำเลยไม่มาฟังและศาลมีเหตุสงสัยว่าจำเลยจงใจหลบหนี หรือจงใจไม่มา ศาลจะออกหมายจับจำเลย ถ้ายังไม่ได้ตัวจำเลยมาภายใน ๑ เดือน นับแต่วันออกหมายจับ ศาลอาจอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นลับหลังจำเลยได้ โดยถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นแล้ว
เมื่อศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยอย่างใด ถ้าเป็นคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์หรือต้องห้ามฎีกา โจทก์จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาไปยังศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา โดยยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาต่อศาลชั้นต้น ภายในกำหนด ๑ เดือน นับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์แล้วแต่กรณีให้จำเลยฟังคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 276/2504
เมื่อออกหมายจับจำเลยเพื่อให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เกินเดือนแล้ว ไม่ได้ตัวจำเลยมา ศาลจึงอ่านคำพิพากษานั้นให้โจทก์ฟังถือว่าได้อ่านคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยื่นฎีกาเกินหนึ่งเดือนนับแต่วันศาลอ่านดังกล่าว ฎีกาของจำเลยย่อมขาดอายุฎีกา แม้ว่าศาลจะได้อ่านคำพิพากษานั้นให้จำเลยฟังอีก เมื่อได้ตัวจำเลยมาแล้วหลังจากวันอ่านดังกล่าวข้างต้น 5 เดือนเศษ ก็เป็นแต่เพียงให้จำเลยได้ทราบคำพิพากษาตามที่จำเลยต้องการเท่านั้น หามีผลทำให้ยืดอายุฎีกาไม่สรุปคือ จำเลยมีสิทธิ์ฏีกาได้ภายใน๑เดือน นับจากวันที่อ่านคำพิพากษาไปแล้วครับ และไม่ว่าจะมายื่นฎีกาหรือไม่มา ตลอดอายุความของหมายจับ ไม่ว่าจะนานเท่าไรจำเลยยังอาจโดนจับกุมมาฟังศาลอ่านคำพิพากษานั้นให้จำเลยฟังอีกได้