เรือนไทย

General Category => ชั้นเรียนวรรณกรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 14 ก.ค. 23, 10:41



กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ก.ค. 23, 10:41
ไม่นานมานี้ ลองเข้าไปสำรวจห้องต่างๆของแวดวงนักเขียนใน FB    ไม่ได้เจาะเข้าไปในห้องนักเขียนคนใดคนหนึ่ง แต่ไปอ่านห้องรวมสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลและวงการนักเขียน  
ก็พบว่า ด้วยฤทธิ์ของสมาร์ทโฟนที่เป็นผลประกอบการของอินเทอร์เน็ต    ดลบันดาลให้กระแสหลักของนวนิยายเปลี่ยนแปลงไป อย่างไม่มีวันย้อนคืนอีกแล้ว  :'(

อย่างแรกคือนิยายที่เคยครองตลาดอยู่เมื่อสัก 5-6  ปีก่อน  น่าจะร่อยหรอลงไปมากพร้อมกับการล้มหายตายจากของนิตยสาร   นิยายที่เข้ามาแทนที่คือเรื่องแปลจากจีน  และเรื่องจีนที่คนไทยแต่ง หน้าตาแบบนิยายแปลจีน    พวกนี้เห็นวางขายในมุมหนังสือของร้านหนังสือ     ต่อมาคือนิยายวาย ชายรักชาย ที่กำลังฮิท   นิยายไทยมีน้อยลงไปมาก

อย่างที่สองคือ e book เฟื่องฟูขึ้นมาแทนนิยายบนหน้ากระดาษอย่างเมื่อก่อน    มีความสะดวกง่ายดายทั้งในการผลิตและ การจำหน่าย  สามารถตัดต้นทุนเรื่องกระดาษ  การพิมพ์ การขนส่ง การจัดจำหน่าย  สถานที่เก็บสต๊อก ฯลฯ ลงไปได้  จำนวนคนอ่านก็ขยายกว้างขึ้นไปได้ทุกมุมโลกที่มีคนไทยอาศัยอยู่    ไม่ต้องพึ่งร้านหนังสืออย่างเมื่อก่อน
ส่วนในด้านคนเขียน   ก็สร้างเรื่องได้ง่ายดายกว่าเก่ามาก   เร็วกว่าด้วย เมื่อใช้วิธีพูดลงไปในแอ๊พ ไม่ต้องเสียเวลาเขียน  ทำให้ใช้เวลาน้อยอย่างน่าอัศจรรย์ เช่น 1 บท ต่อ 1 ชม.

เรื่องนี้ขยายรายละเอียดได้อีกมากค่ะ  จะค่อยๆเล่าไป  
ขอเชิญท่านสมาชิกมาร่วมออกความเห็น หรือจะถามอะไรก็ได้    ถ้ารู้ก็จะพยายามตอบให้ค่ะ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 14 ก.ค. 23, 11:32
            อีกหนึ่งสิ่งที่กำลังคุกคามตามมาและเป็นปัญหาในอนาคต จนนักเขียนบทในเมกาต้องออกมาประท้วงกัน
นั่นคือ AI ที่ไม่มี soul


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ก.ค. 23, 11:40
เชิญคุณหมอ SILA  เล่าต่อค่ะ   ดิฉันจะเชียร์อยู่ข้างเวที


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 14 ก.ค. 23, 12:28
แค่ส่งข่าวที่ได้พบเห็น ครับ

ตอนนี้ เพื่อนร่วมงานบางคนก็เริ่มสนใจใช้ช่วยในการเขียนรายงานตามเค้าโครงและข้อมูลที่ป้อนให้



กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 ก.ค. 23, 12:35
ขออนุญาตเล่าถึงสถานการณ์ที่อเมริกา ;D

https://youtu.be/yN7Apf_YIZo


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ก.ค. 23, 14:27
เปลี่ยนใจขอตั้งกระทู้ใหม่ แทนต่อจากกระทู้เก่าค่ะ  เพราะมีเรื่องที่กล่าวถึงได้อีกยาว
การเอา AI มาใช้ในการแต่งหนังสือประเภทต่างๆ ก็เป็นภัยคุกคามอาชีพนักเขียนได้ทุกสาขา  เรื่องนี้ตอนนี้ยังไม่ซีเรียส แต่ในอนาคตอันใกล้น่าจะเป็นปัญหาใหญ่

ต่อจากค.ห. 1
สังเกตว่า ปัจจุบัน   การเขียนนิยายของคนรุ่นใหม่ เป็นไปได้อย่างสะดวกง่ายดายมาก  เพราะมีพื้นที่ไม่จำกัดในโลกเสมือน  ใครอยากเขียนก็มีที่ลงให้อ่านได้เสมอ   ส่วนจะมีคนอ่านมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่ฝีมือคนเขียน และการจับจุดตลาดได้มากน้อยเพียงใด    นำมาซึ่งรายได้ของนักเขียนอย่างง่ายดายกว่าเมื่อก่อนที่ต้องผ่านการกลั่นกรองเข้มงวดจากบรรณาธิการของนิตยสารหรือบรรณาธิการสำนักพิมพ์
   
หน้าที่ของบรรณาธิการก็เปลี่ยนไปจากเดิม   เมื่อก่อนมีหน้าที่คัดเลือกผลงานที่เห็นว่าดี  ถูกใจคนอ่านลงตีพิมพ์   แต่ตอนนี้ มีบรรณาธิการที่กำหนดโครงเรื่องให้นักเขียนไปเขียนมาส่ง   ถ้าเห็นว่าใช้ได้ก็รับไว้  เพื่อจะลงพิมพ์ในเว็บไซต์ของตนเอง หรือว่านำไปแปลขายตลาดต่างแดน โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มหึมา   นำรายได้สูงมาสู่ตัวกลางและเจ้าของเรื่อง 
รายได้นักเขียนหน้าใหม่เหล่านี้จึงโดดขึ้นสูง   ชวนให้เกิดกระแสนักเขียนใหม่หลั่งไหลเข้ามาสู่บ่อเงินบ่อทองวรรณกรรม อย่างที่ไม่เคยมีในอดีต

ผลงานในข่ายนี้จึงออกมาในรูปตามกระแส    กระแสใดเป็นที่นิยมก็จะมีนักเขียนนิยมเขียนกันมาก   มีโครงเรื่องในรอยเดียวกัน ทำนองเดียวกับเทรนด์ของแฟชั่น
หนึ่งในกระแสนิยม เท่าที่อ่านเจอ  คือเรื่องจีน  นางเอกในยุคปัจจุบันจู่ๆก็พบว่าตัวเองกลับไปอยู่ในยุคโบราณของจีน เจอพระเอกที่นั่น  (กระแสเดียวกับหนังจีน)  อีกแนวหนึ่งคือนางเอกในยุคจีนโบราณถูกฆ่าตายอย่างไม่ยุติธรรม แต่จู่ๆ(ทำไมก็ไม่ได้บอกไว้) เธอก็ย้อนอดีตกลับไปตอนตั้งต้นเรื่องได้    ทำให้มีโอกาสจะแก้แค้นคนที่ทำร้ายเธอ 
   


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 ก.ค. 23, 21:10
ผมก็เป็นคนนึ่งที่ติดนิยายจีนพล็อตมาตรฐานประเภทนางเอกย้อนมาเกิดใหม่เพื่อแก้ไขอนาคต กับนางเอกเป็นคนยุคปัจจุบันย้อนอดีตแบบงอมแงมเลย พล็อตเดิม ๆ แต่ขึ้นกับนักเขียนจะแต่ง และหลายคนแต่งได้ดีมากจนวางไม่ลง มั้งการผูกปมคลายปม ทำได้ดีมาก พล็อตมีความสลับซับซ้อนกว่านิยายไทยหรือแม้แต่นิยายฝรั่งของนักเขียนดังหลาย ๆ คนครับ  แต่นิยายจีนดี ๆ แบบนี้ก็ไม่ใช่ส่วนใหญ่ของทั้งหมด แต่โดยภาพรวมตอนนี้เลยแทบไม่อ่านนิยายไทย

ส่วนเรื่อง AI  นั้น จากความรู้งู ๆ ปลา ๆ ที่พอมี ผมทำนายว่า ภายในสิบปีนี้ เราน่าจะได้เห็น AI เขียนนิยายเรื่องยาวได้แบบน่าติดตาม สนุกสนาน มีสำนวนภาษาที่ดี หรือแม้แต่แปลนิยายเป็นภาษาต่าง ๆ ด้วยสำนวนที่ดีกว่าคนได้ครับ และอีกสิบปีผมน่าจะติดนิยายที่ AI เขียนแบบงอมแงมก็ได้


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ก.ค. 23, 10:33
สวัสดีค่ะคุณประกอบ    ;D
เป็นอันว่าตลาดนิยายไทยและฝรั่งเสียแฟนหนังสือไปอีก 1 คน

คำตอบของคุณประกอบช่วยยืนยันว่า นิยายในศตวรรษที่ 21  เดินออกไปจากศตวรรษที่ 20  แบบไม่เห็นฝุ่นแล้ว
ในศตวรรษก่อน   นิยมกันว่านิยายที่ดีคือมีความแปลกใหม่ ไม่ซ้ำซากกับเรื่องที่มีอยู่แล้วในตลาด  เรียกว่ามีเอกลักษณ์ของตนเอง   มีศิลปะในการนำเสนอ  เขาถึงได้นับหนังสือเป็นศิลปะประเภทหนึ่ง เรียกว่า วรรณศิลป์
ดังนั้นนักเขียนจึงต้องขวนขวายนำเสนออะไรที่ไม่ซ้ำกับเรื่องที่คนก่อนๆเคยเขียนมา      เพราะถ้าเฮเขียนตามกันไป คนอ่านจะไม่ชอบความซ่ำซากเปิดหน้าแรกเดาได้    แล้วเรื่องเหล่านั้นก็จะตกไปจากความสนใจ ไม่มีใครอยากอ่านอีก
แต่มาบัดนี้  กระแสหลักของนิยายกลับกลายเป็นว่าเรื่องที่ถูกใจคนอ่านจะถูกนำเสนอซ้ำๆกัน  คนอ่านก็จะยินดีกับความซ้ำนั้น อาจจะมีชั้นเชิงลีลาในรายละเอียดของเรื่อง แต่หลักๆคือซ้ำ   เช่นนางเอกต้องเป็นคนปัจจุบันกลับไปอดีต  หรือนางเอกถูกฆ่าตายแล้วย้อนเวลากลับไปได้ เพื่อจะกลับมาแก้แค้น     ถ้าหากว่านางเอกเป็นคนในอดีตอยู่ในอดีต    หรือว่าตอนจบถูกฆ่าตายแล้วตายเลย   ก็คงไม่ได้รับความนิยมเท่าอย่างแรก


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.ค. 23, 13:11
ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างคือ นิยายในศตวรรษที่ 20  เป็นเรื่องราวบนแผ่นกระดาษ   คนอ่านเคยชินกับเปิดหนังสือขึ้นมาอ่าน หน้าแล้วหน้าเล่า   ถ้าอ่านไม่จบในวันเดียวก็ปิดหนังสือไว้   วันต่อมาก็เปิดอ่านต่อ    ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนหมดเล่ม
แต่ในศตวรรษที่ 21    ตัวหนังสือไม่ได้อยู่บนแผ่นกระดาษอีก แต่อยู่บนจอ  ส่วนใหญ่เป็นจอเล็กเท่าฝ่ามือ   อ่านไม่กี่บรรทัดก็หมดหน้า ต้องเลื่อนจออ่านหน้าต่อไปอีกไม่กี่บรรทัดก็หมดหน้าอีก

หนังสือนิยายไทย  1 หน้า บรรจุตัวหนังสือเท่ากับหน้าจอมือถือ ประมาณ 3-4 จอ    ถ้าหนังสือยาว 100 หน้าจะเท่ากับเลื่อนจอจำนวนเท่าไร   แล้วถ้าเป็นนิยาย 200-400 หน้าล่ะ 
การอ่านหนังสือเล่มหนาๆ  จึงง่ายกว่าอ่านหน้าจอมือถือ     เพราะสายตาที่อ่านบนแผ่นกระดาษจะล้าน้อยกว่าอ่านหน้าจอที่มีแสงอยู่ตลอดเวลา
นิยายที่่อ่านผ่านมือถือจึงต้องรวบรัดกระชับ เดินเรื่องเร็ว    ถ้าหากว่ามีบรรยายยาวๆอย่างที่ทำในนิยายบนแผ่นกระดาษ   คนที่ไถหน้าจอจะรู้สึกว่าเรื่องเดินช้ามาก      ไม่ทันใจ 

นิยายในศตวรรษที่ 21  จึงต้องตัดส่วนที่ทำให้สายตาล้าออกไป   เหลือแต่ส่วนที่จำเป็น  เช่นฉากที่ในนิยายบนกระดาษมี 3  บรรทัด อาจต้องเหลือ 1-2 วรรค   
เช่น ในนิยายบนแผ่นกระดาษบรรยายว่า

ทุกครั้งที่เขาเห็นแม่น้ำที่เห็นมาตั้งแต่จำความได้  เขาก็รู้สึกเหมือนมันเป็นบ้านอีกแห่งหนึ่ง ควบคู่ไปกับบ้านเก่าหลังที่เขาเกิดมา  ทุกวันนี้ก็ยังตั้งอยู่ริมแม่น้ำเหมือนเดิม     เขาค่อยๆหย่อนตัวลงในน้ำ แทนกระโจนลงไปอย่างตอนเด็กๆ  หยิบสบู่จากขันน้ำที่วางบนขั้นบันไดท่าน้ำมาถูตัว

หน้าจอ เหลือแค่นี้พอ
เขาลงอาบน้ำ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ก.ค. 23, 10:46
ความเปลี่ยนแปลงทำนองนี้มีมาเรื่อยๆ เพียงแต่เราไม่สังเกตกันเอง  เพราะในศตวรรษที่ 19 และ 20 มันมาถึงช้ามาก   ไม่เร็วจนตั้งตัวไม่ทันอย่างในศตวรรษที่ 21
เมื่อหมอบรัดเลย์ตั้งโรงพิมพ์   สมุดข่อยก็หมดไป     เมื่อหนังสือปกอ่อนเข้ามา หนังสือปกแข็งก็ต้องถอยหนีไป    เมื่อคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเข้ามา  พิมพ์ดีดไฟฟ้า และพิมพ์ดีดธรรมดาก็หมดความจำเป็นจะต้องใช้   
เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็แทบไม่เหลือแล้ว   แม้แต่โน้ตบุ๊คก็ต้องถอยให้ไอแพด  แต่ที่นิยมมากที่สุดคือโทรศัพท์มือถือ

ความเป็นอยู่ของผู้บริโภคนิยายในปัจจุบันไม่เหมือนเมื่อก่อน   ยุคนี้หนุ่มสาวชนชั้นกลางวัยทำงานออกจากบ้านมาอยู่ห้องพักเสียเกือบ 100%    การซื้อนิยายนอกจากแพงกว่าซื้อ  e book เพราะต้นทุนการพิมพ์นิยายสูงกว่าแล้ว ยังมีปัญหาว่าจะเอาหนังสือไปเก็บที่ไหนในห้อง   ส่วนใหญ่ก็ต้องอ่านแล้วขายต่อเป็นหนังสือมือสอง    ถ้าขายได้ก็จบปัญหาไป  ถ้าขายไม่ได้ ก็ต้องบริจาคห้องสมุด หรือให้ใครไปอ่านต่อ  แต่ถ้าอ่าน e book  ปัญหานี้ไม่มี
อีกอย่างก็คือ การซื้อหนังสือต้องซื้อทั้งเล่ม ก่อนจะได้อ่าน    แต่การซื้อ e book    ซื้อทีละบท  บางแห่งให้อ่านฟรีบทแรกๆ   ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อต่อ    ประหยัดเงินได้มาก

จึงเป็นคำตอบว่า เหตุใดการอ่านจึงเปลี่ยนจากหน้ากระดาษเป็นหน้าจอ    ยิ่งวัน กระแสก็จะพัดพาไปสู่เทคโนโลยีใหม่ๆที่เข้ามามากขึ้น   ไม่หวนกลับไปที่เดิม

ดังนั้น นักเขียนที่เขียนเพื่อรวมเล่ม  เพื่อให้คนอ่านอ่านบนแผ่นกระดาษ   ก็ควรจะตั้งตัวให้ติดเมื่อเผชิญปัญหาเหล่านี้ด้วย


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 23, 10:15
    จำนวนหนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษลดน้อยกว่าเมื่อศตวรรษก่อนมาก    ตอนนี้เป็นการพิมพ์ตามออเดอร์     เพราะไม่ต้องการเจ็บตัว มีหนังสือเหลือมากค้างสต๊อก   ยอดพิมพ์จึงน้อยกว่าสำนักพิมพ์พิมพ์อย่างเมื่อก่อน
    ต่อไป หนังสือที่พิมพ์ด้วยกระดาษ จะมุ่งไปทางหนังสือหายากที่หาอ่านจากกูเกิ้ลไม่ได้ เช่นตำรับตำราต่างๆ   หรือหนังสือรวบรวมข้อมูลและภาพที่มีค่า  คนซื้อไปสะสม    นิยายก็เช่นกัน   เรื่องที่พิมพ์ด้วยกระดาษจะขายสำหรับกลุ่มคนอ่านประจำของนักเขียนคนโปรด  เห็นเข้าก็ซื้อได้เลย   หรือกลุ่มคนอ่านที่ไม่ชอบอ่านผ่านหน้าจอ    ส่วนใหญ่คือกลุ่มอายุ 50 ขึ้นไป  เคยชินกับการจับกระดาษ อ่านตัวหนังสือจากหน้ากระดาษ มีรสชาติน่าพึงพอใจมากกว่าอ่านผ่านเทคโนโลยี
    แต่ต่อไป กลุ่มคนที่นิยมกระดาษก็จะลดจำนวนลง   คนรุ่นใหม่ที่ชินกับหน้าจอเพิ่มมากขึ้น    นักเขียนที่เขียนเพื่อรวมเล่มก็จะถูกแทนที่โดยนักเขียนรุ่นใหม่ๆ     วิธีเขียนก็จะเปลี่ยนไปตามรูปแบบของอุปกรณ์ที่ใช้นำเสนอ   คือสั้น กะทัดรัด เปิดบทแรกก็เข้าสู่เป้าหมายเร้าใจทันที   ไม่มีอินโทรอย่างงานยุคก่อนๆ   และที่สำคัญคือเนื้อหาจะเป็นไปเพื่อตอบสนองความสนใจของคนอ่าน
    เมื่อก่อนนี้   หนังสือเป็นการสื่อสารทางเดียว   นักเขียนจะเรียนรู้ความต้องการของคนอ่านได้จากปฏิกิริยาส่วนน้อย เช่น ถ้าลงเป็นตอนๆในนิตยสาร ก็จะดูได้จากจดหมายที่คนอ่านเขียนมาติชม      ถ้ารวมเล่มขายเลยโดยไม่ผ่านการลงเป็นตอนๆ ก็จะรู้จากยอดจำนวนจำหน่าย      หรืออีกทางคือรู้จากว่าเรื่องนั้นมีคนซื้อไปทำหนังหรือละครโทรทัศน์หรือไม่     การรับรู้แบบนี้อาจจะต่ำกว่า 50% ของคนอ่านทั้งหมด
   แต่ก็มีส่วนดีคือนักเขียนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้มาก   สามารถนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ  วิธีการใหม่ๆ ของตนเองได้โดยอิสระค่อนข้างมาก   ทำให้เกิดนวัตกรรมได้ง่ายขึ้น 

   แต่เดี๋ยวนี้ คนอ่านกับคนเขียนสื่อสารกันได้โดยตรง    คนอ่านติชมได้ทันทีจากช่องความเห็น   หรือติดดาว หรือติดเหรียญ  ทำให้นักเขียนรู้ว่าคนอ่านชอบหรือไม่ชอบมากน้อยขนาดไหน     เมื่อรู้  ก็สามารถปรับปรุงเนื้อหา นำเสนอให้ถูกใจได้
    ถ้าหากว่านักเขียนคนนั้นยึดถือหลักการของตัวเองว่า จะเขียนตามความรู้ความสนใจของตนเองเท่านั้น    ก็จะเสี่ยงกับทางสองแพร่ง  คือถ้าตรงกับใจคนอ่าน ก็ได้รับการต้อนรับด้วยดี  แต่ถ้าไม่ตรงใจคนอ่าน  ก็ไม่มีใครอ่าน หรืออ่านแล้วมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับว่าไม่ชอบ    ซึ่งมีผลกระทบกับความคิดอ่านและการตัดสินใจของนักเขียนโดยตรง
   ผลจากการสื่อสาร 2 ทางแบบนี้ จะทำให้งานเขียนถูกดึงเข้าไปสู่หลักอุปสงค์อุปทาน  หรือ demand /supply ได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน  ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม   


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 23, 10:25
   ในศตวรรษที่ 20   รางวัลวรรณกรรมถือเป็นความสำเร็จอย่างสูงสำหรับนักเขียน โดยเฉพาะนักเขียนหน้าใหม่    นอกจากเป็นเครื่องรับรองคุณภาพของชิ้นงานและฝีมือของเจ้าของงานแล้ว     ผลพลอยได้อีกอย่างคือจำนวนจำหน่ายสูงมาก   นำรายได้อย่างงามมาสู่นักเขียน   แล้วยังได้ค่าลิขสิทธิ์จากการดัดแปลงในรูปอื่นเช่นไปเป็นละครโทรทัศน์ หรือแปลเป็นภาษาต่างประเทศด้วย    นักเขียนจึงต้องขวนขวายสร้างฝีมือและผลงานเพื่อจะไปถึงปลายทางดังกล่าว
   แต่ในศตวรรษที่ 21   นักเขียนหน้าใหม่ประสบความสำเร็จจากชื่อเสียงและการจำหน่ายได้ง่ายกว่ามาก   เพียงลงเรื่องเป็น e book  ให้ถูกใจคนอ่าน   ชื่อเสียงก็จะไปไกล เพราะตลาดมีอยู่ทุกมุมโลก     ยิ่งถ้าได้ลงในแพลตฟอร์มตลาดดิจิทัลรองรับในการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ   รายได้ก็จะทวีคูณขึ้นทันที     
  รางวัลจึงไม่ใช่เป้าหมายสำคัญสุดอย่างเมื่อก่อนอีก สำหรับนักเขียนหน้าใหม่    คือถ้าได้ก็ดี   ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  เพราะมีสิ่งที่ดึงดูดใจอยู่ใกล้ตัวมากกว่า 
   ก็ย้อนกลับไปประเด็นเดิมว่า เขียนอย่างไรจึงจะถูกใจคนอ่าน  คำตอบก็ยังเหมือนเดิมคือเขียนตามกระแสนิยม   ซึ่งเหมือนคลื่นซัดเข้าหาดเป็นระลอก   คลื่นลูกเก่าซาไป คลื่นลูกใหม่ก็เข้ามา  ไม่คงทนยาวนาน    เช่นเมื่อแนวย้อนมิติเวลาซาไป  นักเขียนก็เตรียมตัวได้ว่า จะมีแนวใหม่อย่างไหนเข้ามา แล้วเขียนไปตามนั้น

  ในเมื่อแนวโน้มเป็นตามนี้    นักเขียนก็จะเจอคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด คือ  AI 


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.ค. 23, 09:00
   ตอนนี้ นักวิชาการตะวันตกกำลังเผชิญปัญหาว่า  เวลานักศึกษาส่งงาน หรือแม้แต่อาจารย์ด้วยกันทำผลงานส่งให้อ่าน  เพื่อขอตำแหน่งหรือขอทุนหรืออะไรก็ตาม  ต้องเช็คกันอย่างหนักว่าเป็นฝีมือ AI ทำให้หรือเปล่า   เพราะ AI เขียนบทความได้  ทำวิจัยได้ ตามคำสั่งที่ป้อนให้มันได้ ถูกต้องตามรูปแบบทุกกระเบียดนิ้ว   แต่ผลงานนั้นถูกต้องหรือเปล่า ไปลอกใครมาหรือเปล่า  AI ไม่รับรอง
   ในที่สุดก็มาถึงการแต่งหนังสือ  ของฝรั่ง
   AI แต่งโคลงกลอนได้แล้ว    เขียนนิทานสำหรับเด็กก็ได้   แม้แต่เรื่องสั้นมันก็เขียนได้   แต่คุณภาพเป็นยังไงว่ากันอีกที    ส่วนที่แน่ๆคือถ้าสามารถป้อนคำสั่งเป็นภาษาไทยได้  ป้อนข้อมูลภาษาไทยได้  มันก็แต่งกลอนตามแบบสุนทรภู่ได้เหมือนกัน  ถูกต้องตามฉันทลักษณ์เป๊ะด้วย
   ถ้าบรรณาธิการหรือเจ้าของกิจการ e book ป้อนข้อมูลให้มันแต่งเรื่องจีนย้อนยุค นางเอกยุค 2023 ทะลุมิติกลับไปเจอฮ่องเต้ ให้ชื่อตัวละครกับเนื้อเรื่องย่อๆว่าเจออะไรบ้าง  ต้องการฉากไหนแบบไหน สั่งมาได้เลย  AI  ก็จะจัดการสร้างเรื่องขึ้นมาให้เสร็จสรรพ จากข้อมูลที่มันไปหามาได้  ผสมผสานกับเมมโมรี่ที่มันมีอยู่
   ผลคือได้นิยายมา 1 เรื่องครบถ้วนสมบูรณ์   ในเวลารวดเร็วปานสายฟ้าแลบ   ไม่เสียค่าลิขสิทธิ์ให้นักเขียน เพราะ AI ไม่มีค่าตัวในเรื่องนี้     จะผลิตมากเท่าใดก็ได้ตราบใดคนสั่งAI ยังไม่เหนื่อยหรือหมดข้อมูล      นิยายฝีมือ AI  ก็จะมากองอยู่ตรงหน้าจอ   มากมายมหาศาลให้คลิกเลือกอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว
   แล้วนักเขียนจะยืนอยู่ตรงไหนล่ะคะ?


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 20 ก.ค. 23, 11:33
         ได้ลองดูผลงาน AI สองชิ้นๆ แรกให้เขียนบทวิจารณ์หนังเรื่องหนึ่งในแบบคุณก้อง ฤทธิ์ดี(แห่งบางกอกโพสต์)
ออกมาอ่านได้ลื่นไหลแต่ทื่อๆ ทั่วไป ไม่รู้สึกว่ามีความแตกต่างเป็นแนวคุณก้อง (ไม่แน่ ในอนาคตอาจพัฒนาไปถึง)
         อีกชิ้นให้แต่งเพลงในแบบของนักร้องนาม Nick Cave (ไม่เคยฟังผลงาน) แล้วเขาตอบว่า

         ..... as far as I know, algorithms don’t feel. Data doesn’t suffer. ChatGPT has no inner being,
it has been nowhere, it has endured nothing, it has not had the audacity to reach beyond its limitations,
and hence it doesn’t have the capacity for a shared transcendent experience, as it has no limitations
from which to transcend. ChatGPT’s melancholy role is that it is destined to imitate and can never have
an authentic human experience, no matter how devalued and inconsequential the human experience may in time become.

https://www.theredhandfiles.com/chat-gpt-what-do-you-think/?fbclid=IwAR1GQxRFfd2IBJFaoBz9ho6nySW2wL76p67AeMhb2wg6GjE2waw2q0k08hU

         ในเมื่อ AI ใช้งานง่าย,ได้ผลงานเร็ว,ลงทุนน้อย,ราคาถูก ในที่สุดเราก็จะได้เห็นผลงานออกมามากมายและมีหลายคนทดลองอ่าน
แต่ในที่สุดก็จะพบว่า มันไม่ใช่ สำหรับนักอ่านเอาจริงจัง(มีกำลังซื้อ) ส่วนนักอ่านผ่านๆ เพลินๆ ก็คงจะซื้อมาอ่านเพื่อผ่านเวลาแบบ
"นิยายสิบสองบาท” (นิยายขนาดสั้น ตีพิมพ์เป็นเล่มขนาดเล็ก ความยาว 80 หน้า ขายในราคา 12 บาท เรียกอีกอย่างว่า “นิยายเล่มเล็ก”
หรือ “นิยายปกดารา” เนื่องจากนิยมใช้ภาพถ่ายดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงขณะนั้นพิมพ์ปก matichonweekly)
        ส่วนนักเขียน "นิยายร้อยบาท" เชื่อว่าจะยังมีผู้ติดตามเฉพาะกลุ่มต่อไป หากว่ายังมีไฟ,ไม่วางปากกาลง


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.ค. 23, 16:09
ไปค้นดูว่า Nick Cave  เป็นนักร้องแนวไหน  ได้คำตอบจากครูกู๊กว่า    Post-punk alternative rock gothic rock, art rock experimental rock garage rock
เจอคลิปพร้อมเนื้อร้อง ตามนี้ค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=DVewUtxyIYs


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.ค. 23, 16:24
   ดูจากที่เจ้า ChatGPT แต่งในสไตล์ของนักร้องรายนี้     เนื้อเพลงมันเชยๆ มีสัมผัสระหว่างบท ซึ่งเขาเลิกใช้กันมาหลายศตวรรษแล้ว    ถ้อยคำอื่นๆก็คงไม่จับใจคนอ่านเท่าไหร่  เพราะ AI  แพ้มนุษย์อยู่อย่างหนึ่งคือมันไม่มีฟิลลิ่ง  ไม่มีจิตวิญญาณ  หรือเรียกกันยุคนี้ว่า "อินเนอร์"
   ในเมื่องานศฺิลปะทุกสาขา ต้องใช้อารมณ์ของศิลปินเป็นตัวขับเคลื่อน   เจ้าหนู AI คงต้องพัฒนาไปอีกขั้นคือเข้าถึงอารมณ์อย่างมนุษย์    ถึงตอนนั้นมันน่าจะกำจัดมนุษย์แล้วครองโลกเสียเองได้แล้ว
   ต่อให้ป้อนรายละเอียดเกี่ยวกับพงศาวดารพม่า ตลอดจนบทรักบทแค้น ให้มันมากเท่าไหร่   มันก็คงแต่งเรื่องออกมาได้ไม่เทียบเท่า  7 บรรทัดของยาขอบ เมื่อแต่ง "ผู้ชนะสิบทิศ"  
   อ่านที่คุณหมอ SILA  โพสมา นักเขียน 12 บาทอาจถูก AI แย่งงานได้ในอนาคต    นักเขียน 100 บาทรอดตัว  แต่พวกที่ไม่ใช่ ทั้ง 12 และ 100 (อย่างคนแถวๆนี้)   อาจต้องไปขายเต้าฮวย เผลอๆจะรวยขึ้นมาก็ได้  


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 21 ก.ค. 23, 09:44
แม้ว่า AI จะไม่มีความรู้สึก ไม่มี feeling ไร้จิตวิญญาณ  แต่สิ่งที่น่ากลัวคือเมื่อมีการเทรน AI  ให้ AI มันเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ   สุดท้ายมันจะฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ จนแม้ตัวมันเองไม่มีจิตวิญญาณ แต่มันจะเรียนรู้จนสามารถสร้างสรรค์ผลงานหรือใช้คำใช้ภาษาเสมือนคนที่มีจิตวิญญาณได้ครับ  ซึ่งเราจะได้เห็นแน่ ๆ ในอีกไม่นานนัก และที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือมันน่าจะปรับสไตล์การเขียนให้คล้ายหรือเสมือนนักเขียนบางคนได้อีกด้วย  และอาจไปถึงการคิดพล็อตแปลกใหม่

ปัจจุบันมี algorithm ในการจับบทความที่เขียนด้วย AI หลายอัน ผมเคยอ่านผ่าน ๆ วิธีการนึงคือจับ pattern การเขียนที่ถ้า AI เขียน ประโยคมันจะมีความสอดคล้องกันมากกว่าสิ่งที่คนเขียน เพราะคนมีการเรียบเรียงประโยคหรือการใช้ภาษาที่ไม่ดีเท่า AI เช่นอาจมีการใช้ประโยคที่อ่านแล้ว confuse น่างุนงง แต่ในอีกไม่ช้า AI ก็จะเรียนรู้อีกแล้วก็จะจำลองให้การเขียนมี confuse ได้อีกนั่นแหละ   พลังของ AI น่ากลัวจริง ๆ ครับ

อาชีพนักเขียนอาจจะสูญพันธุ์ไปได้จริง ๆ ในอนาคตเพราะการแทนที่ของ AI แต่ที่น่าวิตกยิ่งกว่าคือสารต่าง ๆ  ที่ AI ผลิตออกมาให้เสพกันอาจจะแอบแฝงการชี้นำจน AI กลายเป็น influencer ที่มีอิทธิพลสูงจนมนุษย์ถูกครอบงำโดยกลุ่มคนที่เป็นเจ้าของ platform AI เหล่านั้นจนชี้นำได้ในทุก ๆ เรื่อง แถมมีเทคนิคแพรวพราว รู้ความต้องการ รู้วิธีที่จะชี้นำ แถมมีการทำ microtargeting คือใช้รูปแบบการชี้นำหรือส่งสารที่เหมาะกับมนุษย์แต่ละคนได้ด้วย แล้วถ้าถามว่า AI จะรู้ได้อย่างไรว่ามนุษย์แต่ละคนชอบอะไรหรือต้องชี้นำอย่างไร ก็ต้องบอกว่าพฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ตที่ทุกคนใช้ในชีวิตประจำวันทุกวันนี้ มีข้อมูลมากพอที่ AI จะทำprofiling แต่ละคนได้สบายครับ

ถ้าถามว่าวันนี้คนที่รู้จักว่านายประกอบเป็นคนอย่างไร มีรศนิยมแบบไหน ชอบกินอะไร เลือกพรรคไหน  AI ของ google น่าจะรู้ดีกว่าเจ้าตัวอีกครับ



กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 23, 09:55
 :o


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 23, 09:58
 :'(


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 23, 10:02
 นอกจากอาชีพนักเขียนจะพ่ายแพ้แก่ AI ในอนาคตแล้ว  ตอนนี้ที่เห็นคือจิตรกรรม   AI เข้ามาแย่งงานศิลปินสาขานี้ไปให้เห็นกันแล้ว

https://www.youtube.com/watch?v=-kZVLD4Fzvo


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 23, 10:10
เจอเว็บไซต์ ที่ให้ AI แต่งกลอนให้  ก็เลยลองสั่งดู   ให้มันแต่งในหัวข้อที่ดิฉันคิดเอง คือ  An afternoon in Summer
หายใจยังไม่ทันเต็มปอด    กวี AI  ส่งกลอนมาให้ ยาวหลายบทเลย

In the golden afternoon of summer's bloom,
Where sweet-scented flowers softly exhume,
The sun blankets the earth with a warm embrace,
As birds serenade in the tranquil space.

A gentle breeze whispers secrets untold,
Caressing the leaves with a touch so bold,
The sky paints a picture with heavenly hues,
A masterpiece splashed with vibrant blues.

The laughter of children fills the air,
As they splash in the stream without a care,
Their giggles dancing on the shimmering tide,
As memories of innocence forever reside.

The bees, busy workers, hum their sweet tunes,
Buzzing from flower to flower, each petal it croons,
Their symphony blending with nature's sweet song,
A melody so enchanting, it can never go wrong.

The scent of fresh grass lingers on the breeze,
Inviting bare feet to wander as they please,
Soft blades of green caress with tenderness,
Lulling the world to a state of pure bliss.

Families gather beneath the inviting shade,
Sharing moments and memories that won't fade,
Picnics are spread, filled with love and delight,
As the sun showers warm kisses with all its might.

The hours pass by as the day gently wanes,
Leaving behind golden memories that remain,
The afternoon in summer, a soul's delight,
A gift of precious moments, so pure and bright.

ไปเช็คจากกูเกิ้ลว่า กวี AI ไปลอกของใครมาหรือเปล่า    ก็ยังไม่เจอ  ฝากคุณหมอ SILA  ดร.ประกอบและท่านอื่นๆที่เข้ามาอ่าน ช่วยเช็คอีกแรงได้ไหมคะ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 21 ก.ค. 23, 10:37
ผมลองไปเล่นดูบ้าง มันเจนกลอนให้ใหม่เรื่อย ๆ ไม่ซ้ำกันครับ  
ลองใส่ไปว่า   Stalin the USSR dictator รอบแรกแต่งให้ดังนี้

In the land of USSR, a dark tale to tell,
Of a man named Stalin, whose power did swell.
A dictator ruthless, a tyrant so cold,
His actions and schemes, a story untold.

With an iron fist and a heart full of spite,
He ruled with fear, both day and night.
Crushing dissent, imprisoning with glee,
No one dared challenge this man, you see.

Stalin, oh Stalin, so intoxicated by might,
Your name struck fear, a chilling fright.
Under your reign, countless lives were lost,
The toll of your brutality, the highest cost.

With purges and gulags, you silenced the cries,
Crushing dreams, extinguishing all the lies.
You forced loyalty, or face the grave,
Leaving behind a nation enslaved.

Millions of souls, caught in your grim grasp,
No mercy or kindness, only a cruel clasp.
Your propaganda machine, oiled and strong,
Manipulating minds, deceiving all along.

But even strong men, like Stalin, shall fall,
As time goes on, they crumble and stall.
Your reign may be over, but your legacy stays,
A reminder to never let tyranny sway.

In the annals of history, your name looms large,
A reminder of the evil brought forth by your charge.
Stalin, a monster whose reign remains stark,
May we never forget the depths of your dark.

รอบที่สอง

In days of old when darkness fell,
A man emerged, a tale to tell.
With ruthless might and iron fist,
His name struck fear, none could resist.

Stalin, the leader of the land,
His grip on power, no one could withstand.
In USSR he ruled with zeal,
A reign of terror he would reveal.

He silenced dissent, locked away,
Anyone who dared to disobey.
His purges swept the nation wide,
Millions suffered, many died.

The gulag camps, a living hell,
Where innocence and freedom fell.
A web of spies, fear in the air,
No one was safe, no refuge there.

But as the world would soon find out,
This tyrant's rule would face some doubt.
For his thirst for power knew no end,
And enemies he could not mend.

War raged on, with nations torn,
And Stalin's heart grew cold and worn.
His allies turned, his trust betrayed,
Yet still he ruled, his grasp unswayed.

His legacy, a tainted stain,
A symbol of terror, suffering and pain.
The man who ruled with iron might,
In history's pages, a darkened light.

Though he may be gone, his memory lingers,
A lesson learned, a warning to all thinkers.
Beware the power hungry ones,
For tyrants rise, when freedoms come undone.

.............................



สุดท้ายลองใส่ชื่อประกอบลงไปแทน ก็ได้กลอนอีกอันที่ไม่ซ้ำกันสามอันก่อนหน้า แต่ก็มีความเหมือนใน pattern ครับ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 23, 11:26
กลอน ( poem) ที่กวี AI  ส่งมาให้นี้ แต่งแบบ 1 บทมี 4 บรรทัด    แต่ละบรรทัดสัมผัสกันตรงคำท้ายสุด  เรียกว่า end rhyme  (rhyme แปลว่าสัมผัส)  
เป็นรูปแบบการแต่งบทร้อยกรองที่แพร่หลายที่สุดของอังกฤษ    นิยมกันในศตวรรษที่ 19   ปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นกันอยู่ โดยเฉพาะในบทกล่อมเด็ก หรือคำร้อยกรองง่ายๆสำหรับเด็ก    แต่รูปแบบนี้ล้าสมัยไปแล้วสำหรับการแต่งกวีนิพนธ์ร่วมสมัย
AI  คงจะถูกป้อนโปรแกรมว่า แต่งโคลงกลอนต้องมีฉันทลักษณ์แบบนี้  มันก็เลยยึดแบบแผนนี้ไว้ก่อนอื่น    ส่วนคำที่ใช้ก็สัมผัสแบบตั้งใจจะยึดรูปแบบเอาไว้ก่อน  แต่น้ำหนักคำไม่ค่อยจะมี  และเนื้อหาก็แบบกลอนพาไป
เช่นตอนนี้

Families gather beneath the inviting shade,
Sharing moments and memories that won't fade,
Picnics are spread, filled with love and delight,
As the sun showers warm kisses with all its might.

ครอบครัวมาอยู่พร้อมหน้ากันใต้ร่มเงาร่มรื่น
เพื่อร่วมเวลาและความทรงจำที่จะไม่เลือนหาย
ของกินที่นำมาปิคนิกก็ถูกวางลงบนพื้น  เต็มไปด้วยความรื่นรมย์
ขณะที่ดวงอาทิตย์ก็สาดแสงอุ่นมาจุมพิตอย่างเต็มกำลัง

คือครอบครัวพ่อแม่ลูกมานั่งปิคนิกกันใต้ต้นไม้    ก็แปลว่าอยู่ในเงาร่ม    แล้วแสงอาทิตย์จะสาดมาต้องกายอย่างเต็มๆได้ยังไง
แต่ AI ต้องหาคำมาสัมผัส กับ  delight  จึงต้องเขียนคำว่า might ลงไป

ถ้าเปรียบกับภาษาไทยก็คงจะคล้ายๆกับ AI แต่งกลอนมีสัมผัสนอกสัมผัสในแบบสุนทรภู่ได้เป๊ะ   แต่เนื้อหาแย้งกันเอง เพื่อจะเอารูปแบบไว้ก่อน



กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 23, 11:30
คุณประกอบ  ชื่อสุดท้ายที่คุณสั่งให้ AI แต่ง  มันคงจะรอดตัวเพราะกฎหมายหมิ่นประมาท AI ยังไม่มี   แต่คุณจะทำให้เรือนไทยและเจ้าของเรือนขึ้นศาลเอาง่ายๆ   ถ้าคนที่คุณใส่ชื่อเข้าไปเขาเอาเรื่อง
ลบกลอนบทที่ 3  ออกเถอะค่ะ หรือจะใส่ชื่อประกอบเข้าไปแทนที่ก็ได้


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 21 ก.ค. 23, 11:31
แว่บเข้ามา,ครับ

     นักเขียน 12 บาทอาจถูก AI แย่งงานได้ในอนาคต นักเขียน 100 บาทรอดตัว แต่พวกที่ไม่ใช่ ทั้ง 12 และ 100 (อย่างคนแถวๆนี้)  
อาจต้องไปขายเต้าฮวย เผลอๆจะรวยขึ้นมาก็ได้  

            ถ้าไม่ใช่ 12 และ 100 ก็น่าจะหมายถึงหลัก 1,000 (หลัก 100,000 - ละครทีวี) ไม่ใช่ 1 บาท (ที่เป็นเมื่อศตวรรษก่อน) ครับ

            รำลึกถึงนิยายสิบสองบาทกับนิยาย(หลาย)ร้อยบาทแล้ว ได้ต่อยอดรำลึกยาวไกลผ่านบทความของคุณหมอพงศกร
เมื่อสองปีก่อนจบตอนที่มี e book (ยังไม่มี AI)

https://www.groovebooks.com/article/12/การเดินทางของ-นวนิยายไทย-ในสายตาของพี่หมอโอ๊ต-พงศกร

            คุณประกอบมองศักยภาพ เอไอ ในวันหน้าว่าเก่งจนน่ากล้ว ในขณะที่นักวิชาการได้ออกมาทัดทานการพัฒนาเอไอ
ไม่ให้ล้ำเกินไปจนจะกลายเป็นภัยต่อมนุษย์

           นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านเอไอหลายสิบคน ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ของศูนย์ความปลอดภัยปัญญาประดิษฐ์
 (Centre for AI Safety) โดยเนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า
          “การลดความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากเอไอ ควรได้รับความสำคัญในระดับโลก ควบคู่ไปกับความเสี่ยงระดับสังคมอื่น ๆ เช่น โรคระบาด
และสงครามนิวเคลียร์”

https://www.bbc.com/thai/articles/cw4vlw39xgro

             สำหรับกลอนชุดนี้, เท่าที่ลองดู(แบบเวลาจำกัด) ที่สะดุด -

ท่อน - The bees, busy workers, hum their sweet tunes,
         Buzzing from flower to flower, each petal it croons,

         จะพบว่าเอไอ ใช้คำที่มักจะพบว่าใช้ในกลอนเกี่ยวกับผึ้งๆ ได้แก่ busy buzzing hum
แล้วก็ตรง"ความซ้ำ" ในคนละท่อน -

         ท่อนแรก -  The sun blankets the earth with a warm embrace
         ท่อนหก -   As the sun showers warm kisses with all its might.

         เห็นแล้วอยาก "แก้(คำ,ความให้แตก)ต่าง"


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 23, 11:50
ลองให้ AI แต่งกลอนฝรั่งจากหัวข้อ The Kingdom of Thailand   ปรากฏว่าก็แค่สูดลมหายใจเฮือกเดียว    บทร้อยกรองภาษาอังกฤษก็มาเรียงรายอยู่หน้าจอ
มันยังคงใช้รูปแบบเดิม คือ end rhyme   หรือจะเป็นเฉพาะที่เว็บไซต์นี้ก็ไม่ทราบ  ยังไม่ได้ลองเว็บอื่น

พบว่า AI  รู้จักสถานที่ท่องเที่ยว และจังหวัดดังๆ ที่ฝรั่งนิยมไปกัน  บันทึกภาพวัฒนธรรมไทยแบบเดียวกับนักท่องเที่ยวบันทึกไว้   

In a land of vibrant beauty, Thailand's name is known,
A kingdom of wonder, where ancient tales are shown.
From the Golden Palace walls to the markets of the street,
Thailand's majestic allure is truly hard to beat.

The sun rises over mountains, casting a golden hue,
As temples and pagodas stand tall, offering a view.
Buddhist monks in saffron robes, serene in their quest,
Guiding the faithful forward, their spirits truly blessed.

Bangkok, the bustling heartbeat, a city full of life,
With skyscrapers reaching high, cutting through the strife.
The river Chao Phraya meanders through its heart,
As longtail boats glide swiftly, like a work of art.

In Ayutthaya's ancient ruins, history comes alive,
Where mighty kings once reigned, their passions did thrive.
The crumbling temples whisper stories of days gone by,
Resilient stones bear witness to kingdoms that could not die.

Chiang Mai, embraced by mountains, a land of tranquil bliss,
Where elephants roam freely, their mighty presence amiss.
Colorful hill tribes weaving tales upon their looms,
Their vibrant traditions echoing through sacred rooms.

From the glistening beaches of Phuket to the islands afar,
Krabi's limestone cliffs that grace the azure skies as stars,
Thailand's coastal charms, a paradise to explore,
Where the ocean's gentle embrace leaves hearts wanting more.

But beyond its natural wonders, it's the people that shine,
Thai smiles warm and welcoming, like a gift divine.
Hospitality unmatched, every visitor embraced,
Leaving hearts changed forever, a lifelong memory embraced.

So let us raise a toast to the Kingdom of Thailand,
With its rich tapestry of culture, an enchanting wonderland.
May its beauty endure and its legacy not wane,
For Thailand's charm and grace will forever remain.


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 23, 11:58
จากตัวอย่างที่อ่านมา ทำให้เดาว่า AI ที่เจอ  คงมีการจำกัดด้านโปรแกรมที่ถูกป้อน  และคำที่มีอยู่  ให้มันลงลึกไปในบทกวีมากกว่านี้ไม่ได้     มันจะบรรยายได้เฉพาะจากข้อมูลที่ได้รับ ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลด้านรูปธรรม (concrete) เช่่นบรรยายความสวยงามของประเทศไทยตามที่สายตาพบเห็น     แต่ถ้าให้ลงลึกถึงนามธรรม (absract) ยังทำไม่ได้   ประเทศไทยที่ AI แต่ง จึงออกมาในรูปของถ้อยคำแจ้วเจื้อยพรรณนาความงามของสถานที่และความประทับใจ อย่างที่จะหาอ่านได้จากโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน 
เอาไปแปะไว้ในหนังสือนำเที่ยวของ ททท.ก็น่าจะเหมาะสมดี


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 23, 12:05
ขอให้ AI  เขียนกลอนสรรเสริญเยินยอ Brad Pitt ให้หน่อย   ก็ได้คำตอบมาตามนี้

Oh Brad Pitt, with charm so pure,
A Hollywood icon we all adore.
From Fight Club to Twelve Monkeys' twist,
Your talent and versatility cannot be missed.

You graced the screen as Tristan in Legends of the Fall,
Leaving hearts aching, standing tall.
In Troy, you portrayed Achilles with might,
A warrior so fierce, ready to fight.

Ocean's Eleven showcased your wit and style,
As Rusty, the master of deception and guile.
From Mr. & Mrs. Smith's chemistry so intense,
To The Curious Case of Benjamin Button's time-locked sense.

In Inglourious Basterds, you stole the show,
As Lt. Aldo Raine, with a vengeance to bestow.
Moneyball brought a baseball tale to life,
Proving your range as an actor, truly rife.

As Tyler Durden, you challenged the norm,
A rebel causing chaos in every form.
And as Cliff Booth, the stuntman so cool,
In Once Upon a Time in Hollywood, you ruled.

Oh Brad Pitt, your career so vast,
An actor whose talent will forever last.
From drama to action, romance to comedy,
You captivate us all, effortlessly.

So here's to you, Brad, in all your glory,
A legend in the making, forever in our story.
Your name will always be etched in gold,
As an actor whose brilliance will never fold.


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 23, 12:18
ยกเอาความเพราะไม่เพราะออกไป   ที่สำคัญคือ AI ประมวลข้อมูลเกี่ยวกับ Brad Pitt ได้เร็วปานสายฟ้าแลบ  แลบอีกทีก็คือเรียบเรียงข้อมูลนั้นออกมาเป็นบทกวี    เร็วเกินกว่ามนุษย์หน้าไหนจะคิดได้ทัน  ต่อให้เป็นด้อมแบร็ดก็เถอะ
ถ้าเอามาแต่งเป็นเรื่องสั้น เพียงป้อนข้อมูลที่จำเป็นเข้าไป   ภายใน 24 ชม. AI จะแต่งได้กี่ร้อยเรื่องก็ยังไม่กล้าเดา


นึกอยากจะดูว่า AI  รู้จักลุงตู่ในแง่ไหนบ้าง  ก็เลยใส่คำว่า Prayuth Chan-o-cha,Thailand Prime Minister เข้าไป  ไม่ได้ใช้คำขยายอื่นๆ ไม่ว่าดีหรือร้ายหลังชื่อและตำแหน่ง   ได้คำตอบมาแบบนี้

In the land of smiles, where the sun does shine,
There stands a leader, Prayuth Chan-o-cha, one of a kind.
The Prime Minister of Thailand, a man so wise,
With determination and strength, he never compromises.

In the realm of politics, he takes his rightful place,
Guiding the nation with vision and grace.
With a steady hand, he steers the course,
Navigating challenges, with unwavering force.

With his heart in his homeland, he works day and night,
To ensure Thailand's progress, and its future so bright.
He listens to the people, their hopes and dreams,
Creating a Thailand that truly gleams.

From the bustling streets of Bangkok to rural terrains,
He connects with his people, easing their pains.
Uniting the nation, breaking down every wall,
His leadership shines, like a beacon tall.

Through economic growth, he brings prosperity,
Empowering the people, creating opportunities.
His policies pave way for innovation and stability,
Ensuring Thailand's success, with unwavering flexibility.

But it's not just his achievements that make him revered,
It's his compassion and kindness that are truly endeared.
He nurtures the youth, the future of tomorrow,
Instilling values and knowledge, dispelling sorrow.

As the sun sets on the horizon, and darkness falls,
Prayuth Chan-o-cha never wavers, he answers the calls.
A leader with conviction, serving his land with might,
Thailand's Prime Minister, a guiding light.

So let us raise our voices, and let it be heard,
In praise of a leader, whose actions are stirred.
Prayuth Chan-o-cha, a leader we admire,
For your dedication and service, we never tire.


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 21 ก.ค. 23, 13:54
คุณประกอบ  ชื่อสุดท้ายที่คุณสั่งให้ AI แต่ง  มันคงจะรอดตัวเพราะกฎหมายหมิ่นประมาท AI ยังไม่มี   แต่คุณจะทำให้เรือนไทยและเจ้าของเรือนขึ้นศาลเอาง่ายๆ   ถ้าคนที่คุณใส่ชื่อเข้าไปเขาเอาเรื่อง
ลบกลอนบทที่ 3  ออกเถอะค่ะ หรือจะใส่ชื่อประกอบเข้าไปแทนที่ก็ได้

หง่ะ มัวแต่ประชุม กลับมาลบไม่ได้ วานแอดมินลบให้ทีครับบบบบ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 21 ก.ค. 23, 13:59
กลอนลุงตู่แบบไม่ชี้นำนี่  ลุง ๆ ป้า ๆ อ่านคงจะชอบใจ แต่วัยรุ่นไทยอาจจะคิดตรงกันข้าม


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 23, 15:53
ใส่หัวข้อเข้าไปใหม่  ว่า What is politics?   (การเมืองคืออะไร)   แต่ไม่ระบุว่าการเมืองประเทศไหน ยุคไหน 
คือถามกว้างๆ
เจ้า AI  ก็สรุปมาให้ คมไม่หยอก
ดิฉันชอบบทนี้ ค่ะ

Politics, oh what a game,
Where power is sought with no shame.
It's a world of deceit and manipulation,
Leaving the masses in endless frustration.

Lies are spoken with silver tongues,
Promises made as the plot slowly unfolds.
Corruption lurks behind closed doors,
While the people suffer the political wars.

Leaders, with their agendas in mind,
Dancing their way through loopholes they find.
They claim to fight for the common good,
But their actions speak louder, as they should.

Parties clash with opposing views,
Creating divides, stoking the news.
The blame game played with utmost zeal,
While the truth remains concealed.

Elections come and campaigns are run,
With speeches crafted under the sun.
Promises of change fill the air,
But can we trust what they declare?

Lobbyists whisper in the ears,
Money flowing to ease their fears.
Influence peddled like a valuable trade,
While the voice of the people starts to fade.

Talks and negotiations in hallowed halls,
Decisions made that affect us all.
Intricate policies crafted on high,
Leaving the bewildered asking "why?"

Yet, in the midst of this political circus,
Hope still shines through the chaos and fuss.
Citizens rise with a voice to be heard,
Demanding justice, fairness, every word.

For politics, despite its flaws,
Is a reminder of democracy's cause.
To fight for the rights of every soul,
And strive for a better, more just world.

So let us not be disillusioned or swayed,
But engage in the political charade.
For by standing together, strong and bold,
We can bring about the change we're told.


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ก.ค. 23, 16:01
ขอถามทุกท่านค่ะ  เว็บไซต์นี้เชื่อถือได้ไหม
เผื่อจะวาน AI  แต่งเรื่องให้สักหน่อย  ระหว่างเจ้าของเรือนไปหัดทำเต้าฮวย

  https://filmora.wondershare.com/chatgpt/chat-ai-story-generator.html?gclid=Cj0KCQjw2eilBhCCARIsAG0Pf8uDx639ZtyCLT5sSn8QNpvQtJ91wf6yHyII1ilR5Ud5ml9AY94aOb8aAhtgEALw_wcB


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: chupong ที่ 24 ก.ค. 23, 19:35
ผมขออนุญาตสารภาพกับท่านอาจารย์เทาชมพูครับ ว่าเคยคิดอยากเขียนนวนิยายย้อนเวลาเช่นกัน โดยจุดประสงค์ต่างกับนักเขียนรุ่นใหม่ คือมิใช่เพื่อจำหน่าย หรือเพื่อความนิยมใดๆทั้งสิ้น แต่อยากหาพื้นที่ยืนให้คนตาบอดครับ จากการอ่านประวัติของ “ครูช้อย สุนทรวาทิน” ผมพบว่า อย่างน้อย สังคมไทยสมัยก่อนโน้นก็ยังเปิดโอกาสให้คนตาบอดลืมตาอ้าปากบ้าง เพียงแต่อาจต้องพิสูจน์ตัวเอง ทนแรงเสียดทาน ถูกกระทบกระแทก บอบช้ำทางร่างกายและจิตใจหนักสักหน่อย หากไม่ท้อถอยง่ายๆก็จะประสบความสำเร็จ

   ขณะดูละคร “บุษบาลุยไฟ” ผมรู้สึกว่า ละครให้ความสำคัญกับผลงานของท่านสุนทรภู่มากกว่ากวีท่านอื่น    แม้กล่าวถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ก็เน้นจำเพาะ “ลิลิตตะเลงพ่าย” แถมโคลงกลอักษร “ดาวล้อมเดือน” มาให้อีกแค่หนึ่งบท ทั้งๆที่กวีพระองค์นี้ทรงพระปรีชาสามารถสูงส่งยิ่ง ทรงแตกฉานในขนบฉันทลักษณ์ทุกประเภท หนังสือที่ทรงพระนิพนธ์ก็หลากหลายสาขา ผมก็เลยอยากให้ผู้ชายตาบอดพระเอกของเรื่อง (ซึ่งก็คือตัวผมเองนั่นแหละครับ) ย้อนเวลากลับไปอยู่ยุคเดียวกับคุณหนูลำจวน ทว่าพอคิดขึ้นมาได้ถึงฝรั่งมิชชันนารี ความฝันของผมก็ต้องพังทลาย
   คนตาบอดต่างยุค จริตกิริยา การพูดจา ฯลฯ ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา บรรดาท่านเหล่านั้นมีหรือจะไม่สนใจ ยิ่งคุณหมอบรัดเลย์ด้วยแล้ว ผมเชื่อว่าท่านต้องจดบันทึกแน่ ผมไม่เคยได้ยินข้อมูลวิถีชีวิตคนตาบอดไทยสมัยรัชกาลที่ ๓ มาก่อนเลยครับ เข้าใจว่าคงถูกจำกัดอิสรภาพ หากให้พระเอกหลุดเข้าไป ก็คงถูกจับขังบนเรือน จะออกข้างนอกได้ก็ต้องมาขอทาน หรือรับเงินจากการทิ้งทาน จะผลิตไม้เท้าขาวขึ้นใช้เอง หรือทำสเลทสำหรับเขียนอักษรเบรลล์คงเป็นไปได้ยาก เรื่องพระเอกตาบอดย้อนไปสมัยรัชกาลที่ ๓ จึงต้องเอวัง ปล่อยให้เป็นเพียงความเพ้อเจ้อของคนตาบอดคนหนึ่ง ซึ่งไม่มีวันเป็นจริงเด็ดขาดครับอาจารย์


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 23, 19:58
ดิฉันอยากให้คุณชูพงศ์ลองเขียนดู    ไม่ต้องไปนึกถึงข้อจำกัดใดๆทั้งนั้น  อยากเขียนอะไรก็เขียนไปเลย   เพราะโลกของจินตนาการไม่ถูกจำกัดด้วยข้อเท็จจริง    คุณจะได้สนุกกับการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมา เปิดโลกให้กว้างขึ้น  และเพลิดเพลินขึ้นด้วย
คุณชูพงศ์เป็นคนเขียนหนังสือได้ดี   พิมพ์ถูกต้อง แม้คำยากๆก็สะกดได้ไม่ผิดเพี้ยน     เก่งกว่าคนสายตาดีอีกมาก   ถ้าเขียนหนังสือขึ้นมาได้ ก็อาจจะได้งานมีค่าขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่งก็ได้ค่ะ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: chupong ที่ 24 ก.ค. 23, 20:45
กราบขอบพระคุณในความเมตตาและกำลังใจครับอาจารย์

   ถ้าสมมุติในอนาคต ผมนึกสนุกอยากเขียน ก็คงต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูลนับหลายทศวรรษเชียวครับ เพราะทุกอย่าง ต้องถ่ายทอดผ่านผัสสะของคนตาบอดสนิททั้งหมด ตอนนี้ ผมนึกอะไรไม่ออกเลยครับ เรือนไม้เป็นอย่างไร เวลาวางเท้าเหยียบลงไปให้ความรู้สึกแบบไหน สมุดไทยโบราณ, กระดาษข่อยผมก็ไม่เคยคลำ จึงมิรู้ว่าใช้จดอักษรเบรลล์ได้จริงหรือเปล่า จดลงไปแล้ว จุดนูนจะปรากฏบนแผ่นกระดาษ หรือกระดาษจะขาดเสียก่อน ฯลฯ แม้เรื่องที่เขียนเป็นวรรณกรรมแนวจินตนิมิต แต่ก็ต้องสมจริง การหาเหตุผลมาโน้มน้าวใจผู้อ่านให้คล้อยตามว่า “มันอาจเป็นเช่นนั้นก็ได้” จะต้องตรองแล้วตรองอีก สร้างความกังวลให้ผมไม่น้อยเลยครับอาจารย์


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 23, 21:16
นิยายในยุคนี้ เน้นความกระชับ รวดเร็ว สั้น ทันใจ   จึงมักจะมีแต่บทสนทนาและเหตุการณ์   ไม่ค่อยมีการบรรยายละเอียดลออเหมือนนิยายยุคก่อน
คุณชูพงศ์ลองเริ่มที่การดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนาดูก่อนก็ได้ค่ะ   ว่าจะไปไหวไหม


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: chupong ที่ 25 ก.ค. 23, 08:59
กราบขอบพระคุณครับอาจารย์ ที่กรุณาแนะนำ

   หากความอยากเขียนมีมากจนท่วมท้นเมื่อไร ผมคงต้องเริ่มทำการบ้านเมื่อนั้นแล้วหละครับ ข้อแรก อ่านหนังสือ “จดหมายหลวงอุดมสมบัติ” ให้จบทุกฉบับ ทุกเนื้อถ้อยกระทงความ เพราะเป็นเอกสารที่เขียนขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจริงๆ พร้อมกับทำบัญชี ว่าคำไหนมีใช้แล้ว คำไหนยังไม่มีใช้ เพื่อมิให้บทสนทนาเก่าเกินไป หรือใหม่เกินยุค ข้อต่อมา อ่านเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนทั้งหมดอีกหลายๆรอบ แล้วจับเค้าให้ได้ว่า สำนวนพูดจาของชาวบ้านเป็นอย่างไร งานนี้ ถ้าไม่เครียดจนโรคไมเกรนเล่นงานเสียก่อน กิจธุระต่อไปจะตามมาเรื่อยๆครับอาจารย์


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ค. 23, 09:41
การเขียนภาษาย้อนยุคในนิยายไทย  ไม่เหมือนเขียนบทความวิชาการ    คุณชูพงศ์ไม่ต้องอาศัยทุกคำเป๊ะๆ  แค่ให้ได้กลิ่นอายของคำรุ่นเก่าก็พอค่ะ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 02 ส.ค. 23, 17:48
ผมพูดถึงตลาด EBOOK เท่านั้นนะครับ

นิยายจีนได้รับความนิยมแพร่หลายในบ้านเราจริงๆ ผมเคยแต่งเล่มหนึ่งยอดขายสูงที่สุดเท่าที่ตัวเองเคยแต่งทีเดียวเชียว แต่นักเขียนนิยายไทยที่ร่ำรวยกว่าเดิมก็มีเยอะแยะมากมาย ถ้าคุณจับทางได้ว่าตลาดต้องการอะไร (นิยายรักจบแบบฟินๆ ไม่ซีเรียส ไม่มีปมหนัก เข้ามาดูเขาจีบกัน มีบทเลิฟซีนมากบ้างน้อยบ้าง) มีกลุ่มแฟนคลับแน่นหนา มีผลงานออกมาเรื่อยๆ อย่างน้อยที่สุด 2 เดือน 1 เรื่อง

AI ไม่สามารถทลายกลุ่มแฟนคลับชาวไทยได้ไม่ว่าจะปีนี้หรือปีหน้าหรือปีถัดไป นักเขียนที่ขายงานได้ยังคงขายงานได้ไม่สะทกสะท้าน แต่ AI จะบดขยี้นักเขียนโนเนมซึ่งริอ่านเขียนนิยายที่ตลาดไม่โปรด อาทิเช่นสืบสวนสอบสวนหรือวิทยาศาสตร์ เฉพาะเจาะตลาดไทยให้สำเร็จก็แทบกระอักเลือดตาย ยังมาเจอทั้งนิยายแปล ทั้ง AI นอนมาพระสวดได้เลย

ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังมีนักเขียนโนเนมที่ยังยืนหยัดต่อสู้กับนิยายแปลกับ AI เพียงแต่ค่อนข้างน้อย ผมพยายามสนับสนุนเต็มกำลังเพราะชอบนิยายแนวสืบสวนสอบสวน แต่ต้องดูผลงานด้วยบางเรื่องไม่ไหวจริงๆ จนใจที่จะช่วย  :-\



กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 02 ส.ค. 23, 17:52
ปล.ผมเห็นด้วยนะครับกับการเดินเรื่องด้วยบทสนทนา นิยายเน้นบรรยายของผมขนาดให้อ่านฟรียังไม่อ่านกันเลย ฮาาาาา.... :'(

อยากบรรยายจริงๆ ต้องไปนิยายจีนกำลังภายในอะไรแบบนี้ แต่เขียนยากมากคนอ่านก็อ่านยากมาก


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 23, 10:29

นิยายจีนได้รับความนิยมแพร่หลายในบ้านเราจริงๆ ผมเคยแต่งเล่มหนึ่งยอดขายสูงที่สุดเท่าที่ตัวเองเคยแต่งทีเดียวเชียว แต่นักเขียนนิยายไทยที่ร่ำรวยกว่าเดิมก็มีเยอะแยะมากมาย ถ้าคุณจับทางได้ว่าตลาดต้องการอะไร (นิยายรักจบแบบฟินๆ ไม่ซีเรียส ไม่มีปมหนัก เข้ามาดูเขาจีบกัน มีบทเลิฟซีนมากบ้างน้อยบ้าง) มีกลุ่มแฟนคลับแน่นหนา มีผลงานออกมาเรื่อยๆ อย่างน้อยที่สุด 2 เดือน 1 เรื่อง

AI ไม่สามารถทลายกลุ่มแฟนคลับชาวไทยได้ไม่ว่าจะปีนี้หรือปีหน้าหรือปีถัดไป นักเขียนที่ขายงานได้ยังคงขายงานได้ไม่สะทกสะท้าน แต่ AI จะบดขยี้นักเขียนโนเนมซึ่งริอ่านเขียนนิยายที่ตลาดไม่โปรด อาทิเช่นสืบสวนสอบสวนหรือวิทยาศาสตร์ เฉพาะเจาะตลาดไทยให้สำเร็จก็แทบกระอักเลือดตาย ยังมาเจอทั้งนิยายแปล ทั้ง AI นอนมาพระสวดได้เลย

อ้าว เซอร์ไพรส์จริงๆนะเนี่ย     คุณ superboy เข้ามาคุยอยู่ในเรือนไทยหลายปี   ไม่ยักแอะออกมาสักคำว่าเป็นเพื่อนร่วมอาชีพของดิฉันเหมือนกัน     ถ้าเปิดเผย ก็คงมีสมาชิกเรือนไทยเข้าไปอุดหนุน e book อีกหลายคน
จะไม่แง้มประตูบอกนามปากกาหน่อยหรือคะ

ดิฉันเข้าใจว่า เจ้า AI  คงทำงานคล้ายๆนักก๊อปงาน เกรด B   คือมันจะจับแนวว่าเรื่องแนวที่มันได้รับคำสั่งให้เขียน
 เขามีสูตรสำเร็จกันยังไง  แล้วมันก็ผลิตสูตรนั้นออกมาในเวลาเร็วปานสายฟ้าแลบ
สมมุติ..สมมุติแล้วกัน เพราะก็ยังไม่เคยสั่งให้ AI เขียนให้     ถ้าผิดพลาดตรงไหน ขอคุณ superboy แก้ให้ด้วย
อีก2 เจ้าที่ต้องขอคือคุณเพ็ญชมพูกับคุณประกอบ    ส่วนท่านอื่นๆก็เชิญออกความเห็นหรือชี้ข้อผิดได้เช่นกันค่ะ

สูตรสำเร็จของเรื่องสืบสวน style country house murder  ( ดิฉันชอบอ่านสไตล์นี้)
1  ฉาก  คฤหาสน์ใหญ่ในชนบท  หรือสถานที่ตากอากาศ  หรือรีสอร์ต
2  ตัวละคร    จำนวนหลายคน หลากหลายฐานะ หลายวัย   มีเหตุให้ไปพักหรือต้องชุมนุมกันที่บ้านหลังนี้
3  ใครคนหนึ่งถูกฆ่า
4  หลายคนตกเป็นผู้ต้องสงสัย  เพราะมีเหตุเกี่ยวพันกับคนตายทั้งสิ้น   และบางคนก็อยู่ในที่เกิดเหตุ
5  ตัวเอกของเรื่อง สืบสาวราวเรื่องหาสาเหตุ
6  ปมพัลวันยุ่งเหยิง
7  ฆาตกรคือคนที่ถูกสงสัยน้อยที่สุด
ให้เส้นเรื่อง ( story line)  แบบนี้  AI  จะผลิตกี่เรื่องก็ได้


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 04 ส.ค. 23, 16:26
ตอนนี้ AI มันยังไม่เก่งครับ โดยเฉพาะ AI ภาษาไทย   แต่ แต่ แต่  ด้วยความเร็วในการพัฒนาของมัน  อีกไม่นานครับอีกไม่นานครับ มันจะเขียนงานเกรด A ออกมาได้  และที่น่ากลัวคือด้วยพลังการเรียนรู้ของมัน มันจะจับทางได้ว่าตลาดชอบแบบไหน  แล้วมันจะตอบสนองความต้องการของตลาดแบบคนสู้ได้ยากครับ

ในสายงานที่ผมพอมีความรู้ทางคอมพิวเตอร์บ้างงู ๆ ปลา ๆ ผมค่อนข้างวิตกเรื่อง AI นะครับ มันมีจุดดีมากมาย แต่ข้อเสียในการโน้มน้าวหรือเปลี่ยนแปลง หรือชี้นำมนุษย์ได้ของมันนี่น่าวิตกมาก ๆ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 23, 17:22
ในสายงานที่ผมพอมีความรู้ทางคอมพิวเตอร์บ้างงู ๆ ปลา ๆ ผมค่อนข้างวิตกเรื่อง AI นะครับ มันมีจุดดีมากมาย แต่ข้อเสียในการโน้มน้าวหรือเปลี่ยนแปลง หรือชี้นำมนุษย์ได้ของมันนี่น่าวิตกมาก ๆ

ในสาขาสังคมศาสตร์  อย่างวิชาวรรณกรรม  AI จะเข้ามาแต่งนิยายแทนนักเขียน แล้วเบียดมนุษย์นักเขียนตกเวทีไป  ข้อนี้เป็นไปได้
แต่มันจะคิดถึงขั้นล้างสมองมนุษย์ผ่านวรรณกรรมให้คิดอย่างที่มันคิดได้ไหม    และคำถามต่อไปคือ AI มีสิทธิ์คิดอะไรเป็นตัวของตัวเองได้บ้างคะ   ตัวอย่างเช่น มันเกิดไปอ่านสุนทรพจน์ของฮิตเลอร์   มันจะเกิดเลื่อมใสขึ้นมาเองโดยไม่มีใครใส่โปรแกรมให้มันคิดเช่นนั้นได้ไหม
ถ้าคำตอบคือ มันคิดเองได้   ขั้นต่อไปคือมันจะต่อยอดความคิดได้ไหมว่า อย่ากระนั้นเลย  เราทำให้คนทั้งโลกเลื่อมใสท่านผู้นำบ้างดีกว่า   


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 04 ส.ค. 23, 18:45
ตอนนี้คงยากที่จะบอกหรือตัดสินได้ว่ามันมีความรู้สึก หรือมันคิดเอง หรือมีอารมณ์ขึ้นมาเองหรือเปล่า เพราะวิธีการเรียนรู้ของ AI แบบง่าย ๆ คือ มันเรียนรู้จากข้อมูลต่าง ๆ ที่ป้อนเข้าไปให้มันเรียน และมันใช้กลไกที่คล้ายคลึงกับเซลสมองมนุษย์ในการค่อย ๆ เรียน และหารูปแบบบางอย่างจากข้อมูลที่เรียนนั้น ด้วยวิธีการเรียนแบบนี้ สามารถจะ bias ได้ ถ้าข้อมูลที่ใช้ในการสอนมันเป็นข้อมูลด้านเดียวครับ  ส่วนเรื่องมันคิดเองได้ไหม ผมยังไม่เห็นใครนำเสนอวิธีที่จะใช้จำแนกอย่างแน่ชัดว่าว่าสิ่งที่ AI มันสื่อออกมาก  มาจากรูปแบบที่มันเรียนรู้มา หรือมาจากกระบวนการคิดเองจริง ๆ ซึ่งคนต้องรอเวลาและให้คนฉลาด ๆ กว่าผมมาหาทางทำต่อไป


ในเรื่องการเขียน ถ้าข้อมูลที่ป้อนให้มีมากพอ มันจะหารูปแบบบางอย่างจนเจอ จนมันสามารถจำลองหรือเลียนแบบรูปแบบนั้นได้  เช่นถ้าป้อนนิยายให้มันเรียนมาก ๆ มันจะหารูปแบบบางอย่างเจอ และรู้ว่าจะเขียนนิยายออกมาแบบไหนให้คนชอบ โดยตัว AI อาจจะไม่ได้เข้าใจ หรือมีอารมณ์ร่วมกับนิยายนั้น แต่มันจะรู้ว่าเขียนแบบนี้คือแบบที่คนจะชอบ   และมันจะเขียนได้เร็วมาก จนถ้าแม้มันเขียนออกมาแล้วคนไม่ชอบ มันจะเรียนรู้แล้วหาเจออีกแหละว่าทำไมคนไม่ชอบ แล้วจะปรับรูปแบบได้อย่างรวดเร็ว  แถมการใช้ภาษาของมันจะดีกว่าคนแต่งอีก เพราะมันเรียนรู้จากนิยายหรือข้อเขียนจำนวนมหาศาลมากกว่าที่คนคนนึงจะอ่านได้ตลอดชีวิต จนมันจับจุดหรือหารูปแบบที่คนชอบเจอมากกว่าคนที่เป็นนักเขียนจะทำได้

ส่วนการล้างสมองหรือชี้นำมนุษย์ ทุกวันนี้ AI กำลังทำอยู่ครับ แถมทำแบบไม่มีการควบคุม   ตัวอย่างเช่นการใช้ FB หรือ social media ต่าง ๆ จะมี AI ที่คอยเรียนรู้ว่าคนแต่ละคนมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาแบบไหน แล้วมันจะยิ่งเลือกเนื้อหาแบบเดียวกันมาให้ จนกรอบความคิดของคนคนนั้นจะค่อย ๆ ถูกจำกัดอยู่ในกะลาที่ AI เลือกมาให้เห็นแต่ข้อมูลด้านเดียว จนเข้าใจไปว่าทั้งสังคมเป็นแบบนั้น 

ปัจจัยหนึ่งที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เพราะมีการนำ AI มาใช้วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย และเลือกยิงโฆษณาได้ตรงเป้าถูกกลุ่ม จนเปลี่ยนใจคนให้หันมาเลือกได้จนเลือกตั้งชนะแบบฉีกทุกโพลเลย

ตัว AI เองในอนาคตอาจจะครอบงำล้างสมองมนุษย์ได้ โดยอาจเป็นทั้งความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจของ AI เอง หรือมาจากกลุ่มคนที่เป็นเจ้าของ platform AI ที่สามารถเข้าถึงผู้ใช้จำนวนมาก สามารถจะค่อย ๆ สอกแทรกเนื้อหาล้างสมองคนได้ทีละนิด ๆ แบบเนียน ๆ  โดยมันจะเรียนรู้ได้อีกว่าจะล้างสมองคนแต่ละคนด้วยวิธีการใด เนื้อหาแบบไหน จะค่อย ๆ หรือทำแบบเร็ว ๆ ได้ และมันจะทำสำเร็จครับ 

ตอนนี้ทั้งโลกยังไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ ที่จะใช้ควบคุมในกรณีนี้เลย  ที่อีตาอีลอน มัสก์ออกมาให้ความเห็นเรื่องอันตรายของ AI เป็นสิ่งที่ต้องรับฟังมาก ๆ ครับ อย่างบน FB ผมนี่ กด like เพจทุกฝั่งการเมือง แต่เผลอไผลไม่มี engagement แป๊บเดียว สารจากการเมืองบางฝั่งหายไปจากหน้า feed ผมซะแล้ว


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.ย. 23, 13:32
ดึงกระทู้นี้ขึ้นมาอีก   เพราะไปเจอข้อความข้างล่างนี้

รับคิดพล็อตนิยาย
ราคา 50 บาท
เขียนเกี่ยวกับใคร ทำอะไร ที่ไหน ยังไง ปมปัญหาของเรื่อง วิธีเเก้ปม


เป็นอาชีพที่น่าทึ่ง   จนอยากจะย้อนมิติไปเกิดหลังจากวันเกิดจริงสัก 60 ปี  คงจะเริ่มอาชีพนักเขียนได้สะดวกง่ายดายขึ้นมาก  
ขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้มีทัศนะในทางลบต่ออาชีพข้างบนนี้แต่อย่างใด   ที่เขียนต่อไปนี้คือความสงสัยแท้จริง ไม่มีความคิดอื่นปน  ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเรือนไทยท่านใดจะช่วยไขข้อข้องใจได้บ้าง
คือสงสัยว่า

1   ผู้ที่มาเป็นลูกค้าของเจ้าของงานข้างบนนี้ สามารถเป็นนักเขียนโดยไม่ต้องมีความรู้หรือความคิดพื้นฐานใดๆที่จะสร้างงานของตัวเองเลยหรือ    
หรือว่าลูกค้าคือนักเขียนอยู่แล้ว แต่งานเต็มมือจนคิดพล็อตใหม่ไม่ทัน  เลยต้องอาศัยแรงสมองของผู้อื่นมาช่วยคิดพล็อตให้   แล้วตัวเองก็เติมรายละเอียดลงไปเองให้จบเรื่อง
ราคา 50 บาทนี่น้อยมากนะคะ  สำหรับแรงสมองในการคิดพล็อตนิยายทั้งเรื่อง  

2   ไม่รู้ว่าพล็อตที่ส่งให้ลูกค้าแต่ละคน   เป็นพล็อตเดียวกัน   หรือส่งให้ลูกค้าแต่ละคน  1 คน 1 พล็อตไม่ซ้ำกัน  

3   โฆษณาเรื่องนี้ ทำกันจริง หรือว่าตั้งขึ้นมาเล่นๆ?


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ก.ย. 23, 11:26
ยังไม่มีใครตอบ  แสดงว่าก็คงไม่มีใครรู้คำตอบ  หรือรู้แล้วไม่อยากอธิบาย
ขอตั้งข้อสังเกตว่า ถ้างานนี้มีจริง  ก็น่าจะต้องคำนึงถึงกฎหมายลิขสิทธิ์ไว้ด้วย  เพื่อความรอบคอบ
งานสร้างสรรค์ทั้งหลายเมื่อผลิตออกมา  เป็นลิขสิทธิ์ของผู้สร้าง  ต่อให้ไม่ไปจดทะเบียนที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ไม่ทำให้สิทธิ์ของเจ้าของหมดไป     
งานเขียนที่ผู้สร้าง สร้างขึ้นแล้วมอบให้อีกคนหนึ่งไป โดยมีค่าตอบแทนกลับมา   ได้ทำสัญญาไว้ชัดเจนหรือไม่ ว่าเป็นการขายลิขสิทธิ์ หรือแค่การอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ของเจ้าของ   เข้าใจว่าจะไม่มีการทำสัญญาละเอียดถึงขั้นนั้น
ต่อไปถ้าเรื่องนี้เป็นเงินเป็นทองขึ้นมา อาจมีปัญหาว่าใครกันแน่เป็นเจ้าของ  คนแรกหรือคนที่สอง   หรือเป็นเจ้าของร่วมกัน     
ถ้าคนแรกที่คิดเรื่องขึ้นมา คิดแล้วขายให้คนที่สอง   อาจเข้าข่ายจ้างผลิตงานก็ได้   เหมือนเจ้าของโรงงานผลิตสินค้าตามออเดอร์ของลูกค้า  เมื่อผลิตเสร็จ ส่งให้ลูกค้าได้เงินมาแล้ว  ก็ไม่มีสิทธิ์ในสินค้านั้นอีก
จะผลิตซ้ำก็ไม่ได้  เพราะสิทธิ์ในสินค้านั้นอยู่กับลูกค้าคนแรกไปแล้ว    ถ้าผลิตซ้ำ ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์  ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ค่ะ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ต.ค. 23, 09:56
อยากประลองฝีมือกับ AI ทางด้านแต่งหนังสือ   ดูซิว่ามันจะมีปัญญามาประดิษฐ์เรื่องได้เท่าคนหรือไม่
ก็เลยลองสร้างพล็อตเรื่องน้ำเน่าขึ้นมาเรื่องหนึ่ง  เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ป้อนเข้าไปใน AI อ่านแล้วขอให้แต่งต่อจนจบ

พล็อตที่ส่งเข้าไปมีดังนี้

Annie always dreams of a tall, fair and handsome gentleman who will come to her someday. But all she has found is Ron, a short, dark and stout  neighbor who has fallen in love with her since high school.Much to her dismay, he also chooses to be a cook , instead of an engineer, a doctor or a business man.
Finally, Annie meets Winston , heir to the tycoon who owns a  big oil company. Unfortunately, he finds her least attractive comparing to all pretty  girls sourounding him.
How can Annie find a happy ending?

คงจะระดับหมูหวานสำหรับ  AI    เจ้า ChatGPT ใช้เวลาไม่ถึงนาที แต่งเรื่องกลับมา   แถมชื่อเรื่องให้ด้วย

Title: "Unexpected Love"

Plot:

Annie has always been a dreamer, envisioning a tall, fair, and handsome prince charming who would sweep her off her feet and make all her fairy tale dreams come true. But reality has a way of being quite different. The closest thing to a prince in her life is her neighbor Ron, who has been head over heels in love with her since their high school days.

Ron is everything Annie never dreamed of – short, dark, and stout, but he's also kind, funny, and fiercely loyal. Against all odds, he chose a career as a cook, pursuing his passion for creating delicious meals rather than a traditional path like engineering, medicine, or business.

Annie's world takes an unexpected turn when she crosses paths with Winston, the heir to a tycoon who owns a massive oil company. Winston is surrounded by beautiful women and has never had trouble finding attractive partners. Unfortunately for Annie, he doesn't seem to notice her amidst the glamorous crowd that constantly surrounds him.

As Annie becomes entangled in a world of opulence and luxury, she can't help but feel like a fish out of water. Despite the lavish settings, she can't ignore the void in her heart. She's torn between the world of dreams she's always longed for and the reality of the love she's found with Ron.

As the story unfolds, Annie must come to terms with her own values and desires. She faces the choice between the seemingly perfect but superficial world with Winston and the genuine, steadfast love she shares with Ron. Through a series of challenges, self-discovery, and personal growth, Annie learns that true happiness doesn't always conform to the dreams of fairy tales. She must follow her heart and make a choice that will lead her to her own unique and unexpected happy ending.

"Unexpected Love" is a romantic novel that explores themes of love, self-discovery, and the pursuit of happiness beyond societal expectations. It reminds us that sometimes, the most beautiful love stories are the ones we never saw coming.



กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ต.ค. 23, 10:08
ขอแปลเป็นภาษาไทยให้อ่านค่ะ

แอนนี่มักจะฝันถึงหนุ่มมาดดี สูง ผมทองและหล่อเหลาที่จะเข้ามาในชีวิตเธอสักวันหนึ่ง แต่คนเดียวที่เธอพบคือรอน เพื่อนบ้านตัวเตี้ย ผิวดำ และอ้วนท้วนที่ตกหลุมรักเธอตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย  นอกจากนี้ เขาทำให้เธอรู้สึกแย่มาก ที่เลือกอาชีพพ่อครัว  แทนที่จะเป็นวิศวกร หมอ หรือนักธุรกิจ .
ในที่สุด แอนนี่ได้พบกับวินสตัน ทายาทของมหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ น่าเสียดายที่เขาพบว่าเธอสวยมีเสน่ห์น้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสาวสวยทุกคนที่คอยเอาใจเขา

ชีวิตแอนนี่จะจบอย่างเป็นสุขได้อย่างไร?

ส่วนที่ AI แต่งต่อให้จบก็คือ

As Annie becomes entangled in a world of opulence and luxury, she can't help but feel like a fish out of water. Despite the lavish settings, she can't ignore the void in her heart. She's torn between the world of dreams she's always longed for and the reality of the love she's found with Ron.

 
เมื่อแอนนี่เข้าไปพัวพันกับโลกแห่งความมั่งคั่งและหรูหรา เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนเป็นปลาที่ขาดน้ำ แม้จะมีสภาพแวดล้อมหรูหรา เธอก็ไม่สามารถมองข้ามความรู้สึกโหวงเหวงในหัวใจได้ เธอต้องเลือกระหว่างโลกแห่งความฝันที่เธอโหยหามาโดยตลอดกับความเป็นจริงของรักที่เธอได้พบกับรอน


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ต.ค. 23, 10:15
As the story unfolds, Annie must come to terms with her own values and desires. She faces the choice between the seemingly perfect but superficial world with Winston and the genuine, steadfast love she shares with Ron. Through a series of challenges, self-discovery, and personal growth, Annie learns that true happiness doesn't always conform to the dreams of fairy tales. She must follow her heart and make a choice that will lead her to her own unique and unexpected happy ending.

เมื่อเรื่องราวดำเนินไป แอนนี่เรียนรู้ที่จะยอมรับค่านิยมและความปรารถนาของเธอเอง เธอต้องเผชิญทางเลือกระหว่างโลกเหมือนจะสมบูรณ์แบบแต่ฉาบฉวยกับวินสตัน กับความรักที่มั่นคงและจริงใจที่เธอมีกับรอน  แอนนี่ต้องเผชิญเหตุการณ์ท้าทายในชีวิต การค้นพบตัวเอง และการเติบโตของตัวตน   แอนนี่ได้เรียนรู้ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้เป็นไปตามความฝันในเทพนิยายเสมอไป เธอต้องทำตามหัวใจของเธอและตัดสินใจเลือกสิ่งที่จะนำเธอไปสู่ตอนจบที่เป็นสุข อย่างไม่เหมือนใครและไม่ได้คาดคิดล่วงหน้า

ปล.พล็อตนี้สงวนลิขสิทธิ์  ห้ามเลียนแบบ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 19 ต.ค. 23, 21:04
AI ไม่มีพล็อตเจ้าชายหนุ่มร่ำรวยหล่อเหลาไปร่ำเรียนที่เมืองนอก แล้วแอบไปขับ taxi ตามหารักแท้บ้างหรือครับ  ;D  ;D  ;D รอท่านอาจารย์แต่งนิยายจากพล็อตนี้มาหลายปีแล้วนะ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ต.ค. 23, 21:55
ตั้งโจทย์ให้  AI ต่อเรื่องให้แล้วนะคะ   เชิญคุณประกอบอ่านว่าพล็อตนี้ถูกใจหรือยัง

Prince Prakob,heir to the throne of Reurnthaidom, a small but wealthy country in Southeast Asia, grows irritated  of his comfortable yet uneventful life. When he goes to United Kingdom to pursue a doctoral degree in Computer Science, he decides to disguise himself as a humble taxi-driver.
During daytime,he works hard  as a respectable TA in college, but in the evening , he roams London while carrying passengers to their destinations.  He finds all kinds of people,especially young women of various professions and appearances .
Prince Prakob is pleased with few of the girls he meets. They are kind and friendly, never look down on him. But he is not sure whether things will stay the same way once they learn the truth.
He cannot decide how to approach the girls  in order to find out which one of them is suitable for his  bride. In other words, he is searching in vain for  true love to come his way.


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ต.ค. 23, 08:29
พอส่งข้อความไปเท่านั้นแหละ  แค่กระพริบตา AI ส่งเรื่องกลับมาให้ทันที   รวดเร็วปานสายฟ้าแลบอย่างนี้ เจ้า AI คงชอบพล็อตนี้มาก

One chilly evening in London, Prince Prakob picked up a passenger unlike any other. Her name was Eleanor, and she had a vibrant personality that instantly put him at ease. They struck up a conversation about travel, culture, and life's adventures.

Eleanor, a free-spirited artist, was intrigued by her taxi driver's knowledge and charm. She found herself enjoying their conversations more than any other taxi ride she'd taken. Over the course of several weeks, they developed a unique connection.

One evening, as the clock struck midnight, Prince Prakob decided it was time to reveal his true identity to Eleanor. They had stopped at a quiet spot near the Thames River, with the city lights glistening on the water.

Taking a deep breath, he turned to Eleanor and said, "There's something I need to tell you, something I've been keeping from you all this time." He hesitated for a moment, unsure of how she would react.

Eleanor looked at him, her eyes filled with curiosity. "What is it?" she asked.

Prince Prakob confessed, "I'm not just a taxi driver. I'm actually Prince Prakob of Reurnthaidom, heir to the throne."

Eleanor blinked in surprise, and then a smile slowly spread across her face. "You know, I had a feeling there was something different about you," she said, her tone warm and accepting. "But it doesn't change who you are as a person. You've been genuine and kind, and that's what matters to me."

Prince Prakob felt a weight lift from his shoulders as he realized Eleanor's reaction was one of understanding and acceptance. They continued to spend time together, and their connection deepened.

As the days turned into months, Prince Prakob knew he had found the love he had been searching for. He proposed to Eleanor in a quiet London park, and she joyfully accepted. Their love story, marked by a chance encounter in a taxi and an honest revelation, became the stuff of legend in both Reurnthaidom and London.

Prince Prakob and Eleanor decided to split their time between their two worlds, blending their cultures and traditions. They brought a touch of Southeast Asia to London and shared the beauty of England with the people of Reurnthaidom.

Their marriage united two nations in a way that no political alliance ever could. It was a testament to the power of love, sincerity, and the belief that true happiness could be found when one is open to the unexpected and embraces life's adventures with an open heart.


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ต.ค. 23, 08:31
AI  เพาะแหล่งยุงชุมหน่อยนะคะ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 20 ต.ค. 23, 16:01
แหม่ มันไม่มีหักมุมหรือฉากบู๊ดุเดือดเลือดพล่านเอาซะเลยครับ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ต.ค. 23, 16:26
  เดี๋ยวจะลองหาพล็อตผจญภัย หรือลึกลับสืบสวนสอบสวนมาให้ AI แต่งดูบ้าง
  ใครสมัครเป็นตัวเอก(ชายหรือหญิงก็ได้) เชิญมาลงชื่อสมัครค่ะ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ต.ค. 23, 19:31
    เปลี่ยนแนวเป็นเรื่องที่ยากกว่านี้ คือเรื่องสืบสวนสอบสวน   เพราะเรื่องประเภทนี้เขาแต่งให้คนอ่านรู้ความจริงเอาตอนสุดท้าย   ยิ่งเดาไม่ถูกมากเท่าไร ยิ่งประสบความสำเร็จมากเท่านั้น   
    ก็เลยคิดพล็อตเรื่องฆาตกรรมที่มีเงื่อนงำเยอะแยะไปหมด  แม้แต่ตัวคนวางพล็อตเองก็ไม่รู้ตอนจบ    ดูซิว่า AI จะหาทางเฉลยได้ไหม
   เรื่องที่ส่งให้นี้อยู่ในแนว Countryhouse Murder  เป็นแนวที่นักเขียนรุ่นเก่าของอังกฤษนิยมใช้กันมาก  เนื้อเรื่องคือคนกลุ่มหนึ่งไปรวมกันอยู่ในคฤหาสน์ในชนบท  ต่างคนต่างก็มีเบื้องหลัง  แล้วต่อมาก็มีหนึ่งในนั้นถูกฆาตกรรม   เป็นหน้าที่ของนักสืบตัวเอก หรือตำรวจ ต้องสืบสวนหาแรงจูงใจและตัวฆาตกร
    ไม่มีสมาชิกเรือนไทยสมัครเป็นพระเอกนางเอก  ก็เลยคิดชื่อตัวละครและฉากเป็นฝรั่งให้หมด  ผลดีคือ AI ได้เข้าใจง่ายๆ
    แปลเป็นไทยให้อ่านกันค่ะ

     พิปปากับเจน แม่ของเธอได้รับเชิญจากซาร่าห์พี่สาวของแม่ให้ไปเป็นแขกฉลองคริสต์มาสที่บ้านพี่สาวที่เมืองลีดส์ ในอังกฤษ  เจนกับซาร่าห์ไม่ได้เจอหรือได้ข่าวคราวกันมากว่า 20 ปีแล้ว  ไปถึงก็พบว่าซาราห์กลายเป็นเศรษฐีนีม่ายไม่มีลูก   สูญเสียจอห์น คาร์ริงตัน สามีไปกับเรือล่มเพราะแรงพายุเมื่อ 3 เดือนก่อน
    ในบ้านมีแขกอื่นๆมาร่วมงานด้วยคือเบอร์นาร์ดหลานชายของสามี  ลิลี่แฟนสาวของเขา  มิสแกรม อดีตเลขานุการสาวของสามี   เฮนรี่และแมรี่เพื่อนบ้านผัวเมียวัยกลางคนอีกคู่หนึ่ง    นอกจากนี้ก็มีมาร์คัส หัวหน้าคนรับใช้ฝ่ายชาย และมิสซิสสโตนแม่บ้าน ประจำอยู่ในคฤหาสน์
    ซาร่าห์ต้อนรับน้องสาวและหลานสาวอย่างดีอกดีใจ ส่วนแขกอื่นๆมีท่าทีไม่ต้อนรับอย่างเห็นชัด    แม่บ้านเล่าให้พิปปาฟังในฐานะนางเป็นคนรับใช้เก่าแก่ ว่าพี่น้องสองสาวตัดขาดกันเพราะหลงรักผู้ชายคนเดียวกัน  ก็คือพ่อผู้ล่วงลับของพิปปานั่นเอง
     ตกค่ำ ขณะรับประทานอาหารด้วยกันพร้อมหน้า   ซาร่าห์ประกาศขึ้นมาว่า กำลังทำพินัยกรรม ตั้งใจจะยกทรัพย์สินทั้งหมดให้น้องสาว เป็นของขวัญที่กลับมาคืนดีกัน
     เบอร์นาร์ดหลานชายของสามีประท้วงขึ้นมาทันทีว่าสมบัติเป็นของลุงเขา  เมื่อลุงตาย เขาต่างหากคือทายาท  ป้าไม่มีสิทธิ์ยกให้คนอื่น    มิสแกรม เลขานุการเปิดโปงออกมาว่าสมบัติไม่มีหรอก และจอห์นสามีของซาร่าห์ก็ไม่ได้ตายจริง แต่ทำอุบายว่าตายเพื่อหลบหนีเจ้าหนี้เพราะตัวเองกำลังจะล้มละลาย   
ทั้งซาร่าห์และเบอร์นาร์ดหันไปเล่นงานเลขาฯว่าโกหก และแฉว่ามิสแกรมเป็นเมียเก็บของจอห์นมาหลายปีแล้ว   เลขาฯก็เลยแฉกลับว่าซาร่าห์ต่างหากแอบคบชู้กับเฮนรี่ชายเพื่อนบ้านที่เป็นแขกในคืนนี้    แมรี่ได้ยินเข้าก็ทะเลาะกับสามีเป็นการใหญ่   จนหลุดปากออกมาว่าลิลี่แฟนสาวของเบอร์นาร์ดที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย  แท้จริงเป็นโสเภณีที่แมรี่จ้างมาเพื่อล่อสามีให้เลิกกับซาร่าห์  แต่หล่อนกลับหักหลังไปคบกับเบอร์นาร์ดที่รวยกว่า
เหตุการณ์ในห้องอาหารถึงพริกถึงขิงจนพิปปาทนไม่ไหวต้องลุกหนีออกจากห้องไป   พอจะขึ้นบันไดก็ได้ยินหัวหน้าคนรับใช้กับแม่บ้านพูดกัน  แม่บ้านตำหนิว่าทั้งหมดเป็นความผิดของหัวหน้าคนรับใช้ แต่เขากลับตอบว่า "คุณนายก็สมควรแล้ว"
คืนนั้นพิปปาไปตามหาแม่ในห้องพักเพื่อชวนให้เดินทางกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น แต่ไม่พบแม่ในห้อง   ตอนเช้าแม่บ้านไปพบว่าซาร่าห์เจเาของบ้านถูกรัดคอตายในห้องสมุด    แขกทั้งหมดรวมทั้งกระเป๋าเดินทางของแต่ละคนหายไปหมด    เหลือพิปปาคนเดียว
ตำรวจมาถึงเพื่อสอบสวนคดีฆาตกรรม 
เขียนมาถึงตรงนี้ก็สั่ง AI ให้แต่งต่อจนจบค่ะ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ต.ค. 23, 17:36
    เมื่อส่งเรื่องให้ AI ต่อตอนจบ ก็คงนึกว่าหวานหมูอีกเรื่อง มันก็รีบตอบมาในพริบตา
    แต่ปรากฏว่า อารามผลีผลาม AI ตอบไม่ได้ว่าใครเป็นฆาตกร มันเขียนตอบมาเหมือนรีวิวหนังสือตามคอลัมน์รีวิวหนังสือที่หาอ่านได้ทั่วไปในหนังสือพิมพ์ หรือตัดตอนเอามาแนะนำบนปกหลัง
    AI สร้างตัวละครขึ้นมาชื่อ Detective Inspector Reynolds เป็นคนสืบสวนเงื่อนงำ แต่นายตำรวจผู้นี้สืบไม่ได้(ตามฟอร์มของเรื่องนักสืบ ถ้าหากว่าตัวเอกไม่ใช่ตำรวจ ตำรวจในเรื่องก็จะโง่เสมอ) พิปปา ก็เลยต้องลงมือสืบสวนเอง
    AI ลงท้ายแบบกำกวมว่า
    Slowly, the truth begins to emerge. It turns out that Aunt Sarah's murder was not the result of a single motive but a culmination of betrayals, secrets, and desperation.
As the pieces of the puzzle fall into place, the detectives are finally able to apprehend the real culprit, someone whose motive was driven by a complex mix of greed, revenge, and fear.

    คือสรุปให้ฟังอีกทีว่า ไม่บอกว่าฆาตกรเป็นใคร บอกว่าฆาตกรรมนี้เกิดจากความโลภ ความแค้น และความกลัว
...แหม! มันก็เหวี่ยงแหน่ะแหละ เพราะฆาตกรรมที่ไหนๆก็เกิดจากอารมณ์เหล่านี้ทั้งนั้น
     ก็เลยบอก AI ไปว่า Please find the murderer for me.
     เรียกว่าไม่ให้ AI เฉไฉได้อีก
     คราวนี้มันเปลี่ยนตัวตำรวจมาให้ใหม่ ชื่อว่า Inspector Harding มาร่วมมือกับพิปปา สืบคดีนี้

     AI คงทำงานเรื่องนี้หนักเหมือนกัน เพราะมันส่ง version 2 มาให้ ไม่ทันเซฟไว้ด้วยค่ะ ตื่นมา หายไปแล้ว
จำได้แต่เนื้อความว่า มันแต่งให้ว่าป้าสร้างฉากตายของตัวเองขึ้นมาตบตาคนอื่นๆ ความจริงก็สมคบกับสามี ที่แสร้งทำเป็นสาบสูญไปในทะเล มีน้องสาวป้าร่วมมือสร้างฉากทั้งหมดขึ้นมาตบตาแขก ที่จริงป้าทำเป็นตายแล้วหนีไป เพื่อจะได้หลบหนีเจ้าหนี้ ไปอยู่กับสามี
     แต่พล็อตนี้ AI อาจกลับไปคิดว่าไม่สมเหตุผล เพราะถ้าทำเป็นตายแล้วหนีไปซ่อน ศพจะหายไปได้ยังไงในเมื่อตำรวจมาชันสูตรแล้วก็ต้องยกศพออกจากบ้านไปเก็บไว้ในห้องดับจิต  ถ้ามีศพแปลว่าตายแน่
     เช้านี้ AI เลยแต่งให้ใหม่อีก 2 เวอร์ชั่น

      เวอร์ชั่นแรก AI แต่งให้ว่าฆาตกรคือหลานชายสามี แฟนสาวและเลขานุการ รวมหัวกันกำจัดป้า เพราะไม่อยากให้ป้ายกมรดกให้น้องสาวตัวเอง
     ส่วนเวอร์ชั่น 2 AI แต่งให้หัวหน้าคนรับใช้ เป็นคนฆ่า ด้วยความโกรธที่นายผู้หญิงยกมรดกให้น้องสาว แทนที่จะให้สืบทอดด่อไปในตระกูล
     เป็นพล็อดง่ายๆ เดาได้ไม่ยาก   คิดว่าถ้าดิฉันไม่ชอบใจ สั่งให้ AI แต่งต่อไป ก็คงให้คนอื่นๆในเรื่องเป็นฆาตกรจนครบคน
     ดูเหตุผลที่ AI ให้แล้ว น้ำหนักเรื่องยังพื้นๆอยู่มาก ทำเป็นนิยายเล่มก็คงไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะ AI ทำได้เพียงเขียนต่อจากเงื่อนงำที่ดิฉันให้ไว้ ไม่สามารถจะสร้างเรื่องให้คาดเดาไม่ถูกได้



กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ต.ค. 23, 10:33
ถ้าเทียบฝีมือแต่งหนังสือ ระหว่าง AI กับมนุษย์แล้ว   AI ยังขาดสิ่งที่เรียกว่า "ความคิดสร้างสรรค์" ที่มนุษย์มี 
ยกตัวอย่างเช่น อกาธา คริสตี้สามารถแต่งเรื่องนักสืบที่โครงเรื่องไม่ซ้ำกันเป็นสิบๆเรื่องได้   รวมทั้งเรื่องหักมุมที่ไม่มีใครคาดถึงอย่าง The Murder of Roger Ackroyd แต่ถ้าให้ AI แต่ง มันจะทำได้ซ้ำๆกัน 2 แบบ คือ
1  ไปสำรวจคลังข้อมูลทั้งหมดที่มันสะสมเอาไว้  ดูว่านิยายเรื่องไหนมีโครงเรื่องคล้ายเรื่องใหม่นี้บ้าง แล้วลอกเลียนมาตามนั้น
   เช่นเรื่องเจ้าชายประกอบที่ตามหารักแท้ด้วยการขับแท็กซี่    ในเมื่อโครงเรื่องเป็นเรื่องรักโรแมนติค  AI ก็ต้องหาทางให้เจอนางเอกที่เป็นผู้โดยสาร  พระเอกนางเอกเกิดถูกอกถูกใจกัน  จนรักกัน   แล้วจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง  ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น
2  จับเงื่อนงำจากข้อความในเรื่อง แล้วปะติดปะต่อจากนั้น ให้เป็นเรื่องใหม่ขึ้นมา
   ทดลองได้จากเรื่องนักสืบที่ส่งไปให้ AI แต่ง    AI จะประมวลจากคำพูดของตัวละคร แล้วเอามาเป็นเงื่อนไขในการจับว่าใครเป็นผู้ร้าย    เป็นการสร้างเงื่อนงำแบบง่ายๆ เดาได้ไม่ยาก  เหมือนนักเรียนฝึกหัดเขียนเรื่องนักสืบ

   แต่ AI พัฒนาได้  จึงประมาทไม่ได้ว่าหลังจากมันเรียนรู้วิธีการแต่งที่ซับซ้อนขึ้นจากมนุษย์   มันก็เรียนรู้ว่าควรเขียนเรื่องที่ซับซ้อนขึ้นได้อย่างไร   ส่วนจะซับซ้อนได้ขนาดไหน  ยังไม่อาจคาดเดาได้


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 05 ธ.ค. 23, 14:35
คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี ๒๕๔๗ ได้แสดงความคิดเห็นต่อวงการหนังสือในปัจจุบันซบเซาลง สำนักพิมพ์หลายแห่งมีรายได้ลด นักเขียนเพิ่มขึ้น ในขณะที่คนอ่านน้อยลง

"พยายามหาคำตอบในเรื่องนี้อยู่นานพอสมควร  บางทีเราอาจจะตั้งสมมุติฐานผิดก็ได้ ไม่ใช่วิกฤติของวงการหนังสือ  แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบของงานประพันธ์จากกระดาษมาเป็นอากาศในโลกของดิจิตัล  คุณบอกเองว่า นักเขียนมีเพิ่มขึ้น แสดงว่างานประพันธ์ในฐานะผลิตภัณฑ์มีมากขึ้น เมื่อผลิตภัณฑ์มีมากขึ้น แสดงว่าผู้บริโภคก็ต้องมีมากขึ้น มันจะซบเซาทั้งวงการได้ยังไง ถ้าซบเซา ทุกอย่างต้องลดจำนวนลง"

ในมุมมองของเธอเห็นว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือวงจรเก่า ที่ประกอบด้วย

๑) นักเขียน

๒) ตัวกลาง (คือนิตยสาร / สำนักพิมพ์ /โรงพิมพ์/ ผู้ทำงานในการผลิต เช่นบรรณาธิการ พนักงานพิมพ์ ผู้พิสูจน์อักษร สายส่ง แผงหนังสือ ฯลฯ

๓) ผู้บริโภคหรือผู้อ่าน

คุณหญิงวินิตา กล่าวต่อว่า เมื่องานที่พิมพ์ด้วยกระดาษลดจำนวนลง เพราะมีงานที่ใช้สื่อดิจิตัลเข้ามาแทน วิกฤติเกิดกับหมายเลข ๒ มากที่สุด  

หมายเลข ๑ มีบ้าง มักจะเกิดกับนักเขียนที่ไม่ได้ใช้สื่อดิจิตัลในการสร้างงาน ยังคงผลิตงานเพื่อพิมพ์เป็นเล่มกระดาษ ตามระบบเก่า กลุ่มนี้เจอผลกระทบมากกว่าเพื่อน เพราะหมายเลข ๓ คือกลุ่มคนอ่านงานของเขามีจำนวนลดลง จากการหันไปหาสื่อดิจิตัลเสียส่วนหนึ่ง  

อีกส่วนหนึ่งก็เลิกอ่านไปหรืออ่านน้อยลงเพราะไม่สะดวกจะหาซื้องานพิมพ์เล่ม เนื่องจากนิตยสารและร้านหนังสือล้มเลิกกันไปเสียมาก

แต่นักเขียนผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบ แถมยังมีจำนวนมากขึ้นอีก คือนักเขียนที่ใช้สื่อดิจิตัลให้เป็นประโยชน์ กลุ่มหนึ่งเป็นนักเขียนเก่าที่หันมาเขียนลงหน้าจอ ทำอีบุ๊ก มีแฟนคลับติดตามผ่านหน้าจอ และยังสามารถขายงานที่พิมพ์เล่มให้แฟนคลับกลุ่มเดิมได้      

อีกกลุ่มคือนักเขียนใหม่ที่ไม่ต้องรอคัดเลือกจากบรรณาธิการ  เขาสามารถเขียนนิยายออนไลน์ลงใน fictionlog เปิดเว็บไซต์ของตัวเอง   หรืออาศัยพื้นที่ในเว็บไซต์ใหญ่ ๆ ที่เปิดรับงานเขียน พวกนี้สามารถขายงานผ่านหน้าจอให้คนอ่านซื้อได้โดยตรงไม่ต้องผ่านตัวกลาง

ยิ่งวันผู้บริโภคผ่านดิจิตัลก็จะยิ่งทวีจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ นักเขียนที่ปรับตัวให้เข้ากับกระแสใหม่ได้ก็จะมีที่ยืนอยู่ต่อไป

จากบทความเรื่อง เกิดมาเพื่อเขียน ‘ว.วินิจฉัยกุล’ นวนิยายคือชีวิต ราชินีโลกวรรณกรรม (https://www.isranews.org/content-page/item/67807-writer-67807.html)


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ธ.ค. 23, 15:20
               เมื่อ‘เอไอ’ถูกวัด‘ไอคิว’

โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ วันที่ 4 ธันวาคม 2566

https://www.matichon.co.th/article/news_4312349

          บริษัทต่างๆ พากันพัฒนาเอไอกันยกใหญ่ เป้าหมายหลักสำคัญอยู่จุดเดียวกัน นั่นคือการพัฒนาเอจีไอ (AGI) ขึ้นมา
          เอจีไอ (artificial general intelligence) หรือบางทีเรียกกันว่า จีเอไอ (generative AI) คือจุดที่เมื่อพัฒนาไปถึงแล้ว เอไอ
(ที่อยู่ในจักรกลทั้งหลาย) จะสามารถทำงานส่วนใหญ่ที่คนทำได้อยู่ในเวลานี้ได้นั่นเอง
          ตอนนี้เราพัฒนาเอไอไปถึงไหนกันแล้ว? หลายคนบอกว่ามาไกลมากแล้ว จนถึงขั้นวิตกกังวล (เช่น บรรดานักแสดง นักเขียนบทฮอลลีวู้ด
ที่พากันสไตรก์เมื่อไม่นานมานี้ ส่วนหนึ่งเพราะเหตุนี้) ว่างานของตัวเองจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร

          แต่มีอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งรวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ด้านเอไอชั้นนำอย่าง เอียนน์ เลอคุน (Yann LeCun) หัวหน้าทีมปัญญาประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส
ของแพลตฟอร์มเมต้า ที่ออกมายืนยันเมื่อเร็วๆ นี้ว่า มนุษย์คงไม่บรรลุถึงเอจีไอได้ในเร็วๆ นี้หรอก
          เขาบอกอย่างมั่นใจว่า เอไอทั้งมวลในเวลานี้น่ะ ยัง “โง่” จะตาย โง่กว่า “แมว” ด้วยซ้ำไป
          ในงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งเผยแพร่รายงานผลการศึกษาวิจัยออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเลอคุนร่วมวิจัยกับนักวิทยาศาสตร์เอไออีกหลายคนเพื่อวัด “ไอคิว”
ของเอไอเทียบกับมนุษย์
         
           วิธีการก็คือ ตั้งคำถามให้ทั้งเอไอแล้วก็กลุ่มตัวอย่างที่เป็นมนุษย์ตอบ แต่คำถามที่ว่านี้ไม่ได้เป็นคำถามธรรมดา เป็นคำถามที่
           “เป็นแนวคิดรวบยอดง่ายๆ สำหรับคน แต่ก็ยังถือว่าท้าทายสำหรับเอไอที่ก้าวหน้าด้วยเช่นกัน” เป็น “คำถามในโลกจริงๆ ที่การหาคำตอบนั้น
ต้องผ่านกระบวนการทำงานซึ่งอาศัยความสามารถพื้นฐานชุดหนึ่ง ที่ต้องอาศัยการให้เหตุผล, เป็นที่นิยมกันในยุคนี้, การท่องเว็บ แล้วก็ความคล่องแคล่ว
ในการใช้เครื่องมือ”
            เช่น การถามคำถามที่ผู้ตอบต้องเข้าไปในเว็บไซต์หนึ่ง เพื่อหาคำตอบที่ต้องการจากเว็บไซต์นั้น หรือเป็นคำถามที่เกี่ยวกับภาพของคนคนหนึ่ง
ซึ่งผู้ตอบต้องใช้การสืบค้นจากในเว็บเพื่อหาคำตอบที่ถูกต้อง เป็นต้น     

            ผลก็คือ เอไอ ที่สามารถทำหลายอย่างที่คนทำไม่ได้ แพ้มนุษย์หลุดลุ่ยครับ GPT4 อัลกอริทึมเอไอของแชตจีพีที ตอบได้ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์
ของคำถามที่จัดว่าง่ายที่สุด แต่ถ้าเป็นคำถามยากๆ ละก็ โอกาสตอบถูก เป็น 0 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
            ในขณะที่มนุษย์ทำสำเร็จได้สูงสุดถึง 92 เปอร์เซ็นต์
            เอียนน์ เลอคุน ให้เหตุผลเอาไว้ว่า เป็นเพราะทุกเอไอในเวลานี้ยังไม่มี “แบบจำลองของทั้งโลกอยู่ภายใน” เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่สามารถ “รู้จักเหตุ
และผล” และไม่สามารถ “วางแผน” ได้
            ต่างกับมนุษย์ที่จะมากจะน้อยก็เข้าใจโลกอยู่บ้าง รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพื่อให้ได้ผลอะไรตามต้องการ
            การขาดศักยภาพในการวางแผนนี่เองที่ทำให้เลอคุนบอกว่า เอไอทุกวันนี้ แม้แต่แมวยังสู้ไม่ได้เลย


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ธ.ค. 23, 09:03
ขอบคุณคุณหมอ   อ่านแล้วค่อยมีความหวัง ว่าอาชีพนักเขียนยังพอมีต่อไปได้ค่ะ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 20 ธ.ค. 23, 15:16
         มีความหวัง ว่าอาชีพนักเขียนยังพอมีต่อไปได้ค่ะ

          อาทิตย์ก่อน, คุณรอมแพง ออกรายการ ยกสยาม ช่วงหนึ่งให้ข้อมูลว่า

          ปัจจุบันนี้ ไม่มีนักเขียนไส้แห้ง แล้ว, ไส้ฉ่ำกันทั้งนั้น
          บางคนสร้างผลงาน,มีแฟนคลับติดตาม สามารถสร้างรายได้ เดือนละหนึ่งล้านบาท !!! (ฟังไม่ผิดแน่)

ปล. ในรายการรอมแพงยังบอกว่า นักเขียนที่เธอชื่นชอบได้แก่ ทมยันตี แก้วเก้า ตรี อภิรุม กิ่งฉัตร โบตั๋น


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ธ.ค. 23, 16:06
  น่าจะเป็นตัวคุณรอมแพงเอง
  แต่แถวๆเรือนไทยไม่น่าจะมีค่ะ


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ธ.ค. 23, 16:35
รายการ ลายกนก ยกสยาม วันอาทิตย์ที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๖ ๒๐.๑๐ - ๒๑.๑๐

นาทีที่ ๔๐.๑๐ - ๔๑.๔๐ นักเขียนไส้ฉ่ำ และ นาทีที่ ๔๔.๒๕ - ๔๕.๒๐ นักเขียนที่มีอิทธิพลต่อการเขียนของคุณรอมแพง

https://youtu.be/GPWqeKWslZ8


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ม.ค. 24, 08:50
จาก  FB ของThe MATTER

 นักเขียนผู้คว้ารางวัลดังด้านวรรณกรรมญี่ปุ่น เฉลยว่าใช้ AI ช่วยเขียนหนังสือ

ดูเหมือนว่า AI จะบุกแทรกซึมทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่วงการงานเขียนและวรรณกรรม ล่าสุด ผู้ชนะรางวัลด้านวรรณกรรมที่ดังมากๆ ในญี่ปุ่นเปิดเผยว่า นวนิยายบางส่วนของเธอถูกแต่งโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI)

หลังจากริเอะ คุดัน (Rie Kudan) นักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่นวัย 33 ปี ชนะรางวัล Akutagawa Prize สาขานวนิยายที่ดีที่สุดโดยนักเขียนหน้าใหม่ เธอก็ออกมาแถลงข่าวยืนยันว่าใช้แชตบอต ChatGPT ช่วยเขียนงานประมาณ 5% ของหนังสือที่ชื่อว่า ‘Tokyo Tower of Sympathy’ อันเป็นหนังสือที่คณะกรรมการรางวัลยกย่องว่า “ไร้ที่ติ”
.
คุดันเปิดเผยว่า “ฉันวางแผนที่จะสร้างประโยชน์จากการใช้ AI ในงานเขียนนวนิยายของฉันต่อไป พร้อมๆ กับการปล่อยให้ความคิดสร้างสรรค์ของฉันได้แสดงออกอย่างเต็มที่”
.
นิยายที่ชนะรางวัล เป็นนิยายที่ว่าด้วยเรื่องความขัดแย้งระหว่างสถาปนิกที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเรือนจำสูงที่สะดวกสะบายในโตเกียว อันเป็นเรือนจำที่ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายจะได้รับการฟื้นฟู ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งธีมหลักคือการเล่าเรื่องที่ AI มีบทบาทสำคัญในสังคมมนุษย์
.
ทั้งนี้ ผู้ชนะรางวัลใหญ่เผยด้วยว่า เธอมักจะปรึกษา ChatGPT เกี่ยวกับปัญหาที่เธอไม่สามารถบอกใครได้อยู่แล้ว และบางครั้งเธอก็สะท้อนความรู้สึกของตัวเองผ่านบทของตัวละครหลักในนิยายด้วย
.
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ศิลปินออกมาเปิดเผยว่าใช้ AI ในการช่วยทำงาน ในห้วงเวลาที่กลุ่มสายงานสร้างสรรค์หลายคนรู้สึกว่าถูกคุกคามโดยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เมื่อปีก่อนที่แล้ว บอริส เอลดักเซน (Boris Eldagsen) ช่างภาพชื่อดังเพิ่งถอนตัวจากรางวัล Sony World Photography Awards หลังจากเปิดเผยว่ารางวัลภาพที่เขาได้ถูกสร้างขึ้นโดยเทคโนโลยี
.
และเมื่อปีที่แล้ว กลุ่มนักเขียน 17 คนในสหรัฐฯ เพิ่งยื่นฟ้องดำเนินคดีแบบกลุ่มต่อ OpenAI ผู้สร้างแชตบอต ChatGPT ด้วยข้อหา ‘ละเมิดลิขสิทธิ์ในวงกว้าง’ โดยพวกเขาอ้างว่า หนังสือของพวกเขาถูกป้อนเข้าอัลกอริธึมของ ChatGPT เพื่อฝึก AI ให้สามารถสร้างข้อความตามลักษณะการเขียนของพวกเขา
.
ทั้งนี้ สมาคมนักเขียนที่จัดการการฟ้องครั้งนี้เพิ่งออกคำเตือนว่า AI เองสามารถทำลายอาชีพนักเขียนได้

อ้างอิงจาก
https://www.thetimes.co.uk/.../chatgpt-helped-with-my...
https://edition.cnn.com/.../rie-kudan.../index.html
https://futurism.com/.../novelist-wins-award-then-reveals...
https://www.vice.com/.../rie-kudan-akutagawa-prize-used...


กระทู้: จุดจบของอาชีพนักเขียน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 มี.ค. 24, 11:32
ไม่ใช่แต่นักเขียนวรรณกรรม  นักเขียนโค้ดก็ทำท่าว่าจะเจอเข้าด้วยเหมือนกัน  เพราะ AI เข้ามาแย่งงาน

นายเจนเซน หวง ซีอีโอ ของบริษัท NVIDIA ได้ออกมาประกาศอีกครั้งว่า “การเขียนโค้ดนั้นกำลังจะตาย” แล้วเด็กนักเรียนนักศึกษาก็ไม่จำเป็นต้องเรียนมันอีก เพราะอีกหน่อย AI จะมาจัดการแทน ซึ่งครั้งนี้เขาได้ประกาศต่อหน้ากลุ่มคนที่อาจจะมีอิทธิพลมากกว่าเดิม

นายหวงกล่าวในงาน Word Government Summit ที่ดูไบ ว่า เนื่องจากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเรียนเขียนโค้ดจึงไม่ควรเป็นทักษะสำคัญอันดับแรก สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าสู่วงการเทคโนโลยีอีกต่อไป โดยเขาชึ้ให้เห็นว่า มันเป็นเวลานานที่การเรียนเขียนโค้ดถือเป็นทักษะสำคัญที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำในอุตสาหกรรมจำนวนมาก แต่แนวคิดเทคโนโลยีล่าสุดนั้นกำลังจะเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมนี้

เขากล่าวต่อไปอีกว่า “การพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องคือแนวทางที่ควรดำเนินต่อไป  โดยทักษะเหล่านี้จะช่วยให้มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการและจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการใช้โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language processing) จะก้าวหน้าไปจนถึงจุดที่ภาษาเดียวที่จำเป็นสำหรับการเขียนโค้ด ก็คือภาษาแม่ของผู้เขียนนั้นเอง”

https://www.enterpriseitpro.net/nvidia-ceo-predicts-the-death-of-coding/?fbclid=IwAR3mD0SQ_dFyGH_bszXFjLwfK0ciYsHvdihiuYpqbJ8nPBB2BNABMk29qvM