ผมติดตามพ่อไปเยี่ยมญาติที่ซัวเถาในปี 2535 ตั้งตะเกียงไว้ดวงหนึ่ง แสงเพียงริบหรี่ (ตั้งระดับไส้ตะเกียงไว้สั้นๆ เพื่อประหยัดน้ำมัน) หน้าต่างก็ไม่มี, ผนังเป็นปูนหนาๆ, ธรณีประตูเป็นหิน, พื้นเป็นดินอัดแน่น สัตว์เลี้ยงเช่น ไก่ หมู เดินเข้านอกออกในบ้านกันตามสบาย
เห็นเด็กจีนเขาเล่นไพ่กระดาษที่พิมพ์เป็นรูปตัวละครในวรรณกรรมจีน ผมยังให้ญาติชาวจีนพาไปซื้อบ้าง เก็บไว้เป็นที่ระลึก
ธนบัตรเมืองจีน โดยเฉพาะใบปลีกที่ราคาต่ำกว่า 1 หยวน สภาพยับย่น-ขาดวิ่น-มอมแมม-ถูกขยำเป็นก้อนๆ เวลารับเงินทอน ผมต้องคลี่ออกดู เพราะดูไม่ออกว่าเป็นแบงค์อะไร
สินค้าหัตถกรรมเมืองจีน สวยมากและถูกมาก (พ.ศ.2535) จนอยากจะซื้อให้หมดทุกชิ้น แต่กลัวว่าจะขนขึ้นเครื่องบินไม่ไหว ภายในร้านไม่เปิดไฟซักดวง พนักงานก็ไม่สนใจลูกค้า (บริการใช้ได้ หยิบยกนั่นนู่นนี่ ไม่มีบ่นหรือหน้างอ แต่ไม่สนใจลูกค้า) สภาพเปลือกนอกของร้านค้าเหมือนร้านใกล้เจ๊ง ไม่มีป้ายเชิญชวนดึงดูดสายตา ผมเดินเข้าร้านไปงั้นๆแหละ (เพราะตลอดทั้งถนน ไม่มีอะไรจะให้ดูนักหรอก) พอเข้าไปในร้านเท่านั้นแหละ...อู้หูกันเลย
นั่งสามล้อถีบ ตกลงราคากันที่3หยวน มันขี่ไปเจอเพื่อนที่ขี่สวนมา จึงหยุดเจรจากันซักพัก น้ำเสียงไม่พอใจอะไรบางอย่าง แล้วต่างคนต่างขี่แยกย้ายกันไป แม่ข้าพเจ้าแปลให้ฟังว่า มันเจรจาขายข้าพเจ้ากับแม่ให้เพื่อนมันในราคา2หยวน เพื่อนมันบอกว่าต้องได้ราคา3หยวนเท่ากันสิ ก็เลยโชคดีไปที่ข้าพเจ้ากับแม่ไม่ต้องย้ายคัน มันยังมีหน้าหันมาระบายกับแม่ด้วยว่า "ดูซิ เพื่อนมันโง่ไหม ให้ราคา2หยวน ยังไม่ยอมเอา"
ถนนในหมู่บ้าน ผู้คน-หาบเร่-แผงลอย เป็นเจ้าถนน ไม่สนใจไยดีกับรถยนต์ ประหนึ่งว่ารถยนต์เป็นอากาศธาตุ รถยนต์ต้องคืบคลานไปด้วยความเร็วเท่ากับคนเดิน บางครั้ง(บ่อยครั้ง)ที่คนขับต้องเปิดกระจกออกไปตวาดเพื่อขอทาง มือหนึ่งจับพวงมาลัย อีกมือคอยผลักคนให้เซออกไปให้ห่างจากรถ (ขนาดว่าหน้ารถแหวกฝูงคนไปได้แล้ว ยังต้องมาแหวกตอนช่วงกลางคันรถอีกด้วย)
ปากซอยที่ต้องเดินเท้าเข้าบ้านญาติ เป็นร้านขายสัตว์พะโล้ ต้องใช้คำกว้างๆว่า"สัตว์"จริงๆ เพราะมีทั้ง หมาพะโล้ แมวพะโล้ แขวนให้เห็นกันจะๆแบบเต็มตัวหัวจรดหาง
ระหว่างรถบัสวิ่งอยู่บนทางหลวงชนบท จู่ๆก็เหยียบเบรกกระทันหัน จนผู้โดยสารหัวคะมำ คนขับรถกำลังเอะอะเอ็ดตะโรใส่คนที่อยู่บนถนน เรานึกว่าเกิดอุบัติเหตุ ที่แท้เจ้าหมอนั่นมันกระโดดมาขวางถนน เพื่อมาขอตังค์ใช้
1. สมัยเด็กๆ ที่บ้านก็มีเลี้ยงเป็ด ไก่ หมู นะคะ ที่เลี้ยงเป็นสัดส่วนค่ะ ที่บ้านปิ่นเลิกเลี้ยงก่อนบ้านยายค่ะ ตอนเด็กๆไม่ค่อยได้อยู่บ้านตัวเอง เป็นเด็กฝากบ้านยายค่ะ เรื่องที่นำมาเล่าก็มีทั้งบ้านตัวเองและบ้านยายปะปนไป บ้านปิ่นเองเนื่องจากคุณพ่อทำงานที่มณฑลอื่น จะมีของที่ทันสมัยกว่า แต่บ้านยายจะโบราณกว่านิดนึง บ้านปิ่นเอง เท่าที่จำได้เคยเลี้ยงไก่ ไม่ได้เอาไว้ขายนะคะ น่าจะเอาไว้เก็บไข่กินหรือใช้ไหว้เจ้าช่วงเทศกาล จำได้ว่า เคยมีเด็กข้างนอกมาขโมยไข่ไก่และต้มกินในเล้าไก่ พอเรารู้นี่โกรธมากเลย ไปซุ่มจับเด็กนั่นอยู่ที่เล้าไก่กับพี่สาวด้วย สุดท้ายจับได้หรือเปล่าก็จำไม่ได้ 555 ตะเกียงนี่พอจะนึกออกว่าเคยเห็นที่บ้านยาย ยายจะจุดไว้เวลาไหว้เจ้า จะมีเจ้าองค์หนึ่งที่วางกระจาดไว้บนหลังคาเตียง (เป็นเตียงโบราณแบบมีเสาสี่เสาและมีมุ้ง) เวลาถึงเทศกาลจะไหว้ก็ต้องเอากระจาดมาตั้งไว้บรเตียงแล้วเอาอาหารคาวหวานมาตั้งในกระจาด ปักธูปค่ะ... แต่เอ แม่เหมือนจะไม่ได้ไหว้นานแล้วนะ พอไหว้เจ้าองค์นี้ก็ต้องเอาตะเกียงมาจุดไว้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันค่ะ ไม่งั้นก็เวลาไฟดับค่ะ จุดเทียน จุดตะเกียง ทำการบ้านก็ไม่ได้ 555 เด็กๆนั่งรวมกันฟังยายเล่าเรื่องสมัยสาวๆ แต่ยายเล่าอะไรก็จำไม่ได้แล้ว
2. ไพ่กระดาษนั่น คือตำนานของเด็กยุค 80 ที่จีนเลย เรียกว่า "ฮอบนังเกี้ย" วิธีเล่นคือใช้มือ ตบให้เกิดลมแล้วถ้า ไพ่ของเราไปทับของอีกฝ่ายเราก็จะได้ไพ่ของอีกฝ่ายมาค่ะ เด็กผู้หญิงไม่ค่อยชอบเล่น เด็กผู้ชายชอบเล่นมากกว่า
3. ธนบัตรที่ "แต้จิ๋ว" มีสภาพขาดๆนี่แหละ จนปิ่นนึกว่าแบงค์ของที่อื่นๆก็มีสภาพเหมือนกัน คือ ก่อนมาเมืองไทยก็ใช้ชีวิตอยู่แต่ในหมู่บ้านไม่ได้ไปไหน เมื่อมาอยู่เมืองไทยสัก10ปีได้กลับไป ถึงรู้ว่า ธนบัตรของคนเมืองไม่ได้ขาดอย่างบ้านเรา 555 สันนิฐานว่า ซัวเถาส่วนที่ไม่ได้เป็นตัวเมือง ออกไปข้างนอกลำบาก ทำให้ธนบัตรที่หมุนเวียนในหมู่บ้านเปลี่ยนมือกันอยู่แค่ในหมู่บ้าน เมื่อแบงค์เก่าไม่ออกไปข้างนอก แบงค์ใหม่ก็ไม่ได้เข้ามา นานๆไปก็ขาดและเปื่อยอย่างนั้นแหละ
4. ร้านขายของชำในหมู่บ้าน เขาไม่จำเป็นต้องทำการตลาด เพราะลูกค้าเป็นคนในหมู่บ้านนั่นแหละ ร้านก็มีอยู่ไม่กี่ร้าน ไม่มีลูกค้าใหม่ด้วย เพราะคนในหมู่บ้านอยู่กันเป็นถาวร ไม่มีบ้านเช่า ดังนั้นกลุ่มลูกค้าคงที่ ไม่เจ๊งแน่นอน
5. คุณธสาครไปอยู่ตัวเมืองหรือเปล่าคะ เพราะสมัยที่ปิ่นอยู่แทบจะไม่เคยเห็นรถยนตร์เลย
6. อาหารพะโล้เป็นอาหารขึ้นชื่อของชาวแต้จิ๋ว 卤味 แต่ส่วนใหญ่ ขาย ไก่ เป็ด ห่าน หมู ส่วน หมากับแมว ไม่เคยเห็นขายกันอย่างนั้นนะคะ ต้องสารภาพว่า เคยกินเนื้อหมามา 1 ครั้งตอนเด็กๆ ที่บ้านยาย ไม่รู้เพราะอะไร แต่นานมาแล้ว หลังๆแทบจะไม่เคยเห็นมีใครกินเนื้อหมาเลยค่ะ