อาจารย์คึกฤทธิ์ เคยกล่าวขณะเขียนหนังสือ “โครงกระดูกในตู้” เพื่อแจกในงานฉลองอายุครบ ๖๐ ปี เมื่อ ๒๐ เมษายน ๒๕๑๔ ไว้ว่า
“..คนชอบอ้างโขนไทยเอามาจากขอม เอาละครมาจากแขก คุณธนิต(นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากรเขียนไว้ใน คึกฤทธิ์ ๖๐) ก็ยังเขียนละครไทยละครเขมรปนไปปนมา อยากจะช่วยบอกว่าละครเขมรที่เห็นกันเดี๋ยวนี้ เขมรเอาอย่างไทยชัดๆ หัดจากละครท่านป้าฉวีวาดทั้งสิ้น ท่านแอบเอาละครไปเขมรตอนมีเรื่องวังหน้า..”
มีคนติงว่าเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไร ท่านให้สติคิดว่า
“..เมื่อจะเขียนให้คนรุ่นหลังรู้จักบรรพบุรุษ ก็ต้องให้รู้จักเรื่องราวที่ถูกต้องเป็นจริง ทั้งดีไม่ดี ถ้ามัวปกปิดความผิดพลาด ยกแต่เรื่องดีๆ เท่ากับรู้ไม่หมด รู้ไม่จริง ลูกหลานคนอ่านก็ได้ไปแค่ครึ่งเดียว..”
ด้วยความเคารพ ผมก็มีทัศนคติเดียวกับท่านเหมือนกัน
เอาบทความนั้นมาลงเต็มๆค่ะ สำหรับคนที่อยากอ่านทั้งหมด จากบล็อคโอเคเนชั่น
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=710744หม่อมป้าหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์
โดย พจน์-พันธุ์ดุ
อ่านเรื่อง “เหตุการณ์ หม่อมป้าหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์หนีไปเขมร เมื่อ 134 ปี กับคนไทยหนีไปวันนี้” (๗ พค.๕๔) ...ออกจะงงเหมือนกับคนอื่นๆ อีกหลายคน ที่ยังไม่ชัดเจนการโยงเรื่อง ๒ เรื่องเข้าด้วยกัน เกรงว่าผู้อ่านอีกหลายๆ คนอาจไขว้เขวได้ ก็ขอร่วมแจมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำให้เข้าใจดีขึ้น (มิได้มีเจตนาโต้แย้งใดๆ)
ขึ้นต้น : โปรยหัวว่า.. เมื่อคนไทยหนีไปเขมร / เมื่อไม่นานมานี้ ครบรอบ ๑๐๐ ปี มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ปราชญ์ของประเทศอีกท่านหนึ่ง เขียนตอบปัญหาประจำวันไว้เมื่อ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ตอบเรื่อง มจ.ฉวีวาด ผู้มีศักดิ์เป็นป้าท่านไว้น่าสนใจ ถ้าอ่านโครงกระดูกในตู้ ประกอบด้วย จะทำให้เราเข้าใจเรื่องราว คล้ายกับคนไทยไปเขมรเมื่อ ๒-๓ ปี ที่ผ่านมา ทำชั่วแล้วหนีไปเขมร
.. หม่อมป้าของท่านมักใหญ่ใฝ่สูง ขาดสติสัมปชัญญะ จึงทำให้เกิดวิกฤตการณ์วังหน้า คิดยกย่องกรมพระราชวังบวรฯ ให้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน โดยคิดกำจัดหรือลดอำนาจพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และไปคบคิดกับกงศุลใหญ่ ประเทศหนึ่งเวลานั้น
ลงท้าย : วิกฤตการณ์วังหน้า.. ตึกดินในวังหลวงเกิดระเบิด กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จไปประทับอยู่ในสถานกงศุลที่บางรัก.. คงเป็นจริงตามที่ยกมานั้น.. แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขมร
ตามความเป็นจริง ท่านหญิงฉวีวาดมิได้เป็นต้นเหตุให้เกิดวิกฤตการณ์วังหน้า.. อาจารย์คึกฤทธิ์เล่าว่าท่านป้าโกรธกับคนวังหลวงเรื่องส่วนตัว แล้วนำคนวังหน้ามาใช้ประชดให้ได้อาย ส่วนท่านแม่ถูกจองจำริบราชบาตรแทนนั้นก็ด้วยความผิดฐานเป็นเชื้อพระวงศ์ออกไปนอกเขตพระราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต ..เรื่องของเรื่องมีดังนี้
ท่านหญิงฉวีวาด (หม่อมเจ้าหญิงองค์ที่ ๒ ประสูติแต่กรมขุนวรจักรธรานุภาพ และ ม.ร.ว.ดวงใจ ปราโมช) รับของหมั้นจากพระองค์เจ้าคัคณางคยุคล(ต่อมาสถาปนาเป็นกรมหลวงพิชิตปรีชากร) ภายหลังทราบว่าพระองค์คัคณางค์มีหม่อมอยู่คนหนึ่งแล้วชื่อสุ่น ไม่ยอมเลิกรากันตามที่ขอจึงไม่ยอมเสกสมรสด้วยและพาลขัดใจกับชาววังหลวงถ้วนหน้า ซ้ำยังประชดประชันด้วยการเสกสมสกับเจ้านายวังหน้าแทน คือพระองค์เจ้าเฉลิมลักษณวงศ์ (ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๕ สถาปนาเป็นกรมหมื่นวรวัฒนสุภากร) พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้คนวังหลวงขายหน้าเล่นๆ ที่เจ้านายฝ่ายในของวังหลวงไปอยู่กินกับเจ้านายวังหน้าซึ่งไม่เคยมีธรรมเนียมปรากฎมาก่อน
เรื่องส่วนตัวของท่านหญิงฉวีวาดที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับวังหน้ามีอยู่เท่านี้ ท่านไม่ได้ไปสมรู้ร่วมคิดล้มล้างพระราชอำนาจล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ แต่อย่างใด แต่ได้กระทำเรื่องที่ไม่สมควรทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทจริง กรณีที่ท่านลงเรือสำเภาหนีไปเขมร เพราะเป็นสะใภ้วังหน้าร้อนตัวเกรงไปก่อนว่าพระราชอาชญาจากวิกฤตการณ์วังหน้าอาจจะตกต้องถึงตัว
ส่วนที่นำละครของเจ้าจอมมารดาอำภาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยที่ตกทอดมาถึงนั้นทั้งโรงติดเรือสำเภาไปด้วย เพราะต้องการใช้เป็นใบเบิกทางให้อยู่ในเขมรได้อย่างไม่ลำบาก เนื่องจากคุ้นเคยกับสมเด็จพระนโรดมตั้งแต่ครั้งยังอยู่ในสยามก่อนเสด็จกลับไปครองราชย์ที่เขมร รู้ว่าชอบโขนละครอยู่มาก ถึงขนาดเป็นประเทศราชยังมีละครในไม่ได้ ก็เอาลิเกไทยไปทรงส่งเสริมเป็นลิเกนโรดมในเขมรนิยมเล่นกันแพร่หลาย
อาจารย์คึกฤทธิ์ เคยกล่าวขณะเขียนหนังสือ “โครงกระดูกในตู้” เพื่อแจกในงานฉลองอายุครบ ๖๐ ปี เมื่อ ๒๐ เมษายน ๒๕๑๔ ไว้ว่า
“.
.คนชอบอ้างโขนไทยเอามาจากขอม เอาละครมาจากแขก คุณธนิต (นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร เขียนไว้ใน คึกฤทธิ์ ๖๐) ก็ยังเขียนละครไทยละครเขมรปนไปปนมา อยากจะช่วยบอกว่าละครเขมรที่เห็นกันเดี๋ยวนี้ เขมรเอาอย่างไทย ชัดๆ หัดจากละครท่านป้าฉวีวาดทั้งสิ้น ท่านแอบเอาละครไปเขมรตอนมีเรื่องวังหน้า..” มีคนติงว่าเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไร ท่านให้สติคิดว่า
“..เมื่อจะเขียนให้คนรุ่นหลังรู้จักบรรพบุรุษ ก็ต้องให้รู้จักเรื่องราวที่ถูกต้องเป็นจริง ทั้งดีไม่ดี ถ้ามัวปกปิดความผิดพลาด ยกแต่เรื่องดีๆ เท่ากับรู้ไม่หมด รู้ไม่จริง ลูกหลานคนอ่านก็ได้ไปแค่ครึ่งเดียว..”