เรือนไทย

วันนี้วันที่ 4 กรกฎาคม วันชาติอเมริกัน
เชิญทุกท่านมาคุยเรื่องอเมริกากันดีกว่า 
( ที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองนะ แหะๆๆ ยกให้ 1 วัน)

คำถามคือ เมื่อพูดถึงอเมริกา คุณนึกถึงอะไรสนุกๆ หรือ ที่ประทับใจบ้าง
มาเล่าให้สู่กันฟัง

... สำหรับผม...นึกถึงอเมริกาทุกครั้งที่กินมันฝรั่งครับ...
ถ้าชาวยุโรปไม่ค้นพบอเมริกา ก็คงไม่มีมันฝรั่งไว้รัปประทานกัน
อ้อ... ไม่มีไก่งวงกินด้วยแฮะ

ผมนึกถึงส้วม American Standard

ผมนึกถึง อินเดียแดง นึกถึงสิทธิเสรีภาพ ที่ถูกคนขาวลิดรอน ในประเทศที่อ้างว่าเป็นประเทศที่มีเสรี

นึกถึง peanut butter ค่ะ อร่อย!

นึกถึงตอนที่ดูทีวี
เปลี่ยนช่องไหนก็เจอแต่รายการเอาคนมาแย่งสามีแย่งภรรยา ด่ากันในทีวี อย่างของ Jerry Springer อะไรนั่น ไม่รู้สะกดถูกปล่าว
พอถึงตอนโฆษณาก็ก็เจอแต่โฆษณาแฮมเบอเกอร์ขนาดใหญ่ยักษ์ กะยาลดความอ้วน
แล้วหลังจากนั้นก็จะเป็นข่าวคนยิงกันโดยไม่มีสาเหตอะไรทุกๆวัน...

เป็นอย่างนี้เกือบทุกคืน ผมกะเพื่อนก็พักอยู่นอกเมือง รถก็ไม่มีขับ public transport ไม่ต้องพูดถึง กลางคืนไม่มีอะไรทำก็นั่งดูทีวีนั่น ... ยังเซ็งจนทุกวันนี้ ขอบอกๆ

ประทับใจกับการหลงตัวเองของคนอเมริกัน
ที่สถานฑูต ตอนไปขอวีซ่า (ด้วยความจำเป็น
ต้องไป) แล้วถูกซักถาม
ถาม: เคยไปอเมริกาไหม
ตอบ: ไม่เคย
ถาม: ไม่เคยไปเรียนด้วยหรือ
ตอบ: ไม่เคย
ถาม: แล้วทำไมพูดอังกฤษคล่อง (พร้อมกับจ้องหน้าจับพิรุธ)
ตอบ: (อึ้งไปประมาณแค่ตากระพริบ) คุณนึกว่าอเมริกาเป็น
ประเทศเดียวที่พูดอังกฤษหรือ

ประทับใจจริงๆ ไม่เคยคิดอยากกลับไปอีกเลย
แต่เอ้อ... เวลา sale ของขายถูกดีเน่อะ

สะใจครับ...
เอ กระทู้นี้เป็นกระทู้ถล่มอเมริกันฉลองวันชาติหรือเปล่านี่

คนของประเทศใหญ่ๆ หลงตัวเองยังงี้เหมือนกันหมดหรือเปล่าไม่รู้ คงไม่เหมือนกันหมด แต่คนหลงตัวคงมีทุกชาติ มีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งของผมเรียนหนังสือที่เมืองจีน พูดจีนกลางได้ดี วันหนึ่งก็ถูก ตม. จีนคนหนึ่ง ถามว่า ชื่อภาษาจีนชื่ออะไร แกก็บอกว่า ไม่มี มีแต่ชื่อไทยตามพาสปอร์ตน่ะแหละ ตม.จีนก็บอกว่า เป็นไปได้ไง คนไทยทุกคนมีชื่อจีนทั้งนั้นแหละ (แกคงเห็นคนไทยเชื้อสายจีนที่เขามีทั้งชื่อจีนและชื่อไทยจริงๆ) พี่เขาก็บอกไม่มี แกก็ไม่ว่าอะไร คืนพาสปอร์ตมา พี่เขาเลยบอกว่า ขอบใจนะ โรเบิร์ต - เท่านั้นแหละแกยั๊วะ บอกว่าแกไม่ได้ชื่อโรเบิร์ต พี่เขาก็เลยขอโทษ บอกว่า ก็ไม่รู้นี่ นึกว่าคนจีนทุกคนต้องมีชื่อภาษาฝรั่งด้วย...

เอิ๊กๆๆ เอาอีก ครับ เอาอีก ... ชอบๆๆๆ

ว่าแต่ขอเสียงเพื่อนๆ พี่ๆ ที่อยู่อเมริกาหน่อยครับ
อยู่มาหลายปีอะไรประทับใจที่สุด เรื่องดีหรือไม่ดีก็ได้ไม่ว่ากัน
ยกเว้นเรื่องการเมืองขอเว้น 1 วัน

เคยไปเรียนที่เมืองเล็กๆมีต้นไม้ร่มรื่นทั้งเมือง   เป็นเมืองมหาวิทยาลัย ไม่มีตึกระฟ้าเลยสักหลังเดียว   ส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียว สร้างน่ารัก เป็นระเบียบ ผู้คนเป็นมิตร อัธยาศัยคล้ายๆคนไทยในชนบท

เจ้าของบ้านไม่รังเกียจนักเรียนไทย เพราะเราไม่เคยไปทำเรื่องเสียหายให้เขา   แต่มักจะใจกว้าง  ทำอาหารการกินก็เอาไปเผื่อแผ่ให้คุณยายเจ้าของบ้านกินด้วย  ถ้าไม่ผัดพริกหรือเจียวกระเทียมเสียอย่าง คุณยายชอบอกชอบใจทั้งนั้น     เรายังติดต่อส่งข่าวถึงกันอยู่แม้ว่ากลับมาเมืองไทยนานแล้ว



แต่เมืองใหญ่จะไม่เป็นอย่างนี้   ผู้คนอยู่แบบตัวใครตัวมัน อาชญากรรมชุกชม   ขนาดล็อครถ ยังถูกงัดเอาของไป



เท่าที่เจอจากเพื่อนอเมริกัน จะแบ่งได้เป็น ๒ แบบ

ชีวิตส่วนตัว- มักจะมีปัญหาเรื่องความรัก/แต่งงาน  หย่าร้างกันง่าย  ลูกเจอปัญหาขาดพ่อหรือขาดแม่

กว่าจะลงตัวก็แต่งงานครั้งที่สาม  ตอนนั้นอยู่กันยืดเพราะแก่เกินกว่าจะต้องการอะไรนอกจากเพื่อน

พวกเขามีความคิดอ่านและการวิเคราะห์ดี มีเหตุผล  เป็นผลจากระบบการศึกษาที่กระตุ้นให้เด็กคิด มากกว่าท่องจำ  เรียนรู้ที่จะดิ้นรนช่วยตัวเอง ไม่พึ่งพาพ่อแม่เป็นลูกแหง่    แต่จะเปราะบางด้านจิตใจ และค่อนข้างตามใจตัวเอง โดยเฉพาะความต้องการทางกาย



สมัยเรียน เคยถูกเพื่อนสาวอเมริกันถามว่า...เธออยู่มาได้ยังไงจนอายุ ๒๐ กว่าแล้วไม่เคยเดทใคร  (คือไม่มีประสบการณ์ทางเพศ) ไม่เก็บกดบ้างหรือ?

คนตอบก็ร้องจ๊ากไปเท่านั้นเอง    มันตรงข้ามกับสุภาษิตสอนหญิงอะไรปานนั้น



ความเป็นพลเมือง - สวัสดิการเขาดี   คนมีรายได้ มีการศึกษา   ไม่ว่าส่วนตัวจะล้มเหลวยังไง ก็ประคองชีวิตไปได้เพราะรัฐค้ำไว้ไม่ให้ล้ม      พวก homeless มีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับอัตราประชากรทั้งหมดที่ดำรงชีวิตได้ไม่ขาดแคลนทางวัตถุ

ศาสนาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ยึดจิตใจพวกเขาได้มาก   เขาจะเชื่อในสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้นในชีวิต   ยังมีความหวังในทางดี ไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายหรืออะไรก็ตาม

หนุ่มสาวจะติดยากันง่าย แต่พออายุมากขึ้นก็เลิก  สถานบำบัดของเขามีมากพอ   สวัสดิการด้านนี้ดีมาก





ดิฉันชอบสิ่งดีๆที่เห็นในอเมริกา  แต่ในที่สุดเรียนจบก็กลับบ้าน  

ตั้งใจว่าจะเอาเรื่องสวัสดิการ/ระบบการศึกษาแบบคิดและวิเคราะห์/ ความมีระเบียบและสะอาดที่เห็นมาใช้กับสังคมเรา ให้เป็นประโยชน์มากกว่าจะชื่นชมศูนย์การค้าใหญ่ๆ ของเขา

แต่พบว่าเมื่อกลับมาบ้าน คนอเมริกีนในไทยโดยเฉพาะคนในตำแหน่งการงานสูงๆค่อนข้างจะดูถูกคนไทย   คล้ายความรู้สึกของชาวอังกฤษยุควิกตอเรียนต่ออาณานิคม

อย่างหนึ่งคือเราพูดภาษาได้ไม่เก่งเท่าเขา  ถ้าคนไหนพูดได้เขาก็เขยิบเกรดให้ขึ้นไปนิดหน่อย   ดิฉันก็เคยเจอคล้ายๆคุณนวลเจอ  แต่คนละสถานการณ์



นึกถึงพระบรมปัจฉิมโอวาทในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า  

" การงานสิ่งใดของเขาที่คิดควรจะเรียนเอาไว้ก็ให้เอาอย่างเขา   แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว"



จนบัดนี้ก็ยังชอบ       แต่ไม่เลื่อมใสค่ะ

ดิฉันนึกถึงพวกFBI ,NASA,นึกได้เท่านี้เองจริงๆแล้วนึกถึงเยอะเหมือนกันแต่เลือกไม่ถูก

นึกถึงระบบการศึกษาค่ะ
ชอบระบบการเรียนการสอนหนังสือของเด็ก ๆ ที่เด็กนักเรียนไม่ต้องตื่นเช้ามืด  กระหืดกระหอบไปเรียน  ไม่ต้องท่องแบบนกแก้วนกขุนทอง ไม่ต้องเรียนพิเศษหามรุ่งหามค่ำ  ไม่ต้องแต่งเครื่องแบบ   พอบ่ายสาม  ก็พากันเดินกลับบ้านที่มักจะอยู่แถวนั้น  ไม่ไกลกันข้ามเขตข้ามห้วย  เหมือนเด็กกรุงเทพฯ  ที่พ่อแม่มักจะดันทุรังเอาลูกไปเข้าเรียนโรงเรียนดัง ๆ  คนละมุมเมือง   ขนาดมีการจำกัดเขตที่อยู่แล้ว   ก็ยังย้ายบ้านย้ายทะเบียนกันวุ่นวายไปหมด

ชอบไอติม ฮากินแดส

ชอบสวนสนุก และเครื่องเล่นต่าง ๆ  ดิสนีย์แลนด์  ยูนิเวอร์แซล  เมจิคเมาเท่น  ฯลฯ  ถึงจะสนุกแบบหัวใจเกือบวายก็เถอะ

แต่ที่ไม่ชอบเลย คือ บิล คลินตัน

นึกถึงภาพยนต์ครับ..............
มากมายจริง กับการยกยอปอปั้น...ลั่นคุยกัน
ถึงวีรกรรมของ" อเมิกา" ในทุก ๆช่วงเวลา
เริ่มต้นจากป้อมปืนนาวาโรน
ยุทธภูมิมิดเวย์ ตามมาด้วยโตรา โตรา ดตรา
จวบจนปัจจุบันAmerican บิวตี้ อมาเกดอน
แรมโบ้ ฟอร์เรส กัมพ์ เซฟวิ่ง ไพรเวล ไรอัน
แพ็ตทิออด ......................................
โอ้ยมากมายจริง ๆ อเมริกา....เนี่ย
ล่าสุดก็ Parl Harbor ....
มิน่าล่ะ วิญญานอเมริกันจึงฝังรากในคนไทยเรา ซะมากมายจริง ๆ...........เฮ้อ

พยายามวกมาขึ้นเรือนไทย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเสด็จขึ้นรองราชสมบัตินั้น พระองค์ทรงทำสถิติว่าเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวของโลก (ในขณะนั้น) ที่ครองราชย์อยู่จริงๆ (พวกอดีตกษัตริย์ไม่นับ เช่นพวกกษัตริย์ฮาวาย) ที่ได้ทรงมีพระราชสมภพบนผืนแผ่นดินอเมริกัน เมื่อเสด็จสหรัฐฯ เป็นทางการปี 2503 สถิตินี้ก็ยังจริงอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 73 ปีเท่าพระชนมายุแล้ว ( ... ขอจงทรงพระเจริญ ..) นี่ จะยังมีกษัตริย์องค์อื่นของประเทศอื่นเกิดในสหรัฐอีกหรือเปล่า ผมก็ไม่ทราบ

นึกให้เข้าเรื่องไทยคงต้องนึกถึงพวกมิชชันนารีอเมริกัน
ซึ่งเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสิน ประมาณรัชกาลที่ 3
( อืม... จะมาก่อนนั้นก็คงไม่ได้เพราะอเมริกันยังไม่เกิดเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ )

จุดมุ่งหมายแท้จริงของเหล่ามิชชันนารีนั้นแฝงการเมืองด้วยหรือเปล่าไม่ทราบได้
แต่มิชชันนารีเหล่านี้ก็มีส่วนนำความเจริญ และวิวัฒนาการสมัยใหม่มาสู่ประเทศไทย
อย่างเช่นคุณหมอบรัดเลย์ หรือ นายแพทย์ แดน บีช แบรดลีย์
ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะนำการปลูกฝี และ การแพทย์สมัยใหม่เข้ามาในสยาม
แถมยังนำเครื่องพิมพ์เข้ามาใช้เป็นครั้งแรก ทำให้ความรู้แพร่หลายสู่สามัญชนมากขึ้น
เพราะเมื่อก่อนมีต้องมานั่งคัดลายมือ เขียนหนังสือกัน ทำให้มีแต่พวกเจ้านายที่พอจะมีหนังสืออ่าน

คุณหมอบรัดเลย์ น่าจะเป็นตัวอย่างของคนอเมริกันที่น่ารักคนหนึ่งนะครับ

นานๆ จะมาเขียน ขอคุยบ้าง
เรื่องการสัมภาษณ์ในที่ต่างๆ ยิ่งที่สถานทูตแล้ว
เพิ่งเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้ค่ะ (ความรู้สึกช้ามาก)
คงจะได้เจอกันทุกคน น่าเป็นการทดสอบความพร้อมของอารมณ์
เพื่อจะได้ไม่ไปสร้างปัญหาให้เขาเมื่อเจอปัญหาบีบคั้นภายหน้า
หลานชายตัวโตมากๆ ก็ถูกว่าโกงอายุหรือเปล่า
ส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้น เขามองช่องที่ลงรายการศึกษา
(ปริญญายังไม่ถึง 17 ใบแน่ อิ อิ)
แล้วจ้องหน้า ถามว่า คิดว่าเธอจะไปหางานทำได้สำเร็จหรือ ?
น้ำเสียง สีหน้า และแววตา ผู้ถามก็ไม่ได้ไปด้วยกันเท่าไหร่ แปลกๆ

นึกถึงหนัง hollywood
แต่วิญญานของเรายังเป็นไทยนะ .. อิอิ

อเมริกันเป็นบ้าไปเสียแล้ว...

ผมไปประชุมนิวยอร์กสองอาทิตย์ เรื่องการควบคุมปราบปรามการค้าอาวุธเถื่อนขนาดเล็กและอาวุธเบา สหรัฐเป็นคนที่ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองสุดฤทธิ์ พอกลับมาเจนีวาก็มาต่อเรื่องการร่างพิธีสารต่อท้ายอนุสัญญาเรื่องการควบคุมอาวุธเชื้อโรคหรืออาวุธชีวะ ซึ่งเจรจากันมา 6-7 ปี และสหรัฐฯก็นั่งประชุมเจรจากับคนอื่นทั้งโลกมาด้วยกันมาตลอด 6-7 ปีนี่แหละ ปรากฏว่าอยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาบอกกับโลกว่าสหรัฐไม่เอาด้วยแล้ว เดี๋ยวนี้เพิ่งได้ยินว่า สมช. หรือสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐคนสำคัญคนหนึ่งบอกว่า เลิกๆ สัญญาระหว่างประเทศต่างๆ เสียได้ก็ดี ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเรื่องขีปนาวุธระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย หรืออนุสัญญาเกียวโตเรื่องภูมิอากาศ ฯลฯ

อย่างนี้เห็นจะต้องเชิญสหรัฐไปอยู่ดาวอังคารประเทศเดียวแล้วครับ ถ้าไม่แคร์โลกอย่างนี้ กลุ้ม

แหม คุณ นกข คะ มันมาจากคุณบุชจูเนียร์  กับทีมป๊ะป๋าเองเท่านั้นแหละค่ะ   จริงๆแล้วก็เพราะคราวนี้พวกขวาตกขอบมีชัย เอ หรือเพราะขโมยตำแหน่งมาได้ก็ไม่ทราบ  พอขึ้นมาก็ฉีกอะไรต่อมิอะไรทิ้งไปเยอะ  ทั้งนอกบ้านในบ้าน  คุณ นกข พูดยังงี้เหมือนกับคนอเมริกันคิดอย่างเดียวกันทั้งประเทศ  คิดว่ามองอะไรง่ายไปหน่อยแล้วมังคะ

การเมือง หรือนักการเมืองในอเมริกา นี่  มันน่าปวดหัวมาก  เพราะพวก christian coalition ที่เกาะกันเหนียว  พยายามตัดทอนแทบจะทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝ่ายเสรีนิยมสร้างสมมาร่วมครึ่งศตวรรษแล้วค่ะ  เรื่องมันซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะเหมาเอาว่าเป็นพฤติกรรมเดี่ยวๆได้หรอกค่ะ

อย่างนี้  เวลาคุณทักษิน หรือสมัยคุณชวนออกมาพูดอะไร  หรือแสดงความเห็นที่คนไม่เห็นด้วย  คุณจะคิดยังไงถ้าคนชาติอื่นเขามาหัวเราะเยาะเอาว่า  คนไทยทั้งชาติคิดเป็นเสียงเดียวกันหมดอย่างนั้น  ยดตัวอย่าง เช่น เราจะรู้สึกยังไงถ้าคนชาติอื่นเขาหาว่า  นักวิทยาศาสตร์ไทยทั้งชาติพากันเชื่อว่า  จะมีดาวเทียมที่ส่องทะลุพื้นได้ ๑ กม เพื่อหาทองอะไรนั่น น่ะค่ะ

ขออภัยนะคะ  ดิฉันฟังคุณเยาะเย้ยอเมริกามาหลายครั้งแล้วรู้สึกอึดอัดใจมากเลยค่ะ

Well, my apology too. I beg to differ.



I should have qualified my remarks that I have the quarrels with the US govt only and not the American people. But Khun Puangroi, if you have been working in my field, you will see as I see that the tendency of the US to defy world opinions and multilateral diplomacy has been there for many years. Yes, there are still liberals in the US and yes, the problem is made worse by the present conservative administration. But from my own experience, the US (or I should say - those who represent the USA in many forums) always tend to be a bit arrogant, realizing too well the fact that the US is a superpower. I repeat that this trend does not only start in the Bush Administration. It is there for a long long time before that regardless of who is in the White House, even in the time of Bill Clinton. Can I say this is a "bipartisan" thing?



Bush may be blunter and franker than Clinton, but I still remember many incidents in the so-called liberal admininistration of Clinton that reflects the same superior complex. US negotiators - perhaps with no relationship with the real American people, even though they are acting in their names, tend to be double-standarded in their negotiations, in many issues.



If I may say so, I firmly believe in our common destiny as humankind, and the US - sorry - the US Govt's - decision on Biological weapons is the last straw that breaks the donkey's back. I was furious that day I wrote the comment. Not less furious than some liberal American scientists themselves who also heavily criticised their own govt. decision. But the fact still stand that the govt represents the nation, and has acted on behalf of the American people. (Even more the reason to be responsible in their words and actions.)



Probably you understand that sometimes people use "codenames" /"shorthands" or conceptualizing terms to say something. When the White House does something, many will say "the US" does that. You mentioned Khun Chuan or Khun Thaksin. True, it is not very logical to assume that the PM is Thailand and Thailand is the PM, but in foreign policy, and I repeat, in foreign policy, not on his personal belief on the capacity of satellites or other technical matters, when the PM says something in foreign policy, I think it is fair enough to loosely describe it as "Thailand" is going to do so and so"...



I donot always deride the US. On that day I wrote that comment, I was very angry with - OK, OK, not the US but only the White House.



However, may I be permitted to ask you that why you are so concerned ("ued-ad jai maak leay kha") when somebody ridicule the US, rightly or wrongly???  My dear friend, when the target is so big like that (and, to the certain level, is also acting in a provocative way like that), there will always be somebody to ridicule that target, even though I might stop doing so. It's the "karma" of being the USA., the greatest superpower in earth.  Accept it: "Tam jai" ter krab Khun Puangroi.



You are also a scientist and you do know many American scientists. If you are embarrassed and concerned that the USA as a whole is being ridiculed, then tell your liberal American friends to try harder to make their voice heard in the US national policymaking. Don't let the Consevatives hijack their efforts. Don't let them make the whole USA a fool in the world's eyes. In any case, it's the American internal affairs. If those who represent the American people in the White House do something stupid or dangerous, and outsiders like me say "the USA" is doing something stupid and dangerous to the whole world, don't blame us non-Americans for our criticizing remarks; don't waste your time preaching to me that there are others in America who do not agree with such policy. It's your internal mess. Just get the bums out of the decision making process!!



I do not want to lose you as a friend and I whole-heartedly agree that  one should not treat the US as if it is a monolithic entity. No country is a monolithic entity, and thank you for telling me that the American society and political system are complicated... But I still say I use the term "USA" loosely, as a convenient term, to refer to an actor in the international stage.



I hope you enjoy your vacation. I don't know if you still have time to read this before you go. Please feel free to debate with me on this. I always enjoy friendly exchanges of ideas and I strongly believe we can see things differently and still be friends.

ควันหลงมาร่วมวงด้วย นึกถึงแต่พวกโรคจิต หลงตัวเองคิดว่าโลกทั้งใบนี้มีแต่ประเทศฆ่าเอ๊ยข้าประเทศเดียว อินเดียแดงเอ๋ย เจ้าไม่เหมาะกับผืนดินแห่งนี้เจ้าจงไปอยู่ในเขตที่พวกข้าจำกัดเขตให้เจ้าจงอยู่ไปพร้อมกับขนนกและสายน้ำแห่งความเงียบของเจ้าเถิด อย่ามายุ่งกับสูข้าคนปาบเลย
อาเมน

 กระทู้คืนชีพอีกครั้ง .... ฮ่าๆๆ  หนึ่งปีผ่านไปไวเหมือนโกหก
รู้สึกอย่างกับว่าพึ่งจะตั้งกระทู้นี้ไปเมื่อไม่กี่วันนี้เองตอนนี้ผ่านไปครบหนึ่งปีซะแล้ว
ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์มากมายหลายเรื่องเกิดขึ้นกับอเมริกา
ที่ร้ายแรงที่สุดคงเป็นกรณีผู้ก่อการร้ายถล่มตึกในนิวยอร์ค
หวังว่าคงไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นอีก...

 เมื่อคืนดูข่าว เห็นว่าเจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมรับมือหากผู้ก่อการร้ายสากลจะอาละวาด วางระเบิดจุดชุมชนสำคัญ หรือพลีชีพให้ตายหมู่กันขึ้นมาอีก
เป็นการฉลองวันชาติที่ระทึกขวัญที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อนค่ะ

ผมนึกถึงประธานาธิบดีคนก่อน ๆ เช่นจอห์น เอฟ เคนเนดี้ หรือ ไม่ก็ อับราฮัม ลินคอห์น ครับ  8)