เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 27 ต.ค. 22, 08:49
|
|
ทีนี้เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวบ้าง ดิฉันเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีประวัติยาวเหยียด ย้อนหลังไปถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พ่อแม่ดิฉันเป็นคนที่จำเรื่องราวเก่าๆได้แม่นยำมาก ชอบเล่าเรื่องเก่าๆสมัยที่ลูกยังเกิดไม่ทันให้ฟังอยู่เสมอ เป็นรายละเอียดที่ไม่มีในตำรา พงศาวดารหรือหนังสือประวัติศาสตร์ มีวันคืนเก่าๆหลังจากอาหารมื้อเย็นจบแล้ว เราพ่อลูกก็นั่งกันอยู่สองคน พ่อก็จะเล่าเรื่องเก่าๆสมัยท่านยังเด็ก เล่าถึงคุณปู่ และบรรพบุรุษที่ท่านเกิดทันให้ฟัง เด็กอายุ 10 ขวบก็นั่งฟัง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่มันก็เข้าไปอยู่ในความทรงจำ เรียกออกมาใช้ได้เมื่อโตขึ้น ส่วนแม่ เป็นคนที่ได้ชื่อว่าช่างจดช่างจำที่สุดในบรรดาเครือญาติ เวลาดิฉันถามเรื่องเก่าๆกับคุณป้า(ก็ท่านผู้เป็นที่มาของคุณหญิงลอออร นางเอกของ "มาลัยสามชาย" นั่นแหละค่ะ) คุณป้ามักจะตอบสักพักแล้วก็โยนต่อไปว่า "ถามแม่เขาซี เขาจำเรื่องราวเก่ง") เรื่องเบื้องหลังต่างๆของสังคมในอดีต แม่ก็จำได้เยอะแยะมาก ดังนั้นเมื่อลงมือเขียนเรื่องย้อนยุค อย่าง "สองฝั่งคลอง" ก็เลยลื่นมือมาก มีคุณแม่(ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในตอนนั้น)เป็นคนตอบคำถาม ภาพของทับทิม เจ้าคุณปู่ คุณย่า จึงมีชีวิตเหมือนเดินออกจากอดีตเล่าเรื่องให้ฟังอยู่ตรงหน้า เราก็เพียงแค่จดปากคำของท่านลงไปเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 27 ต.ค. 22, 10:21
|
|
ข้อนี้ก็เป็นคำตอบว่า ทำไมนักเขียนที่ประสบความสำเร็จแต่ละคน จึงไม่จำเป็นต้องเขียนเนื้อหาเดียวกัน ใครถนัดแนวไหนก็เขียนแนวนั้น ไม่มีชีวิตของคนกลุ่มไหนหรือชนชั้นไหนสำคัญกว่าอีกกลุ่มหรืออีกชนชั้น จนต้องสนใจเขียนเฉพาะกลุ่มนี้ หรือเว้นชนชั้นนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับประสบการณ์ส่วนตัวของนักเชียนแต่ละคน ดิฉันเป็นคนกรุงเทพ จะให้ดิฉันเขียนถึงชีวิตชาวจีนฮกเกี้ยนทางภาคใต้ ดิฉันก็เขียนสู้คุณหมอ CVT ไม่ได้ และอาจจะเขียนถึงภาคใต้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป เพราะไม่มีพื้นฐานความเข้าใจ แต่ถ้าให้เขียนถึงจังหวัดภาคกลางอย่างนครปฐม ก็เขียนได้ เพราะไปทำงานที่นั่นอยู่นานหลายปี เขียนนวนิยายที่ใช้ฉากในอเมริกาทางรัฐตะวันตกได้ เพราะเคยไปเรียน แต่จะเขียนถึงสวีเดน เดนมาร์ค หรือฟินแลนด์ก็จนปัญญาเพราะไม่เคยไปอยู่ ใช่ค่ะ นักเขียนมีกรอบจำกัดในการสร้างเรื่อง กรอบบางคนก็แคบ บางคนก็กว้าง ขึ้นกับประสบการณ์ ประสบการณ์ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องดูหรือเห็นด้วยตาตัวเอง เป็นประสบการณ์ชั้นสองคืออ่านจากหนังสือ หรือรับฟังคำบอกเล่ามาอีกทีก็ได้ ดิฉันเองเกิดไม่ทันบรรพชนทั้งหลายที่เอาท่านมาเขียน แต่เราอาศัยคำบอกเล่าของผู้รู้เห็น นำมาถ่ายทอดอีกที ก็ไปได้จนจบเรื่องเหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CVT
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 27 ต.ค. 22, 10:47
|
|
ทีนี้เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวบ้าง ดิฉันเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีประวัติยาวเหยียด ย้อนหลังไปถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พ่อแม่ดิฉันเป็นคนที่จำเรื่องราวเก่าๆได้แม่นยำมาก ชอบเล่าเรื่องเก่าๆสมัยที่ลูกยังเกิดไม่ทันให้ฟังอยู่เสมอ เป็นรายละเอียดที่ไม่มีในตำรา พงศาวดารหรือหนังสือประวัติศาสตร์ มีวันคืนเก่าๆหลังจากอาหารมื้อเย็นจบแล้ว เราพ่อลูกก็นั่งกันอยู่สองคน พ่อก็จะเล่าเรื่องเก่าๆสมัยท่านยังเด็ก เล่าถึงคุณปู่ และบรรพบุรุษที่ท่านเกิดทันให้ฟัง เด็กอายุ 10 ขวบก็นั่งฟัง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่มันก็เข้าไปอยู่ในความทรงจำ เรียกออกมาใช้ได้เมื่อโตขึ้น ส่วนแม่ เป็นคนที่ได้ชื่อว่าช่างจดช่างจำที่สุดในบรรดาเครือญาติ เวลาดิฉันถามเรื่องเก่าๆกับคุณป้า(ก็ท่านผู้เป็นที่มาของคุณหญิงลอออร นางเอกของ "มาลัยสามชาย" นั่นแหละค่ะ) คุณป้ามักจะตอบสักพักแล้วก็โยนต่อไปว่า "ถามแม่เขาซี เขาจำเรื่องราวเก่ง") เรื่องเบื้องหลังต่างๆของสังคมในอดีต แม่ก็จำได้เยอะแยะมาก ดังนั้นเมื่อลงมือเขียนเรื่องย้อนยุค อย่าง "สองฝั่งคลอง" ก็เลยลื่นมือมาก มีคุณแม่(ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในตอนนั้น)เป็นคนตอบคำถาม ภาพของทับทิม เจ้าคุณปู่ คุณย่า จึงมีชีวิตเหมือนเดินออกจากอดีตเล่าเรื่องให้ฟังอยู่ตรงหน้า เราก็เพียงแค่จดปากคำของท่านลงไปเท่านั้น
สุดยอดมากเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 27 ต.ค. 22, 15:33
|
|
คุณป้าตอนสาว สวยสมกับที่บรรยายไว้ถึงคุณหญิงลอออร ไหมคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 27 ต.ค. 22, 15:48
|
|
เอกลักษณ์ของนักเขียน
คนทุกอาชีพที่ประสบผลสำเร็จ ย่อมสามารถจะเปล่งประกายเฉพาะตัว ไม่ซ้ำกับคนอื่นๆในอาชีพเดียวกัน เอลวิส เพรสลีย์ มาริลีน มอนโร แม้ว่าตายไปแล้ว ก็ยังไม่มีใครมาเป็นตัวแทนของเขาและเธอได้ ทั้งๆยุคเอลวิสก็มีนักร้องร็อคแอนด์โรลเกิดขึ้นมากมาย ล้วนแต่ดังๆทั้งนั้น ดาราสาวเซกซี่ยุคเดียวกับมาริลีนก็มีเต็มไปหมดในฮอลลีวู้ด แต่ตายไปแล้วก็ตายไปเลย ไม่มีใครเป็นที่จดจำเท่ากับเธอ นักเขียนก็เหมือนกัน ไม่มีใครซ้ำแบบกับยาขอบ ดอกไม้สด ศรีบูรพา ป.อินทรปาลิต พนมเทียน ทมยันตี จนบัดนี้ ถ้าอยากประสบผลสำเร็จมากๆ ย้ำว่ามากๆ ก็ควรแสวงหาเอกลักษณ์ของตัวเองให้พบ อย่าไปตามรอยคนอื่น แต่ถ้าไม่อยากเป็นก็อีกเรื่องหนึ่งค่ะ แบบนั้นคือเขียนได้แค่ไหนก็พอใจแค่นั้น ไม่ยุ่งยาก
ดิฉันรู้ตัวดีว่า ถ้าให้เขียนเพชรพระอุมาอย่างคุณพนมเทียน ก็คงจอดสนิทตั้งแต่หน้าแรก ไม่ถึงจบบทแรกด้วยซ้ำ คนเกิดมาไม่เคยเข้าป่าเลยสักครั้ง จะให้นึกภาพการเดินทางในไพรมหากาฬออกได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงนิทรานครหรือมรกตนครซึ่งยากหนักเข้าไปอีก แต่ดิฉันก็ค้นพบสิ่งที่ตัวเองมี และมีมากเสียด้วย คือเรื่องราวในอดีตที่พ่อแม่ถ่ายทอดให้ฟังครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ยังเยาว์วัย ดิฉันได้เรียนรู้ว่าต้นตระกูลฝ่ายพ่อมาจากเมืองจีนตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ แต่แปลกจากตระกูลจีนอื่นๆที่เราอ่านพบกันโดยมาก คือเป็นจีนที่กลายมาเป็นไทยเต็มตัว ไม่ค้าขายแต่รับราชการกันสืบมาทุกชั่วคน ไม่ได้เก็บขนบธรรมเนียมประเพณีจีนให้ลูกหลานสืบทอดอีกเลย พ่อดิฉันเองก็ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษเดิมแซ่อะไรด้วยซ้ำ ถ้าคุณทวดไม่บันทึกไว้ ดิฉันก็ไม่รู้ ท่านเปลี่ยนมารับธรรมเนียมไทย ทำบุญแบบไทยๆมาโดยตลอด ความเป็นไทย มี 3 อย่างที่พวกท่านยึดถือเหนียวแน่น คือชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สิ่งนี้กลายมาเป็นนิยาย "รัตนโกสินทร์" ส่วนบรรพบุรุษทางแม่เป็นไทยแท้ ย้อนขึ้นไปจนจนสมัยธนบุรีก็เป็นคนไทย ไม่มีจีนหรือแขก หรือชาติอื่นปน รับราชการกันมาทุกชั่วคนแบบเดียวกับทางพ่อ และยังมีความผูกพันกับราชสำนักมากกว่า เพราะหนึ่งในบรรพสตรีทางฝ่ายแม่ เป็นเจ้าจอมมารดาของสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระอัครมเหสีพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทุกวันนี้เวลาทำบุญประจำปีให้ญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ญาติๆฝ่ายแม่ก็ไปทำกันที่วัดโสมนัส ถือว่าเป็นวัดประจำสกุล นี่คือที่มาของ "สองฝั่งคลอง" ก็ไม่รู้ว่าคนรุ่นหลังจะรู้ไหมว่า การที่คนจีนไปตั้งถิ่นฐานอยู่บนแผ่นดินอื่นนั้นไม่ใช่เข้าไปอยู่ได้ง่ายๆ ดินแดนหลายแห่งเขาก็ไม่ต้อนรับคนต่างแดน บางแห่งก็ตั้งข้อรังเกียจเอามากๆ บางแห่งก็กีดกันไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม น้อยนักจะเปิดโอกาสให้เข้ามาได้อย่างสะดวก หยิบยื่นที่ทำมาหากินให้ ยินยอมยกลูกสาวให้ ได้เป็นเขยในครอบครัวเขาได้ จนกลายเป็นเจ้าของถิ่นไปด้วยกัน อย่างที่พระเจ้าแผ่นดินสยามทรงเปิดโอกาสให้แต่แรก ดิฉันจึงถูกปลูกฝังมาว่า พระมหากษัตริย์ทุกรัชกาลทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ให้บรรพบุรุษได้อยู่เป็นสุขบนผืนแผ่นดินมาทุกชั่วคน เราก็ต้องสำนึกในพระมหากรุณา ไม่กระทำการสิ่งใดที่จะเป็นอกตัญญูต่อผู้ที่หยิบยื่นโอกาสให้ปู่ย่าตาทวดของเรามาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ งานหลายชิ้นของดิฉันจึงเป็นเรื่องของอดีต แสดงจุดยืนข้อนี้ คือความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด กลายเป็นเอกลักษณ์ของงานของว.วินิจฉัยกุล ไปในที่สุด ใครจะยกมือซักถาม หรือออกความเห็นเพิ่มเติมก็ยินดีนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 27 ต.ค. 22, 19:45
|
|
อยากทราบทึ่มาของนิยายภายใต้นาม "แก้วเก้า"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 27 ต.ค. 22, 20:00
|
|
นิยายในนามปากกา "แก้วเก้า" จัดอยู่ในประเภทจินตนิยาย (Fantasy) ซึ่งรวมสารพัดชนิดไม่ว่าเรื่องผี มนุษย์ต่างดาว เดินทางทะลุจักรวาล เดินทางย้อนอดีตหรือไปอนาคต สรุปว่าเรื่องอะไรที่ไม่ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงในสังคม แต่ขึ้นกับจินตนาการล้วนๆ มีสังกัดอยู่ในประเภทจินตนิยาย ดิฉันชอบจินตนิยายมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนเล็กๆก็ชอบนิทาน โตขึ้นชอบอ่านเรื่องผี เรื่องมนุษย์ต่างดาว เรื่องมิติที่ 4 สวรรค์นรก รู้สึกว่าเรื่องประเภทนี้ไม่ถูกจำกัดด้วยข้อเท็จจริง จินตนาการของเราเป็นอิสระมากกว่า จะโลดแล่นไปถึงไหนก็ได้ ตอนเป็นนักเขียนใหม่ของสกุลไทย ใช้นามปากกา ว.วินิจฉัยกุล แต่ด้วยไฟแรงอยากจะเขียนอีกเรื่อง แนวไม่ซ้ำกัน ก็เลยเสนอ "แก้วราหู" ให้บก.สกุลไทยพิจารณา เป็นจินตนิยายย้อนยุคผสมประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย ตอนเตรียมเขียน หาชั่วโมงว่างไปนั่งฟังเลกเชอร์ของผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์แลัโบราณคดี ชื่ออาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ในห้องเรียนร่วมกับนักศึกษา เพื่อจะรู้เรื่องราวของพญาไสสงครามและพญางั่วนำถม ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน อาจารย์สอนได้น่าสนใจมากค่ะ พอจะลงในสกุลไทย บก.บอกว่าต้องใช้คนละนามปากกา ไม่งั้นจะกลายเป็นว.วินิจฉัยกุลลง 2 เรื่องซ้อน ซึ่งเขาไม่ทำกัน นามปากกา "แก้วเก้า" จึงอุบัติขึ้นมาในฐานะนักเขียนใหม่ที่ซุ่มซ่อนตัว ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเจ้าของเดียวกับคนเขียน "ไร้เสน่หา" ปิดเป็นความลับอยู่ 10 ปีกว่า คนอ่านถึงค่อยๆรู้กัน " แก้วราหู" เป็นม้ามืดที่ได้รับการตอบรับด้วยดี เพราะในสกุลไทยไม่มีใครเขียนแนวนี้ พอจบเรื่องนี้ บก.ก็ตกลงให้เขียนเรื่องที่ 2 ต่อ ในนามปากกานี้ "นางทิพย์" ก็ตามมา ตกลงว่า "แก้วเก้า" ก็จะเขียนแต่จินตนิยายเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 27 ต.ค. 22, 20:13
|
|
ทศวรรษที่ 70s เป็นยุคที่อเมริกาให้ความสนใจกับประสาทสัมผัสที่ 6 หรือ sixth sense ตอนนั้นเรียกว่า extra-sensory perception เป็นช่วงที่ไปเรียนต่อพอดี เข้าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยทั้งวันๆ อ่านตำราจนเบื่อก็ไปค้นหนังสืออย่างอื่นมาอ่านบ้าง ก็เลยรู้เรื่องพวกนี้ เป็นเรื่องที่ยังไม่ได้เล่นกันในวงการวรรณกรรมของประเทศไทยในยุคนั้น จึงตื่นตาตื่นใจมาก sixth sense สามารถตอบโจทย์การสร้างจินตนิยายได้หลายเรื่อง มันแตกแขนงไปสู่จินตนาการด้านอื่นด้วย เช่นเอกภพคู่ขนาน (parallel universe) เรื่องนี้คุณเพ็ญชมพูคงรู้จักเพราะเคยเอ่ยถึงมาแล้ว เป็นแฟนตาซีแนววิทยาศาสตร์เรื่องเดียวที่ทดลองเขียน เพราะอยากลองเขียนแนววิทยาศาสตร์ดูบ้างว่าคนจบอักษรฯจะทำได้ไหม ผลปรากฏว่าทำได้ แต่ทำได้จบ 1 เรื่อง แล้วไม่ได้สนใจจะเขียนแนวนี้อีก เรื่องนี้ก็ไม่เลวนักหรอก ประสบความสำเร็จ ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 100 นิยายวิทยาศาสตร์ (จำชื่อเต็มๆ ไม่ได้แล้วและหาไม่พบในกูเกิ้ล คุณเพ็ญชมพูจำได้ก็ช่วยบอกด้วยค่ะ)
พูดถึงความสำเร็จ คนอ่านชอบ "แก้วเก้า" มากกว่า ว.วินิจฉัยกุล แต่ ว.วินิจฉัยกุล ได้รางวัลเยอะกว่า ต่างกันตรงนี้ค่ะ ถ้าคุณเพ็ญชมพูถามว่ายังเขียนในนามปากกา "แก้วเก้า" อยู่ไหม คำตอบคือยังเขียนอยู่ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Anna
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 27 ต.ค. 22, 20:21
|
|
ลงทะเบียนตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ ตอนนี้นั่งหลบมุมอยู่หลังห้อง กลัวโดนอาจารย์ทวงการบ้านที่ค้างส่งมานานนนนนนมากแล้วค่ะ แต่ถึงแม้จะเป็นนร.ที่แย่มาก เหลวไหลไม่ส่งงาน ทว่าตั้งใจเรียนสุดๆเลยนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 27 ต.ค. 22, 20:50
|
|
เรื่องนี้ก็ไม่เลวนักหรอก ประสบความสำเร็จ ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 100 นิยายวิทยาศาสตร์ (จำชื่อเต็มๆ ไม่ได้แล้วและหาไม่พบในกูเกิ้ล คุณเพ็ญชมพูจำได้ก็ช่วยบอกด้วยค่ะ) คงเป็นเรื่อง "แดนดาว" นั่นแล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 27 ต.ค. 22, 21:12
|
|
ขอบคุณค่ะ นึกแล้วว่าคุณเพ็ญชมพูต้องหาเจอ งั้นขอแก้ไขใหม่
เรื่องนี้ก็ไม่เลวนักหรอก ประสบความสำเร็จ ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 29 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ ประเภทบันเทิงคดี จากหนังสือดีวิทยาศาสตร์ทั้งหมด 88 เล่ม ตัดสินโดยคณะวิจัยในโครงการวิจัยหนังสือดีวิทยาศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อพ.ศ. 2544
คุณแอนนาไม่ต้องกลัวโดนทวงการบ้านค่ะ มาให้เห็นก็ดีใจแล้วค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 28 ต.ค. 22, 09:06
|
|
ก่อนยุคของอินเทอร์เน็ตและสมาร์ตโฟน พื้นที่ปูพรมแดงสำหรับนักเขียนคือนิตยสารต่างๆ วางแผงอยู่มากมายหลายสิบฉบับ ดึงดูดคนอ่านด้วยนวนิยายเรื่องยาวลงเป็นตอนๆ นักเขียนน้อยคนนักจะเขียนเสร็จแล้วพิมพ์รวมเล่มขายเลย แล้วขายดีโดยไม่ผ่านตาคนอ่านมาก่อน ส่วนใหญ่ก็คือเรื่องที่ได้รางวัลเช่นรางวัลซีไรต์ หรือรางวัลงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เรื่องยาวที่ลงเป็นตอนๆ ได้เปรียบตรงที่เรียกความสนใจคนอ่านจำนวนนับแสนๆคนที่เป็นขาประจำของนิตยสารได้ จะเตะตาผู้ทำหนังและผู้จัดละครทีวี จะหาสำนักพิมพ์มารวมเล่มได้ง่าย ค่าเรื่องก็เท่ากับได้ 3 เท่าคือได้จากนิตยสาร ได้จากผู้จัดละครและได้จากสำนักพิมพ์ นักเขียนหน้าใหม่จึงพุ่งความสนใจไปที่นิตยสารมากกว่าจะเขียนเองพิมพ์เอง ดิฉันเคยเขียนลงในนิตยสารเก่าแก่ที่หลายคนในเรือนไทยเกิดไม่ทัน หรือทันก็ยังเด็กมาก เช่นศรีสัปดาห์และสตรีสาร แต่ที่มาเขียนเป็นชิ้นเป็นอันคือสกุลไทย เขียน 2 เรื่องควบต่อสัปดาห์ บางปีไฟแรงก็แปลนิยายลงอีกเรื่อง เป็น 3 นอกจากนี้ยังลงในนิตยสารหญิงไทยรายปักษ์ ซึ่งอยู่เครือเดียวกับสกุลไทย สรุปว่ามือเป็นระวิงทีเดียว
ตอนนั้นก็ยังรับราชการอยู่ และเลี้ยงลูกอีก 2 คนซึ่งยังเล็ก ย้อนกลับไปดูก็อัศจรรย์ใจเหมือนกันว่าเราอุตส่าห์ผ่านมาได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 28 ต.ค. 22, 09:13
|
|
สิ่งสำคัญทีทำให้ดำรงอาชีพมาได้ตลอดรอดฝั่ง คือ "วินัย" ทุกวันศุกร์ต้องส่งต้นฉบับให้สกุลไทย อย่างช้าสุดคือวันจันทร์ สมัยที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ต้องส่งไปรษณีย์ภายในพฤหัสบดี เพื่อให้ถึงสกุลไทยในวันรุ่งขึ้น ก็ต้องอดหลับอดนอนปั่นต้นฉบับให้เสร็จ ก่อนจะไปทำงาน
วินัย แปลว่าต้องบังคับตัวเองให้ได้ ไม่มีคำว่า " ไม่มีอารมณ์จะเขียน" "เหนื่อยจะตาย ขอพักสักอาทิตย์" " ช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่มีเวลาจริงๆ" ถ้าหากว่าใช้แม้แต่ 1 ใน 3 บ่อยๆ ก็คือปิดฉากอาชีพนี้ได้เลย ไม่มีบก.คนไหนให้อภัยคุณ เพราะการเขียนเป็นศิลปะก็จริง แต่การทำนิตยสารเป็นธุรกิจในวงเงินหลายร้อยล้าน เขาจะมาสะดุดเพราะคุณคนเดียวไม่ได้ เขาไล่คุณออกง่ายกว่า เพราะฉะนั้น ถ้าจะเป็นนักเขียนอาชีพ คุณจะไม่สามารถมีข้อแก้ตัวให้ตัวเองได้เลย ในการเอาอารมณ์ขึ้นมาเหนือวินัย ดิฉันเคยป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ ต้องเข้าไปนอนในโรงพยาบาล ยังต้องสั่งเด็กในบ้านให้ไปเอาคอมโน้ตบุ๊คมาที่ห้องคนไข้ แล้วก็นั่งจิ้มคีบอร์ดไปทั้งๆอีกแขนยังให้น้ำเกลือ เพื่อจะเขียนต้นฉบับให้เสร็จทันส่ง
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากถามว่าทำไมคุณถึงต้องทรมานทรกรรมตัวเองขนาดนั้น ก็ขอตอบว่าเพราะดิฉันตระหนักว่าอาชีพนี้มีขึ้นมีลง ขึ้นอยู่กับหลายอย่างเช่นสังขารคนเขียน ค่านิยมในสังคมที่เปลี่ยนไป คลื่นจากนวัตกรรมใหม่ๆซัดเข้ามา ทุกอย่างผันแปรง่ายมาก บทจะเปลี่ยนมันพลิกผัน 180 องศาได้ง่ายๆ ในวัยที่เรารู้ว่าเรากำลังถึงจุดพีคของอาชีพ เราก็ใช้โอกาสนั้นให้เต็มที่ เมื่อมันผ่านไปแล้วจะได้ไม่มีความเสียใจว่า "รู้ยังงี้ ฉันก็คง..." หรือว่า "เสียดายที่ไม่ได้..." ทุกวันนี้ดิฉันก็รู้สึกว่าเราได้ใช้เวลาในชีวิตคุ้มค่าแล้ว ที่เหลืออยู่ตอนนี้และในอนาคต คือทำอะไรตามสบาย อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ อย่างมาเขียนอะไรๆในเรือนไทยนี่ก็คืออยากทำ มีคุณม้าแอดมินเป็นคนช่วยให้เว็บไซต์นี้อยู่ยงคงกระพันมา 23 ปี โดยไม่มีสปอนเซอร์ ทุกครั้งที่มีใครบอกมาว่า ได้ความรู้จากเว็บนี้ ดิฉันก็เหมือนได้ค่าตอบแทนที่มีค่าสูงสุดค่ะ
ต่อไปจะเล่าถึงการสร้างวินัย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 28 ต.ค. 22, 12:04
|
|
คั่นสั้นๆ ครับ
เคย อ่าน ผลงาน ของอ. (ทั้งนิยายและเรื่องแปล) จากสกุลไทยที่เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ซื้อประจำ ต่อจากนั้นแล้ว จะเป็นการดู ผลงานที่สร้างเป็นละครออกอากาศต่อเนื่องยาวนาน,มากมายนับสิบๆ จนถึงยุคนี้ที่มีการนำกลับมารีเมคกันอีก
วิกกี้ว่า - เรื่องแปล ใช้นามปากกา วัสสิกา, รักร้อย, ปารมิตา แต่เมื่อรวมเล่มแล้วจึงเปลี่ยนมาเป็น ว.วินิจฉัยกุล ยกเว้นเรื่อง จันทรคราส ที่ยังคงใช้ ปารมิตา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CVT
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 28 ต.ค. 22, 13:12
|
|
สิ่งสำคัญทีทำให้ดำรงอาชีพมาได้ตลอดรอดฝั่ง คือ "วินัย" ทุกวันศุกร์ต้องส่งต้นฉบับให้สกุลไทย อย่างช้าสุดคือวันจันทร์ สมัยที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ต้องส่งไปรษณีย์ภายในพฤหัสบดี เพื่อให้ถึงสกุลไทยในวันรุ่งขึ้น ก็ต้องอดหลับอดนอนปั่นต้นฉบับให้เสร็จ ก่อนจะไปทำงาน
วินัย แปลว่าต้องบังคับตัวเองให้ได้ ไม่มีคำว่า " ไม่มีอารมณ์จะเขียน" "เหนื่อยจะตาย ขอพักสักอาทิตย์" " ช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่มีเวลาจริงๆ" ถ้าหากว่าใช้แม้แต่ 1 ใน 3 บ่อยๆ ก็คือปิดฉากอาชีพนี้ได้เลย ไม่มีบก.คนไหนให้อภัยคุณ เพราะการเขียนเป็นศิลปะก็จริง แต่การทำนิตยสารเป็นธุรกิจในวงเงินหลายร้อยล้าน เขาจะมาสะดุดเพราะคุณคนเดียวไม่ได้ เขาไล่คุณออกง่ายกว่า เพราะฉะนั้น ถ้าจะเป็นนักเขียนอาชีพ คุณจะไม่สามารถมีข้อแก้ตัวให้ตัวเองได้เลย ในการเอาอารมณ์ขึ้นมาเหนือวินัย ดิฉันเคยป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ ต้องเข้าไปนอนในโรงพยาบาล ยังต้องสั่งเด็กในบ้านให้ไปเอาคอมโน้ตบุ๊คมาที่ห้องคนไข้ แล้วก็นั่งจิ้มคีบอร์ดไปทั้งๆอีกแขนยังให้น้ำเกลือ เพื่อจะเขียนต้นฉบับให้เสร็จทันส่ง
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากถามว่าทำไมคุณถึงต้องทรมานทรกรรมตัวเองขนาดนั้น ก็ขอตอบว่าเพราะดิฉันตระหนักว่าอาชีพนี้มีขึ้นมีลง ขึ้นอยู่กับหลายอย่างเช่นสังขารคนเขียน ค่านิยมในสังคมที่เปลี่ยนไป คลื่นจากนวัตกรรมใหม่ๆซัดเข้ามา ทุกอย่างผันแปรง่ายมาก บทจะเปลี่ยนมันพลิกผัน 180 องศาได้ง่ายๆ ในวัยที่เรารู้ว่าเรากำลังถึงจุดพีคของอาชีพ เราก็ใช้โอกาสนั้นให้เต็มที่ เมื่อมันผ่านไปแล้วจะได้ไม่มีความเสียใจว่า "รู้ยังงี้ ฉันก็คง..." หรือว่า "เสียดายที่ไม่ได้..." ทุกวันนี้ดิฉันก็รู้สึกว่าเราได้ใช้เวลาในชีวิตคุ้มค่าแล้ว ที่เหลืออยู่ตอนนี้และในอนาคต คือทำอะไรตามสบาย อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ อย่างมาเขียนอะไรๆในเรือนไทยนี่ก็คืออยากทำ มีคุณม้าแอดมินเป็นคนช่วยให้เว็บไซต์นี้อยู่ยงคงกระพันมา 23 ปี โดยไม่มีสปอนเซอร์ ทุกครั้งที่มีใครบอกมาว่า ได้ความรู้จากเว็บนี้ ดิฉันก็เหมือนได้ค่าตอบแทนที่มีค่าสูงสุดค่ะ
ต่อไปจะเล่าถึงการสร้างวินัย
สิ่งสำคัญอีกเรื่องคือ จินตนาการครับ ผมทึ่งมากกับการที่นักเขียนมีจินตนาการได้ต่อเนื่อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|