อ้างถึงจดหมายเหตุเหตุการณ์ต้นรัชกาลที่ ๕ กล่าวว่า
ในข้อจะถวายราชสมบัติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ยินยอมพร้อมกันด้วยความยินดีจริง แต่เมื่อเลือกพระมหาอุปราช ท่านสังเกตผู้ที่อยู่ในที่ประชุมไม่เห็นชอบโดยมาก ที่ยอมเป็นด้วยกลัวเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เท่านั้น"
ในเมื่อกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทรงขึ้นสู่ตำแหน่งวังหน้า ด้วยการสนับสนุนของสมเด็จเจ้าพระยาฯ เจ้านายอื่นๆถึงไม่เต็มพระทัยก็ขัดไม่ได้ จึงไม่แปลกอะไร ถ้าจะมองว่าวังหน้ารัชกาลนี้ เหมือนถูก "โดดเดี่ยว" มาแต่แรก
จะหามิตรสนิทจากวังไหนก็คงจะยาก สมัยพระองค์ท่านทรงดำรงพระยศพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ ก็ทรงสมาคมแต่กับหม่อมเจ้า ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นเจ้านายชั้นผู้น้อย ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในการบริหารบ้านเมือง
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาฯท่านล้างมือในอ่างทองคำ ปลีกตัวไปพำนักที่ราชบุรี ก็เท่ากับท่านออกจากแวดวงการเมืองไปแล้วโดยสิ้นเชิง กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญก็ยิ่งหาที่พึ่งที่ปรึกษาไม่ได้ เพื่อนฝูงอีกกลุ่มหนึ่งที่พอจะมีอำนาจก็คือฝรั่ง โดยเฉพาะกงศุลน็อกซ์
ซึ่งส่งลูกสาวมาออกหน้าอยู่ในวังหน้า เป็นข่าวซุบซิบว่าแกหวังจะได้เป็นพ่อตา ความจริงก็อาจเป็นข่าวลือกันไปเกินเหตุ เพราะในที่สุดแฟนนี่ก็แต่งงานไปกับพระปรีชากลการ
ส่วนแคโรไลน์ลูกสาวคนเล็ก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เล่าไว้ในโครงกระดูกในตู้ว่าติดตามม.จ.ฉวีวาดไปเขมรด้วย ข้อนี้สงสัยว่าคลาดเคลื่อน เพราะแคโรไลน์แต่งงานไปกับหลุยส์ เลียวโนเวนส์ ลูกชายของหม่อมแอนนา ไม่ทราบว่าเอาเวลาที่ไหนไปอยู่เขมร หรือไปช่วงสั้นๆแล้วกลับมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเหตุการณ์วิกฤตวังหน้าจบลงด้วยสันติ เราก็เห็นจากบันทึกของคาร์ล บอร์ก ว่ากรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทรงใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ใช้เวลาไปกับงานช่างและงานศิลปะทั้งหลาย
ซึ่งจะเล่าถึงผลงานอีกด้านที่งดงามไม่แพ้งานหุ่นวังหน้า คือพระบวรราชนิพนธ์ ที่หาอ่านได้ยากเย็นจนกระทั่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าวังหน้าพระองค์สุดท้าย เป็นกวีฝีมือเอกคนหนึ่งในรัชกาลที่ ๕
ขอเริ่มด้วย "นิราศนครศรีธรรมราช" ซึ่งแต่งเป็นฉันท์ ทั้งเรื่อง